….. และแล้วสายธารแห่งกาลเวลาได้นำพามวลมนุษย์ยังอนาคต
ศตวรรษที่ 36 ณ โลกได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นพระแม่เทร่า ( Holy mother Terra ) ดาวแม่แห่งมวลมนุษย์ทั้งปวง ถูกห้อมล้อมด้วยป้อมปราการ เรือรบอวกาศ ดาวเทียม จำนวนมากป้องกันอย่างหนาแน่น
ลึกเข้าไปทวีปทั้งหมดได้รวมเป็นหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทรสีครามเหมือนกับ ทวีป แพนเกียในยุคดึกดำบรรพ์ ร่องรอยความเสียหายจากมหาสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่มวลมนุษย์ต่อสู้เพื่อแย่งชิงยานอวกาศหนีออกนอกโลกก่อนจะเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่
ซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้าง อารยธรรมที่บ่งบอกว่าเคยมีผู้คนพลุกพล่านในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน บัดนี้มวลมนุษยชาติได้ออกไปตั้งรกรากยังดาวเคราะห์อื่นๆ 14 ดวงบางส่วนยังคงเร่ร่อนตามอวกาศ
บัดนี้พระแม่เทร่าเป็นดาวเคราะห์มีไม่มีประชาชนธรรมดาอาศัยอยู่ มีเพียงเกรทเซียร์ (Great seer ) ผู้ล่วงเห็นอนาคตคอยมอบคำทำนายเพื่อความคงอยู่ของอาณาจักรมนุษย์ ผู้อารักขาชาญฝีมือ และ บุคคลสำคัญระดับสูงของอาณาจักรเท่านั้นที่จะมีสิทธ์เข้ามายังพระแม่เทร่าเพื่อกระจายคำทำนายไปทั่วอาณาจักร
หากใครไม่มีปฏิบัติตามก็จะถูกอัปเปหิออกจากอาณาจักรให้ออกไปเร่ร่อนในอวกาศโดยลำพังเสมือนเป็นโทษประหารดีๆนี่เอง ในอวกาศที่สุดแสนลึกลับ น่าสะพรึงกลัวไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่ามีอะไรคอยพวกเขาอยู่
ณ ใจกลางแผนดินผืนใหญ่ผืนเดียว มีพระตำหนักอันยิ่งใหญ่ตามแบบสถาปัตย์แนวรัสเซียตั้งตระหง่านอยู่
ล้อมรอบด้วยตนไม้สังเคราะห์น้อยใหญ่ สำหรับปรับสภาพอากาศให้สามารถหายใจได้อย่างปลอดภัย
บนฟากฟ้าเหนือพระตำหนักได้มีบางสิ่งปรากฏออกมาและมีทีท่าเข้ามาเรื่อยๆ จากจุดเล็กสีดำดังเม็ดถั่ว ปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้นเมื่อใกล้เข้ามา ในที่สุดก็ใกล้พอจนเป็นรูปร่างคร่าวๆ ยานอวกาศลำเล็กลำหนึ่ง บินทะยานจากชั้นบรรยากาศ ลงจอดอย่างนิ่มนวลตรงลานกว้าง จากนั้นประตูยาน ณ ท้ายยานได้เลื่อนเปิดออก กลุ่มคนสวมฮู้ดสีดำ ปกปิดร่างกาย 5 คนเดินลงมากจากยานพร้อมทหารอารักขา
หนึ่งในนั้นได้อุ้มแคปซูลบรรจุเด็กทารกน้อยๆคนนึง กลุ่มคนเหล่านั้นรีบเดินเข้าพระตำหนักอย่างรีบเร่ง สู่ห้องโถงวงกลมปรากฏ 12 ต้น แต่ละต้นสูงประมาณตึก 3 ชั้นค้ำเพดานไว้อย่างมั่นคง มีทางเข้าทางเดียวทุกอย่างล้วนตกแต่งอย่างโออ่าประณีต
