กุทรุสกะ มหันตภัยร้ายแห่งกาล (เวลา) : ๖ : ข้าวต้ม?

: ข้าวต้ม? 

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงในความรู้สึกของภากร หญิงสาวที่ให้แหล่งพักพิงโดยที่เขาไม่รู้จักเธอแม้แต่น้อย ก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับอาหารที่อยู่ในมือของเธอ เขาเหลือบมองเธอ

แวบนึงซึ่งสัมผัสได้ถึงแววตาที่ดูเหมือนว่ามีความกังวลใจในอะไรบางอย่าง! และพลันชั่วครู่มันก็จางหายไป…

‘ใช่! เราเห็นความกังวลใจในสายตาของเธอ’ ภากรยืนยันความรู้สึกนั้นกับตัวเองแม้มันจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แต่เขาก็มั่นใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเบนสายตาไปจับจ้องที่มือของเธอ…เห็นมือหนึ่งถือข้าวต้ม ส่วนอีกมือถือคล้าย ๆ แคปซูล เธอวางลงตรงหน้าเขา

“นาย…จะเลือกกินอันไหน?” เธอถามขึ้นอย่างกับเป็นการเล่นเกม

ภากรไม่ตอบแต่เอื้อมมือหยิบชามข้าวต้มขึ้นมา ‘เออ ดีเหมือนกันได้กินอะไรที่มันร้อน ๆ สักหน่อยก็ดี…เผื่อความคิดดี ๆ จะมีเข้ามาในช่วงเวลานี้บ้าง’ เขานึกในใจ

“ถึงแม้จะบ้า เอ้ย! ฉันหมายถึงว่ายังจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็ฉลาดใช่เล่นเหมือนกันนะเนี่ย” เธอพูดทีเล่นทีจริง

‘เออ ใครจะโง่กินแคปซูลยาวะ ไม่รู้เป็นยาพิษหรือเปล่า’ ด้วยความที่เครียดและยังสับสนทำให้ชายหนุ่มเผลอคิดไปในทางอกุศลกับเธอ เมื่อเขาตักข้าวต้มเข้าปาก มันมีรสชาติแปลก ๆ เฝื่อน ๆ พะอืดพะอมยังไงไม่รู้ ‘แต่ก็ยังดีกว่ากินแคปซูลยาหละว๊า’ เขานึกในใจแต่ก็ฝืนกินได้ไม่กี่คำก็ต้องจำใจวางชามลง

“อิ่มแล้วเหรอ? ทำไมนายทานน้อยจัง?” เธอถามขึ้นเมื่อเห็นเขาวางชามลงตรงหน้า

“ฉันไม่ค่อยหิว” ชายหนุ่มบอกออกไป ทั้ง ๆ ที่ใจอยากตอบไปว่า ‘จะกินเข้าไปได้ยังไง รสชาติไม่เป็นสับปะรด ห่วยแตกสิ้นดี’

เธอหยิบชามข้าวต้มที่เขากินไม่หมดไป “อิ่มแล้วจริง ๆ นะ?” เธอถามย้ำอีกครั้งเหมือนจะให้แน่ใจ ภากรพจึงพยักหน้าให้อย่างเสียไม่ได้

เธอตักมันเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ตุ้ย ๆ พร้อมซดน้ำ ทำยังกับเป็นอาหารในภัตตาคารอันโอชะ ต่างกับเขาที่นั่งดูอย่างพะอืดพะอมเพราะเพิ่งประจักษ์แจ้งกับรสชาติของมันมาหยก ๆ

เธอตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอร็ดอร่อย ทำยังกับไม่ได้กินมานาน

“รู้ไหม? นายนี่โชคดีที่สุดเลยที่เจอฉันวันนี้” ภากรไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะกับคำพูดของเธอดีที่ประทานความโชคดีให้กับเขา

“ถ้านายเจอฉันวันอื่น ไม่แน่ว่าจะได้กินอาหารสุดวิเศษอย่างนี้หรือเปล่า”

‘ข้าวต้มนี่นะวิเศษ อยู่แถวบ้านให้ฟรีมีเรื่องแน่’ ชายหนุ่มนึกในใจ เพราะโดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ชอบทานข้าวต้มหรือพวกโจ๊ก ‘มันดูเละ ๆ ยังไงไม่รู้ในความรู้สึกของเขา’

