สถาบัน SCP: ความฝันเสมือนจริง(Canon:สถาบันสยองขวัญ)

สวัสดีค่ะ

นักเขียนลงงานเขียนในเว็บนี้เป็นครั้งแรก ขออภัยด้วยค่ะถ้าดูแปลกๆ

นักเขียนคิดว่าจะลงผลงานเขียนลงในเว็บนี้ด้วยนอกจากที่ปกติแล้วจะลงใน Wikidot ไม่ว่าจะเป็นบทความของวัตถุ SCPs หรือว่านิยายก็ตาม เฉพาะเรื่องที่นักเขียนมั่นใจว่าเขียนมาในสายไซไฟนะคะ ถ้านักเขียนแต่งเรื่องสั้นไซไฟอีกเรื่อง เดี๋ยวนักเขียนจะลงหน้ารวมนิยายแล้วต่อลิงก์ไปที่ทาง Wikidot โดยตรงเพื่อไม่ให้เป็นการสแปมในเว็บนี้ค่ะ

ส่วนเรื่องที่นักเขียนจะใช้ในเชิงพาณิชย์ด้วย(โดยเฉพาะหน้าที่นักเขียนตั้งค่าให้ว่าต้องจ่ายเงินก่อน) นักเขียนจะลงแยกต่างหากไว้ที่ ReadAWrite และแน่นอนว่าต้องมีเครดิตที่มาของแหล่งอ้างอิงตามนโยบายของลิขสิทธิ์สถาบัน SCP กำกับไว้ด้วย

จุดประสงค์ที่นักเขียนอยากลงผลงานเขียนในนี้ด้วยก็คือ
1. นักเขียนอยากทราบว่างานเขียนเรื่องนี้ถือว่าเป็น Hard-Scifi หรือ Soft-Scifi
(สำหรับเรื่องนี้นักเขียนรู้ในใจแล้วว่าต้องเป็น Hard-Scifi แน่ๆ แต่เพื่อความแน่ใจค่ะ)
2. นักเขียนอยากทราบว่ามีตรงไหนที่นักเขียนดึงศัพท์วิทย์มาใช้ในแบบที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ ถ้ามีก็ขอรบกวนอธิบายพร้อมยกตัวอย่างที่ถูกต้องด้วยนะคะ

นอกเหนือจากนี้ เช่น ลักษณะการบรรยายเนื้อเรื่องของนักเขียน ก็สามารถวิจารณ์ได้เช่นกันค่ะ

เดี๋ยวคราวหน้านักเขียนจะลงหน้าที่รวมลิงก์บทความวัตถุ SCPs เฉพาะที่นักเขียนแต่งมาในสายไซไฟนะคะ

———————————————————————————————–

สถาบัน SCP
ที่มา: http://scp-th.wikidot.com/

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากสถาบัน SCP ในเรื่องนี้ได้เผยแพร่อย่างถูกต้องภายใต้ลิขสิทธิ์แบบ CC-BY-SA (Attribution-ShareAlike 3.0)(แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน)

———————————————————————————————–

ความฝันเสมือนจริง

(ที่มา: http://scp-th.wikidot.com/virtual-dream
โดย Bonneneige)

ฟรองซัวส์ตื่นขึ้น ภาพในดวงตาสีฟ้าของเธอค่อยๆปรากฏขึ้นจากที่ภาพกำลังเบลอๆจนกระทั่งเห็นได้ชัดว่าห้องที่เธออยู่ในขณะนี้ก็คือห้องพยาบาล เธอมองไปรอบๆห้องก็พบว่าห้องนี้อยู่ในสภาพเก่าๆที่ทรุดโทรม ตามกำแพงและพื้นห้องก็เต็มไปด้วยคราบสีดำๆ แสงไฟภายในห้องบ้างก็มีค่าความเข้มของแสงสว่างระดับต่ำจนมืดสลัว บ้างก็มีค่าความเข้มของแสงสว่างระดับสูงจนสามารถมองเห็นได้ชัด แต่โดยรวมแล้วที่นี่ยังมีกระแสไฟฟ้าอยู่บ้างแม้ว่าจะถูกปล่อยไว้ให้รกร้างก็ตาม สำหรับในห้องพยาบาลที่ตอนนี้มีแสงไฟจากโคมไฟเฉพาะตรงหัวเตียงของเธอเท่านั้นที่ทำให้จุดที่เธออยู่นั้นสว่างจ้าที่สุด เธอไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแถมเธอยังอยู่ในชุดทำงานวิจัยอีกด้วย เพราะเธอจำได้ครั้งสุดท้ายว่าเธอนอนในห้องพักส่วนตัวของเธอในชุดนอน