ตลอดทางนั้นดูเหมือนไม่มีใครอารักขา ทว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ตาเห็น หน่วยคอมมานโดชาญศึกในชุดรบพรางตัวและอาวุธเต็มอัตรานามว่าเทร่าการ์เดี้ยน (Terra guardian) กำลังจับตามองผู้มาเยือนทุกขณะ หากแม้นมีใครคิดจะทำร้าย เกรทเซียร์ พวกเขาจะปลิดชีพมันผู้นั้นอย่างไม่ปราณี
เหล่ากลุ่มผู้มาเยือนเข้ามาถึงท้องพระโรง
ปรากฏชายชราใบหน้าเหี่ยวย่น ผมเถิกสีขาว อายุราวเจ็ดสิบ แปดสิบ สูงตามมาตรฐานชายฉกรรจ์ทั่วๆไป สวมใส่เสื้อโค้ทหนังยาวจรดเท้าสีน้ำตาลเข้ม ถุงมือและบู๊ตหนังสีดำ มือซ้ายของเขากำลังถือไม้คฑาโลหะสีเงินแวววาว ปลายเป็นสัญลักษณ์ดวงตากำลังยืนอยู่หน้าแท่นโคลด์สลีปขนาดประมาณโลงศพซ้อนกันสองอัน ตามแท่นสลักอักขระลึกลับมากมาย
กลุ่มผู้มาเยือนลดฮู้ดของตนเพื่อเปิดเผยใบหน้า วางอาวุธปืนประจำกายกับพื้นก่อนคุกเข่าก้มคำนับ
ชายชราหัวหงอกผมสั้น หัวหน้ากลุ่มผู้มาเยือน ร่างกายของเขาบางส่วนนั้นเป็นจักรกล ที่เด่นสุดคือดวงตาและคางที่เป็นปะด้วยเหล็ก น้ำเสียงดูมีบารมีอำนาจ ดังก้องกังวานห้องพระโรง เสียงดังฟังชัด
“ท่านอลัน ข้าพบเด็กน้อยแห่งโชคชะตาผู้มีสัญลักษณ์ลึกลับกลางอกตามที่ท่านเกรทเซียร์กล่าวไว้ทุกประการ ”
ได้ยินเช่นนั้น อลันหันไปมองโคลสลีปครู่หนึ่งพลางพยักหน้าราวกับว่ากำลังรับฟังเสียงใครบางคนอยู่ สักพักเขาหันมามองหน้าขุนพลชราผู้นั้น
“ท่านขุนพลรามิน ท่านเกรทเซียร์มีประกาศิตทางจิตกับข้าว่า ต้องการประจักษ์เด็กน้อยคนนั้นด้วยเนตรของท่านเอง ” อลันกระทุ้งไม้เท้ากับพื้นจนเสียงกังวางทั่วห้องพระโรง กล่าววาจาอย่างองอาจ สีหน้าเคร่งขรึม
สิ้นคำสั่ง ขุนพลรามันลุกขึ้นมายื่นเด็กน้อยในอ้อมแขนให้อลัน พออลันแลเห็นสัญลักษณ์บนอกว่าตรงกับคำทำนายทุกประการ ตาของเขาเปล่งแสงฟ้าจ้าออกมา ภาพที่เขาเห็นปรากฏเป็นคลื่นละอองสีฟ้าๆ ลอยเข้าแท่นโคลสลีปไปถ่ายทอดยังท่านเกรทเซียร์ผู้บรรทมภายใน
สักพักเนตรของเขาได้กลับมาปกติเช่นเดิม คลื่นละอองสีฟ้าได้สลายตามไป อลันครุ่นคิดสักพัก ขยับนัยต์ตาสีเขียวหม่นมองขุนพลชราอย่างจริงจัง
“ ท่านพบเขาที่ไหน อย่างไร เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ” อลันถามอย่าใคร่รู้ มาดเคร่งขรึมองอาจเช่นเคยแล้วคืนเด็กในอ้อมแขนให้ขุนพลไปอุ้มต่อ
ขุนพลรามินได้ยินเช่นนั้นก็ตอบเสียงดังฟังชัดกลับไป ใบหน้าของเขาก็ซีเรียสพอๆกับอลัน
“ ข้ามิทราบที่มาของเด็กผู้นี้ท่านอลัน กองยานลาดตระเวนแห่งดวงดาวลำดับที่ 15 ซาฮ่า (Sahar) พบเด็กคนนี้ในแคปซูลฉุกเฉินล่องลอยในอวกาศอย่างไร้จุดหมายอย่างบังเอิญทันที่ที่ได้รับรายงาน
