บันทึกผจญภัยผลึกสีชาดตอนที่ 5.3 มาราธอนกลับบ้านมรณะ

หลังจากทั้งสองขึ้นยานมาแล้ว กำลังเดินตามแถวกลับไปยังที่นั่งประจำตัว

ราเอลรู้สึกติดใจกับแววตาของสาวน้อยยูริที่ชิออนจูงมือเดินคู่กับเธอไป แม้จะสบตาแค่แวบเดียว ตลอดทางเขาทำหน้าครุ่นคิดระหว่างเดินกับลอร่า ลอร่าเห็นเช่นนั้นก็อดถามไม่ได้

“ ติดใจอะไรเธอคนนั้นมากขนาดนั้นเลยหรอ ราเอล”
ราเอลหันหน้ามองเธอสีหน้ายังคงครุ่นคิดเช่นเดิมบอกว่าเด็กหญิงผมขาวยูริคนนั้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ลอร่ายังคงย้ำว่าเคยเห็นครั้งแรกก่อนที่เธอจะแตะไหล่เด็กหนุ่มกล่าวแย้งเขา

“ ฉันว่าสมองนายกระทบกระเทือนมากกว่ามั้งเลยรู้สึกแปลกๆ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ” ลอร่าเอามือวางบนไหล่ราเอลขณะพูด

“ อื้อ คงงั้นล่ะมั้ง ช่างมันเหอะ ”  ราเอลหยักไหล่ให้พร้อมถอนหายใจให้ลอร่า จากนั้นทั้งสองได้เดินจนกระทั่งถึงที่นั่งหมายเลข 501 – 503 ที่นั่งเดียวกับตอนขามา

พอมาถึงปรากฏว่าเรย์นั้นนั่งประจำที่ตนเองอยู่แล้ว กำลังนั่งพินิจบัตรประจำตัวของตนอย่างชื่นมื่นรื่นรมณ์อยู่เพียงลำพัง ชวนให้ทั้งสองนึกสงสัยพร้อมใจสบตากันแวบนึง เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจปริปากถามออกไป

“เรย์  ! ท่าทางมีความสุขจริงนะ อุตส่ารอแกหน้าห้องน้ำตั้งนาน หายหัวไปที่ไหนฟะ !? ”

เรย์เหลียวหน้ามายิ้มหน้าบานให้ทันทีที่ได้ยิน ลุกพรวดขึ้นมาเอาแขนพาดไหล่เขา

“  คิดไม่ผิดจริงๆที่พนันข้างนาย ดูสิได้มาตั้ง 500 มาร์เชียว !!! ” เรย์โชว์ยอดเงินที่ถูกบันทึกภายในบัตรประจำตัวให้ราเอลดู

เด็กหนุ่มไม่อยากจะเชื่อหูของตนทำหน้างุนงงใส่เรย์

“  อะไรนะ !? ”  ขณะพูดมองยอดตัวเลขดิจิตัลบนบัตรประจำตัวเขา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะพยักหน้ากับตัวเองพร้อมฉีกยิ้มมันเขี้ยว

“ ระหว่างที่นายฟัดกับรุ่นพี่ ฉันบังเอิญไปเจอวงพนันโดยบังเอิญเลยพนันข้างนายซะเต็มที่เลย ขอบใจมากนะเพื่อน นายนี่เป็นตัวเงินตัวทองสำหรับฉันเลย งี้ต้องซี้ปึ้กให้มากกว่านี้ซะแล้ว” เรย์พูดไปตบไหล่ราเอลไป
ราเอลเก็บงำความโมโหภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มพลางใช้มือขวาบีบไหล่ของเรย์

“ นี่แกกอบโกยจากความเจ็บฉันซะเต็มที่เลยสินะ สหายเรย์  ”

ลอร่ายืนยิ้มแหยๆมองทั้งสองนอกวงสนทนา ทราบดีว่าตอนนี้เรย์งานเข้าเสียแล้ว
เรย์รับรู้ถึงสิ่งความดิบเถื่อนภายใต้รอยยิ้มด้วยสันชาตญาณ ถึงกับเหงื่อตกรีบเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที

“ใจเย็นสิพวก ฉันหยิบชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาให้นายด้วยนะ ” พูดจบเรย์รีบควักกล่องทรงสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดประมาณกล่องดินสอ มีสัญลักษณ์กาชาดกำกับไว้ตรงฝากล่องอย่างชัดเจนมาให้ราเอล
ราเอลส่งรอยยิ้มอำมหิตให้สหายสุดที่รักพลางเอานิ้วกดกระดูกไหล่ให้พอเจ็บ

“งั้นพรุ่งนี้ คงต้องเลี้ยงข้าวฉันแล้วสินะสหาย โอ๊ะไม่สิให้ลอร่าด้วย ”

เรย์เสียวซ่านถึงทรวงกับรอยยิ้มมรณะรีบตอบรับอย่างตะกุกตะกัก
“จะ จ้า ได้เลยจ้า ”
“ หึ หึ ” ราเอลตบไหล่เรย์พลางหัวเราะอย่างชั่วร้ายก่อนจะหยิบกล่องชุดปฐมพยาบาลจากเขา แล้วลงไปนั่งลงยังเบาะพร้อมกับลอร่า

พอก้นถึงเบาะลอร่าเสนอไมตรีแก่เด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มและวาจาอันอ่อนโยน

“มา เดี๋ยวฉันทายาให้นะ ”

เด็กหนุ่มยิ้มตอบหล่อนแต่เขาอยากทำด้วยตัวเองมากกว่าเลยปฏิเสธอย่างนุ่มนวลทันใดนั้น ลอร่าเอานิ้วชี้จิ้มปากทำหน้าสงสัยแบบแอ๊บแบ๊วใส่ราเอล
“ถ้านายทาไม่ถูกจุด เกิดเหลือรอยช้ำให้พ่อนายเห็นเข้าละก็จะเกิดอะไรขึ้นนา ? ”