เธอจัดแว่นตาที่เธอกำลังสวมอยู่นั้นให้เข้าที่จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นมาจากเตียง เธอเริ่มลงมือสำรวจสิ่งของรอบๆตัวเผื่อว่าเธออาจจะเจอสัมพาระของเธอเอง หรือไม่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเจอไฟฉายซักกระบอกที่มีค่าความเข้มของแสงสว่างมากพอในการส่องแสงนำทาง แต่ทว่าเธอกลับไม่เจออะไรตามที่เธอต้องการเลย เธอจึงเดินออกจากห้องพยาบาล

เธอก้าวเดินอย่างช้าๆเรื่อยๆไปตามเส้นทางที่มีแต่แสงไฟสลัวๆหรือไม่ก็มีแสงสว่างเพียงแค่เป็นบางจุด นอกจากคราบสีดำๆตามผนังกำแพงและพื้นห้องที่บ่งบอกว่าสถานที่นี้ถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว ในบางจุดนั้นก็มีของเหลวที่บ่งบอกว่าเป็นรอยเลือดของสิ่งมีชีวิตในขนาดต่างๆตั้งแต่แบบเป็นหยดน้ำเล็กๆจนกระทั่งเหมือนเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ราวกับว่าเคยมีเหตุการณ์สังหารหมู่หรือฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้นที่นี่ได้ไม่นานมากนัก ซึ่งนั่นก็ไม่อาจทำให้เธอแปลกใจเมื่อจมูกของเธอจับกลิ่นคาวเลือดที่อาจหลงเหลือและเจือปนอยู่ในอากาศได้ในบางครั้ง บางห้องที่เธอเดินผ่านนั้นก็เหมือนราวกับว่าเคยเป็นที่กักกันของวัตถุ SCPs บางตัวมาก่อน เธอพยายามที่จะมองป้ายว่าห้องนั้นกักกันวัตถุ SCPs อะไร แต่ทว่าตัวอักษรข้อความและรูปภาพในป้ายต่างๆนั้นเลืองลางเกินกว่าที่ดวงตาของเธอจะมองเห็นว่าเป็นวัตถุ SCPs ชนิดไหน

ทันใดนั้น จู่ๆหูของเธอสามารถจับเสียงที่เกิดมาจากทางด้านหลัง! เสียงที่เกิดจากฝีเท้านั่นก็มีระดับเดซิเบลมากที่เธอจะได้ยินแม้ว่าจะไม่ได้ดังมาก เธอหันหลังควับไปมองต้นเสียงทันทีตามสัญชาติญาณ เธอเห็นเงาของชายผู้หนึ่งเดินผ่านไป ความคิดของเธอตัดสินใจให้ร่างกายของเธอรีบวิ่งตามเขาไปแม้ว่าซิกเซ้นต์ของเธอจะห้ามเธอไม่ให้เธอตามเขาไปก็ตาม

เธอก้าวขาวิ่งออกไปตามเส้นทางหลักเรื่อยๆจนกระทั่งพบว่าชายผู้นั้นเขายืนอยู่ข้างๆเตียงผู้ป่วยที่อยู่ตรงกลางห้องพยาบาล พื้นที่ใต้เตียงนั้นเต็มไปด้วยรอยคราบเลือดขนาดใหญ่ เธอได้วิ่งเข้าใกล้เขาจนกระทั่งเธอเห็นว่าผมของเขาเป็นสีดำ สวมเสื้อกาวน์สีขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสกปรกสีดำ สวมกางเกงขายาวและรองเท้าสีดำ เขาแลดูซีดเซียวจากสีผิวขาวปนเทาของเขา เขากำลังยืนหันหลังให้กับเธอ เธอนำเข้าก๊าซออกซิเจนเข้าในไปปอดซักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยทักเขา

“ขอโทษนะคะ คุณ—” เธอยังเอ่ยไม่ทันขาดคำ ชายผู้นั้นหันศรีษะแบบ 180 องศามายังเธอ!! เธอผงะถอยหลังด้วยความตกใจสุดขีดทันทีตามปฎิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อความกลัว เธอไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตามที่สามารถหันศรีษะได้ 180 องศา แม้กระทั่งจะเป็นสิ่งมีชีวิตโฮโมเซเปียนก็ตาม!! “ชะ-เชี้ยอะไรเนี่ย!?”