ข้าเร่งเดินทางไปรับเขาทันที มอบหมายให้เหล่าผู้ตรวจการณ์แห่งราชอาณาจักรทำการลบความทรงจำผู้พบเห็นเด็กคนนี้ทั้งหมด และ ทำลายหลักฐานทั้งหมดมิให้เรื่องนี้แพร่งพรายไปเป็นอันขาด”
อลันได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า นัยต์ตามองขุนพลชราอย่างชื่นชม
“ ท่านทำถูกแล้วท่านขุนพล ชีวิตเด็กคนนี้สำคัญต่อมวลมนุษย์ ตามคำนายเขาคือความหวังเดียวที่จะพามวลมนุษย์รอดพ้นจากกองทัพหายนะจากต่างมิติ !!! ว่าแต่เด็กคนนี้มีนามอันใด ? พอมีหลักฐานระบุตัวตนของเขาหลงเหลือไหม ? ” อลันเงยหน้าถาม
ขุนพลรามินไม่กล่าวอะไร ทำแค่เพียงหลับตาส่ายหน้า อลันเห็นเช่นนั้นก็ทราบความหมายดีไม่กล่าวท้าวความอะไรต่อ
ทันใดนั้นโคลสลีปของท่านเกรทเซียร์เลื่อนเปิดฝาครอบ พ่นไอเย็นยะเยือกออกมา
ทุกสายตาจับจ้องยังแท่นโคลสลีปทันที
พอไอเย็นจางลงปรากฏร่างมนุษย์ภายในแท่น สภาพหนังหุ้มเห็นกระดูก ผิวเหี่ยวย่นผิดธรรมชาติจนแลดูคล้ายเกล็ดปลาตามกาลเวลาหลายร้อยปี ดวงตาที่ลึกกลวงกับจมูกที่งองุ้ม ผิวแห้งกร้านหยาบถูกตัดแขนและร่างกายส่วนล่างไป จนมิอาจจะระบุเพศแต่กำเนิดได้แล้วตามร่างและขมับถูกเชื่อมด้วยสายต่างๆนาๆ นับไม่ถ้วน
“ แค่ก ๆ ๆ ชะ เช่นนั้น ข้าขอให้นามเขาว่า Rael Broadmore (ราเอล บรอดมอร์) ขุนพลรามิน ท่านจงจัดหาบุคคลที่สามารถวางใจได้ ชุบเลี้ยงเขา สอนศาสตร์การต่อสู้ทุกศาสตร์ทุกแขนง ณ ดวงดาวลำดับที่ 9 ธรา อย่าลืมจงปกป้องฐานะเด็กคนนี้มีคนไม่น้อยมีหมายปองชีวิตเขาอยู่ ” น้ำเสียงของเกรทเซียร์นั้นแหบแห้งและแผ่วเบาดังคนกระหายน้ำมาแรมปี
ทั้งอลันและรามินคุกเข่าคำนับโดยพลันเมื่อได้ยินเสียงท่านเกรทเซียร์
“ จะเป็นการดีหรอ พ่ะยะค่ะ ที่นั่นห่างใจจากพระแม่เทร่ามาก ข้าเกรงว่า …..” ขุนพลรามินทักท้วงขึ้นมาอย่างเป็นกังวลในพระบัญชา
“ เฉียกเช่นเด็กน้อยจะปีกกล้าขาแข็งได้ยามที่เขาใช้ชีวิตห่างจากอ้อมอกมารดา ปล่อยให้เรียนรู้โลกภายนอกด้วยตนเองย่อมดีกว่าเลี้ยงเขาดังไข่ในหิน อุ๊บ แค่ก ๆ แฮ่ก ๆ ” เกรทเซียร์กล่าวพอสิ้นประโยค ท่านก็ออกอากาศเหนื่อยหอบอย่างรุนแรงทันที
เหล่าผู้มาเยือนทราบดีว่าควรให้ท่านเกรทเซียร์ได้พักผ่อนเสียที จึงก้มคำนับลาท่านเกรทเซียร์ ขุนพลรามินและอลันพยักหน้าให้กัน
“ขอให้พระแม่เทร่าชี้นำท่าน ” อลันกล่าวอวยขุนพลชราและคณะ
“ท่านก็เช่นกัน ” ขุนพลชรายิ้มตอบ ตบไหล่อลันเบาๆสองสามที ก่อนจะโบกผ้าคลุมหันหลังจะเดินออกไปจากห้องพระโรงพร้อมกับเหล่าผู้อารักขา ขึ้นยานอวกาศบินลับจากน่านฟ้าพระแม่เทร่าไป
……………………………………………………………………………………………………………………………………….