ได้ยินเช่นนั้นเขาสะดุ้งเฮือกยื่นกล่องยาให้เธอทันที สีหน้าตกอกตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม กล่าวอ้อนวอนเธอทันที ว่าห้ามให้เรื่องนี้เข้าหูพ่อเป็นอันขาดไม่งั้นเขาลำบากแน่นอน

เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ใส่เขาพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“เห ? พอดีฉันไม่ชอบโกหกน่ะจ๊ะ อย่างน้อยคงต้องติดสินบนกันหน่อยนะ ”

“โอเค โอเคจ้า ถ้าไม่เกินความสามารถละก็เดี๋ยวจัดให้ ” บัดนี้สาวน้อยกุมไพ่คุมเกมส์ไว้อยู่เขาตอบตกลงทันทีอย่างไม่มีข้อกังขา

“งั้นปิดเทอมรอบหน้านายต้องเลี้ยงหนังฉันสักสามรอบนะ คิก คิก ” ระหว่างพูดลอร่าเริ่มเปิดกล่องยาออกมา

ราเอลพยักหน้าตอบ

“อื้อ”

ว่าแล้วลอร่าก็หยิบหลอดยาแก้ฟกช้ำที่ตรงหลอดมีข้อความอวดอ้างว่า “รอยช้ำบรรเทาภายในห้านาที” มาทาแผลบนใบหน้าราเอล

ขณะเดียวกันเรย์ก็ร้องไห้น้ำตาตกเพราะเงินที่อุตส่าห์ได้มาอย่างลาภลอยกลับต้อง หายในบัดดลเช่นเดียวกับราเอลนั่งทำหน้าเซงเพราะดันมีเรื่องชวนกระเป๋าแฟบในภายภาคหน้าเข้ามา

ส่วนลอร่าก็บรรจงทายาบนใบหน้าราเอลอย่างเบามือพลางนึกถึงอดีตที่ผ่าน พอกำลังจะเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงกับเธอ ราเอลมักจะวิ่งมาช่วยเธอทันท่วงทีทุกครา ประมาณตอนป.3 สุนัขบ้าตัวนึงหลุดเข้ามาในสนามเด็กเล่นกำลังจะเข้ามากัดหล่อน แต่ราเอลหัวเกรียนในตอนนั้นวิ่งเข้ามาฟัดกับหมาจนตัวเองเจ็บหนักและหลายครั้งที่ราเอลเจ็บตัวแทนเธอเสมอ

            บางทีแล้วฉันเป็นตัวซวยของเธอรึเปล่าราเอล วันนี้เธอต้องมาเจ็บตัวเพราะรอฉันเข้าห้องน้ำ ขอโทษนะราเอลวันนี้ที่เผลอไม่เชื่อใจเธอแวบนึง

เด็กหนุ่มเห็นหน้าเศร้าสร้อยบนหน้าหล่อนขณะตั้งหน้าตั้งยาทายานึกสงสัยขึ้นมา

“ มีอะไรเหรอ ลอร่า ? ”

“เปล่าหรอกแค่คิดว่าคนอย่างนายกินอะไรเลยถึกเถื่อนยังกับกอริลล่ากลับชาติมาเกิด ”

“ก็นะ เธอก็รู้ดีนิพ่อฉันทำอย่างไร” เด็กหนุ่มนึกถึงการฝึกฝนนรกของตนตั้งแต่เด็กทั้งโดนจับมาวิ่งตั้งแต่ 5 ขวบ วิดพื้น ซิทอัพ โตมาหน่อยก็เล่นผูกเนื้อไว้ที่ขาแล้วให้วิ่งหนีหมา ฝึกต่อสู้กับทหารวัยรุ่น ๆลๆ แต่ละอย่างล้วนหนักเกินกว่าเด็กวัยเดียวกันพึงกระทำส่วนสาวน้อยยิ้มแหย แค่นึกถึงก็สยองผองเกล้าเกินพอแล้ว

“ นั่นสินะ ”

เรย์นั่งเงียบฟังบทสนทนาทั้งหมดพลางทำหน้าทะเล้นอย่างมีเลศนัยราวกับคิดมุกอะไรออก

พอลอร่าทายาเสร็จ เก็บยาเข้ากล่องเหมือนเดิมแล้วคืนมันให้เรย์ รอยช้ำบนใบหน้าราเอลเริ่มจางลงแต่ยังไม่หายสนิท จากนั้นตัวยานเริ่มสะเทือน เสียงเครื่องยนต์ทำงานดังขึ้น มุ่งหน้าเรียงแถวบนรันเวย์ ทยอยออกจากลานจอดโรงเรียนไปทีละลำ  พอยานที่พวกเขาโดยสารได้เข้าสู่น่านอวกาศอันมืดมิด เด็กหนุ่มสะกิดไหล่เพื่อนสาว

 

“ ต้องให้ฉันอยู่เป็นเพื่อน ตอนยานเข้าสู่ชั้นบรรยากาศไหม ? ” เขาถามเธอด้วยความห่วงใยเนื่องจากตอนขามาเธอแสดงความกลัวออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเริ่มชินล่ะจ๊ะ ” ลอร่าตอบกลับห้วนๆ