ชายผู้นั้นส่งเสียงกรีดร้องคำราม ระดับเดซิเบลของเสียงของเขาก็มีความดังมากพอที่จะส่งคลื่นรังสีแห่งความหวาดกลัวมายังเธอได้ คลื่นรังสีแห่งความหวาดกลัวอันมหาศาลได้แผ่ปกคลุมพร้อมทั้งเข้าครอบงำความคิดและจิตใจของเธอทันที!! สมองของเธอสั่งให้ขาของเธอออกตัววิ่งและขาของเธอได้ทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะดูทุลักทุเลในตอนแรกเนื่องจากความตกใจกลัวสุดขีด เธอวิ่งหนีออกจากจุดนั้นไปอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งหนีเข้าตู้เหล็กเก็บของใบหนึ่งในห้องออฟฟิศที่มีความกว้างและความสูงพอที่จะหลบซ่อนทางกายภาพได้ทันทีที่สายตาของเธอเหลือบไปเห็น เธอนั่งลงทันทีและพยายามทำตัวให้เงียบที่สุดราวกับเธอเป็นสิ่งไม่มีชีวิตแม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าและหวาดกลัว

สักพักหนึ่งเสียงฝีเท้าค่อยๆดังก้องขึ้นมา ระดับเดซิเบลก็ได้เพิ่มขึ้นตามระยะที่ใกล้เข้ามา ชายผู้นั้นก้าวเดินเข้ามาในห้องอย่างช้าๆพร้อมกับมีดเดินป่าที่มีความยาวขนาด 8 นิ้ว เขาก้าวเดินไปรอบๆห้องอย่างช้าๆราวกับว่าเขาพยายามฟังเสียงจากสิ่งมีชีวิตที่อาจจะหลบซ่อนอยู่ภายในห้องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งของที่อาจใช้เป็นที่หลบซ่อนได้ อย่างเช่นตู้เหล็กใบนี้ที่เธอกำลังหลบซ่อนจากเขาอยู่

ปอดของเธอพยายามนำเข้าก๊าซออกซิเจนและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เงียบที่สุด หลังจากที่หูของเธอจับเสียงฝีเท้าที่เดินตรงมายังตู้เหล็กที่เธอกำลังหลบอยู่ข้างใน เธอรู้สึกว่าแสงไฟในห้องออฟฟิศที่สาดส่องผ่านทางช่องต่างๆของตู้เหล็กถูกบดบังด้วยเงาของเขาราวกับเกิดสุริยุปราคา หูของเธอพยายามจับระดับเดซิเบลรอบๆตัว เสียงฝีเท้าของเขายังวนเวียนอยู่แถวๆตู้เหล็กที่เธอกำลังหลบซ่อนราวกับว่าเขากำลังจะพยายามจ้องมองเข้ามาข้างใน ต่อมาแสงที่สาดส่องผ่านทางช่องต่างๆของตู้เหล็กได้กลับมาสาดส่องอีกครั้งและเสียงฝีเท้าได้หายไปทันทีหลังจากนั้น

ความคิดของเธอสั่งห้ามร่างกายของเธอไม่ให้ออกจากที่ซ่อนไปในตอนนี้ ดังนั้นเธอพยายามอยู่ให้นิ่งที่สุดราวกับเป็นสิ่งไม่มีชีวิตไปเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะแน่ใจว่าเสียงที่หายไปนั้นไม่ใช่เป็นการซุ่มของนักล่าที่กำลังรอเหยื่อให้ออกมาจากที่ซ่อน