“ฉันไม่รู้จะอธิบายกับนายยังไงดี…หากว่านายได้กินแคปซูลพวกนี้” เธอชี้ไปที่แคปซูล

“โอว์…ไม่สิมันเปรียบเทียบกันไม่ได้ ฉันหมายถึงหากว่านายมีบ้านหลังโต มีเงินมีทองกองท่วมหัว ยังไม่ได้ครึ่งของการได้ลิ้มรสอันโอชะของมันเลย”

‘เวอร์สุด ๆ ใครกันแน่วะที่บ้า’ ภากรนึกในใจ

“เธอทำข้าวต้มนี้เองเหรอ?” ในที่สุดเขาก็ถามออกไปหลังจากนิ่งเงียบมาสักพัก

“อะไรนะ?” เธอถามขึ้นทันควัน

“ฉันถามว่า เธอทำข้าวต้มนี้เองเหรอ?” คงแหงอยู่แล้วหละรสชาติไม่เป็นสับปะรดขนาดนี้…เขาตอบแทนในใจให้เสร็จสรรพ

เธอยกชามที่เธอเพิ่งกินเสร็จขึ้นมา “กุทรุสกะ!”

‘ยายบ๊องเอ๊ย! ยังจะมาย้ำอีก’ เขาคิดในใจ “ฉันรู้แล้วว่าที่ที่ฉันอยู่ตรงนี้เรียกว่า กุทรุสกะ”

“ฉันก็รู้ว่านายรู้แล้ว แต่ที่เมื่อกี้นายถามฉันว่าฉันทำกุทรุสกะนี่เองใช่ไหม”

“ไหน? กุทรุสกะ”

“ก็นี่ไง! เขาเรียกว่า กุทรุสกะ” เธอชี้อาหารที่อยู่ในชามเมื่อห้านาทีที่แล้วแต่เดี๋ยวนี้มันอันตรธานหายไปเพราะฝีมือเธอ เอ่อ…รวมทั้งเขาที่มีส่วนร่วมด้วยนิดหน่อย นิดเดียวจริง ๆ

”ใช่แล้วฝีมือฉันเอง” เธอตอบด้วยท่าทีที่ภูมิใจในฝีมือตัวเองอย่างที่สุด “เป็นไงอร่อยใช่ไหมหละ อ๊ะ… อ๊ะ แต่อย่าคิดนะว่าจะได้กินบ่อย ๆ”

‘โอ้ย! อยากจะอาเจียนหละไม่ว่า ขอให้สมพรปากเถอะอย่าให้ได้กินอีกตลอดไปเลยยิ่งดี’ ชายหนุ่มคิดในใจ

ภากรเริ่มตั้งสติได้นิดหน่อย ไม่ใช่สิมันอาจจะเป็นเพราะแรงบังคับ บีบคั้นจากการกระทำของมือที่มองไม่เห็นหรืออะไรสักอย่าง? ที่ต้องทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้และต้องจำใจยอมรับกับมัน ถึงจะเป็นการยอมรับได้เพียงน้อยนิดก็ตามที ชายหนุ่มมองไปยังผนังที่คิดว่าเธอร่ายมนตร์ให้เกิดวันเวลาอีกครั้ง แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเว้นเสียแต่เวลาที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น!

“กุสกะ คืออะไร?” เขาตัดสินใจถามออกไปพร้อมกับแอบลุ้นในใจอยากให้เธอตอบกลับมาว่า…มันไม่มีความหมายอะไรหรอก

“กุสกะนะเหรอ มันก็คือ…เป็นลักษณะของการบอกยุคสมัยว่า ในยุคนี้ผ่านมาได้กี่ปีแล้ว”

เขากลืนก้อนกลม ๆ ลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว “เอ่อ…งั้นเธอพอจะรู้จักคำว่า พ.ศ. หรือ ค.ศ. หรือเปล่า?” เขาเรียบเคียงถามออกไปพร้อมกับเป่าลมออกจากปากไม่รู้ว่าเพื่อระบายความร้อนหรือบรรเทาความหนาวเย็นกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้เขารู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ไปทั้งตัวระหว่างที่รอลุ้นคำตอบจากปากของเธอ

“พอคุ้น ๆ นะ เดี๋ยวขอดูข้อมูลแป๊บนึง” เธอพูดพร้อมกับสัมผัสที่ฝ่ามือของตัวเองเบา ๆ

“พ.ศ.- พ.ศ.- พ.ศ. นี่ไงเจอแล้ว นายอยากรู้อะไรเกี่ยวกับ พ.ศ.หละ?”