“งั้นฉันงีบล่ะ เจอกันบนดาวนะ ” พูดจบราเอลเกาะพิงหัวกับเบาะทันที

ขณะเดียวกันเรย์เป่าหมากฝรั่งรสหวานที่สุดออกมาเป็นรูปหัวใจลอยละลิ่วออกจากปาก

“  แถวนี้ไม่หวานจริง อยู่ไม่ได้หรอก หุหุ ” พลางพึมพัมกับตัวเอง

ในที่สุดขบวนยานรับส่งนักเรียนได้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศแห่งดาวธรา ก่อนจะแตกกลุ่มกันไปตามภูมิภาค โดยยานที่ทั้งสามกำลังโดยสารได้มุ่งหน้าไปยังลานจอดยานเดิมกับขาม ลอร่าเขย่าตัวราเอลดึงเขาออกจากห้วงนิทรานานเกือบชั่วโมง พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็เขย่าหัวสองสามทีขจัดความมึนมองดูรอบตัวก็พบว่าคนอื่นต่างทยอยเรียงแถวออกผ่านทางประตูยานตรงท้ายยาน

“ ขอให้นักเรียนทุกคนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ แล้วพรุ่งนี้กรุณามาตามเวลายานออกด้วย ขอให้พระแม่เทร่าคุ้มครองทุกคน สวัสดีค่ะ” เสียงโอเปเรอเตอร์กล่าวอำลานักเรียนดังก้องผ่านลำโพงตามผนังยาน

ว่าแล้วทั้งสามลุกขึ้นจากที่นั่งสะพายเป้สัมภาระของตนเข้าแถวเดินออกจากยานไป

แวบแรกที่เห็นเมื่อเดินออกมานอกยานก็คือดวงอาทิตย์ยามผีตากผ้าเหลืองอร่ามบน นภา ปุยเมฆปุกปุยลอยไปตามจังหวะลม ฝูงปักษาพากันโบยบินกลับรัง อากาศหอมหวานจากพฤกษาธรรมชาติมิได้สังเคราะห์ขึ้นช่างเป็นบรรยากาศมีชีวิต ชีวาที่น่าคิดถึงแห่งดวงดาว

ทั้งสามเดินออกมายังลานกว้างที่พลุกพล่านไปด้วยเหล่าเด็กนักเรียนบางคนพ่อ แม่มารออยู่แล้วก็กลับไปกับพวกท่านทันที บ้างอาศัยในตัวเมืองก็มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟหลอดแก้ว บ้างก็นั่งรอพ่อแม่บริเวณนั้น แน่นอนว่าทุกยุคทุกสมัยย่อมต้องมีพวกจับกลุ่มกันแวะไปเที่ยวที่อื่นต่อ

 

ปิ๊น !! ๆ

เสียงแตรแสนคุ้นเคยจากมอเตอร์ไซต์ไร้ล้อเพลาคันโปรดประจำตัวพ่อราเอลแว่ว เข้าหูทั้งสาม  มองไปต้นเสียงพ่อราเอลกำลังยืนรอข้างมอเตอร์ไซต์โบกมือให้ตรงริมฟุตบาท  ราเอลและลอร่าโบกมือลาเรย์พลางโบกมือล่ำรา

เรย์เองได้โบกมือตอบเช่นกัน จากนั้นทั้งสองจะวิ่งไปซ้อนท้ายมอไซต์ก่อนที่พ่อราเอลจะบิดออกตัวตามถนนไปอย่างรวดเร็ว พอสองคนลับตาเรย์มองฟ้าเหลืองอร่าม บิดขี้เกียจบรรเทาความล้าหลังจากนั่งมาเป็นเวลานาน

“ งั้นเราเองก็ปิ๊กบ้านดีกว่า ”  ออกตัวเดินตามฟุตบาทกลมกลืนไปกับฝูงชนระหว่างทางเขาบังเอิญสังเกตเห็นสาว น้อยผมแดงทรงทวินเทล ผิวคล้ำที่น่าคุ้นเคยจึงเดินเข้าแตะไหล่เธอ

“ไงจิน เธอรู้เรื่องราเอลบู้วันนี้มะ ” เรย์เปิดประเด็นสนทนาทันที

จินพยักหน้าตอบ

“ อืม เป็นคนที่น่าสนใจดีนะ ราเอลเนี่ย เจอกันพรุ่งนี้นะจิน ” เรย์ตบไหล่เธอเบาๆสองที เดินจากไปกับกลุ่มคน

จินพยักหน้าตอบ ไม่ปริปากออกมาเช่นเดิม

พอเรย์จากไป จินมองไปยังขอบฟ้าทางทิศที่ราเอลและลอร่านั่งมอไซต์ลับตา จากนั้นแววตาของเธอก็ดุดันขึ้นดังโกรธแค้นสุมเต็มอกมานับแรมปี

“ราเอล บลอร์ดมอร์ …… ”  หล่อนรำพึงในลำคอเบาๆ

……………………………………………… กลับมาทางราเอล และ ลอร่า   ……………………………….

หลังจากซ้อนมอไซต์ออกนอกกำแพงเมืองเข้าสู่ถนนเขตชานเมืองมาได้สักพัก ริมฟากฝั่งถนนปรากฏหมู่บ้านไร่ เป็นระยะๆ นอกนั้นก็ทุ่งหญ้ากับแม่น้ำตัดผ่าน บนถนนปรากฏยานพาหนะต้านแรงโน้มถ่วง ลอยเหนือพื้นวิ่งผ่านไปมาเช่นเคย

ทั้งสามสวมหมวกกันน็อคและแว่นกันลมตามกฏจราจรเพื่อความปลอดภัย แต่ละคนนั่งเงียบมาตลอดทางกระทั่งแซนเดอร์สันเปิดประเด็นถามราเอลก่อน

“ ที่โรงเรียนเป็นไงบ้างลูก ”

ราเอลพยายามทำตัวเยือกเย็นไม่ให้มีพิรุธอะไรตอบคำถามพ่อ เล่าสิ่งที่ได้พบเห็นในรร. ทั่วไปแต่ไม่โยงเข้ากับเหตุการณ์เด็ดประจำวัน

