เพลงดวงดาว 15 – 21

15.

                “ตายล่ะ”

คีย์อุทานเสียงดัง เขาลืมเอสยู โปรแกรมประหลาดที่หล่งได้ฝากเอาไว้ในไอพีของเขาไปเลย แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่ามันได้ช่วยพวกเขาเอาไว้หลายครั้งแล้ว แต่เขากลับยกไอพีให้กับคนอื่นไปโดยไม่ได้นึกถึงมันแม้แต่น้อย

“…พึ่งมานึกเสียดายหรือไง”

หญิงสวมหน้ากากเอ่ยถาม โดยไม่ได้หันกลับมา

“เปล่าครับ…เพียงแต่ว่าในไอพีของผม มีโปรแกรมบางอย่างที่เพื่อนฝากเอาไว้ ดังนั้นผมจึงไม่มีสิทธิจะยกมันให้คนอื่นไปแบบนี้”

“แต่เธอก็ให้เขาไปแล้ว”

“ถ้าผมย้อนกลับไปตอนนี้…”

หญิงสวมหน้ากากหยุดเดิน ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาที่ซ่อนลึกอยู่ภายใต้หน้ากากนั้น แลดูคุ้นตาอย่างแปลกประหลาด

“ถ้าเธออยากตายก็เชิญ”

“…คุณพูดเรื่องอะไร”

“คนเมืองอย่างเธอไม่เข้าใจกฎของผู้พเนจรอย่างพวกเรา ตอนนี้ถือว่าไอพีได้ตกเป็นของเขาโดยชอบธรรมแล้ว หากเธอย้อนกลับไปทวงถาม นั่นจะถือเป็นการดูหมิ่น…และเขาอาจฆ่าเธอด้วยเรื่องนี้ได้”

“คุณล้อเล่นใช่ไหม”

เขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อเรื่องที่หญิงสวมหน้ากากพูดออกมานัก แต่เธอไม่ตอบพร้อมกับเริ่มออกเดินอีกครั้ง เขาอดเหลียวมองกลับไปทางด้านหลังไม่ได้ ไกลออกไปบนท้องฟ้าคล้ายมีกลุ่มควันจางๆ ลอยวนอยู่ บางทีพวกเขาอาจจะกำลังก่อไฟเพื่อจัดการกับเนื้อเหล่านั้นก็เป็นได้

‘ถ้าย้อนกลับไปขอไอพีคืน เขาจะฆ่าเราจริงหรือ’ เรื่องราวโหดร้ายแบบนี้เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน ไม่มีใครในโรงเรียนพูดถึง ไม่มีบันทึก หรือข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มันฟังดูเหลือเชื่อเมื่อเปรียบเทียบกับโลกที่เขาเคยอยู่ เคยรู้จัก โลกในเมืองที่มีแต่ความสะดวก ปลอดภัย

‘ไม่สิ’ เขาเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่มันเป็นข้อมูลเก่าแก่ที่ย้อนกลับไปในสมัยที่มนุษย์พึ่งเริ่มก้าวเดินเข้าสู่วิถีแห่งความเจริญ ถึงกับเคยมีกฎหมาย การดวลดาบ หรือปืน ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในยุคสมัยนั้นๆ เพื่อใช้หาข้อยุติให้กับความขัดแย้งต่างๆ ที่มักจบลงด้วยความตาย เขานึกไม่ถึงว่า โลกภายนอกในปัจจุบันจะย้อนกลับไปอยู่ในสภาพแบบนั้นอีกครั้ง

“แปลกใจใช่ไหม”

หญิงสวมหน้ากากเอ่ยถาม ราวกับสามารถอ่านความคิดของเขาได้

“แปลกใจ…เรื่องอะไรครับ”

เขาถามย้อนกลับไปเพื่อให้แน่ใจ ว่าเธอหมายถึงเรื่องเดียวกับที่เขากำลังคิดอยู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าขมุกขมัว ก่อนมองเลยไปยังตัวอาคารที่เขาคาดว่าคงเป็นที่ตั้งของแชงกรีล่าซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง บางที เธออาจจะประเมินเวลาการเดินทางที่เหลืออยู่ก็เป็นได้

เธอหยุดเดินอีกครั้ง พร้อมหันกลับมา ดวงตาที่งดงามอย่างแปลกประหลาดคู่นั้น คล้ายกับจะสามารถมองทะลุเข้าไปในหัวใจของเขาได้

“โลกภายนอก…ไม่เหมือนกับที่เธอเคยคิดว่ารู้จักใช่ไหม”

“…ใช่ครับ”

เขาตอบเพียงสั้นๆ ไม่อยากบอกเธอว่าตนเองรู้สึกผิดหวังกับความเป็นจริงนี้มากแค่ไหน

“ความจริงแล้ว มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็น และโลกภายในเมืองเอง ก็ไม่ได้งดงามอย่างที่เธอเข้าใจเช่นกัน…ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันมากแค่ไหน แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว มนุษย์ทั้งหมดก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเดิม ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย”

“…ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ ผมว่าพวกเรามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน”

‘สุดท้าย เขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนเมืองทั้งหลาย’ ความสนใจในประวัติศาสตร์ของเขา ยังไม่มากพอที่จะทำให้เขามองทะลุเปลือกนอกสวยหรูที่ฉาบทับความเป็นจริงเอาไว้ ปัญหา การแก่งแย่ง ความขัดแย้ง สงคราม ไม่ว่าหน้าตาของมันจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ในแต่ละยุคสมัย แต่แก่นแท้ภายในของมันกลับยังคงเป็นเช่นเดิม นั่นคือเกิดจากความต้องการอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์นั่นเอง

ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากความต้องการพื้นฐานในการมีชีวิต ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อก้าวผ่านไปได้ ความต้องการก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก จากความสะดวกสบาย พัฒนาขึ้นสู่ความหรูหรา ฟุ่มเฟือย ฯลฯ หลังจากนั้นก็จะเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว และไม่จำกัดอยู่เพียงแค่การเติมเต็มทางกายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความต้องการทางใจด้วย ไม่ว่าจะเป็น คำเยินยอ อำนาจ บารมี ฯลฯ ที่ล้วนแล้วแต่ไม่มีวันเติมให้เต็มได้ทั้งสิ้น

ทั้งหมดนี้ไม่มีความแตกต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น ผู้คนในยุคก่อน ผู้พเนจร คนเมือง และยังอาจรวมถึงคนในยุคสมัยต่อไปด้วย ‘ถ้ายังมีมนุษย์เหลือรอดอีกนะ’

“คุณพูดเหมือนกับว่า…เคยอยู่ในเมืองมาก่อน”

เธอพยักหน้าช้าๆ เป็นการยอมรับ เขาจึงเริ่มคิดว่าบางทีเรื่องเล่าที่ซูฟียึดถืออยู่นั้น อาจมีความเป็นจริงซุกซ่อนอยู่มากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนสถานะจากผู้พเนจรกลายเป็นคนเมืองนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เขาก็เชื่อว่าเธอพูดความจริง

“เธอจะไปแชงกรีล่าเพื่ออะไร แล้วทำไมถึงต้องหลบหนีเจ้าหน้าที่พิเศษด้วย”

เธอตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยบอกว่าตัวเองกำลังหลบหนีเจ้าหน้าที่พิเศษ แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของเขา จะทำให้คนเหล่านี้สามารถคาดเดาได้ไม่ยาก เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนตอบออกไป

“…ผม…ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

แววตาของเธอที่จ้องมา ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ คำตอบของเขายังคงไม่เพียงพอ และเขาพยายามจะหาคำอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้หญิงลึกลับผู้นี้พึงพอใจ

“…ผมแค่พยายามจะทำตามคำสั่งเสียของพ่อ ท่านบอกให้ผมเปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเพชร แล้วนำ…ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ผมเองก็ยังไม่รู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง และไม่รู้ว่าทำไมสำนักวิทยาศาสตร์จึงให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้”

พอพูดจบเขาก็รู้สึกแปลกใจที่ตัวเองเล่าเรื่องนี้ให้คนแปลกหน้าอย่างเธอฟัง ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นความลับ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้บอกเรื่องฐานดวงจันทร์ออกไป เขาพึ่งรู้ตัวว่า เธอยังคงจ้องมองอย่างไม่วางตา และเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะไม่พูดอะไรออกไปให้มากกว่านี้ ‘นี่มันแปลกเกินไปแล้ว’

“เดินทางกันต่อดีกว่า”

เธอละสายตาจากเขา และความรู้สึกราวกับถูกสะกดนั้นก็หายไปด้วย หลังจากนั้นทั้งสองก็เดินไปด้วยกันเงียบๆ อีกครั้ง เขาไม่รู้ตัวเลยว่า การก้าวเดินของเธอช้าลงกว่าในตอนแรก และร่างเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นก็มีเหงื่อออกราวกับว่าเธอพึ่งผ่านการออกแรงมาอย่างหนักหน่วง ทั้งๆ ที่เพียงแค่หยุดยืนพูดคุยกับเขาเท่านั้น

อาคารเบื้องหน้านี้แลดูไม่ค่อยคุ้นตา บางทีอาจเป็นเพราะครั้งที่แล้วเขาเดินทางมาด้วยรถ และผ่านเข้าออกจากบริเวณที่จอดรถซึ่งอยู่ด้านบนตัวอาคาร แต่ตอนนี้หญิงสวมหน้ากากกำลังนำเขาไปยังประตูเล็กๆ ซึ่งน่าจะเป็นทางออกฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้ถูกใช้จนกลายเป็นทางหลักไปเสียแล้ว

เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงจุดหมาย เขาจึงตัดสินใจถามบางเรื่องที่ยังข้องใจอยู่ออกไป เพราะไม่แน่ว่าจะต้องแยกจากเธอไปเมื่อไร

“…ทำไม พวกเขาถึงเรียกคุณเป็นผู้อาวุโสด้วยครับ”

เธอตอบคำถามนี้โดยไม่หันกลับมา

“ก็เพราะ…ฉันเป็นผู้อาวุโสน่ะสิ”

เธอเอื้อมมือไปจับคันโยกบนบานประตู ออกแรงบิดจนมีเสียงดัง อากาศจากภายในถูกดันออกมาผ่านช่องเปิด ก่อนที่บานประตูหนาหนักจะค่อยๆ แง้มกว้างออก

“ผมไม่เข้าใจ คุณเองก็ยังดูไม่น่าจะมี…อายุมากขนาดนั้น”

เธอหันกลับมาพร้อมกับหัวเราะ ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ทั้งสองได้พบเจอกัน

“ฉันจะถือว่านั่นเป็นคำชมก็แล้วกัน มีอีกหลายเรื่องที่เธอยังไม่รู้ และฉันก็ไม่อยากเป็นคนบอกเธอด้วย”

เป็นคำตอบที่ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรให้กับเขาเลย

“…แล้ว ทำไมถึงต้องสวมหน้ากากด้วยครับ”

“ก็เพราะฉันไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้าน่ะสิ”

เธอหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง เขาได้แต่คิดในใจว่าไม่น่าจะถามคำถามทั้งหมดนี้ให้เสียเวลาเลย

“เข้าไปกันเถอะ…อ้อ ยินดีต้อนรับสู่แชงกรีล่า”

เขายกแขนขึ้นเพื่อดูข้อมูลในไอพีตามความเคยชิน ก่อนจะพบเจอกับความว่างเปล่า ‘ลืมไปเลย’ เขาทำท่าแก้เขินด้วยการยืดเหยียดแขนทำท่าเหมือนกับจะขับไล่ความเมื่อยล้า ก่อนก้าวเดินเข้าไปในความทึบทึมภายใน หญิงสวมหน้ากากก้าวติดตามมา พร้อมกับปิดประตูตามหลัง

ทั้งสองเดินไปตามทางเดินแคบๆ เขายังคงทำหน้าที่นำทางต่อไป เพราะทางเดินสายนี้ไม่มีทางแยก เพียงแต่วนไปเวียนมา และดูเหมือนจะลาดเอียงลงไปเรื่อยๆ แสงสลัวที่ส่องลงมาจากเพดาน ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเป็นเวลากลางคืนที่โรงเรียน นอกจากนี้เขายังรู้สึกอึดอัดอย่างแปลกประหลาดอีกด้วย

“พวกเราไม่มีพลังงานให้ใช้มากมาย ทั้งแสงสว่าง และระบบปรับอากาศจึงไม่มีทางเทียบกับในเมืองได้เลย”

อยู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เมื่อเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็พบเจอกับทางแยกเป็นครั้งแรก เขาต้องเตือนตัวเองไม่ให้ยกแขนซึ่งไร้ไอพีขึ้นมาดูตามความเคยชิน ก่อนจะใช้วิธีการที่ไม่ปกติธรรมดาในการหาเส้นทางที่ต้องการ วิธีการที่คนเมืองอย่างเขาหลงลืมไปนานแล้ว

“…จะต้องไปทางไหนครับ”

วิธีที่ว่าก็คือการเอ่ยปากถามนั่นเอง การไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนในโลกภายนอกนั้น ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากนัก แต่เมื่อเข้ามาอยู่ภายในตัวอาคารเช่นนี้ มันกลับสร้างความรู้สึกหวาดกลัวสั่นคลอนจิตใจได้อย่างแปลกประหลาด

“ถ้าเธอต้องการติดต่อกับฝ่ายกิจการภายนอก ก็ต้องเลี้ยวไปทางขวา”

“…ฝ่ายกิจการภายนอก”

“อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคนเมือง เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายกิจการภายนอก ส่วนที่เหลือจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายกิจการภายใน”

เขาพยักหน้ารับแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่ในขณะที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปทางขวานั้น หูของเขาก็แว่วได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ‘เสียงเพลงอย่างนั้นหรือ’ มันเป็นเสียงของผู้หญิงที่ขึ้นลงสูงต่ำเป็นท่วงทำนอง โดยไม่มีเสียงของเครื่องดนตรีชนิดอื่นใดให้ได้ยินอีก เขาไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน

“…หญิงงามแหวกว่ายทะเลดารา แสวงหาคำพิพากษาที่สูญหาย…”

“เธอจะไปไหน”

เสียงเรียกของหญิงสวมหน้ากากทำให้เขารู้สึกตัว ว่าเขากำลังเดินเลี้ยวไปทางซ้าย ตามเสียงเพลงที่ได้ยินนั้นไป

“ผม…ผมอยากเดินไปดูทางด้านนั้นสักครู่ก่อนครับ”

ดวงตาวาวคู่นั้นจับจ้องมองมาที่เขาอีกครั้ง ‘เธอไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น’ ความจริงแล้วเธอไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ความหมายนั้นกลับกระจ่างชัดขึ้นมาภายในใจของเขา ‘ใช่แล้ว ต้องรีบไปเอาเพชร แล้วหาทางไปฐานดวงจันทร์ให้เร็วที่สุด’

“…ซึ่งซุกซ่อนเก็บไว้ในใจชาย ที่เธอหมายครองคู่อยู่ชั่วกาล…”

เขาละสายตาจากเธอ รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่แฝงมาในเสียงหวาน ก่อนหันมองไปยังที่มาของเสียงเพลงนั้นอีกครั้ง และตัดสินใจว่า จะต้องไปพบกับเจ้าของบทเพลงนี้ให้ได้

“ผมอยากจะแวะไปหาเธอก่อน”

เขาพูดออกไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘เธอ’ ที่ว่านั้นเป็นใคร ครั้งนี้หญิงสวมหน้ากากเพียงพยักหน้า พร้อมกับเดินตามเขาไปเงียบๆ ทางเดินข้างหน้าค่อยๆ เปิดออกสู่ห้องโถงขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากม้านั่งหลายตัวที่วางอย่างเป็นระเบียบแล้ว เขาก็ไม่อาจมองเห็นรายละเอียดอื่นๆ เนื่องจากแสงไฟด้านในสว่างน้อยกว่าทางเดินเสียอีก

เขาไม่ทันได้มองว่ามีผู้คนนั่งอยู่มากน้อยเพียงใด สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปยังร่างเล็กๆ ในชุดสีขาวสะอาดตา ซึ่งยืนอยู่บนแท่นยกพื้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องโถง

เด็กหญิงผมดำ ที่มีดวงตากลมโตสีดำสนิท จบบทเพลงหวานปนเศร้าของเธอลงเมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องโถง เขาไม่แน่ใจว่าบทเพลงนั้นจบลงเพียงเท่านี้ หรือเป็นเธอที่หยุดร้องไปเอง เพราะหญิงงามในบทเพลงนั้นยังไม่ได้พบเจอกับชายคนรัก และคำพิพากษาที่สูญหาย ก็ยังไม่ได้ตอบว่าหาเจอหรือไม่ มีใจความว่าอย่างไร

ความสั่นสะเทือนจากเสียงเพลงของเด็กหญิงยังคงก้องสะท้อนอยู่ภายในความเงียบของห้องโถง เธอส่งยิ้ม มองมา ราวกับว่ากำลังรอคอยเขาอยู่ ก่อนค่อยๆ ก้าวเดินจากแท่นตรงมาหาเขา

“ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน และท่านผู้อาวุโส”

เธอก้มหัวให้หญิงสวมหน้ากากเล็กน้อย ซึ่งมองเธอด้วยสายตาหวาดระแวง

“สวัสดีครับ ผม…เอ่อ ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะแบบนี้”

เธอยังคงยิ้มอย่างอ่อนหวานไม่เปลี่ยนแปลง

“เราชื่อ แพรดาว ในที่สุดก็ได้พบกันแล้ว ยินดีที่ได้รู้จัก”

“…ผม ประพันธ์ หรือเรียกว่า คีย์ ดีกว่าครับ”

เป็นคำทักทายที่แปลกหู ‘ในที่สุดก็ได้พบกัน’ เธอหันไปมองหญิงสวมหน้ากากแวบหนึ่ง ซึ่งเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

“ผมขอโทษที่เข้ามาอย่างเสียมารยาทแบบนี้”

เขาพึ่งได้คิดว่าบางทีการร้องเพลงนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของพิธีการอะไรบางอย่าง เสียงเพลง กับพิธีกรรมนั้นมีความเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่ในอดีตแล้ว

“เธอไม่ได้รบกวนสิ่งใดทั้งสิ้น”

เธอเอียงคอมองสำรวจดู จนเขารู้สึกเขินขึ้นมา

“เธอมีคำถามใช่ไหม”

“เอ่อ…ใช่ครับ…เพลงเมื่อครู่นี้ชื่ออะไรครับ”

“เพลงดวงดาว”

“…แล้วเธอในบทเพลงนั้น ได้พบเจอกับชายที่รักหรือเปล่า และคำพิพากษาที่สูญหายมีข้อความว่าอย่างไรหรือครับ”

รอยยิ้มของเธอยิ่งลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม

“มันเป็นคำถาม…ที่เราเองก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน เธอคงต้องไปถามมันกับคนที่รู้คำตอบเองแล้ว”

ชั่วขณะนั้นดูคล้ายกับเธอจะมองไปทางหญิงสวมหน้ากากอย่างไม่ตั้งใจ

“แต่นั่นก็ยังไม่ใช่คำถามที่เธออยากถามจริงๆ ใช่ไหม ครั้งต่อไป เธอควรจะคิดให้ดีก่อนที่จะเอ่ยถาม และเราคงต้องจบบทสนทนาเพียงเท่านี้แล้ว”

ชายหนุ่มผิวคล้ำ ผมดำ ในชุดสีขาวที่คล้ายกับของเธอ ลุกขึ้นจากม้านั่งแถวหน้า พร้อมกับเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังอย่างนอบน้อม

“เรารู้ว่าเธอมีธุระสำคัญ เนวิ จะเป็นผู้นำทางให้กับเธอเอง”

“เราไม่ต้องการคนนำทาง…”

หญิงสวมหน้ากากพูดขัดขึ้น แต่แววตาวาวของเด็กหญิงก็ทำให้เธอต้องเงียบเสียงลง และเปลี่ยนท่าทีในทันใด

“…แต่มีสักคนก็ดี”

เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินน้ำเสียงไม่มั่นใจจากหญิงสวมหน้ากากผู้นี้ เด็กหญิงพยักหน้าอย่างพอใจ คล้ายกับได้บรรลุถึงทุกสิ่งที่เธอต้องการแล้ว

“ขอจักรวาลจงคุ้มครองพวกเธอ”

ทั้งสามคนเดินออกจากห้องโถง ก่อนที่เสียงเพลงจะดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการร้องประสานเสียง ซึ่งทำให้เขารู้ว่าภายในห้องโถงนั้นมีคนอยู่มากกว่าที่เขาคิด เพลงที่ร้องในครั้งนี้ไม่ใช่ เพลงดวงดาว และเขาจับใจความอะไรไม่ได้เลย บางทีมันอาจจะเป็นเพียงเสียงร้องที่ไม่มีคำพูดที่มีความหมายอยู่เลยก็เป็นได้

“คุณต้องการไปยังที่ใด”

เนวิส่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงเพลง แต่เสียงทุ้มนั้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน

“ผมมารับเพชรที่สั่งเอาไว้ครับ”

เขาตอบเสียงดัง เนวิเพียงพยักหน้าพร้อมกับออกเดินนำไปในทางเดิน เขาจึงรีบเดินตาม หญิงสวมหน้ากากมองดูด้านหลังของเนวิอย่างไม่วางตา แต่ก็ก้าวติดตามไปโดยไม่ได้พูดอะไร

16.

