มารวิทยา: อนุภาคลี้ลับ (Phasmoparticle)

เรื่องสั้นไซไฟ-ระทึกขวัญ/สยองขวัญเรื่องนี้ เป็นเรื่องแรกที่ผู้เขียนได้เขียนในบรรยากาศไสยศาสตร์แบบไทย ๆ อย่างจริง ๆ จัง ๆ และสอดแทรกประเด็นที่จะเสียดสีด้วยค่ะ

ยังไงก็สามารถติชมได้นะคะ


ยามตะวันลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณให้สิ่งมีชีวิตยามทิวาเริ่มเข้าสู่การหลับใหล เว้นแต่สิ่งมีชีวิตยามราตรีที่ตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตท่ามกลางแสงจันทร์และมวลหมู่ดวงดารา สิ่งมีชีวิตยามราตรีเหล่านี้รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่ผู้คนต่างหวาดกลัว มาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะเกิดความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเทคโนโลยีและการศึกษา

คฤหาสน์ไม้ทรงไทยโบราณตั้งตระหง่านหลังหมู่บ้านร้างบนเนินเขาแห่งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปแม้แต่เพียงผู้เดียว เพราะเป็นที่เล่าขานกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะกับบรรดาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงว่า ทุกชีวิตที่อย่างกรายเข้าไปก็มักลงด้วยการสูญหาย…ทั้งทรัพย์สินและชีวิต…!

แสงจันทร์สาดส่องทางหน้าต่างรูปทรงไทยโบราณ เผยให้เห็นเรือนร่างของหญิงสาวในชุดไทยโบราณโทนสีแดงเข้ม ที่เข้ากับเครื่องประดับที่บ่งบอกถึงระดับชนชั้นอันสูงส่ง ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองวิวด้านนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังเสพสมบรรยากาศธรรมชาติยามค่ำคืน

.

.

.

“ผะ-ผี! ผี!”

“เชี้ยเอ๊ย! เชื่อแล้วโว้ยว่าเฮี้ยนโคตร ๆ! ขนาดอาคมแรง ๆ ยังเอาไม่อยู่เลย!”

“ตรูเผ่นก่อนละเฟ้ย!”

…ถ้อยวาจาของมนุษย์…ไม่สิ สมัยนี้มีมนุษย์มากกว่าประเภทเดียว หากข้าจะเรียก ก็อาจต้องใช้คำว่า มนุษย์ชีวภาพ มนุษย์จักรกล และมนุษย์ชีวจักรกล….ล้วนเอ่ยขึ้นเมื่อเจอสิ่งมีชีวิตอย่างข้า และต่างเผ่นหนีออกไปตามความหวาดกลัวต่อรูปลักษณ์ของข้า…หรือบางทีอาจรวมถึงพฤติกรรมของข้าที่แสดงออกด้วยเช่นกัน…อย่างการกระทำอันกระหายเลือด…

…อันตัวข้า ข้าถือกำเนิดจากอนุภาคชนิดใหม่ที่สามารถสลายตัวและรวมตัวได้อย่างรวดเร็ว ข้าเป็นสิ่งประดิษฐ์ของนักฟิสิกส์อนุภาคผู้หนึ่ง…เขาสร้างให้ข้าดำรงชีวิตด้วยภาพลักษณ์และพฤติกรรมของสิ่งลี้ลับ ที่ผู้คนสมัยก่อนต่างหลงเชื่อและหวาดกลัวจนงมงาย…

…มนุษย์ในยุคปัจจุบันอย่างพวกเจ้า…แม้ว่าจะมีร่างกายทั้งทางชีวภาพและจักรกล หรือบางทีก็ผสมผสานจนกลายเป็นมนุษย์ชีวจักรกลในรูปแบบที่เป็นเนื้อเดียวกัน แต่พวกเจ้ายังมีพฤติกรรมเดิมที่มิเคยเปลี่ยน…ซึ่งข้าสังเกตได้จากที่พวกเจ้าบางคนต่างพากันมาแสดงความกล้าหาญ และก็แน่นอน…จบลงด้วยความขี้ขลาด แล้วต่างเผ่นหนีไปพร้อมกับความเชื่ออันงมงาย…บางกรณีข้าต้องลงไม้ลงมืออย่างหนักหน่วงจนพวกเจ้าชีวาวาย…เพื่อรักษาความสมจริงตามที่พวกเจ้าได้หลงเชื่อเช่นนั้น…

…พวกเจ้าล้วนต่างเชื่อกันว่า…ข้าถือกำเนิดมาจากคาถาอาคมทางไสยศาสตร์ที่มีความขลังมากที่สุด…หึ…แต่แท้จริงแล้วหาใช่คาถาเหล่านั้นไม่…หากแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าขนานนามว่า…วิทยาศาสตร์…