“แล้วลอร่าละ ? ” แซนเดอร์สันถามต่อ

“ก็ตามอย่างที่ราเอลว่าละค่ะ ” ลอร่าตอบเรียบๆ เพราะรู้งานกับราเอลแล้ว

“ ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้แล้วใช่ไหม ? ทั้งสองคน ” แซนเดอร์สันถามย้ำทั้งสองอีกที

“ไม่มีครับ / ค่ะ ” วัยรุ่นทั้งสองตอบชายวัยกลางคนพร้อมเพียงกัน

ได้ยินเช่นนั้นแซนเดอร์สันเบรกมอเตอร์ไซต์จอดกลางทางโดยพลันสร้างความฉงนให้กับทั้งสองอย่างมาก

คุณลุงผู้พันจะควักบางอย่างออกจากระเป๋ากางเกง มันเป็นวัตถุพลาสติคใสทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณที่คั่นหนังสือ ก่อนที่เขาจะกดปุ่มวงกลมบริเวณมุมซ้ายบนของวัตถุที่ว่านั่น

ทันใดนั้นวัตถุที่ว่านั่นได้ยืดตัวออกกลายเป็นจอภาพใสขนาดเท่ากับกระดาษเอสี่สั่งการผ่านระบบทัชสกรีน แซนเดอร์สันกดเลือกฟังชั่นบางอย่างบนหน้าจอสักพักก็ยื่นให้พวกราเอลดู

ราเอลถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออกกับภาพตรงหน้า เครื่องที่ว่านั่นฉายวีดีโอการต่อสู้ระหว่างราเอลและรุ่นพี่ไมเคิลตั้งแต่ ต้นจนจบถูกมือดีเผยแพร่ตามอินเตอร์เน็ต แถมยังเห็นหน้าเขาชัดเจน เสียงคมชัดราวกับภาพลอยอยู่ตรงหน้าจริงๆ

ลอร่ายิ้มแหยมั่นใจว่าความซวยกำลังมาเยือนเพื่อนตั้งแต่เด็กของเธออย่างแน่นอนโดยที่เธอมิอาจจะช่วยอะไรได้

พอดูซักพักแซนเดอร์สันก็หยิบจอภาพจากมือราเอล กดปิดสวิต ย่อขนาดมันเก็บเข้ากระเป๋าเช่นเดิมทันใดนั้นสีหน้าเขาเหี้ยมขึ้นสั่งราเอลให้ลงจากรถด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เด็กหนุ่มเหงื่อนิฬกาลแตกพล่าน หลักฐานมัดตัวแน่นหนาขนาดนี้ยากจะปฏิเสธได้ ลงจากรถตามคำสั่งพ่อโดยไว ทันใดนั้นพ่อเขาตวาดใส่ทันที

“พ่อเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ไปโชว์ออฟ !! ทำไมถึงทำแบบนี้ !? ”

ลอร่าได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาเธอเองก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กหนุ่มพยามเล่าเหตุการณ์ว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อน แม้ลอร่าจะพยายามอธิบายช่วยก็ตาม แซนเดอร์สันกลับทำหน้าเหี้ยมกว่าเดิม

“ไม่ต้องแก้ตัวแทนมันลอร่า ต่อให้อีกฝ่ายเริ่มก่อนแล้วทำไมลูกถึงใจร้อนหุนหันพลันแล่นไปต่อยกับมัน พ่อสอนแล้วใช่ไหมว่าทหารน่ะเยือกเย็น !! ”

เด็กหนุ่มไม่กล้าสู้หน้าผู้เป็นพ่อ ก้มมองพื้นมือทั้งสองสั่นรู้ดีว่าตัวเองผิดเลยก้มหัวขอโทษไปตามมารยาท ได้ยินเช่นนั้นพ่อของเขาทำหน้าเข้มงวด ยกนิ้วมาชี้หน้าเด็กหนุ่มสั่งเขาอย่างเด็ดขาด

“ในเมื่อแกใจร้อนมาก ดังนั้นก็วิ่งรับลมให้ใจเย็นหน่อยละกัน วันนี้วิ่งกลับบ้านเองละกันแล้วต้องถึงบ้านก่อนทุ่มครึ่งละ ไม่งั้น ….. ”

เด็กหนุ่มอึ้งแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง

“จากที่นี่ถึงบ้านตั้ง 15 กิโลนะครับพ่อ ตอนนี้ก็ 5 โมงครึ่งแล้ว !?  ” ถามไถ่อย่างตกตะลึง

พ่อของเขาไม่คลายสีหน้าลงเลยแม้แต่น้อยแล้วชี้หน้าสั่งให้ยื่นของให้ลอร่า เด็กหนุ่มปฏิบัติแต่โดยดี ยืนมองพ่อของเขาขับมอไซต์ลับตาจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งตนไว้เพียงลำพัง ได้แต่มองรอบกาย มีแต่ถนนและทุ่งหญ้าเขียวขจีอันกว้างใหญ่ไพศาลและพระอาทิตย์ที่ใกล้ลับฟ้าไปทุกขณะ

“ เอาก็เอาวะ วันนี้จะซวยขนาดไหนให้มันรู้ไป โชคดีตอนนี้แดดไม่ร้อน สู้โว้ย !! ” ขณะกล่าวในใจเขาโดดเหยงๆวอร์มกับที่สองสามทีแล้ว โห่ร้องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เริ่มออกตัววิ่งไปตามถนนที่ทอดไปเบื้องหน้าสุดลูกหูลูกตา