                “…คนอื่นๆ หายไปไหนกันหมดครับ”

ทางเดินร้างว่างเปล่า ไม่มีผู้คนให้พบเห็น หากเป็นภายในเมืองที่คีย์พึ่งจากมา เขาคงไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะผู้คนเหล่านั้นคงกำลังใช้ไอพีเพื่อทำอะไรบางอย่างอยู่ในพื้นที่ของตนเอง แต่ในเมื่อศาสนจักรไม่มีไอพี เขาก็นึกไม่ออกว่าเวลาส่วนใหญ่ของคนพวกนี้หมดไปกับการทำสิ่งใด

“ตอนนี้ยังเป็นเวลาทำงาน พวกเราจึงยังอยู่ที่ฟาร์ม รอให้ถึงเวลาเย็นเสียก่อนเถอะ คุณจะได้เห็นการใช้ชีวิตที่มากสีสันของพวกเรา”

เนวิตอบอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งทำให้เขารู้สึกอยากเห็นช่วงเวลาที่ว่านั้นขึ้นมา เจ้าบ้านแอบชำเลืองมองไปทางหญิงสวมหน้ากากแวบหนึ่ง ก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นบ้าง

“ทำไมคุณถึงไม่นั่งรถมา…และทำไมพวกคุณสองคนถึงเดินทางมาด้วยกันแบบนี้ได้”

การพยายามหาคำตอบที่เหมาะสม ทำให้เขาถึงกับต้องเงียบไปครู่ใหญ่ ความจริงแล้วเขาเริ่มต้นการเดินทาง หรือการหลบหนีในครั้งนี้ด้วยรถ หรือถ้าจะให้เฉพาะเจาะจงลงไปมากกว่านั้น ทั้งหมดเริ่มต้นมาจากพินัยกรรมที่ล่องหนหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ตามด้วยการมาเยือนของเจ้าหน้าที่พิเศษทริกจากสำนักวิทยาศาสตร์ แล้วต่อด้วยการรอดชีวิตจากการตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างคาดไม่ถึง

ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขายังไม่รู้เลยว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร และการได้มาพบกับผู้ร่วมทางที่คาดไม่ถึงอย่างหญิงสวมหน้ากากผู้นี้ ก็ยิ่งไม่มีคำอธิบายเข้าไปใหญ่

“…มันเป็นอุบัติเหตุ”

นั่นเป็นคำตอบเพียงหนึ่งเดียวที่เขาพอจะนึกออกมาได้ในตอนนี้ เนวิหรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย

“บางสิ่งที่เธอยังไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะเธอไม่ล่วงรู้ถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังพวกมัน”

ทั้งสองหันไปมองหญิงสวมหน้ากากพร้อมกัน ทั้งคู่ต่างไม่คาดว่าจะได้ยินอะไรจากปากของเธอ คำอธิบายนี้ยิ่งทำให้คีย์รู้สึกว่าบางที เธออาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้มากกว่าตัวเขาก็เป็นได้ และการได้มาเจอกัน ก็อาจจะไม่ได้เป็นเหตุบังเอิญอย่างที่คิด

เนวิเดินนำทั้งสองคนไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คีย์คาดว่าพวกเขากำลังเข้าใกล้ส่วนที่เป็นลานจอดรถ และห้องประกอบพิธีซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางเข้าไปทุกทีแล้ว เขาควรรีบคิดหาหนทางต่อไปโดยเร็ว แต่การเดินทางสู่ดวงจันทร์นั้น มีคำตอบอยู่เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือสำนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งหมายความว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยสำหรับเขา

นอกจากว่าเขาจะสามารถล่วงรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของสำนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้เขาสร้างอำนาจการต่อรองขึ้นมาได้ แต่เขายังคงมืดแปดด้านอยู่สำหรับเรื่องนี้

‘หล่ง’ เขาอดคิดถึงเพื่อนที่ต้องแยกจากกันไม่ได้ นั่นเป็นงานประเภทที่เขาถนัดมากที่สุด ‘เขาอาจช่วยได้ ถ้าฉันสามารถติดต่อกับเขา และถ้าเขายังคงมีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่’ ซึ่งเขาไม่อาจหลอกตัวเองให้เชื่อเช่นนั้นได้เลย

‘ถ้าไม่อาจพึ่งพาสำนักวิทยาศาสตร์ ก็คงเหลือเพียง’ เขาเหลือบมองไปทางเนวิ ซึ่งอาการเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไม่อาจรอดสายตาของหญิงสวมหน้ากากไปได้

“เอ่อ…นอกจากการทำฟาร์มแมลงแล้ว พวกคุณยังมีเทคโนโลยีในด้านอื่นๆ อีกไหมครับ”

เนวิหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาฉายแววของความไม่พอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“เราไม่เหมือนกับคนเมืองอย่างพวกคุณ พวกเราจะใช้เทคโนโลยีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และการนำมาใช้ก็ต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก…คุณคงยังไม่ลืมว่า เพราะเหตุใดโลกที่เคยสวยงาม จึงกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้ มีบางสิ่งที่เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง…เพราะพวกเรายังไม่ฉลาดพอที่จะล่วงรู้ถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลัง หรือความจริงทั้งหมดในธรรมชาติ”

ไม่รู้ว่าเขาจงใจที่จะล้อคำพูดของเธอเมื่อครู่นี้หรือไม่

“…นั่นไม่เป็นความจริงเลย”

คีย์ตอบออกมาเบาๆ ตัวเขาเองก็เคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว

“มนุษย์ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่เคยมีมา สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือปัญญา ความสงสัยใคร่รู้ ความสามารถในการตั้งคำถาม และความพยายามในการค้นหาคำตอบ…เรามองขึ้นไปบนฟ้ากว้าง จ้องเข้าไปในอวกาศอันดำมืดลึกลับ แล้ววันหนึ่งเราก็ติดปีกโบยบินขึ้นไปเพื่อค้นหาคำตอบ ค้นหาความหมายให้กับตนเอง”

“…และความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนั้น ก็คือตัวตนของมนุษย์อย่างพวกเรา”

แววตาของเนวิยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“คุณรู้จักโรคในสมัยโบราณที่เรียกว่า มะเร็ง หรือเปล่า”

คีย์พยักหน้า ความสนใจในประวัติศาสตร์ทำให้เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาบ้าง เขารู้ว่ามันเกิดขึ้นจากความผิดปกติของการแบ่งเซลภายในร่างกายที่หลุดพ้นออกจากการควบคุม อีกทั้งเซลที่ผิดปกติเหล่านี้ยังสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เกาะกิน และเติบโตได้อย่างอิสระ จนกระทั่งเจ้าของร่างต้องพ่ายแพ้ต่อเซลผิดปกติของตนเองในที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันง่ายหน่อย”

น่าเสียดายที่ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาโรคชนิดนี้สูญหายไปจนหมด หรือไม่เขาก็ยังค้นไม่พบเอง แต่ในปัจจุบันนี้ไม่มีรายงานเกี่ยวกับโรคชนิดนี้แล้ว นั่นหมายความว่า มันอาจเป็นโรคอีกชนิดหนึ่งที่มนุษย์ได้ทุ่มเทปัญญา จนสามารถกำจัดให้สูญสิ้นไปได้ในที่สุด

“ถ้าโลกใบนี้คือสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่โต ผืนแผ่นดิน ภูเขา คือโครงกระดูก ท้องทะเล แม่น้ำลำธาร คือเส้นเลือด ชั้นบรรยากาศ เมฆ คือปอด ทุกสิ่งทุกอย่างคือองค์ประกอบของร่างกายขนาดยักษ์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้ก็คงเป็นเหมือนกับเซลภายในร่างกายนั่นเอง”

“เซลชนิดต่างๆ ที่มีการวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เซลหลายชนิดสูญพันธุ์ไป ก่อนที่จะมีเซลชนิดใหม่ๆ มาแทนที่ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เกิดมีเซลชนิดพิเศษที่เรียกว่า มนุษย์ ขึ้นมาบนโลกใบนี้”

หญิงสวมหน้ากากหันไปอีกทางหนึ่ง ทอดสายตามองไปยังที่ตาไกล คล้ายกับกำลังคิดถึงความหลัง

“…แล้วสิ่งที่เซลพิเศษชนิดนี้ทำกับโลกคือสิ่งใดกัน พวกเราได้ใช้สติปัญญาอันสูงล้ำเหนือปกติ ไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น พวกเราไร้การควบคุม แพร่กระจาย เกาะกิน เจาะลึกเข้าไปในไขกระดูก ดื่มกินเลือดอย่างหิวกระหาย ยึดครองทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ใส่ใจในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันบนดาวดวงนี้เลยแม้แต่น้อย”

ทั้งสองประสานสายตากัน

“พวกเราก็เปรียบเหมือนกับเซลมะเร็งของโลก แพร่กระจาย กัดกิน และทำลายบ้านเพียงหลังเดียวที่พวกเรามีอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่…”

เขาเน้นย้ำคำพูดอย่างหนักแน่น

“…และนั่นทำให้พวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ โลกใบนี้กำลังจะตายลงด้วยน้ำมือของพวกเรา แต่คนเมืองอย่างพวกคุณก็ยังไม่สำนึก พวกคุณยังคงเย่อหยิ่ง ยังคงคิดว่าสติปัญญา กับเทคโนโลยีที่เคยเกือบทำลายโลกใบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งนั้น คือคำตอบสำหรับทุกสิ่ง”

“แต่พวกคุณก็ยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านั้นอยู่เช่นกันไม่ใช่หรือ”

คีย์อดตอบโต้ออกไปไม่ได้ เขารู้ว่าที่เนวิพูดออกมานั้นก็มีส่วนถูก แต่ ‘มันไม่ใช่แบบนั้น’ ถ้าหนทางที่ถูกต้องคือการที่มนุษย์ไม่ควรต่างไปจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ เป็นเพียงสัตว์อีกชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้เท่านั้น ‘มันไม่ควรเป็นแบบนั้น’

“…พอเถอะ”

หญิงสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น เนวิหันไปมองเธอ เขาเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด

“…พวกเรามาถึงจุดหมายแล้ว”

เขาเอื้อมมือออกไปผลักประตูเบื้องหน้าให้เปิดออก แสงไฟภายในห้องสว่างขึ้นทันที ห้องเล็กๆ ที่คุ้นตาปรากฏขึ้นต่อหน้าคีย์อีกครั้ง ที่โดดเด่นที่สุดยังคงเป็นเครื่องมือที่ประกอบด้วยโลหะ กับกระจก ที่มีรูปร่างเหมือนกับโลงศพนั่นเอง เขาเดินตรงไปยังเครื่องมือนั้นโดยไม่รอช้า ก่อนหยุดยืนนิ่งที่ด้านข้างของแผงควบคุมเล็กๆ

“ขอจักรวาลจงคุ้มครองคุณ”

หลังจากนั้นเขาจึงเรียกให้คีย์ขึ้นมายืนอยู่อีกด้านหนึ่งของแผงควบคุมนั้น พร้อมกับชี้ให้ดูตัวอักษร ‘ปลอดภัย’ ที่กำลังกระพริบอยู่

“นั่นหมายความว่ายังไม่มีใครมายุ่งกับมันจนถึงตอนนี้”

เขายื่นมือไปยังแผงควบคุม นิ้วทั้งห้าเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ช่องเล็กๆ ที่ด้านข้างของโลงโลหะ ใกล้ๆ กับแผงควบคุมนั้นเปิดออก แม้ยังมองไม่เห็นถนัดตา แต่คีย์ก็เชื่อว่าภายในนั้นต้องเป็นเพชรที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเถ้าถ่านของ จันทร์ ดุริยดารา บิดาของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากนั้นเนวิก็หลบไปยืนอยู่ทางด้านข้าง พร้อมกับผายมือเชื้อเชิญให้เจ้าของที่แท้จริงเป็นผู้หยิบเพชรเม็ดนั้นออกมาด้วยตนเอง นั่นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า จะไม่มีการสับเปลี่ยนเพชรเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด

คีย์ค่อยๆ เอื้อมมือลงไปหยิบสิ่งของเล็กๆ ที่อยู่ภายในช่องนั้นออกมา ไม่น่าเชื่อว่าเขาต้องฝ่าฟันสิ่งต่างๆ มากมายกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้

เขาจ้องมองดูผลึกสีเหลืองสุกใสในมือ มันดูธรรมดาจนเกินไป เหมือนกับหินสวยๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น และมันทำให้เขารู้สึกสับสน ‘จะดั้นด้นมาเอามันไปเพื่ออะไรกันนะ’

“…ดูเหมือนหน้าที่ของฉันจะสิ้นสุดลงแล้ว”

หญิงสวมหน้ากากเอ่ยขึ้น คีย์จึงละสายตาจากผลึกหินในมือไปหาเธอ ในขณะที่เนวิยังคงเฝ้าดูอยู่เงียบๆ

“เอ่อ ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยพาผมมาส่งถึงที่นี่ แล้ว…แล้วคุณจะเดินทางไปไหนต่อครับ”

ตัวเขาเองนั้นยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป แต่ถ้าหากหญิงลึกลับผู้นี้จะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นที่อยู่ใกล้ๆ เขาอาจจะขอร่วมทางไปกับเธอด้วย เพราะดูเหมือนว่าการอยู่ในศาสนจักรต่อไปคงไม่ทำให้เขาเข้าใกล้ดวงจันทร์ได้

“เราคงต้องจากกันเพียงเท่านี้…แต่ก่อนไป ฉันยังมีเรื่องที่ต้องสะสางเสียก่อน”

อะไรบางอย่างในตัว บอกเขาในทันทีว่า ต้องระมัดระวังแล้ว

“ซูฟีได้จ่ายค่าตอบแทนในส่วนของเขามาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะยังนะ”

“…คุณหมายความว่า…ไม่ ทั้งหมดนี้เป็นคำขอร้องของซูฟี และเขาก็ได้ทำตามคำขอของคุณ จัดการกับเนื้อพวกนั้นไปแล้ว…มันไม่เกี่ยวกับผมอีก”

เขากำเพชรสีเหลืองในมือจนแน่นอย่างลืมตัว หัวใจเต้นแรง เหงื่อไหลซึมออกมา ‘ไม่นะ ไม่นะ’

“เธอยังคงไม่เข้าใจกฎของพวกเรา สิ่งที่ฉันทำนี้เป็นประโยชน์ทั้งกับซูฟี และตัวเธอ ดังนั้นฉันจึงควรได้รับการตอบแทนจากทั้งสองฝ่าย”

“…แต่ แต่ ซูฟียังคงติดค้างผม เขามาส่งผมไม่ได้ แต่เขาได้ไอพีเป็นค่าตอบแทนไปแล้ว และคุณเข้ามารับช่วงงานนั้นแทน ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องตอบแทนคุณเพิ่มอีก”

“ในตอนนั้นพวกเราทั้งสามฝ่ายต่างยอมรับ เธอเองก็ไม่ได้ทักท้วง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาของฉัน และในเมื่อพวกเราไม่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อน ดังนั้นฉันจะเลือกสิ่งที่ต้องการจากเธอเอง”

เขาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ความรู้สึกนั้นรุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เกิดกับซูฟีเสียอีก ‘เธอบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง แต่ก็ยังตั้งใจที่จะหลอกอีก’

“ไม่ ผมไม่ยอมให้เพชรเม็ดนี้กับคุณเด็ดขาด”

“เธอฉลาดพอที่จะรู้ว่าฉันต้องการอะไร แต่ไม่ฉลาดเลยที่พูดออกมาอย่างนั้น”

“ผมไม่ยอม”

เขาตะโกนเสียงดัง

“นั่นหมายความว่า เธอพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฉัน และตัดสินกันตามวิถีของผู้พเนจร”

“ผมไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกคุณทั้งสอง…”

เนวิที่พูดแทรกขึ้น ก่อนหันมาหาคีย์

“…แต่การต่อสู้กับผู้อาวุโสก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย และหากตายไปแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพชรที่มีอยู่เพียงเม็ดเดียวในโลกนี้ก็ตาม”

คำพูดที่มีเหตุผลนี้ก็ไม่อาจดับความโกรธที่อัดแน่นอยู่ภายในอกของเขาในตอนนี้ได้

“มาเลย ผมจะสู้กับ…”

เขาไม่ได้กระพริบตา แต่ร่างของหญิงสวมหน้ากากที่เคยยืนอยู่ตรงหน้าได้หายไปแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น ทุกสิ่งที่เคยอยู่รอบกายเขาก็หายไปด้วย เสียงทั้งหมดเงียบไป ภาพของสิ่งต่างๆ แสงสว่างดับวูบ เขายังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่นี้ คือความเป็นจริงที่จะเกิดกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ความจริงที่ไม่มีใครหนีพ้น ความตายอันเที่ยงแท้ ความตายที่เงียบงัน

เนวิสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ เขาเคยได้ยินคำเล่าลือมากมายเกี่ยวกับผู้อาวุโส และพลังฝีมือของพวกเขา แต่ไม่มีคำอธิบายใดที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาพึ่งได้พบเห็นนี้เลย มันรวดเร็ว เรียบง่าย จนคาดไม่ถึง เธอพุ่งเข้าประชิดร่างเขาราวกับหายตัวได้ ก่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นวางทาบอยู่บนหน้าอกของเป้าหมาย

