เพลงดวงดาว 8 – 14

8.

                นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทริกถูกสงสัยว่าเป็นหุ่นยนต์ และคงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน

“ฉันไม่ใช่หุ่นกระบอกพวกนั้น เธอคงฟังนิทานมากเกินไป”

“ไม่จริง…ร่างกายของมนุษย์ทำแบบนี้ไม่ได้หรอก”

จูเลียตจดจำค่าต่างๆ ที่ได้จากการทดลองจนขึ้นใจ ไม่มีทางที่มนุษย์ จะสามารถสร้างความเสียหายระดับนี้ให้กับชุดกล้ามเนื้อเทียมได้

“เธอดูถูกร่างกายของตัวเองมากเกินไป อย่าลืมสิว่าสิ่งประดิษฐ์ที่เธอภูมิใจนักหนานี้ ก็ลอกเลียนแบบมาจากร่างกายของมนุษย์นั่นเอง”

‘หมดเวลาเล่นแล้ว’ เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของตัวเอง สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากเครื่องจักรทั้งหลาย การหายใจคือสัญลักษณ์แห่งชีวิต พลังที่ไหลเวียนอยู่ภายในกายถูกส่งผ่านด้วยการเคลื่อนไหวง่ายๆ อย่างเป็นระบบ ก่อนที่ร่างของเธอพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

จูเลียตยกแขนทั้งสองขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเอง ความจริงแล้วเธอควรจะหลบ แต่ด้วยความรวดเร็วของการจู่โจม และความตื่นเต้นจากการต่อสู้ ทำให้ร่างกายของเธอตอบสนองไปก่อนความคิด

เมื่อหมัดซ้ายตรงของทริกกระแทกใส่แขนทั้งสองนั้น เธอรู้สึกราวกับถูกชนด้วยของแข็งที่มีความเร็วสูง แต่ก็ยังสามารถยันเอาไว้ได้ด้วยความสามารถของชุดที่สวมใส่อยู่ แต่คลื่นพลังทำลายที่ติดตามมา สั่นพลิ้วเป็นระลอกไปตามเส้นใยกล้ามเนื้อเทียม ก่อนฉีกทำลายพวกมันจนขาดกระจุย ทั้งยังลามต่อไปจนถึงบริเวณหัวไหล่ทั้งสองของเธอ

ความเสียหายอย่างรุนแรงทำให้แขนทั้งสองของจูเลียตห้อยตกลงข้างกาย ทริกใช้สองมือเอื้อมจับไปที่ศีรษะของเธอ พร้อมสีหน้าที่เรียบเฉยเย็นชา ก่อนกระชากมันออกมาอย่างรวดเร็ว

ความกลัว และความเจ็บปวดยังไม่ทันจะได้ก่อตัวขึ้น สติของเธอก็ดับวูบไปเสียก่อน ชุดกล้ามเนื้อเทียมคลายตัวเองออก กลับคืนเป็นริ้วของเส้นใยเหมือนในตอนแรก เมื่อไม่มีสิ่งใดคอยค้ำจุนเอาไว้ ร่างของเธอก็ร่วงลงไปนอนอยู่บนพื้น

‘จบกันเสียที’ เธอปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือทิ้งไปอย่างไม่แยแส ก่อนหันกลับไปหางานที่ยังค้างคาอยู่

“เราไปกันต่อ…”

เธอหันมองไปรอบๆ และไม่พบเห็นผู้ใด เธอยกไอพีของตัวเองขึ้นมา และนึกได้ว่าตำแหน่งของคีย์นั้นยังคงไม่ปรากฏ และไอพีของหล่งก็พึ่งจะถูกเธอปิดตายไปเมื่อครู่นี้ มันจึงไม่มีสัญญาณเช่นกัน

เธอก้มมองพื้น สิ่งที่เธอพึ่งทิ้งไปจากมือเมื่อครู่กลิ้งอยู่ใกล้ๆ เธอจึงยกเท้าเหยียบจนมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ‘บ้าจริง’ เธอได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิด ไม่นึกว่าตนเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยฝีมือของเด็กจอมยุ่งแค่สอง สามคน