“คือว่า…” ภากรกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก ๆ ในขณะนี้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป “ถ้าหากว่าเปรียบเทียบจากกุสกะมาเป็นพ.ศ. จะประมาณเท่าไหร่?” ชายหนุ่มเป่าปากอีกครั้งพร้อมกับถูมือไปมาเหมือนกับคนที่รอลุ้นอะไรสักอย่างเพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่คิดหวังเอาไว้

“อ๋อ…” เธอลากเสียงยาว “แค่นี้เองไม่เห็นจะยาก ก็เอากุสกะปัจจุบันบวกไปอีกห้าพันปี เท่านั้นเอง”

“ห้าพันปี!” ภากรตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง

“ใช่!” เธอย้ำอย่างหนักแน่น “แต่ถ้าเป็น ค.ศ. เดี๋ยวก่อนนะ ค.ศ.-  ค.ศ. นี่ไงเจอแล้ว ถ้าเป็นค.ศ. ก็ต้องบวกเพิ่มไปอีก สี่พันสี่ร้อยห้าสิบเจ็ดปี”

เธอเห็นเขายังคงนั่งนิ่งก็ยิ่งอธิบายบวกลบให้เสร็จสรรพ “อย่างตอนนี้ กุสกะที่ ๔๕๕๕ ถ้าเป็น พ.ศ.ก็ ๙๕๕๕ หรือถ้าเป็น ค.ศ.ก็ ๙๐๑๒”

“พะ…พะ…พอได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง ไม่อยากรู้!” เขาตะโกนออกไปพร้อมกับเอามืออุดหู

“อะไรนะ! นายเป็นคนถามเองแท้ ๆ แต่กลับมาตวาดฉัน” เสียงของเธอดังขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่ภากรนั่งนิ่งไปชั่วครู่ดั่งต้องมนตร์ เสียงของเขาตะโกนก้องอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดออกมา…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของกูวะ? มันเกิดอะไรขึ้น!

เธอเห็นเขานั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น จึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า “อยู่ในนี้นะ แล้วอย่าออกไปไหนหละ เดี๋ยวฉันกลับมา”

หากว่าเขาอารมณ์ดีก็คงจะสวนกลับไปแล้วว่า ‘ให้ตายสิ สภาพอย่างนี้จะให้ออกไปไหนได้’ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ใด ๆ เลยในหัวสมอง มันหนักอึ้งมึนงงไปหมด เสมือนหนึ่งว่าโดนทุบด้วยค้อนหรือกำปั้นของนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวตก็ไม่ปาน

ภากรนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่? และที่สำคัญเขาไม่อยากรับรู้… ไม่อยากรับรู้อะไรเลยในเวลานี้ จนได้ยินเสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้ง

“นี่นายยังนั่งอยู่ที่เดิมอีกเหรอ นึกว่าหลับไปซะแล้ว”

เธอเดินเข้ามานั่งลงตรงหน้าเขาพร้อมกับชูสิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในมือขึ้นมา หน้าตาของเธอแสดงออกถึงความดีใจประดุจดั่งเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ก็ไม่ปาน

“นายนี่มันโชคดีที่สุดเลยให้ตายสิ ไหนจะได้กินกุทรุสกะ แล้วไหนจะได้ชิป (chip) นี่ด้วย ฉันไปค้นที่ห้องของพ่อ โชคดีมากนะเนี่ยที่มีเหลืออันนึงพอดี” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นและดีใจแบบสุด ๆ

เอาเข้าไปกับเธอสิ เขาอยากจะสวนกลับไปแบบประชดประชันซะจริง ๆ ว่า ‘ใช่! วันนี้โชคดีสุด ๆ ได้กินข้าวต้มที่รสชาติไม่เป็นสับปะรด และที่โชคดียิ่งกว่าก็คือได้มานั่งอยู่ตรงนี้ยังไงหละ!’