สมองของเนวิยังไม่ทันบอกได้ว่าเธอใช้มือขวา หรือมือซ้ายในการจู่โจม ทุกอย่างก็สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งหัวใจ และลมหายใจ ของคีย์ถูกหยุดลงพร้อมๆ กัน เขาล้มหงายไปทางด้านหลัง ราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสายโยงทั้งหมดออกพร้อมๆ กัน

เธอก้มลงล้วงเพชรสีเหลืองออกมาจากมือของคีย์ สิ่งที่ก่อนหน้านี้เขายังกำเอาไว้อย่างแนบแน่น แต่มันก็แค่นั้น กว่าที่หลายคนจะล่วงรู้ถึงความจริงง่ายๆ ในข้อนี้ ก็มักจะสายเกินไปเสมอ

เธอเดินจากไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จุดหมายนั้นทำให้เนวิต้องขมวดคิ้ว ‘ลานจอดรถ เธอจะไปทำอะไรที่นั่น’ มีเพียงคนเมืองเท่านั้นที่สามารถใช้รถได้ และผู้อาวุโสอย่างเธอก็ไม่น่าที่จะเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น

‘หรือว่า’ ถึงแม้ว่าเขาอยากจะหยุดเธอเอาไว้ อยากสอบถามความจริงจากเธอ และที่สำคัญ เขาอยากรู้ว่าเพชรเม็ดนั้นมีความเกี่ยวข้องอย่างไร กับเหตุวุ่นวายขนานใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นกับสำนักวิทยาศาสตร์ในตอนนี้ แต่ร่างของคีย์ที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าเป็นสิ่งเตือนใจได้เป็นอย่างดี เขาจึงทำได้แค่ปล่อยให้เธอเดินจากไป

“เราคงปล่อยให้เธอจากไปไม่ได้”

เมื่อผ่านเข้าสู่ลานจอดรถ หญิงสวมหน้ากากก็ต้องเผชิญหน้ากับคนที่คาดไม่ถึง เด็กหญิงผมดำที่มีดวงตากลมโตคนนั้นกำลังยืนรออยู่ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยแปลกใจนัก

“จะให้เรียกท่านอย่างไรดี แพรดาว หรือควรเป็นจักรวาลตารจะเหมาะสมกว่า”

เด็กหญิงยิ้ม

“เช่นกันเราควรเรียกเธอว่าผู้อาวุโส หรือควรเป็น ทริก จะเหมาะสมกว่า”

รอยยิ้มที่เคยอยู่เบื้องหลังหน้ากากสลายหายไป เธอปลดหน้ากากลงมา และใบหน้าที่ซ่อนอยู่ก็คือทริกคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้รูปร่างของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ จากที่เคยอวบอัด กลับกลายเป็นร่างที่เหมือนกับเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น

“…ตอนนี้ฉันไม่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักวิทยาศาสตร์อีกต่อไปแล้ว การกระทำทุกอย่าง ล้วนเป็นการตัดสินใจของฉันเองทั้งสิ้น”

“ฉันรู้”

นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอต้องประกาศลาออก เพื่อตัดความเชื่อมโยงหากการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ล้มเหลว ตัดโอกาสที่จะให้ศาสนจักรนำไปใช้เป็นข้ออ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เธอยังมีเหตุผลอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า

“ท่านกล้าเผชิญหน้ากับผู้อาวุโส”

“หรือเธอกล้าลงมือกับเรา”

เหงื่อเม็ดใสๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นจนเต็มแผ่นหลัง จักรวาลตารเพียงยืนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่อาจลงมือได้ ภายใต้ดวงตากลมโตสีดำสนิทคู่นั้น มีพลังบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายแผ่ออกมา แต่เธอไม่อาจเสียเวลาอีกต่อไป เธอต้องรีบนำเพชรเม็ดนี้กลับไปโดยเร็วที่สุด

“…คีย์ยังนอนรอความตายอยู่ในห้องข้างๆ แต่หากปล่อยไว้นานกว่านี้ เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน”

พลังกดดันลึกลับจากเด็กหญิงไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

“…การที่ท่านชักนำเขาไปพบก่อนหน้านี้ คงต้องมีความสำคัญอะไรบางอย่าง”

พลังกดดันยังคงแน่วแน่ แต่แล้วอยู่ๆ มันก็หายไป ราวกับไม่เคยมีมาก่อน เด็กหญิงถอนใจก่อนเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก ทริกเองก็เร่งรุดไปยังรถคันที่จอดอยู่ใกล้ที่สุด ก่อนมุดหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว ประตูลานจอดเปิดออก แล้วรถคันนั้นก็พุ่งออกไปในท้องฟ้าขมุกขมัว

#####

                “พวกนั้นเจาะผ่านระบบป้องกันชั้นแรกของเราได้แล้วค่ะ”

เสียงของทรีดเรียกความสนใจของไอรอนให้กลับมาสู่สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ความหมายในคำพูดนั้นค่อยๆ ซึมเข้าสู่ความเข้าใจของเธอ

“…เป็นไปไม่ได้ แฮกเกอร์พวกนั้นไม่มีทางเจาะระบบของเราได้แน่”

“แต่มันเป็นเรื่องจริงค่ะท่าน”

ไอรอนรีบดึงข้อมูลจากทรีดมาดูเองโดยละเอียดอีกครั้ง และต้องยอมรับว่าระบบป้องกันที่เธอเคยภาคภูมิใจนั้น ได้ถูกเจาะเข้ามาแล้วจริงๆ แต่ไม่ใช่ในแบบที่ทรีดเข้าใจ

“เจ้าแฮกเกอร์คนนี้ไม่ได้อยู่ภายในสำนักงาน…มันเจาะเข้ามาจากข้างนอกได้อย่างไรกัน”

ไอรอนเผลอกัดริมฝีปากตนเอง ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่เธอต้องการเลย

17.

                “ช่วยหยิบไอ้นั่นให้หน่อยสิ”

หนุ่มอ้วนชี้มือไปยังกองสิ่งของที่มุมห้อง สายตาของเขาไม่ยอมละจากหน้าจอ แม้แต่มืออีกข้างหนึ่งก็ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด

“อันนี้หรือ”

เด็กสาวหยิบอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักชิ้นหนึ่งขึ้นมา ยังคงไม่เข้าใจว่ามันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร เขาเหลือบตามองมาแวบหนึ่ง

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ อีกอันหนึ่งต่างหาก”

เด็กสาวยกของในมือชิ้นนั้นขึ้น แล้วขว้างใส่หัวของเขาเต็มแรง

“หนอย พอยอมช่วยหน่อยก็เอาใหญ่เชียวนะ”

หนุ่มอ้วนยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบหัว พร้อมกับหัวเราะ

“โทษที ฉันอยากได้อีกอันที่วางอยู่ข้างๆ นั่นต่างหาก”

เด็กสาวหยิบมันมาส่งให้ พร้อมกับมองเข้าไปในหน้าจอหนึ่งในหลายหน้าจอที่เขากำลังวุ่นวายกับมัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และยังคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งภายในห้องนี้ และข้างนอกนั่น ราวกับว่าเรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้นเอง

#####

                ประตูเลื่อนเปิดออกโดยไม่คาดหมาย เผยให้เห็นพื้นที่โล่งกว้างที่อยู่เบื้องหลังบานประตู ทั้งสองฝ่ายได้แต่ยืนมองดูกันอย่างตกตะลึง ก่อนที่เหล่าเจ้าหน้าที่พิเศษในชุดสีดำจะชักกระบองไฟฟ้าออกมา ก่อให้เกิดเสียงดังเฉพาะตัว ซึ่งทำให้ผู้ที่เคยได้ยินต้องรู้สึกเสียวสันหลัง

โนอาออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของเขาเข้าจู่โจมทันที ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่นี่ก็นับเป็นครั้งแรกที่ต้องต่อสู้โดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ซึ่งแตกต่างจากเจ้าหน้าที่พิเศษที่คุ้นชินกับการปฏิบัติงานภายใต้ภาวะเสี่ยงอันตราย และมีแรงกดดันสูงอยู่เสมอ

อีกทั้งพวกเขายังตกเป็นรองในด้านทำเลพื้นที่ เจ้าหน้าที่พิเศษนั้นคอยตั้งรับอยู่ในสถานที่เปิดโล่ง ในขณะที่พวกเขายังคงติดอยู่ในช่องทางเดินแคบๆ ปากประตูที่เปิดออกแห่งนี้ จึงไม่ต่างอะไรจากด่านมรณะนั่นเอง

เสียงของกระบองไฟฟ้าในยามเคลื่อนไหว กับเสียงร้องปลุกใจยามที่ฟาดฟันดาบตัดผ่านอากาศ ดังขึ้นห่างๆ การหันอาวุธเข้าใส่กันแบบนี้เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้มีความโกรธแค้นเป็นการส่วนตัวมาก่อน

กรณีการใช้ความรุนแรงนั้น มีเกิดขึ้นภายในเมืองต่างๆ น้อยมาก จนไม่นับเป็นปัญหาอีกต่อไป ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไอพีได้เข้ามาแทนที่การติดต่อโดยตรงระหว่างบุคคลไปจนเกือบหมดนั่นเอง

เจ้าหน้าที่พิเศษคนหนึ่งตวัดกระบองไฟฟ้าเข้าที่แขนของคู่ต่อสู้เต็มแรง ในขณะที่เขาพยายามจะพุ่งผ่านประตูเข้ามา ความเจ็บปวดทำให้ดาบหลุดจากมือ และเมื่อกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านร่าง ก็ทำให้เขาถึงกับกระเด็นไปทางด้านหลัง พร้อมกับชนเพื่อนอีกหลายคนให้ล้มลงไปด้วย

“ก้มลง”

เสียงตวาดของโนอาดังขึ้นกลบเสียงวุ่นวายทั้งหมด เจ้าหน้าที่ของเขาต่างปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ยูดาที่หลบอยู่ทางด้านหลังมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นด้วยความตื่นตะลึง

ร่างสูงใหญ่ของโนอาพุ่งข้ามเจ้าหน้าที่ซึ่งขวางอยู่ไปราวกับไม่มีน้ำหนัก เจ้าหน้าที่พิเศษที่ดักรออยู่จ้องมองดูเงาที่โบยบินเข้ามาหาอย่างไม่เชื่อสายตา แต่พวกเขาเคยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดหมายนานาชนิดซึ่งเกิดขึ้นข้างนอกนั่น กระบองไฟฟ้าสองเล่มจึงพยายามต้านทานการบุกนี้เอาไว้

ยูดาไม่ทันได้เห็นอย่างถนัดตา แต่กระบองไฟฟ้าทั้งสองนั้นกลับหลงเหลือเพียงด้ามจับ ส่วนโนอาก็สามารถออกไปยืนอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งได้อย่างสง่าผ่าเผย

“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ เจ้านายของพวกคุณกำลังทำสิ่งผิดพลาดร้ายแรงอยู่ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป มนุษยชาติจะต้องล้มตายลงจนหมด”

เขามองไปรอบๆ และรับรู้ได้ในทันทีว่า เจ้าหน้าที่พิเศษพวกนี้ไม่มีใครหวั่นไหวไปกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย ‘ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น’ เขาคงไม่อาจคาดหวังสิ่งที่น้อยไปกว่านี้จากเหล่าผู้คนที่หญิงเหล็กให้ความไว้วางใจได้

มาสะมุเนะ ถูกชักออกจากฝักอีกครั้งอย่างช้าๆ ในใจของเขาไม่มีความกลัว ความกังวล ความลังเลสงสัยหลงเหลืออยู่อีก มีเพียงดาบในมือ กับศัตรูที่รายล้อม เจ้าหน้าที่พิเศษหลายคนที่เคยมีโอกาสได้ชมการต่อสู้ของทริกด้วยตาตนเอง ต่างมีความรู้สึกเดียวกันเกิดขึ้น ‘ชายคนนี้ช่างคล้ายกับเธอเหลือเกิน’ และมันทำให้พวกเขาถอยหลังไปอย่างลืมตัว

เจ้าหน้าที่ของโนอาเร่งออกมาให้พ้นประตู ก่อนกระจายกำลังเข้าเผชิญหน้ากับศัตรู เมื่อมีเขายืนเปลือยดาบขวางอยู่ เจ้าหน้าที่พิเศษจึงได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามนั้น เพราะตอนนี้ไม่มีใครกล้าวู่วามลงมือจู่โจมเข้าใส่ประธานสภาที่ไม่ธรรมดาคนนี้

แต่แล้วโนอากลับเก็บดาบของตนคืนสู่ฝัก ก่อนก้าวถอยไปทางด้านหลัง ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะลงมือเองตั้งแต่แรก เพียงแต่ต้องการแก้ไขสถานะที่เคยตกเป็นรอง แล้วจึงค่อยปล่อยให้คนของเขาได้ลงมือต่อ

สายลมแห่งการต่อสู้เริ่มพัดขึ้นอย่างช้าๆ อีกครั้ง เสียงร้อง เสียงปะทะกันของคมอาวุธค่อยๆ ดังถี่ขึ้น กลิ่นไหม้ กลิ่นคาวเลือด การต่อสู้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โทสะ และอัตตาของทั้งสองฝ่ายเริ่มลุกโชน ก่อกวนไปทั่ว จนทำให้พายุแห่งการฆ่าที่แท้จริงพัดทำลายไปทั่วทั้งสนามรบ

ยูดาจับตามองโนอาที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ ‘จะว่าเขาขี้ขลาดก็ไม่น่าใช่’ แต่เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ลงมือเองเพื่อให้ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็วตามที่ต้องการ

หัวหน้าทีมนักเจาะระบบเดินเข้ามาพูดคุยกับโนอา สีหน้าของเขาแสดงความกังวลออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“…เอ่อ คือว่า”

โนอารู้สึกรำคาญกับนิสัยอ้ำอึ้งที่เหมือนๆ กันของนักเจาะระบบพวกนี้เสียเหลือเกิน

“มีอะไรก็รีบว่ามา”

“ครับท่าน…เอ่อ คือ เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ฝีมือของพวกเราครับ”

“…คุณพูดเรื่องอะไร”

“ประตู…พวกเราไม่ได้เป็นคนเปิดมันครับ”

พอพูดจบเขาก็ก้มหน้าลง โนอาขบคิดครู่หนึ่ง ‘แต่มันไม่ใช่กับดัก พวกนั้นเองก็ตกใจที่เห็นประตูเปิดออก’ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ยังมีอีกฝ่ายหนึ่งที่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ‘ศัตรูของศัตรูก็คือสหาย แต่มันเป็นพวกไหนกัน’

“พยายามเจาะเข้าระบบของสำนักงานต่อไป ถ้ามันยังคงช่วยงานของเราอยู่ ก็ช่างมัน”

“แต่ว่า…”

“งานหลักของพวกคุณคือการเข้าไปในระบบของสำนักวิทยาศาสตร์ให้ได้ นอกนั้นไม่ต้องสนใจ”

“ครับ”

พวกเขายืนคุยกันอย่างเปิดเผย ยูดาจึงได้ยินทั้งหมด ‘ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะซับซ้อนยิ่งกว่าเก่า’ การตัดสินใจหักหลังมิตรสหายที่คบหากันมาอย่างยาวนานเมื่อครู่นี้ ยังคงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ และการที่เรื่องราวต่างๆ ไม่เป็นไปอย่างที่คาดก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ คือให้โนอาดำเนินการไปตามแผนจนสำเร็จลุล่วงโดยเร็ว เพราะอย่างน้อยมันก็จะช่วยทำให้เขารู้สึกว่า การตัดสินใจที่ผ่านมานั้นถูกต้องแล้ว

#####

                เบื้องหลังบานประตู จูเลียตค่อยๆ พื้นคืนสติขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนที่เธอจะสะดุ้งแล้วลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ‘หัวของฉัน’ ความรู้สึกนั้นยังคงชัดเจน ราวกับว่าหัวของเธอถูกดึงหลุดออกไปจริงๆ เมื่อยามที่ระบบต่อเชื่อมการเคลื่อนไหวของชุดกล้ามเนื้อเทียมที่บรรจุอยู่ภายในหมวก ถูกทริกดึงขาดออกทั้งหมดพร้อมๆ กัน ก่อนที่จะเหยียบมันจนแหลกละเอียด

‘ยายบ้านั่น ทำแสบนัก’ ชุดของเธอไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ความเสียหายในระดับนี้คงไม่อาจซ่อมแซมได้โดยง่าย นอกจากจะทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นคือทริกสามารถดึงหัวของเธอให้ขาดออกจากร่างได้จริงๆ หากต้องการ แต่เธอก็ไม่ได้ทำ ‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันต้องคืนให้เธอเป็นสิบเท่าเลยคอยดู’

เธอมองไปรอบๆ ตัว ‘ห้องอะไรกัน แต่ดูเหมือนน่าจะยังอยู่ในโรงเรียนนะ’ เธอรีบพุ่งไปยังประตู ซึ่งมันไม่ยอมตอบสนองคำสั่งของเธอตามคาด เธอลองตรวจดูเวลา ‘โอ สายป่านนี้แล้ว’ เธอสลบไปถึงสิบกว่าชั่วโมงเลยทีเดียว

เธอเริ่มต้นสำรวจไปรอบๆ ห้อง ได้พบกับของที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่ง ก่อนเจอกับร่างอวบๆ ของใครอีกคนนอนอยู่ ‘ถ้ายังอยู่ในโรงเรียน เจ้าหมอนี่ก็น่าจะมีประโยชน์’ เธอใช้เท้าเขี่ยร่างอ้วนนั้น

“เจ้าหมูขี้เซา ตื่นได้แล้ว”

หล่งยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ เธอจึงเปลี่ยนเป็นเตะเข้าไปที่สีข้างของเขาแทน

“โอ๊ย”

เจ้าตัวร้องลั่น และดูเหมือนจะได้ผล เขาดีใจที่ได้ตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ซึ่งกำลังถูกทริกทรมานด้วยวิธีการสารพัด แต่เขาคงยังไม่รู้ตัวว่า มีใครบางคนที่อาจจะน่ากลัวพอๆ กับฝันร้ายเมื่อครู่นี้ กำลังรอคอยอยู่

เขาลุกขึ้นมานั่งงง มองไปรอบๆ ก่อนที่ความทรงจำทั้งหมดจะค่อยๆ กลับคืนมา เขาจ้องมองใบหน้าของคนที่ปลุกอย่างตื่นเต้น

“จูเลียต เธอยังไม่ตาย ฉันนึกว่า…และก็ตัวฉันด้วย”

เขาหวนนึกถึงความรู้สึกตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของทริก ตอนที่เธอเพิ่มแรงบีบเข้าไปที่ด้านหลังคอ ความรู้สึกเย็นเยียบเหมือนถูกจับแช่ลงในน้ำแข็งวิ่งลงไปตามไขสันหลัง ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นความดำมืด ‘ไม่รู้ว่าความตายที่แท้จริงนั้น จะทำให้รู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า’

“แล้ว…เราอยู่ที่ไหน”

“ฉันก็ไม่แน่ใจนัก แต่น่าจะเป็นห้องเก็บของที่ใดที่หนึ่งในโรงเรียน อย่ามัวแต่นั่งงง รีบมาเปิดประตูบานนี้ก่อนเลย”

“ฉันทำไม่ได้หรอก ไอพีของฉัน…”

คำพูดของเขาหยุดลงแค่นั้น เมื่อยกแขนของตนขึ้นดู และพบเห็นแสงสว่างบนหน้าจอที่คุ้นเคยอีกครั้ง เขาต้องรีบยกมืออีกข้างขึ้นมาขยี้ตาอย่างไม่เชื่อ เธอมองดูท่าทางของเขาอย่างไม่เข้าใจ