ทุกฝีก้าวที่ย่างออกไปปะทะสายลมยามเย็มที่พัดผ่านเข้ามามุ่งสู่เบื้องหน้าอย่าง ช้าๆ หลังจากวิ่งริมถนนประมาณครึ่งชั่วโมงเหงื่อไคลเริ่มออกชุ่มตามเสื้อผ้า เพราะตลอดทางเด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าเท่าที่จะทำได้

ทันใดนั้นเองเด็กหนุ่มรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณลิ้นปี่ที่มีสัญลักษณ์ลึกลับแต่กำเนิด เด็กหนุ่มกลับเลือกจะหยุดวิ่ง

และกุมอกของตน ระหว่างนั้นเขามองธรรมชาติรอบตัวที่คุ้นเคย ทั้งเหล่าแมกไม้ใบหญ้า กลีบดอกไม้ที่ปลิวตามสายลม สายธารกับภูผาที่อยู่สุดขอบฟ้ากลับสวยขึ้นอย่างน่าประหลาดใจทั้งๆที่เคยผ่าน ทุกวัน

หนุ่มน้อยถอนหายใจเบาๆ หายใจเข้าออกเต็มปอดบรรเทาอาการหอบ

ระหว่าง นั้นมีนกพิราบขาวตัวนึงบินมาเกาะไหล่ราเอล ส่งสายตาแบ๊วให้เด็กหนุ่มพลางจิกใบหน้าราเอลอย่างอ่อนโยนราวกับหยอกเล่น แม้เด็กหนุ่มจะปัดไล่มัน สะบัดแขนไล่มันยังไงมันก็ไม่บินหนีไปไหนสร้างความประหลาดใจให้กับเด็กหนุ่ม เป็นอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ปล่อยให้มันเกาะแบบนั้น ยืนพักหายใจพลางมองขนสีขาวนวลของมัน

วิวธรรมชาติกับนกน้อยตัวนั้นทำให้เด็กหนุ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างได้

บาง ที…. เรามองแค่เรื่องตรงหน้ามากเกินรึเปล่า จนมองข้ามสิ่งดีงามรอบกาย ถ้าตอนนั้นเราฟังลอร่าไม่หน้ามืดตามัวละก็เรื่องคงไม่จบลงแบบนี้หรอก

ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกหัวปลอดโปร่ง ใจสงบไม่มีอะไรเข้ามาให้คิดฟุ้งซ่านชวนให้รู้สึกมีความสุขดื่มด่ำกับวิว ธรรมชาติได้แค่พักนึงก็ฉุกใจขึ้นได้ว่าต้องรีบวิ่งจึงออกตัววิ่งสุดฝีเท้า ต่อไป เจ้านกน้อยเองได้บินตามเขาอย่างกระชั้นชิด

ไม่รู้ว่านานเท่าไรเด็กหนุ่มได้วิ่งไปข้างหน้า ก้าวลงพื้นกี่ก้าว เขารู้ว่าเพียงต้องก้าวไปข้างหน้าเพียงเท่านั้นคู่กับสหายพิราบนวลร่วม ทางกระทั่งวิ่งได้สักพักเขาเหลียวหน้ามาถามสหายร่วมทาง

“ทำไมถึงต้องตามฉันละ นกน้อย !? ”

“ กุ๊ก กุ๊ก” นกน้อยขานภาษานกตอบกลับ  เด็กหนุ่มยิ้มส่ายหัว ขบขันกับตัวเอง ยังไงเสียนกมันคงพูดไม่ได้อยู่แล้ว

พริบตานั้นเองพิราบน้อยได้จิกหูซ้ายของเด็กหนุ่มสุดแรงแต่พยายามไม่ให้กรงเล็บ ฝังเข้าไปในเนื้อ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะปริปากอะไรออกมา พลันเห็นรถมอเตอร์ไซต์ระบบต้านแรงโน้มถ่วงนิรนาม คนขับสวมหมวกกันน็อคปกปิดใบหน้ามิดชิดกำลังพุ่งเข้ามาหาตนอย่างรวดเร็ว ราเอลอุทานด้วยความตกใจสุดขีด พุ่งตัวหลบเข้าข้างถนนโดยผลันจนล้มกลิ้งลงไปในทุ่งหญ้าข้างถนนจนตกคูน้ำขัง คูน้อยคูนึง เนื้อตัวเลยเปียกโชก

พอหันขึ้นมามอง บุคคลลึกลับบนมอเตอร์ไซต์จ้องมองเขาภายใต้เลนส์หมวกกันน็อคสีดำ เขาทำท่าเจ็บใจก่อนจะขับมอไซต์หนีไปอย่างรวดเร็ว

“ เฮ้ย ! ขับรถประสาอะไร ! จะชนกันหรือไงวะ เดี๋ยวสิกลับมาคุยกันก่อน ! ” ราเอลตะโกนอย่างเดือดดาลแม้คู่กรณีจะห่างไปไกลแสนไกลแล้ว

พอรู้ตัวว่าป่วยการเปล่า ราเอลหันไปลูบหัวพิราบขาวผู้ช่วยชีวิตด้วยความเอ็นดูก่อนที่มันจะโบยบินจากไป

 

“  ประหลาดนกแฮะ ! ปกติคนเข้าใกล้ต้องบินหนี แต่นี่บินมาหาเราแถมยังเตือนภัยอีก เฮ้ย ! ป่าน นี้แล้วเรอะเนี่ยต้องรีบละ ” ราเอลกล่าวขณะมองมันลับตาไป กระทั่งเอะใจเวลาบนนาฬิกาข้อมือจึงออกตัววิ่งโดยเร็วทว่าคราวนี้เขาเลือก วิ่งในทุ่งหญ้าริมถนนเพราะเกรงเหตุเมื่อครู่จะซ้ำรอย
วิ่งข้ามทุ่งหญ้าได้ประมาณหนึ่งกิโลกว่าตลอดทางนั้นดำเนินไปด้วยดีไม่มี อุปสรรคใดมารบกวนจนเด็กหนุ่มหลงคิดว่าคราวนี้คงถึงบ้านโดยสวัสดิภาพแน่นอน จนกระทั่ง….