ในที่สุด เสียงฝีเท้าได้ดังขึ้นใกล้ๆตู้เหล็กที่เธอกำลังหลบซ่อน ความคิดและร่างกายของเธอนั้นได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง! เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆเสียงฝีเท้าของชายผู้นั้นจะเงียบหายไปเฉยๆหลังจากที่เดินมาใกล้ๆที่ซ่อนของเธอ นอกจากว่าอีกฝ่ายจะซุ่มดักรอให้เธอออกมาแล้วก็ลงมือสังหารเลย หลังจากที่เสียงฝีเท้าของเขาค่อยๆไกลออกไปจากห้องจนกระทั่งหูของเธอไม่สามารถจับระดับเดซิเบลจากเสียงฝีเท้านั่นได้อีก เธอนั่งรออีกครั้งซักระยะหนึ่งจนกว่าเธอจะแน่ใจว่าเขาจะไม่ได้รอดักซุ่มเธอให้ออกมาจากที่ซ่อน ก่อนที่เธอค่อยๆออกจากตู้เหล็กและเดินออกไปจากห้อง

เธอเดินผ่านห้องต่างๆตามเส้นทางไปเรื่อยๆจนกระทั่งเจอห้องหนึ่งที่มีประตูที่เชื่อมไปยังอีกโซนหนึ่ง ที่แน่ๆในตอนนี้เธอคิดว่าเธอต้องหาห้องควบคุมไฟฟ้าเป็นลำดับแรกเนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าบริเวณนั้น ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เธอใช้บัตรคีย์การ์ดระดับ 3 ของเธอผ่านประตูไปไม่ได้ จากนั้นเธอเดินผ่านห้องต่างๆตามเส้นทางไปเรื่อยๆอีกครั้งจนกระทั่งสายตาของเธอสะดุดกับป้ายสีเหลืองที่ตัวอักษรข้อความสีดำบอกว่าเป็นห้องควบคุมไฟฟ้า เธอเดินเข้าไปที่ห้องควบคุมไฟฟ้า กวาดสายตามองหาตรงที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดที่ควบคุมไฟฟ้าของประตูที่เชื่อมไปยังอีกโซนหนึ่ง ซักพักหนึ่งเธอเจอสวิตสีดำขนาดใหญ่ที่บ่งบอกว่าเป็นสวิตไฟฟ้าของประตูนั้น จากนั้นเธอก็สับสวิตลง

หลังจากที่เธอสับสวิตลง สายตาของเธอเหลือบไปเห็นภาพจากจอภาพของกล้องวงจรปิดภาพหนึ่งที่เผยให้เห็นชายผู้นั้นที่กำลังตามล่าเธอ กำลังเดินตรงเข้ามาในห้องควบคุมไฟฟ้าราวกับเขามีเรดาร์ตรวจจับเธอและเรดาร์นั้นก็ได้ตรวจพบแล้วว่าเธอได้อยู่ในห้องนี้แน่ๆ! เธอคิดว่าเป็นไปได้ที่เขาจะรู้ตัวว่าเธออยู่ที่นี่หลังจากที่จู่ๆกระแสไฟฟ้าของประตูเชื่อมไปยังอีกโซนหนึ่งได้ทำงาน

ตอนนี้หูของเธอได้ยินเสียงฝีเท้าอย่างชัดเจนแล้วแถมระดับเดซิเบลนั้นก็ดังและยิ่งเข้าใกล้เธอมากขึ้นไปอีก แต่ในระหว่างที่เธอกำลังจะเดินออกจากห้อง เหล็กปลายแหลมได้พุ่งตรงเข้ามายังเธอทันทีราวกับว่าพยายามจะพรากลมหายใจไปจากเธอ!! เธอหลบพร้อมกับรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที เมื่อเธอวิ่งไปตามทางเรื่อยๆและเจอห้องโซนประตูทางเชื่อมไปยังอีกโซนหนึ่ง เธอก็รีบใช้บัตรคีย์การ์ดระดับ 3 ของเธอวิ่งข้ามเข้าเขตอีกโซน พอเธอวิ่งเข้าข้ามมาแล้วเธอรีบใช้บัตรคีย์การ์ดของเธอปิดประตูทันทีและจากนั้นก็รีบวิ่งออกห่างจากจุดอันตรายบริเวณนั้น

เธอเร่งฝีเท้าวิ่งได้ซักพักหนึ่งจนเธอรู้สึกว่าชายผู้นั้นไม่ได้ตามเธอมาด้วยแล้ว เธอจึงรู้สึกโล่งใจจากนั้นก็นั่งพิงกำแพงเพื่อพักเหนื่อยจากการที่เธอใช้แรงออกตัววิ่ง เธอนำก๊าซออกซิเจนเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่อีกครั้ง แต่ทว่าไม่นานนักสายตาของเธอเหลือบไปชายผู้นั้นกลับยืนจังก้าตรงหน้าเธอราวกับว่าเขาวาร์ปหรือล่องหนมายังบริเวณที่เธออยู่ได้! เธอไม่รู้ว่าเขาใช้แผนการหรืออะไรที่ทำให้เขาสามารถตามหาเธอจนเจอได้ยังไง! แต่ที่แน่ๆความคิดของเธอได้ตะโกนสั่งให้ร่างกายของเธอออกวิ่ง!!