“ยังมัวนั่งเล่นทำอะไรอยู่อีก”

“…ไอพีของฉัน มันติดแล้ว มันติดแล้ว”

เขาลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นจนสั่นกระเพื่อมไปทั้งตัว ก่อนที่จะเซเสียหลักไปทางเธอ ซึ่งแทนที่จะช่วยประคอง กลับรีบผลักเขาจนล้มไปอีกทางหนึ่ง

ความรู้สึกแปลกประหลาดวาบหวามรองรับร่างของเขาเอาไว้ เขานอนทับลงไปบนอะไรบางอย่างที่นุ่มนิ่ม มือของเขาขยับเลื่อนเพื่อหาตำแหน่งที่จะยันตัวลุกขึ้น อะไรก็ตามที่เขานอนทับอยู่นั้น มีส่วนยื่นนูนขึ้นมาในอุ้งมือของเขาพอดี เขามองดูสิ่งที่อยู่ใต้ร่างของตนอย่างไม่เข้าใจ

“จับอะไรอยู่ได้ เจ้าหมูลามก”

กำปั้นของเธอเขกลงมาบนหัวของเขาเต็มแรง ความเจ็บปวดทำเอาเขาต้องรีบกระโดดขึ้นมา เขานอนทับอยู่บนร่างสีดำของผู้หญิงที่ไม่มีหัว เมื่อครู่นี้มือของเขาวางอยู่บนหน้าอกของมันพอดี หน้าอกที่มีขนาดใหญ่โต และมีสัมผัสราวกับเป็นร่างกายของคนจริงๆ

“มันเป็นชุดกล้ามเนื้อเทียมเหมือนกับของฉันนั่นแหละ…”

มันคือสิ่งน่าสนใจที่เธอพึ่งเจอเมื่อครู่นี้ เขาจำมันได้แล้วเหมือนกัน มันคือชุดสีดำของเจ้าหน้าที่พิเศษ และรูปร่างอวบอัดแบบนั้นต้องเป็นทริกอย่างไม่ต้องสงสัย

“…ไม่สิ มันไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เส้นใยกล้ามเนื้อในชุดนี้เล็กละเอียดถักทอซ่อนอยู่ทางด้านใน แต่มีความแข็งแรง ยืดหยุ่นกว่ามาก ส่วนการบังคับควบคุมก็มีจุดเชื่อมต่อเข้ากับระบบประสาทไขสันหลังโดยตรง”

‘นอกจากเธอแล้ว คนอื่นจะใช้ไม่ได้เลย’ มันเป็นระบบควบคุมในแบบที่เธอนึกไม่ถึง ‘มันเหนือกว่าชุดของฉันทุกด้าน’ นั่นสามารถอธิบายถึงที่มาของเรี่ยวแรงมหาศาลเกินมนุษย์ของทริกได้ ‘แต่ก็ไม่ทั้งหมด’ ยังมีอีกหลายส่วนที่เกิดจากความสามารถในการต่อสู้ของผู้สวมใส่เองด้วย

เขามองดูมันด้วยความสนใจ และพบว่ามันไม่มีไอพีติดอยู่แล้ว

“…มันเสียหรือไง”

“ฉันคิดว่าไม่นะ มันยังดูเรียบร้อยดีทุกอย่าง”

“ถ้าอย่างนั้นเธอจะถอดมันทิ้งไว้ทำไม แล้วแก้ผ้าไล่ตามคีย์ไปหรืออย่างไร…ข้างในชุดนั้นไม่มีพื้นที่ว่างมากนัก ตัวจริงของเธอคงรูปร่างแบบบางน่าดู”

“ถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครได้ล่ะ…ยังไงก็เปิดประตูบ้านี่เสียที ฉันจะได้รีบกลับ”

เขาพยักหน้าก่อนเลื่อนมือไปมาบนไอพีของตนเองอย่างแสนคิดถึง การที่มันเปิดตัวเองขึ้นมาได้นั้นก็เป็นเพราะเหตุการณ์พลังงานดับนั่นเอง เพราะเมื่อพลังงานกลับคืนมาอีกครั้ง ไอพีทุกตัวจะได้รับการกระตุ้น ทำให้เครื่องที่ถูกปิดแต่มีการสวมใส่อยู่บนตัวบุคคลเปิดตัวเองขึ้นใหม่อีกครั้ง

เพียงครู่เดียวประตูห้องเก็บของก็เด้งเปิดออก แม้แต่เธอก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำได้รวดเร็วขนาดนี้

“…เก่งเหมือนกันนี่นา”

เธอเผลออุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะรู้ตัวแล้วรีบเดินออกจากห้องไป เขายืนลังเลอยู่ว่าจะเอาชุดของทริกกลับไปด้วยดีไหม แต่กลัวจะถูกเธอเข้าใจผิดว่าจะเอามันไปทำอะไรแปลกๆ สุดท้ายจึงทิ้งมันไว้อย่างเดิม

“เธอจะทำอะไรต่อ”

เธอถามในขณะที่ยังเดินนำอยู่ข้างหน้า

“…ฉันจะแก้แค้นพวกนั้น”

เธอหยุดแล้วหันหลังกลับมา สีหน้าแสดงว่าไม่เชื่อคำพูดของเขาเลย

“เธอจะทำได้อย่างไร”

“ด้วยวิธีแบบของฉันไงล่ะ”

เขาตอบกลับมาด้วยความมั่นใจ และนั่นทำให้เธอติดตามเขามาที่ห้องนี้ด้วย ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ทั้งสองคนต่างคาดไม่ถึง สุดท้ายทั้งคู่ก็มายืนอยู่หน้าอดีตศูนย์บัญชาการที่ตอนนี้ได้แต่นอนนิ่งเงียบงัน

“…ช่วยฉันหน่อย ฉันต้องคืนชีพให้กับเจ้าปีศาจตนนี้”

#####

                หล่งรับอุปกรณ์ชิ้นที่จูเลียตพึ่งนำมาให้ ประกอบมันเข้าไป แล้วขยับอีกเล็กน้อย เขาทำท่ายื่นมือชี้นิ้วไปยังหน้าจอหลักของศูนย์บัญชาการ

“ขอจงบังเกิดแสงสว่าง”

หน้าจอกระพริบวูบวาบก่อนดับไป เขาเกาหัว ก่อนเคาะอุปกรณ์ตัวเดิมนั้นอีกสองสามครั้ง หน้าจอจึงติดสว่างขึ้น เขาฉีกยิ้มอย่างพอใจ เอนหลังนั่งพิงเก้าอี้ตัวโปรด

“รหัส อีสเตอร์เอกส์”

ดวงไฟต่างๆ เริ่มส่องแสง พร้อมกับส่งเสียงครางออกมา ศูนย์บัญชาการของเขาสามารถฟื้นกลับมาจากความตายได้ในที่สุด ‘ฉันโกหก ระบบยังกู้คืนได้อยู่’ เขาหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนล่ะ”

เธอเดินไปที่ประตูแต่มันไม่ยอมเปิดออก เธอหันมาสบสายตากับเขาอีกครั้ง

“เธออยู่กับฉันจะปลอดภัยกว่า เราไม่รู้ว่าพวกนั้นวางแผนจะทำอะไรอีก อย่างน้อยเมื่อมีศูนย์บัญชาการ กับไม้ตายลับอยู่ในมือ ฉันน่าจะสามารถต่อรองกับพวกนั้นได้”

“เธอนี่นะ…จะต่อรองกับสำนักวิทยาศาสตร์”

เธอไม่เชื่อ และไม่มีวันจะเชื่อ แต่เขากลับมีท่าทางมั่นใจอย่างที่สุด

“ขั้นแรก ต้องทำให้พวกนั้นรู้ก่อน ว่าฉันทำอะไรได้บ้าง”

เพียงไม่นานระบบป้องกันชั้นแรกของสำนักวิทยาศาสตร์อันแสนยิ่งใหญ่ก็ถูกเจาะ ประตูที่เคยปิดตายถูกเปิดออก และเขายังตั้งใจจะเจาะเข้าไปให้ถึงชั้นในสุด เปิดเข้าไปให้ถึงห้องทำงานของหญิงเหล็กในตำนาน ไอมานเด้ รอนโนวิช เลยทีเดียว

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร แต่จูเลียตเลิกคิดที่จะเรียกหล่งเป็นหมูอ้วนแล้ว

18.

                ไอรอนบีบขมับตัวเองแน่น ‘มันจะอะไรกันนักกันหนา’ อาการปวดหัวดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้มันปวดราวกับว่าลูกตาทั้งสองข้างจะถูกดันให้หลุดกระเด็นออกมา

“…ท่านคะ”

“มีอะไรอีกล่ะ”

เธอกระชากเสียง พร้อมกับทุบสองมือลงบนโต๊ะเบื้องหน้า ทรีดจึงรีบรายงานข่าวด่วนที่พึ่งได้รับมา ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง

“ทริกกำลังจะมาถึงแล้วค่ะท่าน พร้อมกับเพชรเม็ดนั้นด้วย”

เธอทุบโต๊ะอีกครั้ง แต่คราวนี้บนใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ‘อย่างน้อยก็มีข่าวดีมาบ้าง’ เธอตรวจดูเวลา ‘ยังเหลืออีกตั้งยี่สิบกว่าชั่วโมง ไม่ฉิวเฉียดเลยแม้แต่น้อย’ และเธอยินดีที่มันเป็นอย่างนั้น

ถ้าแก้ปัญหาพลังงานได้เรียบร้อย อย่างอื่นก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป ‘แต่ดูเหมือนจะได้เวลาต้องเปลี่ยนตัวประธานสภาเสียที’ เธอคงไม่อาจปล่อยให้โนอาทำตัววุ่นวายมากไปกว่านี้ ‘แล้วก็ยูดา เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่กล้าหักหลังฉัน’

“เยี่ยม…บอกเธอให้รีบตรงมาหาฉันทันที หลีกเลี่ยงความวุ่นวายทุกอย่างให้หมด”

“ค่ะ”

หลังจากนั้น อาการปวดหัวที่เคยทรมานเธอก็ค่อยๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็วจนหายไปในที่สุด เธอคิดจะเอนหลัง นั่งหลับตาเพื่อพักผ่อน ทิ้งงานทุกอย่างที่ทำอยู่เอาไว้เบื้องหลัง เพื่อรอคอยคำตอบที่กำลังจะเดินทางมาถึง ‘จันทร์ คุณทำแบบนี้ทำไมกัน’

แต่แล้วความรู้สึกรบกวนบางอย่างก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจ ‘เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่’ เธอเองก็เคยเป็นนักเจาะระบบมาก่อน และเธอภูมิใจในระบบป้องกันของสำนักงานที่ออกแบบเองนี้เป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครสามารถเจาะเข้ามาได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

เธอยิ้มเยียบเย็น ‘ดูเหมือนว่าเป้าหมายการแก้แค้นอันดับแรก คงต้องยกให้เจ้าแฮกเกอร์ลึกลับคนนี้ก่อน คนที่บังอาจมาลูบคมฉัน’ ครั้งนี้เธอจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องแปลกใจบ้าง

เธอประสานมือทั้งสองก่อนยืดเหยียดแขนเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า ขยับคอสองสามครั้ง แล้วจึงเริ่มต้นการออกไล่ล่าอย่างเงียบเชียบ เมื่อสมองโล่ง ไม่มีอะไรให้ต้องหนักใจ ก็ทำให้เธอนึกถึงเบาะแสสำคัญก่อนหน้านี้ ที่อาจเชื่อมโยงไปถึงตัวจริงของนักเจาะระบบลึกลับผู้นี้ได้ไม่ยาก

ส่วนทรีดที่ได้รับคำสั่งมานั้น ไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่า ทริกจะยอมทำตามที่ไอรอนต้องการหรือไม่ พวกเธอทั้งสองคนรู้จักกันเป็นอย่างดี และเธอพอจะคาดได้ว่าเมื่อทริกคนนั้นได้รับรู้เรื่องราววุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นภายในสำนักงาน สิ่งแรกที่เธอคิดจะทำคืออะไร

ทรีดได้แต่ภาวนา ขอให้ครั้งนี้เธอคาดผิดสักครั้ง

#####

            “…ทำไมคุณถึงไม่ยอมลงมือเอง”

“ใจร้อนจริงนะ อยากพบหน้าหญิงเหล็กเพื่อนเก่าเร็วๆ หรือไงกันครับ”

โนอาตอบยิ้มๆ ยูดาได้แต่เก็บความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้

“ถ้าคุณยอมออกหน้า คนของคุณก็คงไม่ต้องบาดเจ็บกันแบบนี้”

“ผมอยากให้พวกเขาได้รับประสบการณ์เอาไว้บ้าง การฝึกซ้อมนั้นเทียบอะไรไม่ได้เลยกับการต่อสู้จริง ที่สำคัญ ถึงเราจะเร่งรีบไปก็ไม่มีประโยชน์ แฮกเกอร์พวกนั้น หรือเพื่อนผู้ลึกลับของเรา ยังเปิดประตูบานถัดไปไม่ได้เลย”

นั่นทำให้ความสงสัยแต่เดิมรุนแรงยิ่งขึ้น ‘แล้วเขาไปเรียนรู้วิชาการต่อสู้ด้วยดาบมาจากที่ไหนกัน’

“…ที่สำคัญ คนที่ผมรอคอยอยู่ยังไม่ออกมาเลย”

‘เขาหมายถึงใครกันแน่นะ’ ยูดาคิดจะถามอะไรเพิ่มเติม แต่บางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวงต่อสู้ได้ดึงดูดความสนใจของโนอาไป มีเจ้าหน้าที่พิเศษคนหนึ่งที่ใช้เพียงมือเปล่า แต่สามารถจัดการกับศัตรูที่ถือดาบได้อย่างไม่ยากเย็น ยูดาเองก็พบเห็นเขาแล้วเช่นกัน

ชายในชุดดำผู้นี้มีผมสีทองตัดสั้น ร่างกายกำยำสูงใหญ่ เขาก้าวเท้าเข้าตัดขวางกระแสดาบที่เฉียบคมด้วยความรวดเร็ว ไม่หวาดหวั่น หมัดเท้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความดุดัน ใช้แรงปะทะแรง เพียงต่อยหมัด เตะเท้าไม่กี่ครั้งก็สามารถจัดการล้มคู่ต่อสู้คนหนึ่งลงได้

“…มวยแข็งอย่างนั้นหรือ ลองดูหน่อยก็ได้”

โนอาพึมพำกับตัวเองก่อนก้าวเข้าไปในสมรภูมิ ในที่สุดเจ้าหน้าที่พิเศษคนนั้นก็รู้ตัว และหันมาเผชิญหน้ากับเขา การต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่โดยรอบ ขยับห่างออกไปเหมือนกับรับรู้ได้ถึงกระแสการต่อสู้อันร้อนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น ยูดาที่ดูอยู่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน

“คุณชื่ออะไร”

“…กริม ครับ…ท่านประธาน”

ชายผมทองแปลกใจที่ถูกถามชื่อด้วยอาการปกติ เหมือนกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ในสนามฝึกซ้อม ไม่ใช่การต่อสู้ที่เอาเป็นเอาตายแบบนี้

“คุณใช้เพลงมวยอะไร”

“มัน…ไม่มีชื่อครับ”

โนอาพยักหน้าอย่างเข้าใจ บางครั้งที่มาอันยาวนานของเพลงมวยโบราณพวกนี้ก็ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย มีหลายสิ่งถูกดัดแปลง ปรับเปลี่ยน แต่ก็ยังดีกว่าการสูญหายไปโดยไร้ผู้สืบทอด

“เพลงมวยของคุณ เกี่ยวข้องอะไรกับทริกหรือเปล่า”

กริมมองเขาด้วยความสงสัย

“ไม่ แต่เธอเคยแนะนำผม สอง สาม ครั้ง”

เขาขยับดาบในมือ แต่ยังคงปล่อยให้มาสะมุเนะนอนนิ่งอยู่ในฝัก กริมมองดูอย่างไม่พอใจ

“…เพราะคุณใช้เพียงมือเปล่า”

กริมยิ้มตอบเยียบเย็น

“นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับผู้ที่เลือกเดินในเส้นทางสายนี้”

เขาพยักหน้าอย่างพอใจ แต่ยังคงไม่ยอมชักดาบอยู่เช่นเดิม

“มาลองดูสิว่า คุณจะทำให้ผมชักมาสะมุเนะออกมาได้หรือไม่”

กริมหยุดยืนตั้งท่าอยู่นอกระยะการฟันของดาบ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะบอกอย่างไร แต่เขายังคงเตรียมพร้อมเพื่อรับการโจมตีได้ทุกรูปแบบ โนอาใช้สองมือจับดาบพร้อมกับยื่นออกมาข้างหน้า ช่วงแขนเมื่อบวกเข้ากับความยาวของดาบ ทำให้เขาได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ยกชูดาบขึ้นเหนือศีรษะ

การทำเช่นนั้นถึงแม้จะเพิ่มความกดดัน ก็เป็นการปล่อยด้านหน้าให้ว่าง เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้สามารถบุกโจมตีเข้ามาได้ แต่หมายความว่าผู้ที่ฝ่าเข้ามานั้น ต้องสามารถเอาชนะความกลัวจากความคิดที่ว่า จะถูกฟันขาดเป็นสองท่อนได้ ถึงแม้ว่าดาบจะยังคงอยู่ในฝักก็ตาม

กริมย่อตัวลงเล็กน้อย ไขว้ขากระทืบเท้าเข้าไปในระยะดาบด้วยความหนักแน่น สร้างความแปลกใจให้กับทุกคนที่กำลังจับตาดูอยู่ ถ้าเป็นเช่นนี้เขาคงไม่อาจรอดจากคมดาบได้แน่ และโนอาก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป ‘ถ้าคิดว่าจะรับดาบที่อยู่ในฝักได้ ก็คิดง่ายเกินไปแล้ว’

ดูเหมือนว่ากริมจะไม่ได้คิดเช่นนั้นเหมือนกัน หลังจากก้าวแรก ร่างของเขาก็พุ่งออกไปสุดแรง เปลี่ยนแปลงระยะไปในฉับพลัน ดาบที่ยังอยู่ในฝักนั้นไม่มีความรวดเร็วพอที่จะจัดการกับเขา เพียงชั่วพริบตา ศอกซ้ายของเขาก็จู่โจมเข้ามาอยู่ในระยะประชิดแล้ว

‘เยี่ยม’ นี่เป็นระยะเดียวที่มือเปล่าจะสามารถต่อสู้กับอาวุธยาวได้อย่างดีที่สุด แต่การพาตัวเองเข้าสู่ระยะที่ว่านี้ยากเย็นยิ่งกว่าสิ่งใด หากไม่มีความกล้า ความเชื่อมั่น และการตัดสินใจอย่างเหมาะสมแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้

แต่ในชั่วพริบตานั้น โนอาก็ตอบโต้กลับมาอย่างคาดไม่ถึง ด้ามของมาสะมุเนะถูกเขาเปลี่ยนให้เป็นอาวุธ ใช้ตอบโต้ศอก หมัด ในระยะประชิดได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานกริมก็โดนขับไล่ให้ออกมาสู่ระยะนอกรัศมีดาบอีกครั้ง

‘บ้าจริง’ เขารู้ตัวดีว่าคงไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว

“การใช้มวยแข็งก็เหมาะสมกับคุณดี แต่หากคิดใช้เพลงมวยชนิดนี้ ก็ต้องแกร่งกร้าวให้ถึงที่สุด ไม่หวั่นไหวต่อการถูกเฉือนเนื้อ หักกระดูก ลงมืออย่างรวดเร็ว สยบคู่ต่อสู้ให้ได้ในพริบตา”

โนอาลดดาบในมือลง พร้อมกับยืนสองมือไขว้หลัง

“…ผมยังไม่แพ้”

“ลองถามใจตัวคุณเองเถอะ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณโดดเข้ามาแบบเมื่อครู่นี้อีกครั้ง”

กริมเงียบไป แต่ภาพในหัวนั้นกระจ่างชัด ตัวของเขาจะถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อน ไม่ว่าดาบเล่มนั้นจะยังอยู่ในฝักหรือไม่ก็ตาม

“ตราบเท่าที่คุณยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำตอบในใจนั้นได้ คุณจะต้องถูกฟันแน่นอน เพราะใจคุณเชื่ออย่างนั้นไปแล้ว”

หมัดทั้งสองของเขาค่อยๆ ลดลง มันเป็นอย่างที่โนอาพูดจริงๆ เมื่อใจของเรายึดมั่นกับบางสิ่งบางอย่างเข้าแล้ว ร่างกายก็จะเชื่อตามความคิดนั้นด้วย หากเขาเชื่อว่าจะโดนฟัน ก็จะต้องถูกฟันแน่นอน ร่างกายของเขาจะเชื่องช้าลง แม้ว่าเขาจะไม่ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นก็ตาม

การต่อสู้ระหว่างคู่อื่นๆ ทยอยหยุดลงด้วย คล้ายกับว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองเมื่อครู่นี้ จะถูกยกให้เป็นตัวแทนตัดสินแพ้ชนะของทั้งสองฝ่าย

ประตูบานเดียวที่อยู่ด้านหลังแนวของเจ้าหน้าที่พิเศษเปิดออก พวกเขาต่างหันกลับไปดูด้วยความงุนงง โนอาก็รีบมองหาหัวหน้าทีมนักเจาะระบบของตน ซึ่งเอาแต่ยืนส่ายหน้าไม่คิดชีวิต ‘เป็นฝีมือเพื่อนผู้ลึกลับอีกแล้ว’ หลังจบงานนี้เขาคงต้องออกควานหาตัวมาร่วมงานด้วยให้ได้

กริมเป็นคนแรกที่ก้าวหลบไปยืนทางด้านข้าง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่พิเศษคนอื่นๆ จึงทำตามอย่าง ปล่อยให้โนอานำคนของเขาเดินผ่านไปอย่างสงบ การตัดสินด้วยกำลังคงจบลงเพียงแค่นี้ เหลือเพียงประตูห้องทำงาน ประตูบานสุดท้ายที่กั้นระหว่างเขา กับอำนาจที่แท้จริง

#####

                “เยี่ยม”

หล่งอุทานออกมาอย่างสะใจ แม้จะยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แต่การเปิดประตูที่พวกเขาพยายามจะปิดเอาไว้ คงสร้างความวุ่นวายได้ไม่มากก็น้อย

“…คีย์ คีย์ ดูนั่นสิ คีย์กลับมาแล้ว”

จูเลียตอุทานอย่างยินดีพร้อมกับชี้มือไปยังหน้าจอหนึ่งของศูนย์บัญชาการ มันเป็นภาพของคีย์ที่กำลังเดินผ่านไปตามทางเดินอย่างไม่เร่งร้อน เขาเหลือบดูมันเพียงแวบเดียวก่อนที่จะดับความฝันของเธอไป

“นั่นเป็นภาพเก่า บันทึกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อตอนก่อนที่จะเจอกับเธอในห้องทดลองเสียอีก”

เธอรู้สึกผิดหวัง

“อ้าว แล้วจะฉายมันขึ้นมาทำไมกันล่ะ”

“เออ…จริงด้วย”

เขาพึ่งนึกถึงคำขอของเพื่อน คำขอแปลกๆ ที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจ ‘นายช่วยดูกล้องบันทึกให้หน่อยสิ ว่าตอนที่ฉันเดินเข้ามา ถืออะไรมาด้วยหรือเปล่า’ เขายังถามกลับไปว่า ‘แล้วนายจำไม่ได้หรือไง’ และเขาตอบมาว่า ‘ฉันไม่แน่ใจ’

นั่นเป็นตอนก่อนที่เขาจะ ฆ่า ศูนย์บัญชาการด้วยมือของตนเอง และเมื่อเขา คืนชีพ ให้มันอีกครั้ง มันก็ทำงานที่ค้างอยู่จนเสร็จ เขาลองเล่นภาพนั้นซ้ำอีกครั้ง

“เธอเห็นเขาถืออะไรมาด้วยหรือเปล่า”

“ไม่มีนี่นา…”

เขาเห็นด้วยกับเธอเต็มที่

“…แต่ก็แปลก พอเธอถาม ฉันก็คิดว่าเขาทำท่าเหมือนกับถืออะไรอยู่ด้วย”

เขาปรับขยายภาพ และลองตรวจดูอีกครั้ง ‘นั่นสิ’ เขาเห็นด้วยกับเธอ แต่หลังจากนั้นก็ปิดมันไปเพราะไม่เห็นประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้ และกลับไปสนใจงานของเขาต่อ

ลิงหิน คือตัวแทนของเขาในระบบ มันสามารถโลดแล่นผ่านเข้าสู่ปราการเหล็กของไอรอน และอาละวาดไปทั่วได้ เพราะเขารู้ความลับที่ไม่มีใครเคยรู้ ข้างใต้ระดับคำสั่งที่ลึกที่สุดของสำนักวิทยาศาสตร์ ยังคงมีอีกระดับหนึ่งซุกซ่อนอยู่ ระดับที่ไม่มีใครเคยค้นพบ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถยกเลิกคำสั่งของทริก หรือคำสั่งจากสำนักวิทยาศาสตร์ได้นั่นเอง

มันเป็นโปรแกรมที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ถึงเจ็ดสิบสองรูปแบบ อีกทั้งยังสามารถถอดรหัสได้ถึงครั้งละแปดหมื่นสี่พันลำดับ ขอเพียงมีเวลาอีกเล็กน้อย ประตูบานสุดท้ายต้องถูกเปิดออกแน่ และนั่นคือเวลาที่เขาจะเริ่มต้นการเจรจา

ทันใดนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ประตูบานสุดท้ายในระบบของสำนักงาน ที่ลิงหินกำลังพยายามที่จะเปิด กลายสภาพเป็นมือขนาดยักษ์ที่พยายามจะจับตัวมันเอาไว้

“เฮ้ย”

เขาอุทานด้วยความตกใจ แต่ก็รีบตอบโต้ไปทันที มือของเขาเคลื่อนไหวไม่หยุด ที่อีกด้านหนึ่งของจอ ไอรอนเองก็ขยับมือไม่ยอมหยุดเช่นกัน เจ้าสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้คืออาวุธลับ ที่เธอเรียกมันว่า ยูไล

ลิงหินเริ่มการตีลังกาหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่ดูเหมือนไม่ว่าจะไปยังที่ใด ก็ไม่อาจพ้นไปจากอุ้งมือของยูไลได้เลย คล้ายกับว่าระบบทั้งหมดได้กลายเป็นมือข้างนั้นของยูไล ในที่สุดลิงหินของเขาก็ถูกจับ โปรแกรมของมันถูกทำให้หยุดนิ่ง คุณสมบัติการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไม่อาจใช้งานได้อีกต่อไป

“สวัสดี สหาย”

มันเป็นเสียงของผู้หญิงที่มีอายุ และเขารู้ในทันทีว่าเธอเป็นใคร ยังคงไม่มีภาพปรากฏขึ้น เธอยังไม่รู้พิกัดที่แท้จริงของเขา ‘แต่ก็คงไม่นาน’ เขาเริ่มเปิดใช้โปรแกรมสำรองทันที

“จะไม่คุยกันหน่อยหรือ”

เขายังคงนิ่งเงียบ ปล่อยให้เธอพูดไปฝ่ายเดียว จูเลียตดูเหมือนจะรู้ถึงความคับขันของเหตุการณ์ และไม่เหมือนกับนิสัยของเธอ ที่ครั้งนี้กลับยอมปิดปากเงียบสนิท

“…เธอคือหล่งใช่ไหม”

เขาสะดุ้ง ‘เธอรู้ตัวแล้ว’ แต่มือของเขายังคงขยับไม่ยอมหยุด เขายังคงไม่ยอมแพ้ นี่เป็นเรื่องที่เขาถนัดที่สุด เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับใคร หากเป็นการต่อสู้กันในระบบแบบนี้

ไอรอนสามารถผูกโยงข้อสงสัยของตนในตอนแรกได้บางส่วน ในระหว่างการหลบหนีของคีย์ คำสั่งจากทริกได้ถูกระบบเพิกเฉยหลายครั้ง นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นต้องสามารถเข้าไปในระดับที่ลึกกว่า และหากสามารถทำเช่นนั้นได้ การทำลายระบบป้องกันของเธอก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย

‘เขาไม่ได้เจาะเข้ามา แต่แอบย่องเข้าทางประตูหลัง มันถึงได้ง่ายดายแบบนี้’ แต่เธอก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าระดับในตำนานนั้นจะมีอยู่จริง ระดับที่แม้แต่เธอเองก็ยังลงไปไม่ถึง ลึกๆ ลงไปแล้วเธอรู้สึกเจ็บใจ และอิจฉาในฝีมือของเด็กหนุ่มคนนี้อยู่เหมือนกัน และนั่นทำให้เธอต้องปราบเขาให้ได้

“ไม่มีประโยชน์ ภายใต้อุ้งนิ้วทั้งห้าของยูไลไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดรอดไปได้”

ภาพใบหน้าที่พร่าเลือนของไอรอนค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอหลัก

“เธอเจอเราแล้ว…”

จูเลียตอุทานออกมา แต่เขารีบยกมือห้ามไม่ให้เธอพูดอะไรต่อไปอีก ภายนอกห้องเจ้าหน้าที่พิเศษของสำนักวิทยาศาสตร์ทีมหนึ่ง ที่ตอนแรกถูกส่งมาพบคุรุ เพื่อช่วยจัดการเก็บกวาดสิ่งที่ทริกได้ทำวุ่นวายทิ้งเอาไว้ พึ่งได้รับคำสั่งใหม่ให้ออกปฏิบัติการด่วนทันที

19.

                ‘ยังมีโอกาสอยู่’ ถ้าหากสามารถส่งโปรแกรมสำรองไปให้ได้ทัน ลิงหินอาจยังมีทางรอดได้ แต่ดูเหมือนไอรอนจะอ่านทางออกแล้ว เพราะถึงแม้ว่าเส้นทางในระดับลึกสุดยังคงเปิดโล่ง แต่การผ่านขึ้นสู่ระดับของสำนักงานกลับมีปัญหา ฝ่ามือยูไลพวกนี้ร้ายกาจกว่าที่หล่งคิดไว้

ตอนนี้มีพวกมันแทรกซึมอยู่ในทุกส่วนของระบบ ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันให้กับระดับสำนักงาน ‘มันต้องมีช่องว่างบ้างสิ’ เขาเร่งมือค้นหาแต่ก็ยังไม่พบ

“ไม่มีประโยชน์หรอก มันไม่มีรูโหว่ ฉันรับประกันได้”

เขาขยับมืออีกครั้ง ภาพใบหน้าของเธอบนหน้าจอก็เลือนลางลง แต่พร้อมกันนั้นก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูห้องซึ่งเขาได้ปิดตายเอาไว้ มีใครข้างนอกนั่นกำลังพยายามเปิดมัน โชคดีที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำแบบเดียวกับทริกคนนั้นไม่ได้

“พวกเขามีวิธีการเปิดประตูอยู่หลายวิธี และฉันแนะนำให้ใช้แบบที่รวดเร็วที่สุด”

ดูเหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วว่าการออกคำสั่งเปิดประตูแบบธรรมดานั้นไม่อาจทำได้ และไม่คิดจะให้พวกเขาลองให้เสียเวลา เขานั่งนิ่งอยู่ในเก้าอี้ หน้าแดงก่ำ ก่อนร้องตะโกนออกมาสุดเสียง

“ผมยังไม่แพ้”

แต่จูเลียตคิดว่ามันคงเป็นไปในทางตรงกันข้ามมากกว่า เขาแพ้แล้ว และพวกเธอกำลังจะถูกจับ เธอชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เขา

“ปิดมันเดี๋ยวนี้”

เขาหันมามองหน้า ไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกระซิบบอก

“เราต้องรีบหนีแล้ว ทำลายหลักฐานทุกอย่างทิ้งให้หมด”

มีเสียงระเบิดทึบๆ ดังขึ้นที่หน้าประตู เมื่อสมาชิกคนหนึ่งในทีมใช้กระบองไฟฟ้าตัดทำลายระบบขับเคลื่อนของประตูได้สำเร็จ หลังจากนี้พวกเขาก็แค่ใช้แรงเปิดมันออกด้วยมือเท่านั้น

เจ้าหน้าที่พิเศษอีกสองคนช่วยกันออกแรงดัน และพวกเขาต้องพบกับความประหลาดใจ มันยังไม่ยอมเปิดออกโดยง่าย ดูเหมือนว่าประตูบานนี้จะมีสิ่งผิดปกติมากกว่าที่คิด มันคงเป็นผลงานการแอบดัดแปลงเพิ่มเติมจากเจ้าของห้อง

“คนเราต้องมีการเรียนรู้กันบ้าง”

เขาประกาศเสียงดังพร้อมรอยยิ้มอย่างพอใจ เขาได้แอบติดตั้งตัวกั้นประตูเพิ่มเข้าไปอีกชั้น มันคงช่วยถ่วงเวลาได้อีกพักใหญ่ แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นที่แก้ม เขาไม่ทันตั้งตัว จึงได้แต่จ้องหน้าเธออย่างประหลาดใจ ว่าทำไมต้องตบหน้าเขาแบบนี้

“ได้สติหรือยัง เธอแพ้แล้ว เราต้องรีบหนี”

เธอกระซิบเร่งเร้า

“…แต่ว่า…ฉันยัง…”

เขากระซิบตอบได้แค่นั้น เขาอยากเถียงเธอว่าตัวเองยังไม่ได้พ่ายแพ้ แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ทั้งหมด เขาก็ต้องยอมรับ ‘ฉันแพ้แล้ว’ เขาพ่ายแพ้ต่อไอรอนในสังเวียนที่เขามีความเชื่อมั่นมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่มีเจ้าหน้าที่พิเศษพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาก็คงไม่สามารถหาทางเจาะเข้าไปในระบบสำนักงานได้ทันเวลา ลิงหินได้พ่ายแพ้ให้กับยูไลแล้ว

“…แต่…เราจะหนีได้อย่างไร”

เขากระซิบตอบ เธอมองหน้าเขาอย่างงงงัน ไม่ใช่ในเรื่องที่เขายอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง แต่เป็นเรื่องที่ว่า ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เตรียมทางหนีทางอื่นเอาไว้อีกแล้ว เธอรู้สึกอยากตบหน้าเขาอีกสักครั้ง ตบให้แรงยิ่งกว่าในครั้งแรกด้วย

“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก รวมทั้งเพื่อนหญิงของเธอที่ฉันได้ยินเสียงด้วย ฉันก็แค่อยากพบ และคุยอะไรด้วยนิดหน่อยเท่านั้น…พวกเธอเคยคิดอยากจะเข้าทำงานในสำนักวิทยาศาสตร์บ้างไหม”

‘ได้เวลาต้องใช้ไม้นวมบ้างแล้ว’ เด็กพวกนี้จะถูกลงโทษแน่ แต่ต้องหลังจากที่เธอได้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับในตำนาน การเข้าถึง และที่สำคัญที่สุด เขาได้ค้นพบอะไรจากในนั้นบ้างแล้วหรือไม่ อะไรบางอย่างที่เธอเคยเฝ้าค้นหา อะไรบางอย่างที่เธอเคยตัดใจว่า มันคงเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น

‘แต่ถ้าระดับลึกสุดมีจริง บางที สิ่งนั้นก็อาจจะมีจริงด้วย’ ความรู้สึกตื่นเต้นพลันแล่นไปทั่วทั้งร่าง มันจะเป็นยิ่งกว่า การฟื้นฟูโลก ในครั้งนั้นเสียอีก เพราะมันอาจมีคำตอบให้กับปัญหาที่มวลมนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ ปัญหาที่เธอพยายามปกปิดเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ปัญหาที่ทำให้เรื่องการขาดแคลนพลังงานกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กไป

“พวกเธอแต่ละคน ได้แสดงความสามารถให้ฉันเห็นแล้ว โดยเฉพาะเธอ หล่ง ฉันประทับใจกับความสามารถของเธอมากที่สุด”

เธอดูผลการวิเคราะห์โปรแกรมลิงหินของเขาด้วยความสนใจ มันไม่ได้ซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของเธอ แต่มันมีลักษณะเฉพาะตัวที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิธีคิดที่แหวกแนวไม่เหมือนใครของผู้เขียนโปรแกรม และมันทำให้เธอหวนนึกถึงตัวเองในสมัยก่อน

‘แหกคอก ประหลาด และคาดไม่ถึง’ นั่นเป็นสิ่งที่ใครหลายคนเคยใช้อธิบายตัวเธอในอดีต และเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่แตกต่างกันนัก

“ฉันกำลังต้องการคนอย่างพวกเธอ คนรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยกันทำให้สำนักงานแห่งนี้ก้าวไปข้างหน้า นำพามนุษยชาติให้ก้าวไปในหนทางที่ถูกต้อง”

‘ฉันพูดมากเกินไปหรือเปล่านะ’ ภาพบนจอเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อีกครั้ง ดูเหมือนเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ และล้มเลิกการต่อต้านที่ไร้ประโยชน์นั้นแล้ว ในที่สุดภาพบนจอก็แจ่มชัด แต่กลับไม่มีใครอยู่ในตำแหน่งนั้น ‘เกิดอะไรขึ้น’

มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาที่หน้าจออย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นแสบแก้วหู แล้วหลังจากนั้นก็มีเพียงความมืดมิด กับความเงียบ ทั้งหมดนี้หมายความได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ‘เขาปิดมันแล้ว’ และไม่เหมือนกับในครั้งที่แล้ว ดูเหมือนว่าคราวนี้เขาเลือกใช้วิธีการที่รุนแรง

‘เจ้าเด็กบ้า’ ครั้งนี้เขาตั้งใจที่จะปิดศูนย์บัญชาการอย่างถาวร มันจะไม่สามารถคืนชีพได้อีกแล้ว และถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงจะทำลายอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลทั้งหมดไปพร้อมกันแน่

“เข้าไปได้หรือยัง”

เธอรีบติดต่อกับทีมเจ้าหน้าที่พิเศษที่ส่งไป เนื่องจากว่าภารกิจในตอนแรกนั้นเป็นเพียงการเก็บกวาด เจ้าหน้าที่พวกนี้จึงไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนักกับงานที่พึ่งได้รับมอบหมายใหม่นี้

“…อีกสักครู่ครับท่าน”

“บ้าจริง รีบหน่อยสิ”

“ครับท่าน”