บังเอิญเห็นคู่สามีภรรยาสูงวัยคู่นึงกำลังยืนดูม้าตัวนึงที่กำลังแบกสัมภาระ มากมายบนหลัง ท่าทางของมันแลอ่อนเพลียเข้าด้วยความสงสัยเด็กหนุ่มจึงวิ่งเข้าไปถามไถ่  ชายชราหัวล้านใส่แว่นสายตา เสื้อผ้าลายสก็อตสีดำลายขาว กางเกงดำ รองเท้าบู้ต หันกลับมาตอบอย่างมีอัธยาศัย พอชายชราพูดจบหญิงชราใส่เสื้อผ้าสไตล์บ้านไร่เช่นเดียวกับคุณตาพูดตามขึ้นมาทันที

“อ้าวพ่อหนุ่ม พอดีม้าของตาดันไม่สบายกระทันหันระหว่างขนเสบียงที่แลกกับอีกหมู่บ้าน ”
“ ยายมีหลานตัวเล็กคอยอยู่ที่บ้านเสียด้วย ตอนนี้เพื่อนบ้านป้าขับรถเข้าเมืองหมดแล้วพ่อหนุ่มพอจะช่วยพวกเราได้มั้ย ? ”
เด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ถามพวกเขาอย่างใคร่รู้ว่าต้องการให้ช่วยอะไร ผู้เฒ่าทั้งสองไหว้วานเด็กหนุ่มให้ช่วยขนของกลับไปจากหมู่บ้านตน พอราเอลถามถึงตำแหน่งหมู่บ้าน หญิงชราชี้ยังเบื้องหลังเขาแล้วกล่าวว่าประมาณห้ากิโลเมตร

เด็กหนุ่มทำหน้าตาคิดหนักทันที ถ้าตกลงยอมช่วยไปตัวเองจะต้องย้อนกลับไปตั้งห้ากิโลเมตร ครั้นจะปฏิเสธเลยก็ดูใจไม้ไส้ระกำไปหน่อย ในที่สุดเขาตัดสินใจที่จะช่วยตายายคู่นั้นเพราะสงสารเด็กตัวน้อยที่รอการกลับมาของพวกเขาอยู่

แบกสัมภาระอันหนักอึ้งประมาณสิบกิโลไว้บนบ่าเดินตามสองตายายจูงม้ากลับหมู่บ้านของพวกเขาไป

คืนนี้เราตายแน่ !! เด็กหนุ่มคิดในใจ

ณ ปากทางเข้าหมู่บ้านปลายทาง บ้านเรือนล้วนสร้างจากไม้ บุหลังคาด้วยอลูมิเนียม ตอนนี้ดวงอุทัยเริ่มลับจากฟ้า ยามโพล้เพล้มาเยือนพร้อมกับความมืดสลัว

“ขอบใจมากนะจ๊ะพ่อหนุ่ม ไม่ได้เธอพวกเราลำบากแน่นอนเดี๋ยวที่เหลือให้คนในหมู่บ้านจัดการเอง เธอชื่ออะไรนะพ่อหนุ่ม ”  สองตายายกล่าวกับเด็กหนุ่มด้วยใจและสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ

“ ราเอลครับ ผมต้องรีบไปแล้ว ลาก่อนครับ ”  เด็กหนุ่มมองท้องฟ้า ล่วงรู้ทันทีว่าคงเลยเวลาที่พ่อกำหนดไว้แล้วจึงรีบลาทั้งสองอย่างร้อนรน

ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะออกตัววิ่งหญิงชราเอ่ยเรียกหยุดเขาไว้

“เดี๋ยวก่อน พ่อหนุ่ม ! ช่วยรับสิ่งนี้ก่อน ”

พอเด็กหนุ่มเหลียวมาพบว่าเธอยื่นจี้ห้อยคอที่มีรูปร่างเป็นสตรีหน้าตาใจดีกำลังทำท่าอ้าแขนรับบุตรให้ คุณยายอธิบายด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มแย้มกึ่งศรัทธา ทั้งคู่กล่าวว่ามันช่วยให้พวกเขาแคล้วคลาดภัยอันตรายนับไม่ถ้วน และยื่นให้กับมือราเอล เขารับจี้นั่นด้วยกิริยาอ่อนน้อมแล้วออกตัววิ่งจากไปทันทีทิ้งคู่สามีภรรยามองเด็กหนุ่มวิ่งลับตาไปด้วยสีหน้าแจ่มใสไว้ ทั้งคู่เงียบพักนึงก่อนที่คนตาจะกล่าว

“ราเอล เหรอ ใช่เด็กหนุ่มจากค่ายทหารแถบนี้ที่ช่วยจับหมาขี้ขโมยที่หมู่บ้านข้างๆเปล่า  ท่าทางโตไปจะเป็นพ่อคนที่ดีนะ ”

“ หึหึ เป็นเด็กที่น่ารักดีนะ งั้นเราโทรไปขอบคุณค่ายทหารนั่นกันเถอะ”