กลับมาในห้องพระโรง
เสียงยานอวกาศบินจากไปแว่วเข้ามา ตอนนี้เหลือเพียงอลันและเกรทเซียร์เพียงสองคนเท่านั้น
“ ในที่สุดเราก็พบ เด็กน้อยสัญลักษณ์กลางอกแล้วสินะ จะเหลือก็แค่คัมภีร์แร็คนาร็อค ผู้มีกายาเทพตกสวรรค์ทั้ง 7 และ สตรีผู้วาดอนาคต ” อลันกล่าวมาลอย ๆ เดินถือไม้เท้าวนไปมาในห้องพระโรง
“ทว่า ….. ” เสียงบุคคลที่สามดังก้องกังวานขึ้นมา บรรยากาศกลับมาเงียบสงัดดังเดิม
ปรากฏวงเวทย์แสงเจิดจรัสผุดมาจากพื้นข้างๆแท่นโคลสลีป
ปรากฏร่างสูงใหญ่ประมาณ 2 เมตร โครงสร้างสรีระทั่วไปเหมือนมนุษย์ สองแขนใหญ่ดุจอุ้งมือสัตว์ สองขาเท้าคล้ายกิ้งก่า หัวกลมรีมน ไม่มีกระดูกคางยื่น ไม่มีจมูก ปากกว้างเหมือนกบ นัยต์ตากลมๆเล็กๆ ประมาณ 6 ดวง เปล่งแสงสีฟ้าออกมา สวมชุดเกราะสีเทาดำดุจแร่ออบซิเดียน แวววาวดังแก้วนิล สลักลายอักขระแปลกๆทั้วเกราะ ดูมุมไหนก็ไม่ใช่นวัตกรรมมนุษย์แน่นอน
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลึกสีแดงเบื้องล่างพระตำหนักแห่งนี้ มรดกแห่งพระเจ้ากุญแจดอกสุดท้าย สู่การไขความลับแห่งเอกภพ และ การกำเนิดพระเจ้า ” เอเลี่ยนตนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มกังวานเกินผิดมนุษยมนา นัยต์ตาทั้งหกมุ่งที่อลัน
อลันยืนจ้องหน้าเอเลี่ยนตอนนั้นอย่างไม่กระพริบตา สีหน้าเคร่งขรึม มือขวาพลางลูบไม้คฑาของตน
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังยืนจ้องหน้านั้นเอง ….
“ พวกเราได้แต่เชื่อมั่นในโชคชะตาว่า กาแล๊กซี่แห่งนี้จะรอดพ้นจากเงื้อมมือรัตติกาลเยือกแข็งที่คืบคลานเข้ามา ……. ” เกรทเซียร์ส่งกระแสจิตบอกกล่าวทั้งคู่
อลันมองท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยเพดานพระตำหนักแสงจันทรารำไรลอดเข้ามา หมู่ดาวระยิบระยับมากมายบนนภา
” นั่นสินะ พวกเราทำได้แต่เชื่อมั่นและทำให้ดีที่สุดเท่านั้น ……”
อ่านจบแล้ว
รออ่านต่อ ครับ