ถ้าไม่มีข้อมูลเหล่านั้น เธอก็จำเป็นต้องรีดมันออกมาจากเขาโดยตรง ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบนัก แต่ก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว และเธอคงต้องลงมือด้วยตนเอง เพราะข้อมูลพวกนี้มีความสำคัญมากจนไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ ‘ฉันไม่ชอบการทรมานพวกนั้นเลย’ โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเท่านั้น

เธออดทนรออย่างร้อนใจ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าหงุดหงิด

“เปิดได้แล้วครับท่าน”

“ดี จับตัวพวกเขาเอาไว้ แล้วรีบตรวจดูเครื่องไอพีดัดแปลงภายในห้องนั้น ว่ายังพอใช้การได้หรือไม่”

“…ท่านครับ…”

“หาทางถอดอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลออกมา ค้นดูห้องนั้นให้ทั่วว่ายังมีอะไรที่คล้ายกับอุปกรณ์ประเภทนั้นอีกหรือไม่ เก็บมาให้หมดทุกชิ้น ส่งทั้งหมดนั่นมาพร้อมกับพวกเด็ก…และอย่าทำอะไรรุนแรงเกินไปด้วย”

“…ท่านครับ…”

เธอรู้สึกรำคาญเจ้าหน้าที่คนนี้เต็มที

“มีอะไรก็รีบว่ามา”

“…ครับ…คาดว่าเครื่องมืออะไรก็ตามที่อยู่ในห้องนี้คงเสียหายหมดแล้ว พวกผมจะพยายามค้นหาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล หรืออะไรก็ตามที่คล้ายกันแล้วรีบส่งกลับไปทันที…ส่วนเป้าหมายที่เคยอยู่ในห้องนี้…พวกเขาหลบหนีไปแล้วครับ”

เธอไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย

“พวกมันจะหายไปไหนได้”

“…พวกเขาปีนเข้าไปในท่อระบายอากาศครับ พวกเรากำลังพยายามค้นหาตำแหน่งพวกเขาด้วยไอพี แต่ว่า…”

เธออยากจะกรีดร้อง ‘จะไปเจอได้ยังไงกันเล่า’ พวกเขาน่าจะรู้ตัว ตั้งแต่ที่เธอเคยบอกไปแล้วว่าอย่าเชื่อไอพีให้มากนัก ก่อนหน้านี้ไอพีของพวกเขาก็เคยแจ้งตำแหน่งห้องของหล่งผิดไปจากความเป็นจริง และเป็นเธอที่ส่งพิกัดที่ถูกต้องไปให้ อีกทั้งยังย้ำกับพวกเขาว่าอย่าเสียเวลาใช้ไอพีเพื่อเปิดประตูห้อง แต่แล้วพวกเขาก็ยังคงคิดจะใช้ไอพีค้นหาตำแหน่งเด็กพวกนี้อีก

“รีบค้นห้องไป ฉันจะหาตำแหน่งพวกเขาให้เอง”

“ครับท่าน”

ดูเหมือนว่าเขาจะยังสามารถก่อกวนระบบของโรงเรียนอพอลโลแห่งนั้นได้อยู่ ‘ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร สำหรับคนที่มีฝีมือระดับเขา’ แต่เมื่อไม่มีศูนย์บัญชาการแล้ว การจะหลบซ่อนตัวจากเธอคงทำได้ไม่ง่ายนัก ‘มาลองดูกันหน่อย’

แล้วเธอก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อมีโปรแกรมแปลกปลอมบางอย่างทำการต่อต้านคำสั่งของเธอ พวกมันคือ พราย และ พิก ซึ่งเป็นโปรแกรมรุ่นเก่าที่เขาโหลดทิ้งเอาไว้ให้ป่วนระบบของโรงเรียน ก่อนที่จะทำลายศูนย์บัญชาการทิ้งไป

พรายเป็นโปรแกรมรุ่นแรกสุดจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้เลย แต่มันมองดูคล้ายกับโปรแกรมทั่วไป จึงทำให้ตรวจพบได้ยาก ในขณะที่พิกเป็นรุ่นที่มีการพัฒนามากกว่า อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถึงสามสิบหกรูปแบบด้วย

ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่อาจเทียบได้กับลิงหินที่ถูกจับไป แต่เนื่องจากโครงสร้างของโปรแกรมแต่ละชุดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาจึงคาดว่ามันคงจะสร้างความปวดหัวให้กับเธอได้ไม่น้อย ในขณะที่พวกเขาหลบหนีเข้าไปในระบบระบายอากาศ ซึ่งเป็นความคิดของจูเลียต

“…ท่านคะ”

เสียงของทรีดที่ดังแทรกขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้เธอสะดุ้ง

“มีอะไร”

“ทริกมาถึงแล้วคะ”

“ดี เธอใช้เส้นทางนั้นเข้ามาใช่ไหม ฉันจะรีบเปิดให้เดี๋ยวนี้”

ในปัจจุบันมีอยู่เพียงสามคนเท่านั้นที่รู้จักเส้นทางลับสายนี้ มันคือทางออกฉุกเฉินที่จะใช้ในยามจำเป็น และหากไม่มีคำสั่งโดยตรงจากเธอ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจผ่านเข้าออกได้

“…เปล่าคะ…ตอนนี้ เธออยู่ที่หน้าประตูหลัก กำลังเผชิญหน้ากับท่านประธานสภาค่ะ”

“ว่าอะไรนะ”

ไอรอนแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

#####

                โนอาจ้องมองดูผู้หญิงรูปร่างแบบบาง สวมใส่เสื้อคลุมของผู้พเนจรที่ยืนอยู่ตรงหน้า แม้จะอยู่ในรูปแบบที่แตกต่าง แต่ใบหน้า และดวงตาคู่นั้นย่อมไม่ผิดพลาด แถมเธอยังแนะนำตัวเองอย่างชัดเจนอีกด้วย

“ฉันคือทริก”

“…เธอคือ ทริก คนนั้น”

เธอเพียงพยักหน้าไม่ตอบคำ

“ท่านไม่ควรมาอยู่ตรงนี้”

เขาเลิกคิ้ว พร้อมรอยยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น ฉันควรไปอยู่ที่ไหนหรือ”

“ในสภา ในที่ของท่าน ที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่”

คิ้วที่เลิกขึ้นไปนั้นขมวดเข้าหากัน แต่รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไป

“…ถ้าที่นี่เป็นทุ่งดอกไม้ก็คงจะดี”

เมื่อได้ยินคำว่า ทุ่งดอกไม้ เธอกลับเป็นฝ่ายที่แสดงความแปลกใจออกมา ก่อนที่มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก รอยยิ้มอย่างพึงพอใจ

เสื้อคลุมของเธอโบกปลิวทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด เธอยกมือขึ้นประสานกันในระดับอก ก่อนค้อมศีรษะลงเล็กน้อย สายตาจับจ้องอยู่ที่มาสะมุเนะเล่มนั้น บรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดขยับถอยหลังไปอย่างลืมตัว รวมถึงเจ้าหน้าที่พิเศษซึ่งติดตามเข้ามาดูเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน คงมีกริมเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ในที่เดิม

เขาเปลือยดาบคู่ใจออกจากฝักอย่างรวดเร็ว ยกมันชูขึ้นด้วยสองมือเหนือศีรษะเหมือนกับเมื่อตอนที่ทำการประลองก่อนหน้านี้ แต่กริมสามารถรับรู้ได้ว่า มันแตกต่างจากในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะมีความกดดันจากคมดาบอย่างรุนแรงแล้ว มันยังแฝงรังสีการฆ่าฟันที่เข้มข้นอีกด้วย

กริมต้องพยายามแทบตายจึงสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมนั้นต่อไปได้ แต่คู่ต่อสู้ที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับเขา กลับมีใบหน้าที่สงบเยือกเย็นอย่างประหลาด ตำแหน่งแขนทั้งสองยื่นออกมาข้างหน้าอย่างสบายๆ ขาทั้งสองย่อลงอย่างผ่อนคลาย และไม่มีทีท่าว่าจะบุกจู่โจมแต่อย่างใด

‘ถ้าปล่อยให้ดาบเป็นฝ่ายรุกก่อนจะยิ่งเสียเปรียบ’ นั่นเป็นความคิดของคนส่วนใหญ่ แต่โนอายังคงยืนนิ่ง ปลายดาบไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย

“…ทำไมร่างของเธอถึงกลายเป็นแบบนี้”

“นี่คือตัวฉันที่แท้จริง ไม่ใช่ที่เห็นก่อนหน้านี้”

“รวมถึงพลังทำลายพวกนั้นด้วยหรือเปล่า”

นั่นเป็นสิ่งที่ใครหลายคนกำลังคิดอยู่เช่นกัน กริมพอจะคาดเดาออกแล้วว่าในยามปกติ เธอคงสวมใส่ชุดกล้ามเนื้อเทียม อาวุธลับที่เขาเคยได้ยินแต่ชื่อเอาไว้ นั่นคงเป็นที่มาของร่างกายอวบอัด และอาจรวมถึงพลังอันมหาศาลของเธอด้วย แต่เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะเพียงร่างกายเปล่าๆ ของเธอในตอนนี้ มันก็ดูอันตรายไม่แตกต่างไปจากเดิมเลยสักนิด ‘ไม่สิ บางทีอาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ’

“เรื่องนั้น ท่านคงต้องเข้ามาทดสอบดูเอง”

เธอยิ้ม เขาก็ยิ้ม ‘ไม่มีช่องว่างเลย’ เขาพร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเมื่อ แต่ท่าร่างที่ดูผ่อนคลายนั้น กลับเรียบลื่นไร้รอยต่อ ‘ปกติเธอใช้มวยแข็ง แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาใช้มวยอ่อน เป็นเพราะสภาพร่างกายแบบนั้นหรือเปล่านะ’ เขาเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับชุดกล้ามเนื้อเทียมลึกลับนั้นมาบ้างเหมือนกัน

‘ฝีมือดีมาก’ เธอคิดไม่ถึงเลยว่าภายในเมืองจะมีคนที่มีฝีมือสูงเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ ‘ต้องเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแน่’ ที่มาของเพลงดาบเช่นนี้ มีคำตอบได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นถึงประธานสภานวโลกา ประวัติของเขาต้องถูกตรวจสอบมาอย่างละเอียดแล้ว

เธอคิดจะถ่วงเวลาให้เขาไม่อาจถอย หรือลงมือจู่โจม ติดอยู่ตรงกลางแบบนั้นจนเปิดเผยช่องว่างออกมาเอง แต่จนถึงตอนนี้ ความแหลมคมจากท่าร่างของเขายังคงไม่ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย มันมีแต่จะเพิ่มความกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ

‘เรื่องทุ่งดอกไม้ที่พูดออกมา คงไม่ใช่ความบังเอิญแน่’ ชั่วพริบตาที่ความคิดของเธอ หวนคำนึงถึงทุ่งดอกไม้ ความต่อเนื่องไร้รอยต่อที่ดำเนินมาพลันสั่นไหว รังสีการฆ่าฟันแทรกตัวผ่านเข้ามาในวงพื้นที่ของเธอ พลังที่เขาสะสมอยู่ทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมา

กริมมองเห็นมันเป็นเพียงภาพที่เลือนลาง ชั่วพริบตาที่ดูเหมือนยาวนานอย่างไม่สิ้นสุด แต่เป็นชั่วพริบตาที่รวดเร็วยิ่งกว่าการกระพริบตา เงาสีเงินถูกขีดวาดผ่านอากาศ คำที่มันขีดเขียนขึ้นนั้นมีเพียงคำเดียว ‘ฆ่า’ เขารู้สึกราวกับว่าดาบนั้นกำลังผ่าเข้ามาในร่างของเขา นักสู้คนอื่นๆ ที่เฝ้าดูอยู่ต่างเกิดความรู้สึกเช่นเดียวกัน ราวกับว่าดาบนี้ได้ฟันใส่พวกเขาทั้งหมดในคราวเดียว

มาสะมุเนะพุ่งตัดผ่านอากาศ ‘ไม่มีดาบที่สอง’ ความคิดของโนอามีเพียงหนึ่งเดียว มีเพียงดาบแรกนี้เท่านั้น จะไม่มีดาบที่สองอีก

20.

                เด็กหญิงรูปร่างผอมบางจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ยืนย่อเข่า ตั้งท่าอยู่ใต้ ต้นไม้ รูปแบบชีวิตอันแสนล้ำค่าที่กำลังจะตาย เปลือกไม้ทั้งต้นนั้นเป็นสีดำสนิทดุจถ่าน บนกิ่งก้านที่หงิกงอเป็นปุ่มปม หลงเหลือใบไม้แห้งสีดำเช่นเดียวกัน ติดอยู่เพียงไม่กี่ใบ

เธอสูดลมหายใจ ก่อนเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายให้สอดผสานไปกับกระแสของทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย สายลมพัดหมุนวน สองมือเคลื่อนไหวต่อเนื่อง สองเท้าย่างก้าวแผ่วพลิ้ว เมฆหนาไหลเอื่อยบดบังท้องฟ้า นานๆ ครั้งจึงจะมีแสงสว่างส่องลอดผ่านลงมาถึงพื้นดิน

ภายใต้อากาศเยียบเย็น เธอมีเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวสวมปกปิดกาย ถึงแม้เรือนร่างนั้นจะแบบบาง แต่เมื่อเคลื่อนไหวดุจร่ายรำเช่นนี้ กลับทำให้รู้สึกชวนลุ่มหลงไม่ใช่น้อย น่าเสียดายที่ผู้รับชมกลับมีเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือร่างเล็กๆ ที่นอนหลบซ่อนกายอยู่ใต้กองผ้า สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าผู้นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ คือการกระเพื่อมไหวน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นถึงลมหายใจ

ส่วนชายอีกผู้หนึ่งกลับยืนหันหลัง ทอดสายตามองไกลไปที่สุดขอบฟ้า ร่างกำยำสูงใหญ่นั้นยังดูหนุ่มแน่น แต่ในแววตาทั้งสองแฝงไว้ด้วยความรันทด คล้ายรู้ตัวว่าไม่มีอนาคตดีงามอันใดหลงเหลืออยู่

สายลมเปลี่ยนเป็นพัดเร่งเร้า เมฆหนาเบียดตัวกันแน่นจนกลายเป็นหยาดฝนโปรยปราย ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก การร่ายรำของเธอก็เปลี่ยนท่วงทำนอง จากท่าร่างที่เคยอ่อนช้อยงดงาม กลายเป็นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่ละเท้าที่กระแทกพื้นทำให้แผ่นดินสะเทือน แต่ละหมัด แต่ละฝ่ามือ ทั้งรวดเร็ว ทั้งดุดัน

ท่วงทำนองดนตรีแห่งธรรมชาติเร่งเร้าจนถึงขีดสุด ร่างน้อยๆ พลันหายไปจากสายตา พร้อมบังเกิดเสียงดังราวกับฟ้าร้อง ต้นไม้ใกล้ตายส่ายไหวสะเทือน ทอดทิ้งใบแห้งกรอบที่เหลืออยู่ให้ร่วงหล่นลงมา สายฝนหยุดลงหลังจากที่พึ่งตกเพียงระยะเวลาสั้นๆ สายลมเองก็หยุดพัดเช่นกัน

เธออยู่ในจุดสิ้นสุดของการออกหมัดตรง กำปั้นที่กำไว้หลวมๆ อยู่ห่างจากลำต้นสีดำนั้นเพียงเล็กน้อย เธอผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ก่อนกลับคืนสู่ท่วงท่าแห่งการเริ่มต้น ใบไม้ร่วงหล่นลงสัมผัสผืนดิน การร่ายรำสิ้นสุดลงแล้ว

ชายผู้นั้นพลันส่ายหน้า ทอดถอนใจ เธอเองก็ยืนเหม่อมองใบไม้แห้งอีกหนึ่งใบที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนกิ่งหงิกงอ สีหน้าแสดงความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน

ชายหนุ่มยกมือขึ้นช้าๆ วางทาบลงที่ต้นไม้อย่างแผ่วเบา คล้ายสัมผัสของคนรัก คล้ายสัมผัสจากมารดา ห่วงใย และอบอุ่น ใบไม้แห้งดำกรอบพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสีเขียวนวลตา ก่อนร่วงหล่นลงมาจากกิ่ง เด็กน้อยทั้งสองจ้องมองดูสีแห่งชีวิตนั้นอย่างไม่วางตา

แต่เมื่อใบไม้ร่วงหล่นถึงพื้น เด็กทั้งสองจึงพบเห็นว่า มันเองก็เป็นสีดำสนิท ไม่แตกต่างจากใบไม้อื่นๆ ก่อนหน้านี้เลย เสียงลั่นเสียดอากาศพลันดังขึ้น ที่มาของเสียงนั้น คือลำต้นที่กำลังฉีกขาดของต้นไม้ใกล้ตายเมื่อครู่นี้เอง มันโยกเอนไปมาก่อนล้มฟาดลงบนพื้น

เมื่อทุกอย่างสงบลง พวกเธอจึงพบว่า ชายหนุ่มผู้นั้นได้จากไปแล้ว ชายหนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ชายหนุ่มที่สอนให้พวกเธอรู้จักวิชาการต่อสู้ เขาไม่ได้ลงมือช่วยเหลือพวกเธอโดยตรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเพียงถ่ายทอด และเฝ้าดูการดิ้นรนของพวกเธออยู่เงียบๆ

ตลอดเวลาที่ทั้งสามอยู่ร่วมกัน เขาไม่เคยเอ่ยคำพูดออกมาแม้แต่คำเดียว จนพวกเธอเข้าใจว่า เขาไม่สามารถพูดจาส่งเสียงได้ แต่วันนี้พวกเธอได้รู้แล้วว่า มันเป็นความคิดที่ผิด

“…ได้เวลาค้นหาทุ่งดอกไม้ของฉันแล้ว ลาก่อน…”

เสียงนุ่มนวลแผ่วเบานั้นเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม จนไม่อาจจับทิศจำแนกทางได้ และพวกเธอเองก็ไม่ได้คิดจะดิ้นรนติดตามค้นหาเขาแต่อย่างใด หนทางได้นำพาทั้งสามคนมาพบกัน และตอนนี้หนทางก็นำพาเขาจากไปแล้ว พวกเธอสองพี่น้องยังคงมีกันและกัน หนทางก่อนหน้านี้เป็นเช่นไร ต่อไปก็เป็นเช่นนั้น

เรายังคงมีกันและกันตลอดไป

#####

                ประกายดาบไม่ได้เป็นสีเขียว แต่ในสายตาของทริก มันเป็นดั่งสีเขียวของใบไม้ใบสุดท้ายในวันนั้น ‘ใบไม้ร่วงหล่น ชีวิตดับสูญ’ ร่างของเธอพลันเลือนหายไปจากสายตาของทุกคน แม้แต่กริมเองก็ยังไม่อาจมองเห็น

#####

                โนอาในวัยหนุ่มมองดูสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจ เขาเคยแอบออกมาผจญภัยนอกเมืองแบบนี้หลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยพบเจอกับของสิ่งนี้มาก่อน ในพริบตาแรกที่ได้เห็น เขาก็เกิดความรู้สึกที่ยากอธิบายขึ้นมาในทันที

“มันคืออะไรกัน”

“มันเป็นอาวุธสังหาร ที่เรียกว่าดาบ”

“…ดาบ”