“ชิปนี่ มันคืออะไรเหรอ?” เขาตัดสินใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งอารมณ์

“ชิปยังไงหละ อ๋อโทษทีลืมไป นายไม่ใช่คนเหมือนพวกเรา” ประโยคสุดท้ายของเธอทำให้ภาวะแห่งสุญญากาศทางอารมณ์เมื่อสักครู่ของชายหนุ่มหายไปในทันที

“ฉันต่างหากที่ต้องพูดประโยคนั้น!” เขาสวนขึ้นทันควันด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด

เธอเบ้ปากเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำ “ชิป นี่ก็คือ วงจรอัจฉริยะ ทุกสิ่งทุกอย่างของข้อมูลที่จำเป็นในการใช้ชีวิตจะถูกนำมารวมศูนย์ที่ชิปนี่ทั้งหมด เช่น ระบบการหายใจ ระบบการทำงานของประสาทต่าง ๆ ในร่างกาย การปรับอุณหภูมิ วันเวลา การติดต่อสื่อสาร การแปลงค่าภาษาต่าง ๆ การเก็บรวบรวมข้อมูลที่สำคัญ ๆ เอาไว้ได้อย่างมากมายมหาศาล การแปลงจากพลังงานให้เป็นสสารหรือจากสสารให้เป็นพลังงาน การเงินและเครดิต…” เธอสาธยายสรรพคุณอย่างยืดยาวราวกับว่าเป็นพนักงานขายตรง

ชายหนุ่มยกมือขึ้นแบบรำคาญ “พอ…พอ มันไม่จำเป็นสำหรับฉัน”

“นายว่าอะไรนะ! ไม่จำเป็นอย่างนั้นเหรอ? นี่นายรู้ไหมชิปรุ่นนี้รุ่นใหม่ล่าสุดเชียวนะ คนระดับสูงสุดเท่านั้นถึงจะมีไว้ในครอบครอง แล้วนายยังหาว่ามันไม่สำคัญอย่างนั้นเหรอ?”

“ใช่!” ชายหนุ่มย้ำอย่างหนักแน่นก่อนที่จะพูดต่อ

“สิ่งที่สำคัญสำหรับฉันตอนนี้ก็คือ ฉันอยากกลับบ้าน ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่!” ภากรจ้องมองเธอด้วยสีหน้าคาดคั้น

“เธอเป็นแม่มดไม่ใช่เหรอ?” เขาจับบ่าของเธอแล้วบีบแน่น “ใช่! นึกออกแล้ว เธอเป็นพวกแม่มดไม่ใช่เหรอ ช่วยฉันหน่อยนะ ช่วยทำให้ฉันได้กลับบ้านที ฉันไม่อยากอยู่ที่เฮงซวยแบบนี้” เขาหลุดปากออกไปอย่างลืมตัว

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่แม่มด!” เธอจ้องหน้าเขาอย่างเหลืออด

“ที่นี่มันเฮงซวยอย่างงั้นเหรอ?” เธอถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังทำให้ชายหนุ่มค่อย ๆ คลายมือลงเมื่อเห็นความโกรธครุกรุ่นอยู่ในแววตาของเธอ

“นายรู้ได้ไงว่าที่นี่เฮงซวย! นายพูดอย่างนี้ได้ยังไง?” เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและเต็มไปด้วยความโกรธจัด

“เอ่อ…ฉะ…ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ภากรถอนหายใจจนไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ แต่ในครั้งนี้เขารู้สึกสำนึกผิดอย่างจริงใจ

“ฉันเสียใจจริง ๆ นะ ฉันขอโทษ…ฉันขอโทษ ตอนนี้ฉันกำลังสับสน” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ…ใช่ มันออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเขาจริง ๆ สาบานได้

“ไม่เป็นไร” เธอกลับมายิ้มสดใสร่าเริงเหมือนเดิมอีกครั้ง

“ฉันเอง เอ่อ…ก็ต้องขอโทษนายด้วยเหมือนกัน ฉันลืมไป คือ เอ่อ ฉันน่าจะเข้าใจ เอ่อ เห็นใจนาย เอ่อ…” เสียงของเธอตะกุกตะกักเหมือนพยายามเรียบเรียงและสรรหาคำพูดมาอธิบายเพื่อที่จะทำให้ชายหนุ่มสบายใจขึ้น

“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ ไม่ต้องอธิบายหรอก” เป็นครั้งแรกที่ภากรยิ้มให้เธออย่างจริงใจ เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ปลอบเธอหรือปลอบใจตัวเองกันแน่…หรือว่ามันทั้งสองอย่าง?

“ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันจริง ๆ แต่ว่าฉันจะพยายามตั้งสติและเอ่อ… ยอมรับและเผชิญกับความจริงทั้ง ๆ ที่… เอ่อ ฉันจะพยายาม…พยายาม ฉันสัญญา” กลับกลายเป็นเขาที่เริ่มพูดตะกุกตะกักเสียเองเมื่อพยายามที่จะอธิบายให้เธอได้เข้าใจในความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ในขณะนี้ของตัวเอง

“ฉันเห็นนายพูดอย่างนี้แล้วค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย” ท่าทางเธอเหมือนโล่งอกจริง ๆ

“เออ…ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเรายังไม่ได้ทักทายทำความรู้จักกันเลย ฉันชื่อรสุกะ แล้วนายหละ?” เหมือนเธอพึ่งนึกขึ้นได้ในขณะที่ชายหนุ่มก็ลืมไปเสียสนิท

“ฉันชื่อภากร”

“ภากร” เธอทวนเบา ๆ

“ใช่ หรือจะเรียกว่า ‘กร’ เฉย ๆ ก็ได้” ชายหนุ่มต่อให้

“กร เอ่อจำง่ายดี ส่วนฉันนายเรียกรสุ เฉย ๆ ก็ได้” เธอยิ้มให้อย่างจริงใจ

“รสุ อืม… ค่อยเรียกง่ายหน่อย” เขางึมงำกับตัวเอง “ฉันหวังว่าเราคงจะเป็นเพื่อนกันได้นะ เอ่อ… คือฉันหมายถึงอายุของเราคงใกล้เคียงกัน”

“นายอายุเท่าไหร่?” เธอถามเขา

“๑๙  ปี พอดี” เขาเห็นเธอทำหน้าตกใจ ก่อนที่จะมีเสียงหัวเราะที่สดใสและกังวานดังตามมา

“ขำอะไร?”

“ก็ขำนายนะสิ เป็นเพื่อนกันไม่ทันไร แกล้งอำฉันซะแล้ว”

“อำ เอิม อะไรกัน ฉันพูดจริง ๆ ว่าแต่เธอเถอะอายุเท่าไหร่?” ที่จริงแล้วชายหนุ่มไม่เคยถามอายุของผู้หญิงกลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเว้นเสียแต่ว่าเธอจะบอกเอง แต่นี่เป็นกรณีที่ยกเว้น! ก็เธอเล่นมาหัวเราะอายุของเขาและหาว่าเขาแกล้งอำอีกต่างหาก

“๑ ปี ๘ เดือน”

ชายหนุ่มหัวเราะกลับบ้าง “ฉันถามจริง ๆ ไม่ต้องมาแกล้งอำฉันหรอก”

“ฉันก็ตอบนายจริง ๆ มีแต่นายนั่นแหละที่แกล้งอำฉัน” เธอว่า

“ฉันไม่ได้แกล้ง!” เขาพูดขึ้น

“ฉันก็พูดจริง!” เธอสวนกลับ

“หรือว่า!!!” ทั้งสองอุทานขึ้นพร้อมกัน

…………………………เงียบ…………………………

 

“คืนนี้ ฉันจะพานายไปเที่ยว” เธอพูดขึ้นหลังจากเมฆหมอกแห่งความเงียบเมื่อสักครู่เคลื่อนผ่านเลยไป

“ไปเที่ยวงั้นเหรอ!” ภากรถามขึ้นอย่างตกใจก่อนที่จะคิดต่อ…ฉันคงมีอารมณ์ไปเที่ยวตายหละในสถานการณ์อย่างนี้!