ทางด้านเด็กหนุ่มกำลังวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ย่อท้อกับความเหนื่อยล้า แม้ขาเริ่มอาการเมื่อยล้าเพราะใช้งานอย่างหนักทั้งฟัดกับรุ่นพี่ วิ่งหลายกิโลแถมขนของหนัก เขาทราบดีว่าตอนนี้คงไม่ทันเวลาที่กำหนดแต่อย่างน้อยขอให้สายน้อยที่สุด  วิ่งไปวิ่งมาตอนนี้เด็กหนุ่มพ้นจากเขตทุ่งหญ้ากำลังวิ่งเลียบแม่น้ำสายใหญ่พอ ประมาณทางเบื้องซ้ายของตน วารีนั้นใสสะอาดจนเห็นก้อนกรวด ณ เบื้องล่าง ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทราบนฟากฟ้าสะท้อนประกายระยิบระยับ น้ำนั้นไหลค่อนข้างเชี่ยวเพราะปรากฏการณ์น้ำขึ้นตามเวลาจันทราเจิดจรัสบนนภา

แลเห็นป้ายดิจิตอลป้ายใหญ่ยักษ์ข้างบนถนนทางเบื้องขวาบอกว่าอีกหกกิโลเมตรจะ ถึงค่ายทหารแล้วความหวังของเด็กหนุ่มกลับมาเต็มเปี่ยมภายใต้ใบหน้าดีอกดีใจ ทันใดนั้นหูกลับได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือแว่วมาจากแม่น้ำ

ไกลออกไปไม่มากนักเรือพายล่องกลางแม่น้ำมีเด็กคนนึงยืนบนเรือตะโกนร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง

เด็กหนุ่มไม่รอช้าแบกสังขารอันเหนื่อยล้ามุ่งไปยังจุดเกิดเหตุโดยไว ภาพที่เขาเห็นคือเด็กชายวัยประถมปลายผมสั้น ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล รองเท้าแตะยืนอยู่บนเรือพยายามเอื้อมแขนไปจับเพื่อนชายวัยใกล้เคียงกันที่ กำลังเกาะโขดหินกลางแม่น้ำอันเชี่ยวกรากอย่างสุดกำลังเนื่องจากน้ำซัดใส่ตัว เขาจึงมองเห็นรูปลักษณ์ไม่ได้ชัดเจนนัก

ทันใดนั้นโขดหินที่โดนน้ำกัดเซาะมานานทนน้ำหนักของเด็กหนุ่มไม่ไหวอยู่เกิดแตกตัวจนเด็กคนนั้นไหลไปกับสายน้ำอย่างรวดเร็ว

 

“เดฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ !!!!!!!!!!!!!!!!! ” เด็กบนเรือหน้าตะโกนเรียกเพื่อนด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

เด็กหนุ่มไม่รีรอรีบโดดลงน้ำไปอย่างไม่ลังเลก่อนที่เขาจะว่ายตามเดฟ เขาเหลียวมาตะโกนใส่เด็กหนุ่มบนเรือ

“มัวรีรออะไรเล่า รีบตามคนมาช่วยเร็วเข้า ! ไป ! ”

พอเด็กบนเรือพยักหน้าให้ราเอลว่ายน้ำตามก็เดฟสุดกำลังทันที

“ไม่ต้องแตกตื่นน้อง ! พี่มาช่วยแล้ว ! พยายามหาอะไรเกาะไว้ !! อุ๊บ ! ห้ามว่ายทวนกระแสน้ำเด็ดขาดนะ ! ”

ระหว่างที่ราเอลว่ายท่าฟรีสไตล์ไล่ เขาตะโกนบอกเดฟสุดเสียงระหว่างตะโกนน้ำได้เข้าปากเขาจนสำลักบ้าง

เนื่องจากราเอลว่ายน้ำตามกระแส เขาค่อยเข้าใกล้เดฟอย่างช้าๆจนในที่สุดกินเวลากว่าครู่นึงก็ประชิดตัวเด็ก หนุ่มคนนั้นได้ ราเอลตะครุบเด็กคนนั้นทันทีย้ำให้เขาอย่าดิ้น

“คับ แค่ก ๆ ”  เสียงตอบรับของเดฟนั้นแผ่วเบาสลับกับสำลักน้ำออกมา

เดฟใช้มือขวาพาดไหล่ผู้มาช่วยชีวิตสุดกำลังทันใดนั้นเอง ราเอลรู้สึกเจ็บแปล๊บบริเวณนั้นทันทีเหมือนมีอะไรแหลมทิ่มแทงเข้าไป แต่มิได้ติดใจอะไรคิดว่ามือของเดฟคงมีพวกเสี้ยนไม้ที่อาจปะปนตามสายน้ำเกาะอยู่

โชคดีแฮะเจ้าหนูนี่พอว่ายน้ำเป็น แค่สู้แรงเชี่ยวน้ำไม่ได้ไม่งั้นป่านนี้คงดิ้นแบบไม่ลืมหูลืมตาพาเราจมแล้ว

ระหว่างที่นึกราเอลเหลียวไปมองบรรยากาศรอบตัวปรากฏว่าทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยต้นไม้สูงทึบ !!

เฮ้ย ! นี่เราโดนพัดมาถึงนี่เลยหรอวะ ราเอลตกใจมากกับภาพที่เห็นมาก

“เดฟ เราเข้ามาเขตป่าแล้ว เงียบๆเข้าไว้ ถ้าสัตว์ป่าได้ยินเข้าละยุ่งแน่ ! เข้าใจมั้ยเดฟ เงียบๆ ” ราเอลกระซิบบอกเดฟ เดฟเองก็พยักหน้าตอบรับแต่สีหน้ายังเก็บงำความตื่นกลัว

“ดีมาก ไอ้หนู” ราเอลลูบหัวเขาปลอบโยนเขาเบาๆระหว่างนั้นเองบังเอิญเห็นเถาวัลย์เส้นหนาท่า ทางเหนียวเส้นนึงห้อยจากกิ่งไม้ใหญ่พาดลงมาถึงผิวน้ำอยู่เบื้องหน้าไม่ห่าง จากตัวมากนัก เด็กหนุ่มไม่อาจปล่อยให้โอกาสเดียวและอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายให้หลุดมือไปได้ รีบใช้มือซ้ายเกาะมันทันที