คำสั้นๆ ที่กระชับชัดเจน มันเป็นชื่อที่ถูกต้อง แค่เพียงเปล่งเสียงก็ทำให้เขามองเห็นภาพการสังหารของมันได้ภายในห้วงความคิด ‘ดาบ’ ฟาดฟัน ‘ดาบ’ ตัดเฉือน ‘ดาบ’ ทำลาย ‘ดาบ’ ตาย คำว่า ดาบ ก้องสะท้อนไปมาอยู่ในห้วงความคิดของเขา

โคจิโร่ ชายหนุ่มคู่สนทนาที่นั่งอยู่พลันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของคนเมืองที่อยู่ต่อหน้า เขาทำการซื้อขายดาบมาหลายปี มีโอกาสได้เจอกับลูกค้าที่หลากหลาย ความรู้สึกเช่นนี้เขาเคยพบจากผู้พเนจรที่มีฝีมือเก่งกาจบางคนเท่านั้น

เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่า หนุ่มชาวเมืองที่ไม่เคยรู้จักกับดาบ จะสามารถสร้างบรรยากาศกดดันที่เข้มข้นแบบนี้ขึ้นมาได้ ขนที่หลังคอของเขาตั้งชัน จนต้องพยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้ ไม่ให้ยื่นมือออกไปคว้าดาบที่วางอยู่ระหว่างทั้งสองขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันตัว

ประตูห้องพลันเลื่อนเปิดออก ชายหนุ่มรูปร่างสูงสมส่วนอีกคนหนึ่งยืนจับจ้องมองมาที่คนเมืองแปลกหน้าผู้นั้น โคจิโร่จึงฉวยโอกาสลุกขึ้นเพื่อแนะนำผู้มาใหม่ แต่ความจริงแล้ว เขาต้องการหลบออกมาสู่ระยะปลอดภัยนั่นเอง ‘ทำไมต้องกลัวถึงขนาดนี้ด้วยนะ ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด’

“นี่คือ มุซาชิ เป็นช่างตีดาบมือหนึ่งของเรา”

ใจของโนอาหลุดออกจากความคิดเรื่องดาบ เหลียวหน้าไปมองผู้มาใหม่ บรรยากาศกดดันคลี่คลายลง โคจิโร่ถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ส่วนทางนี้คือ…”

“คนเมืองมาทำอะไรที่นี่”

“…เขาเป็นลูกค้าของเรา”

โคจิโร่พึมพำเบาๆ ก่อนก้มหน้าหลบสายตา

“เราไม่ควรขายอาวุธให้กับคนเมือง”

มุซาชิพูดออกมาตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ โนอายิ้มอย่างใจเย็น

“ผมคิดว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์มาก โดยเฉพาะกับทางพวกคุณ ซึ่งสามารถร้องขอสิ่งแลกเปลี่ยน เป็นสินค้าหายากที่มีแต่เฉพาะภายในเมืองได้ด้วยนะครับ”

โคจิโร่ตาลุกวาวเมื่อได้ยินข้อเสนอ แต่ดูเหมือนว่ามุซาชิจะไม่ค่อยสนใจนัก

“…ฉันคิดว่าสำนักวิทยาศาสตร์คงไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้”

สีหน้าของโนอาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ก่อนที่เขาจะกลับมายิ้มเช่นเดิม

“ผมสามารถจัดการให้พวกเขาไม่เข้ามาเกี่ยวข้องได้”

น้ำเสียงที่เชื่อมั่นนั้น ทำให้โคจิโร่เผลอพยักหน้าอย่างพอใจ การค้าที่ทำกำไรดีเช่นนี้มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ แต่น่าเสียดายที่มุซาชิดันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ‘เจ้าคนหัวแข็งไม่เข้าเรื่อง แต่ถ้าเขาไม่ยอมตกลง ฉันคงกล่อมได้ลำบาก’

“หยิบดาบขึ้นมา แล้วออกไปข้างนอกกับฉัน”

คำพูดนี้ของมุซาชิทำเอาโคจิโร่หน้าซีดลงในทันที

“…นายคิดจะทำบ้าอะไร เขาเป็นเพียงแค่…”

เขามองมา และมันทำให้โคจิโร่ต้องรีบปิดปากลง ขนที่หลังคอตั้งชันขึ้นอีกครั้ง ‘แววตาแบบนั้น ซวยแล้ว’ บรรยากาศกดดันที่คนเมืองปลดปล่อยออกมาเมื่อครู่นี้คงชักนำเขาออกมา แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่ไม่เคยจับดาบมาก่อนเลย ทำไมเขาต้องรู้สึกสนใจมากมายขนาดนี้ด้วย ‘แม้แต่ผู้พเนจรที่เก่งกาจ เขายังไม่เคยใส่ใจเลย’

โนอายิ้มด้วยความตื่นเต้น ก่อนยื่นมือออกไปหยิบดาบที่วางอยู่ขึ้นมา ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบเห็นอาวุธเช่นนี้ แต่เขาเคยฝึกการใช้กระบองไฟฟ้ามาจนชำนาญแล้ว เขาคิดว่าพวกมันคงไม่ต่างกันมากนัก

มุซาชิที่สงบเงียบเดินนำหน้า ต่อมาคือโนอาที่กำลังคึกคัก ปิดท้ายด้วยโคจิโร่ที่ดูวิตกกังวล มุซาชิเดินไปอย่างเชื่องช้า เปิดเผยแผ่นหลังให้กับโนอาที่มีดาบอยู่ในมือ ‘มันช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน’ แผ่นหลังของคนที่อยู่ข้างหน้านั้น มีพลังดึงดูดดาบในมือของเขาอย่างรุนแรง

ใจของโนอากลับมาจดจ่ออยู่กับดาบในมือ สภาวะกดดันก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ‘ฉันจะฟันได้ไหมนะ’ มุซาชิเดินต่อไปราวกับไม่รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นทางเบื้องหลัง โคจิโร่หลั่งเหงื่อเย็นเยียบทั่วกาย ได้แต่ภาวนาซ้ำไปซ้ำมาอยู่ภายในใจ ‘อย่าชักดาบเชียวนะ อย่า’

ในที่สุดทั้งสามก็เดินออกสู่ภายนอก สิ่งที่หยุดโนอาไว้จากการชักดาบออกมา คือความนับถือในตนเองของเขา ‘ฉันจะไม่ลงมือจู่โจมใครจากทางด้านหลังอย่างเด็ดขาด’

มุซาชิเดินออกสู่ลานกว้าง มุมปากคล้ายมีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อเขาหันกลับมา รอยยิ้มนั้นก็สลายหายไป ทั้งสองยืนเผชิญหน้าอยู่กลางลานกว้าง โคจิโร่ได้แต่หยุดยืนอยู่ห่างๆ เขาเป็นห่วงถึงผลประโยชน์มหาศาลที่อาจจะหลุดลอยไป ห่วงถึงความยุ่งยากที่อาจจะติดตามมา เพราะชาวเมืองคนนี้ดูเหมือนจะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาเลย

“ดาบของคุณล่ะ”

“เธอรู้จักวิธีจับดาบหรือเปล่า”

โนอาชักดาบออกจากฝัก ก่อนถือมันไว้เหมือนกับกระบองไฟฟ้าที่เคยใช้

“ดาบของคุณล่ะ”

มุซาชิพลิกมือขวา ในมือพลันมีแท่งโลหะสั้นๆ ด้ามหนึ่ง โนอาขมวดคิ้ว เขาพลิกมือซ้ายอีกครั้ง ในมือมีแท่งโลหะเพิ่มขึ้นอีกด้ามหนึ่ง

“นั่นไม่ใช่ดาบ ไม่ใช่แม้แต่อาวุธ…”

เขาพูดได้แค่นั้น เพราะคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครู่นี้ราวกับเป็นคนละคน จะเป็นเศษโลหะ หรืออะไรก็ตาม ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ดาบในมือถูกยกขึ้นในท่าเตรียมพร้อม

โคจิโร่มองดูคนที่เขาเคยคิดว่ารู้จักอย่างไม่อยากเชื่อ เขารู้อยู่แล้วว่ามุซาชิเก็บซ่อนฝีมือในเชิงดาบเอาไว้ และคาดว่าเพื่อนคนนี้คงมีฝีมือเหนือกว่าเขาแน่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีวิถีดาบที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ คำตอบมีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ ‘ผู้อาวุโส’ เขาต้องเป็นเจ้าของหน้ากากใบหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งคู่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครลงมือ

“จะฟันฉันได้ไหมอย่างนั้นหรือ”

มุซาชิเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม โนอาที่ยืนหลั่งเหงื่อจนผิวกายเย็นเยียบไม่ตอบคำ ถึงแม้ดาบในมือยังคงถือได้มั่น แต่เรี่ยวแรงลดลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง

“จงอย่าสงสัยในตัวเอง และดาบในมือ…”

โนอาจ้องคู่ต่อสู้ที่กำลังพูดจาสั่งสอนเขา ความหยิ่งในเกียรติของตนเองพุ่งสูงขึ้นในทันใด ‘ต้องโดนสิ ต้องโดน’

“…นั่นดีขึ้นเยอะ…”

ในชั่วพริบตานั้น โนอาตัดสินใจโถมตัวออกไปสุดแรง ดาบในมือถูกยกชูเอาไว้ในระดับหัวไหล่ มันไม่ใช่ท่าในการใช้กระบองไฟฟ้าอย่างที่เขาเคยเรียนรู้มา แต่ร่างกายของเขาบอกว่า มันเป็นท่วงท่าที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ‘ฟัน’ นั่นเป็นความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่

โนอานอนหงายอยู่บนพื้นในตอนที่เขาฟื้นคืนสติมา ‘เกิดอะไรขึ้น’ ใบหน้าของโคจิโร่โผล่มาให้เห็น ความทรงจำของเขาค่อยๆ เรียงร้อยเข้าด้วยกัน แต่มันจบลงแค่ในตอนนั้น ในตอนที่เขาฟันดาบในมือออกไปสุดแรง

“คุณเป็นอย่างไรบ้าง”

“…ผมแพ้”

“…ใช่ คุณแพ้”

เขาพยายามจะลุกขึ้นยืน โคจิโร่จึงเข้ามาช่วยประคองเอาไว้ เขาเหลียวมองไปรอบๆ ลานกว้าง แต่ไม่พบเห็นผู้ใด

“เขาไปแล้ว”

“ผู้อา…เอ่อ มุซาชิจากไปแล้ว แต่เขาสั่งให้ผมถามคุณเรื่องหนึ่ง…”

ถึงแม้ว่าโคจิโร่จะพยายามพูดจาเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้ เพราะเสียดายฝีมือการตีดาบ และผลประโยชน์ของตัวเอง จนถึงกับยอมสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยความลับนี้ออกไปอย่างเด็ดขาด ‘ฉันไม่อยากสร้างปัญหา’ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจากไปอยู่ดี

“…คุณอยากก้าวเดินไปในวิถีแห่งดาบหรือไม่”

โนอาก้มมองดาบเมื่อครู่ที่ตอนนี้ปักนิ่งอยู่บนพื้น ก่อนพยักหน้าช้าๆ

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะสอนคุณเอง”

โนอาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยปากถาม

“…แล้ว แล้วผมจะได้สู้กับเขาอีกหรือไม่”

โคจิโร่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เขาก็เข้าใจ ‘คงมีแต่คนแบบนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ท่านผู้อาวุโสสนใจได้’ เขานึกถึงคำพูดก่อนจากไปของมุซาชิ

“เขาเป็นอัจฉริยะที่ยากพบพาน จงสอนพื้นฐานทั้งหมดให้กับเขา แล้วสักวันหนึ่ง ฉันจะได้ประลองกับเขาอีกครั้ง มันจะเป็นวันที่ฉันรอคอย วันที่ดอกไม้บานเต็มทุ่งสำหรับฉัน”

“แล้วท่านผู้อาวุโสจะเจอกับเขาอีกครั้งได้อย่างไรกัน”

มุซาชิเผยยิ้มกว้าง ตอบคำถามนั้น แล้วเดินจากไป เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มแบบนั้น เขาบอกกับโนอาด้วยคำตอบเดียวกับที่ได้รับมา

“เมื่อคุณพร้อม โชคชะตาจะนำพาให้ได้พบกับเขาเอง”

และมันก็เป็นความจริงตามนั้น อีกหลายปีต่อมา ทั้งสองก็มีโอกาสได้พบกันในวิถีแห่งดาบอีกครั้ง

#####

                โนอาไม่สงสัยเลยว่า เขาจะฟันโดนหรือไม่ ถึงแม้ร่างของทริกจะหายไปต่อหน้าต่อตา เขาก็ไม่สงสัย ‘ไม่มีดาบที่สอง’ ดาบของเขาเองก็หายไปแล้วเช่นกัน

‘ดอกไม้แดงบานเต็มทุ่ง ช่างงดงามเหลือเกิน’ นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของมุซาชิ และในตอนนี้ดอกไม้แดงก็ผลิดอกบานอีกครั้ง โลหิตสีแดงสดสาดกระจาย ร่างของทริกล้มหงายไปทางด้านหลัง เสื้อคลุมฉีกเปิดกว้าง เผยให้เห็นรอยดาบพาดยาวจากหัวไหล่ถึงท้อง

“พอได้แล้ว”

ประตูบานสุดท้ายเลื่อนเปิดออก หญิงเหล็กก้าวเท้าออกมาจากป้อมปราการของเธอ โดยมีทรีดคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ยูดารีบหลบสายตาเพื่อนเก่าที่กวาดมองมา ส่วนโนอาก็เช็ดเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบดาบจำนวนเล็กน้อย ก่อนเก็บคืนสู่ฝัก ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดยืนรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ทรีดเดินไปยังร่างของทริก ก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ไม่มีใครคิดเข้าไปขัดขวางพวกเธอ ทั้งสองกระซิบกันสองสามคำ ก่อนที่ทริกจะล้วงหน้ากากใบนั้นส่งให้กับทรีด

“สุดท้ายฉันก็ทำไม่สำเร็จ เหมือนในวันนั้น ใบไม้ใบสุดท้ายยังคงไม่ยอมร่วงหล่นลงมา พี่คะ…ภาระหน้าที่…คำมั่นสัญญา มันได้เวลา…”

“พักก่อนเถอะ พี่รู้แล้ว”

ทรีดกลับไปยืนเคียงข้างไอรอนอีกครั้ง และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด หญิงเหล็กหันหลังแล้วรีบเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของเธอทันที

“จัดการให้เรียบร้อยนะ”

ประตูปิดลงอีกครั้ง และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเธอ โนอาพลันรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แล่นไปตามไขสันหลัง เขาจ้องมองความเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงที่ยืนอยู่ต่อหน้า ใบหน้าที่ประหลาดใจของเขา ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มกว้างอย่างยินดี

21.

                นับตั้งแต่ ไอมานเด้ รอนโนวิช เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์ เธอก็แทบไม่เคยก้าวเท้าออกจากสภานวโลกาอีกเลย ครั้งนี้นับเป็นข้อยกเว้น และเธอก็ได้แต่รู้สึกเจ็บใจ ที่นำพาตัวเองมาตกอยู่ในอันตราย นำชีวิตอันแสนมีค่าของเธอ มาติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้พเนจร

ทีมเจ้าหน้าที่พิเศษซึ่งเคยทำให้เธอภาคภูมิใจ ได้ต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการจู่โจมอย่างดุดันของผู้พเนจรเหล่านี้ได้ ในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เมื่อเธอรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตกำลังจะจบสิ้นลง เด็กสาวคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา

นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบเห็นวิชาการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอันยอดเยี่ยม และงดงามเช่นนี้ เธอได้เห็นพลังทำลายของคู่ต่อสู้ซึ่งมีร่างกายกำยำสูงใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่เด็กสาวร่างแบบบาง ถูกดึงดูดไปด้วยการร่ายรำของแขน และมือ ร่วมกับวิธีการก้าวเท้าอย่างแยบคาย

วงกลมใหญ่น้อยถูกเด็กสาววาดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ภายใต้วงเหล่านี้ พลังทำลายทั้งหมดจะถูกชักนำให้เคลื่อนไปสู่ทิศทางแห่งหายนะ พวกเขาต่างเสียหลัก ซวนเซ บางคนถึงกับล้มลงโดยไม่รู้ตัว พวกเขาต่างถูกทำร้ายด้วยพลังทำลายของตัวเองทั้งสิ้น

เมื่อพวกเขาเริ่มลังเลที่จะจู่โจม นั่นจึงเป็นเวลาที่เด็กสาวเปลี่ยนท่วงทำนองของตนเอง วงกลมทั้งหมดสูญสลายไป เหลือเพียงเส้นตรงที่เกิดจากการขีดวาดด้วยหมัดเท้า พลังทำลายที่รุนแรงถูกปลดปล่อยออกมา ความแข็งแกร่งขององค์ประกอบสำคัญในร่างกายมนุษย์ทั้ง กระดูก และกล้ามเนื้อ ถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่

การต่อสู้ดำเนินไป จากวงกลมเป็นเส้นตรง จากเส้นตรงเป็นวงกลม จนบางครั้งพวกเขาก็แยกไม่ออกว่ามันเป็นวงกลม หรือเส้นตรงกันแน่

ไอรอนไม่เคยรู้จักวิชาการต่อสู้ เธอจึงไม่รู้ว่าตามปกติแล้วมวยอ่อน และมวยแข็งนั้น จะถูกแยกออกจากกัน วิชาการต่อสู้แขนงหนึ่งแขนงใด มักเลือกเดินไปในเส้นทางเพียงสายเดียวเท่านั้น แต่เด็กสาวกลับสามารถผสมผสานใช้ทั้งสองสายออกมาได้อย่างไม่ติดขัด แม้แต่ในหมู่ผู้พเนจรที่เยี่ยมยุทธ์ ก็ไม่เคยมีใครรู้จักเพลงมวยแบบนี้มาก่อน

“…เฉินลี”

ชายหนุ่มซึ่งเป็นหัวหน้าของผู้พเนจรกลุ่มนี้รำพึงออกมา เฉินลี ตำนานที่เดินได้ เป็นหนึ่งในผู้อาวุโส มีคำเล่าลือกันว่าเพลงมวยของเขาเลิศล้ำพิสดารเป็นที่สุด บางทีมันอาจเป็นเพลงมวยที่ผสมผสานทั้งสองสายเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นความสมดุล อย่างที่เด็กสาวคนนี้กำลังร่ายรำอยู่ก็เป็นได้ แต่เขาเป็นผู้ชาย ทุกคนต่างมั่นใจในเรื่องนั้น

เขายกมือขึ้นเป็นเครื่องหมายให้ทุกคนหยุดการต่อสู้ลงชั่วคราว ก่อนเอ่ยถาม

“…เธอ…เป็นลูกศิษย์ของท่านผู้อาวุโสเฉินลีใช่หรือไม่”

หลายคนตกใจกับคำถามของเขา ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน ว่าสัตว์ประหลาดผู้นั้นได้ถ่ายทอดเพลงมวยลึกลับของตนให้กับผู้ใด แต่เมื่อพบเจอกับหลักฐานที่สามารถรับรู้ได้ด้วยร่างกายของตนเอง ทั้งหมดจึงไม่อาจปฏิเสธความเป็นไปได้นี้

“…เฉิน…ลี…”

เด็กสาวพึมพำสองคำนั้นออกมาเบาๆ มันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดกับริมฝีปากน้อยๆ เธอไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่แผ่นหลังกว้างใหญ่ของชายที่คอยเฝ้าดูการต่อสู้ดิ้นรนในเสี้ยวชีวิตหนึ่งของพวกเธอ ปรากฏชัดขึ้นในห้วงความทรงจำ แผ่นหลังที่กว้างใหญ่ แผ่นหลังที่เธอไม่มีวันจะข้ามพ้นไปได้ ‘จะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ’ นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอเกิดความสงสัยเช่นนี้

เด็กสาวพยักหน้า แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่เธอคิดว่ามันอาจจะทำให้ทุกอย่างจบลงโดยเร็ว เธอไม่อยากใช้ฝีมือที่แท้จริงออกมา ไม่มีเหตุผลที่ต้องฆ่าคนเหล่านี้ แต่เธอมีธุระเร่งด่วนกับผู้หญิงคนเมือง และการยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คงทำให้การพูดคุยต่างๆ ง่ายดายยิ่งขึ้น

เป็นไปตามคาด ผู้พเนจรเหล่านั้นยินยอมล่าถอยกลับไปในที่สุด พวกเขาหลายคนถูกประคอง มีอยู่คนหนึ่งถึงกับต้องถูกหาม ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจของผู้เป็นหัวหน้า

“ขอบใจมาก ไม่รู้ว่าฉันจะตอบแทนเธอได้อย่างไร”

เด็กสาวไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา เธอบอกเล่าความต้องการของตนออกไป ไอรอนจึงได้พบกับร่างน้อยๆ ที่หลบซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มเป็นครั้งแรก เด็กสาวตัวเล็กที่นอนอยู่ตรงปากประตูของโลกแห่งความตาย สิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังคงรอดอยู่ได้ ก็คือความมุ่งมั่นตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะมีชีวิตต่อไปเท่านั้น

ไอรอนตรวจดูร่างกายที่ลีบเล็กของเธอ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่า เจ้าของร่างนี้จะมีอายุเท่ากับที่พี่สาวของเธอบอกไว้ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงพลังชีวิตที่เข้มแข็งเหนือธรรมดา ‘อาจยังพอมีทางช่วย’ แน่นอนว่าคนอย่างเธอย่อมไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงแม้ว่าจะเป็นฝ่ายที่ติดค้างเด็กสาวคนนี้ แต่การลงทุนทุกอย่างย่อมต้องมีผลตอบแทน

“ถ้าฉันช่วยน้องสาวของเธอได้สำเร็จ เธอต้องมาอยู่เคียงข้าง คอยปกป้องคุ้มครองชีวิตให้กับฉัน”

เด็กสาวรู้ถึงสภาพร่างกายของน้องมาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้ความตายนั้นชัดเจนมาก เหมือนกับเธอจะจากไปได้ในทุกเวลา ไม่มีหนทางรักษาอื่นใดเหลืออยู่อีกแล้ว เธอจึงคิดฝากความหวังสุดท้ายไว้กับคนเมือง เมื่อได้ข่าวว่าจะมีคนสำคัญเดินทางออกมายังบริเวณนี้ เธอจึงรีบออกค้นหา และได้พบเหตุการณ์นี้เข้าพอดี

เธอแทบไม่ต้องขบคิด ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าน้องสาวคนนี้อีกแล้ว น้องสาวที่เธอรัก น้องสาวที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต น้องสาวที่เป็นโลกทั้งหมดของเธอ

“ตกลง ฉันสัญญา…”

แต่หากเป็นไปตามนี้ ย่อมหมายความว่า เธอจะต้องถูกขังอยู่ภายในเมือง อยู่กับผู้หญิงคนนี้ ไม่อาจมีชีวิตอิสระได้อีกต่อไป แผ่นหลังของผู้ชายที่เธอจะไม่มีวันลืมเลือน ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดอีกครั้ง พร้อมกับคำพูดสุดท้ายนั้น ‘เวลาแห่งทุ่งดอกไม้มาถึงแล้ว’

เขาคงไม่มีวันได้พบเจอกับทุ่งดอกไม้ของเขา เธอพึ่งเข้าใจมัน พึ่งเข้าใจในความโดดเดี่ยว และความเศร้าของชายคนนั้น

“…แต่ฉันขอเวลา…หนึ่งปี หนึ่งปีเพื่อจัดการเรื่องหนึ่งให้เรียบร้อยเสียก่อน”

ไอรอนจ้องมองดวงตาคู่นั้น เมื่อครู่นี้ในสายตาของเธอยังคงมีเพียงน้องสาว แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เธอกำลังมองดูใครอีกคน ที่อยู่ในความทรงจำกันแน่

“ตกลง ในระหว่างนั้นน้องสาวของเธอต้องมีชีวิตรอด และฉันจะหาวิธีฟื้นฟูร่างกายนี้ให้ด้วย”

‘หากได้ผู้ช่วยฝีมือดีอีกคนหนึ่งเป็นของแถม ย่อมต้องดียิ่งกว่า’ นั่นคือความตั้งใจที่แท้จริงของเธอ

“อ้อ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ฉันคือ ไอรอน ผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์”

“เรียกฉันว่า…ทรีด ส่วนน้องของฉัน เรียกว่า ทริก”

นั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนได้พบเจอกัน ไอรอนค้นหาวิธีการรักษาทริกได้สำเร็จตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ ชุดกล้ามเนื้อเทียมที่เธอสวมใส่อยู่เป็นประจำ มีไว้เพื่อใช้ควบคุมอาการป่วยของเธอ ก่อนที่จะถูกปรับปรุงให้มีพลังเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง

เมื่อเคลื่อนไหวร่างกายได้ สิ่งแรกที่เธอทำ คือการมุ่งมั่นฝึกฝน ก้าวเดินไปตามเส้นทางเดียวกับพี่สาว ซึ่งการฝึกของเฉินลีที่ผ่านมา ยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเธอ

คำสัญญา หน้าที่ ความข้องเกี่ยวที่ซับซ้อน ก็เริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่นั้น

#####

                ทุกคนในที่นั้นต่างงงงัน ทรีดคือคนที่คอยอยู่ข้างกายไอรอนเสมอมา ในขณะที่ทริกเป็นดั่ง กำปั้น เธอก็เป็นเหมือนกับ สมอง ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แม้แต่โนอา จนกระทั่งถึงตอนนี้ ตอนที่ทั้งสองได้มายืนเผชิญหน้ากัน ว่าเธอต่างหากที่เป็นผู้คุ้มครองตัวจริง เป็นกำปั้นเหล็กที่ถูกไอรอนซุกเก็บเอาไว้เพื่อใช้เป็นไม้ตาย

ความกดดันที่เกิดขึ้น เหนือล้ำกว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาอีกขั้นหนึ่ง รอยยิ้มของเขาเมื่อครู่นี้สลายหายไปแล้ว เขาวางมือลงบนด้ามของมาสะมุเนะ แต่ยังคงไม่ชักออกมา เขาคิดอาศัยช่วงจังหวะแห่งความเปลี่ยนแปลง ช่วงเวลาที่ดาบเคลื่อนออกจากฝัก ช่วงที่ความคมของมันกำลังจะเปิดเผยตัว ในการจู่โจม

ดวงตาของทรีดสงบนิ่งอย่างประหลาด ไม่มีความกังวลใดๆ เหมือนกับไม่ใส่ใจในการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอเพียงยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะตั้งท่าเตรียมพร้อม แต่ความกดดันที่เข้มข้นยังคงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างต่อเนื่อง

มือของเขาแห้งสนิท ไม่สั่น และยังมั่นคง มันเป็นมือที่ยอดเยี่ยมในการจับดาบอย่างไม่ต้องสงสัย พอสมองสั่งการ  มือข้างนั้นก็ตอบสนอง จากการฝึกฝนทุ่มเท การตอบสนองนั้นจึงยิ่งรวดเร็ว ยิ่งเฉียบคม ร่างของเขาพุ่งออกไป ความมุ่งมั่นถูกถ่ายทอดลงสู่ดาบในมือ

ดาบเคลื่อนออกมา แต่กลับถูกหยุดเอาไว้ในตอนที่เหลืออีกเพียงเล็กน้อยก็จะพ้นออกจากฝัก มือที่นุ่มนิ่มอบอุ่นข้างหนึ่งได้ยื่นมาหยุดมือของเขาเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าเธอเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตาได้อย่างไร แต่มันทำให้ความมุ่งมั่นของเขาไม่อาจพุ่งทะยานต่อไปได้

ทุกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไป ความแหลมคมของเขาก็จะยิ่งอ่อนโทรมลง เขาตัดสินใจบิดกาย ในเมื่อดาบเคลื่อนต่อไปไม่ได้ เขาจึงถอยฝักของมันแทน มืออีกข้างเคลื่อนมาปัดมือของเธอให้พ้นห่าง พร้อมทั้งตวัดคมดาบฟันสวนขึ้นไป แต่มันตัดได้เพียงเงาร่างของเธอเท่านั้น

เขาเปลี่ยนเป็นจับดาบด้วยสองมือ ยกชูขึ้นในระดับหัวไหล่ เหมือนกับในวันแรกที่เขาฟันเข้าใส่มุซาชิ และเหมือนกับในวันนั้น วันสุดท้ายที่เขาฟันเข้าใส่มุซาชิ

‘ไม่สงสัย ไม่ลังเล’ สมองกับมือของเขาทำงานร่วมกัน จนไม่อาจบอกได้ว่า สมองสั่งการก่อน มือจึงเริ่มเคลื่อนไหว พวกมันหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

#####

                หญิงสาวออกค้นหาไปทั่ว แต่เธอก็ยังไม่พบเจอกับแผ่นหลังที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ เธอเดินทาง ฝึกฝน ต่อสู้ เรียนรู้ และเธอก็เข้าใจ เธอเก่งกาจขึ้นยิ่งกว่าเดิม

เวลาผ่านไปอย่างไม่รั้งรอ ไม่ว่าใครจะมีความจำเป็นเช่นไร เวลาก็ไม่เคยใส่ใจ มันยังคงเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง แต่เธอไม่รู้สึกกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย ในส่วนลึกของเธอยังคงมีความมั่นใจ ว่าในที่สุดแล้ว จะได้พบเจอกับชายผู้นั้นอีกครั้ง

ในที่สุด รุ่งเช้าวันสุดท้ายของระยะเวลาหนึ่งปีที่ได้ให้คำสัญญาเอาไว้ก็มาถึง มันเป็นเช้าที่ขมุกขมัวเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา และจะผ่านไป ยกเว้นเพียงเงาร่างของใครคนหนึ่ง เงาที่แสนคุ้นตา เขายืนหันหลัง เหมือนกับที่เคยชอบทำเป็นประจำ หันหลังให้กับผู้คนทั้งโลก ไม่ใส่ใจผู้ใดทั้งสิ้น

“…เฉินลี”

เธอเอ่ยชื่อนั้นออกมาโดยไม่มีคำว่าผู้อาวุโส

“คุณรู้ได้อย่างไร ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว”

เขาส่ายหน้าช้าๆ ‘ถูกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันไหน เวลาใด ก็ไม่สำคัญ’ เพราะในที่สุดเราสองคนก็ได้พบกัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เขายังคงไม่หันหน้ากลับมา และเธอรู้ดีว่ามีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขาสนใจได้

เธอยืนสงบนิ่ง เหมือนกับที่จะได้ทำอีกครั้งในอนาคตข้างหน้าซึ่งเธอยังไม่ล่วงรู้ เขาคล้ายถูกใครสะกิดเรียก จนในที่สุดก็เกิดความสนใจ ยอมหันหน้ามาหา รอยยิ้มกว้างผลิบานอยู่บนใบหน้า ที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด

หลังจากที่ต้องรอคอยมาเนิ่นนาน ทั้งสองคนก็ได้พบกัน

#####

                โนอามองเห็นการเคลื่อนไหวของทรีดแล้ว ร่างของเธอพุ่งตรงเข้ามาหาเขา เข้าสู่ระยะของมาสะมุเนะ ขอเพียงเขาฟันดาบนี้ลงมา เธอก็จะถูกผ่าออกเป็นสองส่วนทันที

น่าแปลก ความคิดที่จะฟันกลับไม่ก่อเกิด มือของเขาก็ไม่ยอมเคลื่อนไหว แม้จะมองเห็นเป้าหมายอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย เขาไม่เคยพบเจอประสบการณ์แบบนี้มาก่อน คำอธิบายที่พอจะคิดออกมีเพียงประการเดียวเท่านั้น ‘เธอเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าความคิด’ เธอเร็วเกินไปสำหรับเขา

มือของเธอยกขึ้นวางทาบที่หน้าอกของเขา อบอุ่นนุ่มนวล เหมือนสัมผัสของคนรัก คล้ายกับพลังชีวิตที่รุนแรงของเธอกำลังจะถูกถ่ายทอดออกมา

เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน เพลงมวยมิได้แบ่งแยกออกเป็น อ่อน กับ แข็ง เท่านั้น ยังแบ่งเป็น ภายนอก กับ ภายใน ด้วย เพลงมวยพิสดารของเฉินลีไม่เพียงผสมผสานอ่อนแข็งเข้าด้วยกัน แต่มันยังรวมถึงภายนอกกับภายใน

คิ คือพลังแห่งชีวิต เมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง เมื่อจิตกับกายผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ผู้นั้นจึงจะสามารถใช้มันออกได้ มีวิธีฝึกฝนการใช้ คิ ที่แตกต่างกันออกไป แต่สุดท้ายแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ฝึกเองทั้งสิ้น

ความตายที่มารออยู่ตรงหน้า ทำให้เขาคิดดิ้นรนอีกครั้ง ความคิดก่อเกิด มือเริ่มเคลื่อนไหว ในที่สุดมาสะมุเนะก็เปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง ความมุ่งมั่นทุ่มเท พลังชีวิตของเขาไหลเข้าสู่ตัวดาบ ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเขาเช่นกัน ‘หรือว่าแม้แต่ในเพลงดาบเองก็มี คิ อยู่ด้วย’

คิ คือพลังแห่งชีวิต ในทุกชีวิตย่อมมีพลังเช่นนี้ไหลเวียนอยู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการกระทำในรูปแบบใด ขอเพียงกระทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ล้วนสามารถชักนำ คิ ออกมาใช้ได้ทั้งสิ้น

‘ช้าไปแล้ว’ เขาพึ่งเข้าใจ ถึงแม้ไม่อาจอธิบายมันออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ความรู้สึกแบบนี้ ‘ฉันพึ่งเข้าใจ’ ที่แท้ ทุ่งดอกไม้ ที่มุซาชิหมายความถึง คือสิ่งนี้นั่นเอง ดาบที่เขาฟันเพียงแค่ฆ่าคนผู้หนึ่งไป เขาไม่เคยเอาชนะคนผู้นั้นได้เลย จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาหลับตาลง รอคอยให้ คิ ไหลผ่านร่างไป พร้อมกับชีวิตของเขา

“การต่อสู้จบลงแล้ว”

เป็นเสียงที่อ่อนโยน มาสะมุเนะยังคงเปล่งประกายเจิดจ้า แต่ปราศจากเป้าหมายให้มันลงมือ เขาลดดาบลงช้าๆ มองดูคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าด้วยความเคารพ เธอคือหนึ่งในผู้อาวุโส เป็นผู้อาวุโสที่แท้จริง เขาก้มศีรษะให้ และเธอยิ้ม

“ทำไม”

“ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าคุณ”

“ผมเป็นศัตรูของไอรอน”

“งานชิ้นสุดท้ายสำเร็จ…สัญญาระหว่างเราสองคนสิ้นสุดลงแล้ว”

เขาพึ่งเข้าใจในเหตุผลที่ไอรอนยอมออกมาจากห้องทำงานของเธอเมื่อครู่นี้ เขาควรคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมเสี่ยงอย่างไร้เหตุผล ทริกได้นำอะไรบางอย่างที่เธอต้องการกลับมา และตอนนี้เธอก็ได้มันไปครอบครองเรียบร้อยแล้ว ปัญหาของเธอถูกคลี่คลาย และเขาต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง

“…คุณก็ควรฆ่าผมอยู่ดี นั่นจะช่วยกำจัดความวุ่นวายให้กับอดีตเจ้านายของคุณ”

เธอนิ่งเงียบไป

“ฉันสงสัย…การตัดสินใจของเธอในครั้งนี้…”

ดวงตาของเขาเปล่งประกาย

“…แต่ฉันบอกรายละเอียดกับคุณไม่ได้”

“คุณคิดว่าครั้งนี้ เธอทำผิดพลาด”

“ไม่…เธอตัดสินใจอย่างรอบคอบ ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่มี เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา…แต่ครั้งนี้ มีบางอย่างที่เธอยังไม่รู้ เธอพยายามแล้วแต่ยังไม่ได้คำตอบ และฉันคิดว่ามันมีความสำคัญมากกว่าที่เธอคาด”

‘เธอควรใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ให้เต็มที่เสียก่อน ครั้งนี้เธอรีบร้อนเกินไป’ เธอไม่อาจท้วงติงผู้หญิงคนนั้น เพราะถึงพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอรู้ดี

“คู่ต่อสู้แบบคุณ ยังมีความจำเป็นอยู่”

“สุดท้าย คุณก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ดี แต่ผมยังไม่แพ้ แม้ปัญหาในครั้งนี้จะคลี่คลาย แต่ยังมีการต่อสู้ในสภารออยู่”

เธอยิ้ม ตาเป็นประกาย

“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันหวังเอาไว้ คู่มือที่คู่ควรมีความจำเป็นสำหรับเธอ”

ในระหว่างที่ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป กริมและคนอื่นๆ ได้ช่วยกันทำแผลเบื้องต้นให้กับทริกแล้ว แผลดาบนั้นแม้จะยาว แต่กลับไม่ลึกมากนัก แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคนฟันได้เป็นอย่างดี เธอเข้าไปพยุงน้องสาวของตนให้ลุกขึ้นมา ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน

“พวกเราสองคน ลาออกจากสำนักวิทย์เรียบร้อยแล้ว…เราสองพี่น้องเป็นผู้พเนจร ย่อมมีวิถีทางของพวกเราเอง ได้เวลาที่ต้องจากกันแล้ว”

“คุณจะรีบไปไหน ไม่อยู่รักษาบาดแผลของทริกให้หายดีเสียก่อน”

“…เวลาของเธอมาถึงแล้ว สัญญาระหว่างฉันกับไอรอนจึงจบลง”

ไม่มีใครเข้าใจความหมายในคำพูดของเธอได้ทั้งหมด เขาเองก็เช่นกัน เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนล้วงหยิบหน้ากากหนังที่ได้รับจากมุซาชิออกมา

“…ผมคิดว่าสิ่งนี้ควรกลับคืนสู่มือของพวกคุณ”

เธอประคองน้องสาวเดินจากไปโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา

“ไม่ มันเป็นของคุณ ของคุณคนเดียวเท่านั้น…และคุณรู้อยู่แล้ว จงอย่าสงสัยในตัวเองอีก เมื่อเวลามาถึง คุณจะส่งมอบมันต่อไปอย่างถูกต้อง”

ไอรอนให้พวกเธอใช้เส้นทางลับเพื่อออกสู่นอกเมืองได้เป็นกรณีพิเศษ แต่เธอไม่ต้องการ เธอประคองร่างน้องสาวเดินย้อนไปตามเส้นทางปกติ และก่อนที่เงาร่างของทั้งสองจะลับหายไปจากสายตา เธอก็ส่งเสียงกล่าวคำอำลาขึ้นอีกครั้ง

“ลาก่อน ท่านผู้อาวุโสโนอา”

ใส่ความเห็น