“ใช่ คืนนี้เป็นเทศกาลเฉลิมฉลอง ‘กุทรุสกะ’ มีเดือนละครั้งเองนะ ฉันถึงบอกว่านายนี่แสนจะโชคดีสุด ๆ  เอ้ย! ไม่ใช่ ฉันหมายถึง…”

“ไม่เป็นไร โชคดีก็โชคดี” ภากรพูดออกไปอย่างนั้นเองทั้ง ๆ ที่ใจของเขามันซื่อสัตย์ในการต่อต้านกับคำ ๆ นั้นอย่างมั่นคง ณ เวลานี้ “ฉันจะไปได้ยังไง ในเมื่อฉัน…”

“ไม่เป็นไร ฉันบอกแล้วไงว่าเราโชคดีที่มีชิปนี่” เธอชูชิปที่อยู่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง

ชายหนุ่มส่ายหน้าในทันที “ไม่เอา ยังไงฉันก็ไม่เอาเจ้าชิปนี่อย่างเด็ดขาด” เขายังคงยืนยันหนักแน่น

“นายกลัวเหรอ?” เธอถามด้วยสีหน้าและแววตากึ่งล้อเลียน

“เปล่า ไม่ได้กลัว!” เขาตอบออกไปตามสัญชาตญาณของลูกผู้ชายที่ไม่อยากให้ใครมายัดเยียดคำ ๆ นี้ให้ต่อหน้าและโดยเฉพาะผู้หญิง! “ฉันก็แค่…ไม่อยากออกไปเที่ยวก็เท่านั้นเอง”

“แต่ฉันอยากให้นายไปเที่ยวจริง ๆ นะ รับรองได้ว่านายจะต้องสนุกตื่นเต้นและหวาดเสียวสุด ๆ ไปเลย ถ้านายไม่ไปก็แสดงว่านายกลัว!” เธอย้ำคำสุดท้ายอีกครั้ง

“ก็ได้!” เขาสวนทันควัน ในขณะที่เธอยิ้มอย่างผู้ชนะ

“แต่ว่า…ต้องไม่ให้ฉันใช้เจ้าชิปนี่” เขายังคงยืนยันในจุดยืนเดิมของตัวเองไม่เปลี่ยนแปลงทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่า ‘เจ้าชิป’ ที่ว่านี้ เขาใช้กันยังไง? แต่มันก็ถือได้ว่าเป็นวัสดุที่แปลกปลอมในความคิดของเขา ณ เวลานี้

“แต่…” เธอกำลังจะแย้งขึ้น

“ไม่มีแต่! ถ้าอยากให้ฉันไปเที่ยวด้วย” ภากรยื่นคำขาด

“ก็ได้ แต่นายก็ต้องรับปากกับฉันเหมือนกันว่านายจะต้องทำตามที่ฉันบอกทุกอย่าง…ทุกอย่าง!” เธอย้ำอย่างจริงจัง

ชายหนุ่มพยักหน้ารับแบบขอไปที ‘เงื่อนไขมากนักนะแม่สาวน้อยอายุ ๑ ปี ๘ เดือน’ เขานึกในใจ

“ดี! เพราะความผิดพลาดจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้นในคืนนี้” พูดจบเธอก็เดินออกไปในทันที

     “ความผิดพลาด จะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้น” ภากรเลียนแบบเสียงของเธอ

“โอ้โห! อยากรู้นัก…ถ้าหากฉันอนุญาตให้มันเกิดขึ้นใครจะทำไม?” เขางึมงำอยู่คนเดียวอย่างคนหัวเสีย…ไหนจะเรื่องมาโผล่อยู่ที่นี่ ซึ่งก็ไม่รู้ที่ไหน ? จะกลับยังไง ? …แล้วยังมาโดนบังคับให้ไปเที่ยวพร้อมกับคำสั่งนั่นอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อะไรต่อมิอะไรจึงดูขัดใจเขาไปเสียหมด ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่าสับสนจนไม่สามารถควบคุมสติและอารมณ์ได้

เขาถอนหายใจ…ก่อนที่จะปล่อยให้ความคิดในหัวสมองของตัวเองได้ทำงานอีกครั้ง
            ‘เอ…ทำไมถึงคะยั้นคะยอให้เราไปเที่ยวเทศกาลกุทรุสกะให้ได้ เธอมีเหตุผลอะไรหรือว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่านะ…คงไม่ละมั๊ง?’

 

ใส่ความเห็น