ทั้งคู่หอบหัวใจเต้นรัวด้วยความเหน็ดเหนื่อยและโล่งใจที่ผ่านพ้นเหตุระทึกนี่ได้อย่างหวุดหวิด
ราเอลหันไปมองฝั่งทางด้านซ้ายมือ เห็นว่าไม่ไกลเกินไปจึงเสนอแผนให้เดฟฟัง

“เอาล่ะ เดี๋ยวพี่จะปีนขึ้นไปแล้วโยนน้องขึ้นฝั่งนะ คงเจ็บนิดหน่อย ”

พอเดฟทำหน้าหวั่นเกรงนิดนึงแต่ก็พยักหน้าให้โดยดีเขาก็ทำตามแผนทันทีใช้มือซ้ายพาตัวปีนตามเถาวัลย์จนสูงพอประมาณจากนั้นมือขวาก็เหวี่ยงเดฟลอยไปตกลงบนฝั่งพอดี เห็นเช่นนั้นก็โล่งใจ โหนเถาวัลย์ไปข้างหน้าข้างหลังไปมากระทั่งมันเหวี่ยงไปใกล้ฝั่งพอควรก็รีบกระโดดลงบนฝั่งทันที

พอปลอดภัยแล้วเด็กหนุ่มมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยพลางบ่นประชดชีวิตของตน

“รอดตายซะที ! โอย !! วันนี้มันวันอะไรฟะเนี่ย ”

เดฟสีหน้าหวาดกลัวจนน้ำตาคลอเบ้า กอดอกหนาวสั่นเนื่องจากตัวชุ่มช่ำบวกกับลมหนาวยามค่ำคืน

“แล้วเราจะเป็นยังไงคับพี่ ผมหนาวจะตายแล้ว ”

“หนาวหรอ ! มานี่มา ” ราเอลเองก็หนาวเช่นกันแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอะไรใช้มือขวาโอบเด็กคน นั้นแบ่งปันไออุ่นจากร่างกายเผื่อจะทำให้เดฟรู้สึกดีขึ้นบ้างพลางปลอบใจเดฟที่ซบลงบนอกเขาอย่างอ่อนโยน

“เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยน่า อย่ากังวลไปเลย ”  ตัวราเอลเองภาวนาเช่นนั้นในใจไร้ซึ่งความช่วยเหลือความหนาวเหน็บหรือสัตว์ป่าหิวโหยที่ตามกลิ่นมานั้นอาจจะพรากชีวิตพวกเขาในค่ำคืนนี้

ความมืดมิดแห่งรัตติกาลคืบคลานเข้ามา ซ้ำร้ายคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดจันทรามืดสนิทยิ่งบดบังวิสัยทัศน์ทั้งสองให้ พร่ามัว จนเด็กหนุ่มต้องเปิดระบบไฟฉายบนนาฬิกาข้อมือดิจิตัลรุ่นเก่ากึกส่องแม้จะสู้ ไฟฉายไม่ได้แต่ก็พอให้มองเห็นอะไรได้บ้าง ใจภาวนาว่าถ่านจะไม่หมดลงเสียก่อนมิฉะนั้นพวกเขาจะเปรียบเสมือนคนตาบอดทันที

ระหว่างนั้นเองเดฟสังเกตุเห็นอะไรรูปร่างยาวบางอย่างลอยมาตามน้ำเขาจึงเขย่าตัวราเอลและชี้ให้ดู

“พี่ ๆ นั่นตอไม้ใช่มั้ยครับ ?  ”

พอราเอลหันนาฬิกาข้อมือข้อมือไปส่อง มันกลับไม่ใช่ตอไม้ !! มันคืออะลิเกอเตอร์ขนาดตัวประมาณ 1.5 เมตร !! ทันทีที่ไฟแยงตาสีชาด ทั้งสองไม่ทันอุทานมันก็รี่เข้ามาหาอย่างไม่รีรอ !

แม้จะไม่ใช่ขนาดโตเต็มที่ที่มีขนาดถึง 4 เมตร หนักเป็นตันทว่ามันก็แข็งแรงพอที่จะกัดอวัยวะร่างกายมนุษย์ให้ฉีกขาดได้นี่ เป็นคู่ต่อสู้แห่งพงไพรที่แม้แต่คนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างราเอลยังต้องสะพรึง

ไร้ซึ่งทางหนีเบื้องหลังมีเด็กน้อยไร้ซึ่งกำลังจะพาปีนขึ้นต้นไม้คงไม่ทัน การสภาวะกดดันทิ้งเด็กหนุ่มให้มีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือสู้ !! เพื่อรักษาชีวิตไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ล่าดังกฏห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ

ราเอลพยุงตัวลุกขึ้นมาประจันหน้ากับผู้ล่าที่มากับสายน้ำบอกให้เดฟถอยไปให้ ห่างทว่าก่อนที่จะเริ่มสู้นั้นเอง ขาซ้ายราเอลเกิดอาการตะคริวกิน ! จนราเอลล้มหงายหลังไปกับพื้นทันที

ผู้ล่าเห็นเหยื่อเพรี่ยงพร้ำก็ไม่รอช้ามันอ้าปากพุ่งเข้ามางับราเอลทันที กรามอันกว้างหนา เต็มไปด้วยคมเคี้ยวมากมาย และ ลิ้นอันสากหนาสีแดงที่รอลิ้มรสเนื้อเบิ่งกว้างเบื้องหน้าราเอล

“พี่ !!!!!! ” เดฟตะโกนออกมาสุดเสียงด้วยความแตกตื่น

ใส่ความเห็น