เธอวิ่งย้อนกลับไปเส้นทางเดิม แต่ปรากฏว่าเส้นทางเดิมที่เธอวิ่งผ่านมากลับมีของเหลวที่บ่งบอกว่าเป็นเลือดสดๆของสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นน้ำท่วมพื้นขนาดย่อมๆ ที่สามารถสร้างเสียงของเหลวที่เปียกแฉะตามทุกๆฝีเท้าที่กระทบกับแอ่งน้ำเลือดบนพื้นจนกระเด็นเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของเธอโดยเฉพาะบริเวณช่วงขาลงไป และคราวนี้จมูกของเธอสามารถจับกลิ่นคาวเลือดได้อย่างชัดเจนซึ่งแตกต่างจากตอนแรกที่เธอพึ่งตื่นอย่างสิ้นเชิง! เส้นทางเก่าที่เธอกำลังวิ่งย้อนกลับไปขณะนี้ได้กลับกลายเป็นกำแพงทางตันที่ย้อมไปด้วยคราบเลือดสดๆ แทนที่จะเป็นห้องที่มีประตูที่เชื่อมไปยังอีกโซนหนึ่งซึ่งเป็นโซนเก่าที่เธอวิ่งข้ามมา! เธอช็อกสุดขีดและไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!

เธอรีบหันหลังควับไปทันที สายตาของเธอเห็นชายผู้นั้นเดินย่างสามขุมตรงมายังเธอพร้อมกับมีดที่เขาถือ เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอขยับไม่ได้ราวกับว่าถูกแรงดันที่มองไม่เห็นกดทับเอาไว้แม้ว่าเธอจะพยายามขืดขืนต่อต้าน และแม้ว่าบริเวณนั้นไม่ได้มีเครื่องสร้างแรงดันอากาศติดอยู่ข้างบนใกล้ๆกับศรีษะของเธอก็ตาม ทันใดนั้นร่างของเธอก็ทรุดนั่งลงไปกับพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเลือด คราวนี้เสื้อผ้าเกือบทั่วทั้งตัวเปอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีแดงสดหลังจากที่เธอทรุดตัวลงไปนั่ง โดยเฉพาะเสื้อผ้าบริเวณช่วงล่างลงไป กลิ่นคาวเลือดสดๆได้สัมผัสกับจมูกของเธออย่างเต็มที่และเข้มข้นขึ้นมากจากระยะห่างที่เข้าไปใกล้มากกว่าเดิม เมื่อสายตาของเธอจับจุดไปที่ใบมีดก็พบว่าใบมีดนั้นสลักสัญลักษณ์บางอย่างที่ดูลักษณะเหมือนเป็นไสยศาสตร์มนตร์ดำ ความคิดของเธอได้แล่นเข้าสู่สมองของเธอทันที! เฮ้ยหรือว่าจะเป็นพวก—!!

“…พวก SCP อย่างแกจะต้องตาย…” ชายผู้นั้นเอ่ย น้ำเสียงของเขาแหบกร้านและมีระดับเดซิเบลไม่มาก แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถได้ยินได้และยังแฝงไปด้วยความเย็นชากับความอาฆาตแค้น เธอไม่รู้หรอกว่าทางสถาบันหรือตัวเธอเองในฐานะนักวิจัยของทางสถาบันเคยไปทำอะไรให้เขา แต่ตอนนี้เธอต้องพยายามออกแรงให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่มองไม่เห็นนี่ซะก่อน! เธอดิ้นรนสุดฤทธิ์แต่ทว่าร่างกายของเธอนั้นกลับตอบสนองตรงข้ามกับความต้องการของเธอ!! จากนั้นเหล็กปลายแหลมได้พุ่งตรงมายังเธอทันทีที่ชายผู้นั้นพุ่งตรงเข้ามา!!