…เหตุใดถึงเป็นเฉกเช่นนี้น่ะหรือ…พฤติกรรมของพวกเจ้าหลังจากที่พบเจอข้า ต่างเป็นหลักฐานยืนยันถึงการล่มสลายทางปัญญา…แต่นั่นก็มิทำให้ข้าประหลาดใจแต่อย่างใด…เพราะการสร้างข้อมูลเท็จเทียมทางวิทยาศาสตร์…ทั้งการบิดเบือนก็ดี การปรุงเสริมแต่งจนผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงก็ดี…ก็ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งบางครั้งก็ดำรงอยู่ในแหล่งข่าวสารที่น่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน…รวมถึงการขาดกระบวนการคิดวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์…นั่นจึงเป็นสาเหตุหลักที่พวกเจ้าคอยเอาแต่เผ่นหนีข้าในตอนท้าย…

….บางทีผู้ให้กำเนิดข้าและตัวข้าก็อาจชั่วช้าที่ใช้วิทยาศาสตร์…มาหลอกพวกเจ้าว่าเป็นไสยศาสตร์อันน่าสะพรึงกลัว…แต่นั่นก็มากเพียงพอแล้ว ที่จะพิสูจน์ถึงการล่มสลายทางปัญญาของพวกเจ้า…

…บางทีข้าก็อดสงสัยมิได้ว่า…จะมีสักวันไหม…วันที่พวกเจ้าจะลุกขึ้นมาตั้งข้อสงสัย สังเกต และทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริง…จากแหล่งข้อมูลข่าวสารที่พวกเจ้าได้รับ…

.

.

.

…อา…ในที่สุด วันที่ข้ารอคอยก็มาถึง…

…หญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏกาย ณ ที่แห่งนี้ด้วยเครื่องแต่งกายสีขาวล้วนที่ปกปิดทั่วเรือนร่าง ราวกับในคฤหาสน์หลังนี้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเชื้อโรค หรือวัตถุอันตรายทางชีวภาพระดับ 3…

…เจ้าหล่อนเดินเข้ามาสำรวจในคฤหาสน์หลังนี้ตามลำพัง แม้กระทั่งผู้ที่เป็นมนุษย์จักรกล ก็มิได้ติดตามเจ้าหล่อนเลยแม้เพียงผู้เดียว…

…ข้ารู้นะว่า…ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่งามคู่นั้น บ่งบอกถึงความหวาดกลัวในจิตใจของเจ้าหล่อน…แต่เป็นที่เหตุใดกันนะ…ความมืดมิด…ความอันตรายที่มิอาจล่วงรู้ได้…หรือว่าข้าเป็นสิ่งลี้ลับ…แต่ข้าคาดเดาว่าอาจมิใช่เหตุผลข้อหลังเป็นแน่…หรือเปล่านะ…หึ หึ หึ…

…แต่ทว่า…เจ้าหล่อนก็พิสูจน์จนได้คำตอบว่า…สิ่งเหล่านี้ล้วนกำเนิดจากวิทยาศาสตร์ มิใช่ไสยศาสตร์ตามที่ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อแต่อย่างใด…!

…อา…ใช่แล้ว…กระบวนการทางวิทยาศาสตร์นี่ล่ะ…เป็นสิ่งที่ข้าคอยตามหามาเนินนาน…บัดนี้หล่อนได้ใช้สิ่งนั้นจนสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า…แท้จริงแล้วข้ามิใช่สิ่งลี้ลับที่เรียกว่าผีแต่อย่างใด…

…แต่อนิจจา…ข้าขออภัยที่มิอาจปล่อยให้เจ้าหล่อนไปป่าวประกาศให้ผู้ใดอื่นล่วงรู้ได้หรอก…ฉะนี้ข้าจึงให้รางวัลแด่ผู้ที่ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริงเช่นเจ้าหล่อนอย่างงดงาม…ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าหล่อนอาจต้องกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดรวดร้าว…แต่จงดีใจเสียเถิดที่เจ้าหล่อนจะได้หลั่งเลือดอย่างสมศักดิ์ศรี…

.

.

.

รายงานลับของ สวทจ. (สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจักรวาล): วนิดา ซิอองกรีย์ นักเทคโนโลยีชีวภาพระดับ 3 หายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งพิกัด GPS สุดท้ายนั้นระบุว่าอยู่ที่หมู่บ้าน [ข้อมูลปกปิด] ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นลือกันว่ามีผีที่เฮี้ยนที่สุดอาศัยอยู่ โดยเฉพาะในเขตคฤหาสน์ไม้หลังใหญ่ อย่างไรก็ตาม พวกเราเชื่อกันว่าการหายตัวในครั้งนี้ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยของคนบางกลุ่ม ที่ทำให้ดูเหมือนเป็นการกระทำทางไสยศาสตร์ ซึ่งทางเราก็ต้องสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงกันต่อไป…


เอกสารอ้างอิง

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. (2563) . อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment; PPE) . (พิมพ์ครั้งที่ 1) . กรุงเทพฯ : บริษัท ศูนย์การพิมพ์แก่นจันทร์ จำกัด. สืบค้นจาก https://www3.dmsc.moph.go.th/download/files/dmsc_bio_1.pdf ​


ติดตามเรื่องสั้นเรื่องนี้ในช่องทางอื่น ๆ ของผู้เขียนได้ที่

ReadAWrite: https://www.readawrite.com/c/869ffe35f17811dca1cfdc49f66cf72b

Blockdit: https://www.blockdit.com/posts/607ddd55cdddb810e6059a81

ใส่ความเห็น