เธอกรีดร้องสุดเสียงทันทีโดยที่ไม่สนใจระดับเดซิเบลที่เธอสร้างขึ้นจากที่เธอกรีดร้อง!! พร้อมกับหลับตาโดยทันทีโดยที่ไม่รอให้ปลายแหลมคมมาถึงตัวเธอ!! ต่อมาเธอก็เข้าสู่ห้วงแห่งความมืดมิดราวกับว่าจู่ๆเธอถูกดูดเข้าไปในหลุมดำอันเว้งว้างที่ไม่มีจุดสิ้นสุด จากนั้นเธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาในห้องพักของเธอ

เธอปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากปอดด้วยความรู้สึกโล่งอกที่ว่าโชคดีที่เธอแค่ฝันไปเอง แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าความฝันของเธอในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เนื่องจากว่าความฝันของเธอในครั้งนี้เหมือนเธอได้หลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง อาจจะนับว่าเป็นมิติคู่ขนานก็ได้…โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับที่เธอสามารถได้ยินและสัมผัสได้ราวกับว่าเธอได้ไปอยู่ที่นั่นจริงๆ…!

เธอลุกขึ้นมาจากเตียงและดำเนินการธุระส่วนตัวก่อนที่จะออกจากห้องไปทำงานวิจัยตั้งแต่เช้า หลังจากที่เธอออกจากห้อง ร่างของชายผู้นั้นที่มองเธอได้สะท้อนอยู่ในกระจกก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อแสงอาทิตย์ปรากฏขึ้นราวกับว่าช่วงเวลาราตรีที่เป็นของเขาได้จบลง

3 ความเห็นบน “สถาบัน SCP: ความฝันเสมือนจริง(Canon:สถาบันสยองขวัญ)”

  1. ถ้าต้องการความคิดเห็น อย่าลืม tick “ให้แสดงความคิดเห็นได้” ในช่อง “สนทนา” นะครับ

    อันนี้ผมขออนุญาตถือวิสาสะ นะครับ 😛

    จากคำถามที่ว่า เป็น soft หรือ hard sci-fi ผมคงต้องบอกว่า soft ครับ เกือบจะเป็น pure horror ที่ได้ soft คือ แนวคิดเรื่อง มิติคู่ขนาน แต่ต้องบอกว่า บางมาก

    sci-fi ไม่ใช่แค่การใส่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ตามทาง แต่ควรจะเป็น ประเด็นหลักของเรื่อง อย่าง scanner ที่มาจากการทดลองทางวิทยาศาตร์

    ถ้าเรื่องในนี้ ผมแนะนำ
    ยาเสน่ห์ http://thaiscifi.izzisoft.com/?p=139
    อีกเรื่อง เกี่ยวกับระฆังและหมอกควันประหลาด ผมยังหาไม่เจอ

    โดยส่วนตัว ผมแบ่ง soft และ hard ง่ายๆจากเนื้อเรื่อง
    soft จะเน้นไปเพียงแค่ผลกระทบ ขณะที่ hard จะมีส่วนของ”อย่างไร” อยู่ด้วย(นอกเหนือจากข้อมูลจัดหนัก) เช่น 2001 ได้ hard ไปจากการสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมและการยึดมั่นต่อเสียงในสุญญากาศ หรืออย่าง the martian (เอาชีวิตรอด”อย่างไร”) หรืออย่าง Have Space Suit—Will Travel ของ Robert A. Heinlein
    อีกเรื่องคือ The Fountains of Paradise ของ Arthur C. Clarke ที่ว่าด้วยการสร้างลิฟท์สู่อวกาศ

    ส่วนที่จะเป็น sci-fi ได้คือการใส่ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ลงไปในสิ่งที่เกิดขึ้น(ไม่ใช่แค่สิ่งรอบข้าง) เหมือนอย่าง event horizon ที่มีสัดส่วน horror สูงมาก จะมีความเป็น sci-fi แค่แนวคิดเรื่อง รูหนอน และ โลกต่างมิติ ซึ่งต้องถือว่ามี สัดส่วนความเป็น sci-fi น้อยมาก (น้อยว่า alien แต่อาจจะพอๆกับ the thing แต่ the thing มีเรื่องการตรวจสอบเข้ามาชดเชยเพิ่มเติมประเด็นเรื่องแหล่งที่มา)

    ประมาณนี้แหล่ะครับ

    ปล. 360๐ คือ หมุนกลับไปที่เดิม นะครับ
    ถ้าจากหน้าหันมาหลัง คือ 180๐ นะครับผม

    1. ได้เลยค่ะ

      แค่ใช้ศัพท์ไซไฟเฉยๆและคำเปรียบเทียบที่ออกไปในแนวไซไฟก็ไม่นับว่าเป็น soft-scifi สินะคะ ._.

      พออ่านเรื่องยาเสน่ห์กับเรื่องอื่นๆที่ชนะการประกวดเรื่องสั้นแนววิทย์ นักเขียนเลยรู้สึกได้ในตอนหลังว่าของตัวเองอันนี้เขียนไม่เป็นธรรมชาติเลยค่ะ แม้ว่าจะแค่เป็นเพราะกลัวว่าจะตกขอบเขตของไซไฟก็ตาม นักเขียนก็จะพยายามปรับให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นนะคะ

      ทางนักเขียนก็มีไอเดียจะผสมผสานทางศาสนาด้านปีศาจวิทยาให้ได้ในรูปแบบของไซไฟโดยที่พยายามจะไม่ให้หลุดขอบเขตของไซไฟค่ะ เช่น นักวิทยาศาสตร์วิปลาสใช้ความรู้และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์สร้างปีศาจที่มีอยู่ในลัทธิบูชาปีศาจโดยใช้ DNA ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ

      ป.ล. โอเคค่ะ
      ส่วนเนื้อหาทางต้นทางในลิงก์เดี๋ยวค่อยแก้นะคะ ตอนนี้รอให้หายเน่าก่อน ลิงก์ไม่เคยเสียนะคะนอกจากว่าทางเว็บจะเน่าหรือไม่ก็พิมพ์ผิด

      1. “แค่ใช้ศัพท์ไซไฟเฉยๆและคำเปรียบเทียบที่ออกไปในแนวไซไฟก็ไม่นับว่าเป็น soft-scifi สินะคะ ._.”
        อาจจะเป็น sci-fi หรือ ไม่เป็น sci-fi ก็ได้ครับ
        ต้องคุย นิยาม sci-fi กันยาวเลย
        😛

        เคยนั่งคุยกับพี่ประยูร เกี่ยวกับ นิยาม และ ขอบเขต ความเป็น sci-fi พี่ประยูรแนะนำได้น่าสนใจมาก
        “หากเราเขียนนิยายเกี่ยวกับ อุปกรณ์มือถือ เมื่อสัก 50 ปีก่อน มันจะเป็น sci-fi แต่ถ้าเราเขียนเรื่องเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน มันก็ไม่ใช่ sci-fi แล้ว”

        ผมลองมาคิดต่อเนื่องดู ยกตัวอย่าง ER(ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์) ซึ่งว่าด้วยการทำงานทางการแพทย์ ศัพท์เทคนิกมากมาย ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จัดเต็ม แต่หนังจัดอยู่ในประเภท drama (งานสร้างของ Michael Crichton เจ้าของผลงาน Jurassic Park นั่นแหล่ะ) อาจจะเป็นเพราะว่า มันไม่ใช่ fiction แล้ว เพราะมันกลายเป็น ปรากฏการณ์ จริงๆ ไปแล้ว (ส่วนที่เป็น fiction ไปอยู่ในส่วนที่เป็น drama ว่าด้วยเรื่องชีวิตของผู้คน)

        ถ้าจะจัดเป็น sci-fi (science fiction) ก็น่าจะเช่น outbreak (ใน imdb ยังไม่จัดเป็น sci-fi เลยแหะ) หรือ plot แบบว่า โรคโบราณหลายล้านปี ที่หลุดออกมาจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก คือ การทำให้ scienceเป็นนิยาย หรือ การสร้างนิยายจากพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือ การมองความเป็นไปได้(อดีต,ปัจจุบัน,อนาคต)อย่างเป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์(เหตุผล,ข้อมูล ข้อเท็จจริง, ฯลฯ)

        ยิ่งเขียน ยิ่ง งง เอง
        😛

ใส่ความเห็น