#####

                “นายเรียกยายจูมาทำไม เราไม่ควรไปลากใครต่อใคร ให้เข้ามาเสี่ยงกับเรื่องนี้อีกแล้วรู้ไหม”

หล่งเอ่ยถามหลังจากที่เงียบไปนาน ในตอนแรกคีย์ต้องคอยประคองเขาเอาไว้ แต่ตอนนี้เขาสามารถวิ่งได้ด้วยตัวเองแล้ว และเขาก็วิ่งได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเทียบกับขนาดร่างกายที่ขาดความสมดุลของเขา ทั้งคู่ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เร่งรีบเหมือนกับเมื่อตอนเริ่มต้น

ทันทีที่ทริกเข้าสู่การต่อสู้กับจูเลียตอย่างเต็มตัว คีย์ที่แอบรอจังหวะอยู่ใกล้ๆ ก็สะกิดให้เพื่อนที่ถูกผลักออกมานอกวง รีบติดตามเขาไปอีกทางหนึ่งทันที ในตอนนั้นทั้งคู่ต่างตื่นเต้น กลัวว่าจะถูกจับได้ แต่แผนง่ายๆ นี้ ก็สำเร็จลงได้ด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้งคู่วิ่งวกไปวนมาอยู่ครู่หนึ่ง ถกเถียงกันเบาๆ ถึงเรื่องเส้นทางการหลบหนีในขั้นต่อไป ก่อนที่หล่งจะยืนยันความคิดของตนอย่างหนักแน่นอีกครั้ง ทั้งสองจึงเริ่มมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ต้องการ

“…ฉันเปล่า”

เขาตอบออกไปในที่สุด

“แล้วเธอมาอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกัน”

“…เธออาจจะมาดักรอคุณทริกอยู่ก็เป็นได้ คงคิดจะแก้มือ เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทดลองก่อนหน้านั้น”

“เลิกเรียกยายบ้านั่นว่าคุณได้แล้ว เธออัดฉันน่วมเลย จำได้ไหม”

หล่งเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในห้องให้เพื่อนฟัง ยกเว้นเพียงเรื่องที่เขาฉี่ราดเท่านั้น แต่คีย์กลับมองไปในอีกมุมหนึ่ง ความจริงแล้วเธอสามารถกำจัดเพื่อนของเขาทิ้งได้อย่างสบาย แต่เธอก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น บางทีเธออาจจะไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เพื่อนเข้าใจก็เป็นได้

หรือบางที มันอาจเป็นเพียงแค่การพยายามปลอบโยนตัวเองของเขา เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนที่เรียกจูเลียตออกมา แต่เขาเป็นฝ่ายพบเห็นเธอก่อน และสามารถที่จะเตือนเธอได้ แต่เขากลับเลือกที่จะเงียบเอาไว้ และซ่อนตัวเพื่อรอคอยโอกาส

ตัวเขาเพียงลำพังย่อมไม่อาจช่วยเพื่อนได้ ในตอนนั้นเขาจึงวางแผนที่จะแอบยืมมือของจูเลียตอีกแรง ดังนั้นหากเกิดอะไรที่เลวร้ายขึ้นกับเธอจริงๆ ตัวเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

“…เธอจะเป็นอะไรมากไหมนะ”

“จูเลียตคงไม่ทำอะไรรุนแรงนักหรอกน่า”

หล่งจ้องหน้าเพื่อนของเขาอย่างไม่พอใจ

“ใครจะไปห่วงยายบ้านั่น ฉันกลัวว่ายายจูจะเป็นฝ่ายถูกจัดการมากกว่า หวังว่ายายนั่นคงยั้งมือให้บ้าง เพราะถึงอย่างไรยายจูก็ไม่ใช่เป้าหมายของเธอ”

คีย์แปลกใจกับความคิดของเขา เพราะทั้งสองต่างเคยเห็นความสามารถของชุดกล้ามเนื้อเทียมมาแล้ว เพราะเหตุใดเพื่อนจึงยังคงคิดว่า ทริกที่มีเพียงตัวเปล่าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ

เขาเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เพื่อนเล่ามา ทั้งการใช้มือเปล่าเปิดประตูห้อง หรือการยกเขาโยนไปมาราวกับไม่มีน้ำหนักแบบนั้น บางทีเขาอาจตกใจกลัวจนคิดมากไปเองก็เป็นได้

“…หรือนายคิดว่าเธออาจจะเป็นหุ่นยนต์อย่างนั้นหรือ”

คำว่า ‘โรบอท’ ถูกใช้เป็นครั้งแรกโดยนักเขียนบทละครชาวเช็ค ชื่อ คาเรล เคเป็ก ในการแสดงเรื่อง R.U.R (Russum’s Universal Robots) ในปี ค.ศ. 1920 โดยดัดแปลงมาจากคำ ‘โรโบต้า’ ซึ่งอยู่ในกลุ่ม ภาษาสลาฟ มีความหมายว่า การใช้แรงงาน หรือ การทำงานหนัก เพื่อใช้เรียกสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกสร้างเลียนแบบมนุษย์ คิดเองได้ และมีความสุขกับการได้รับใช้ ที่ถูกกล่าวถึงในบทละครเรื่องนี้

ส่วนคำว่า โรโบติก ที่หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับหุ่นยนต์นั้น ได้ถูกนำเสนอโดย นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อว่า ไอแซค อสิมอฟ

ไอแซค อาสิมอฟ กับ จอห์น แคมเบล ได้ร่วมกันคิด ‘กฎสามข้อของหุ่นยนต์’ ขึ้น โดยนำเสนอเป็นครั้งแรกผ่านเรื่องสั้นชื่อ Runaround ในปี ค.ศ. 1942 ซึ่งต่อมาได้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในงานเขียน และการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งว่าไว้ดังนี้

  1. หุ่นยนต์ต้องไม่ทำร้ายมนุษย์ หรือปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตราย
  2. หุ่นยนต์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของมนุษย์ ยกเว้นในกรณีที่คำสั่งนั้นขัดกับกฎข้อที่หนึ่ง
  3. หุ่นยนต์ต้องปกป้องตนเอง ตราบเท่าที่การกระทำนั้น ไม่ขัดกับกฎข้อที่หนึ่ง และสอง

และได้กล่าวถึง กฎข้อศูนย์ เอาไว้ในเวลาต่อมาว่า หุ่นยนต์ต้องไม่ทำร้ายมนุษยชาติ หรือปล่อยให้มนุษยชาติตกอยู่ในอันตราย และกฎข้ออื่นๆ ที่เหลือ ก็ต้องปรับตามความสำคัญสูงสุดของกฎข้อนี้

ที่จริงแล้ว ความคิดเกี่ยวกับการสร้างสิ่งเลียนแบบมนุษย์ที่เคลื่อนไหวได้เองนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการกล่าวถึงทั้งใน เรื่องเล่า ตำนาน นิทาน บันทึก จากทั่วทุกมุมโลก มีทั้งแบบที่ใช้กลไก ไปจนถึงเวทมนต์ เพื่อทำให้ ดินปั้น รูปสลัก หุ่นไม้ หรือสิ่งอื่นๆ เคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง

มีสิ่งที่น่าประทับใจถูกค้นพบจากประเทศญี่ปุ่นในอดีต พวกมันถูกเรียกว่า คาราคูริ นิงเกียว หรือ หุ่นเชิดกลไก ซึ่งสร้างเลียนแบบ และแต่งกายให้เหมือนกับมนุษย์ โดยมีขนาด รูปร่าง แตกต่างกันไปตามความเหมาะสม พวกมันขยับเขยื้อนได้ด้วยกลไกราวกับมีชีวิต เพื่อให้ทำงานตามที่ถูกกำหนดเอาไว้ได้เอง

จนถึงปัจจุบันนี้ ยังคงไม่มีหลักฐานว่ามนุษย์สามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า หุ่นยนต์ ตามความหมายที่แท้จริงของมันขึ้นมาได้สำเร็จ เราสามารถสร้างกลไกเพื่อเลียนแบบการเคลื่อนไหว และทดแทนประสาทสัมผัสของมนุษย์ได้ แต่ยังคงมีสิ่งสำคัญที่ไม่อาจสร้างขึ้นมาได้ นั่นคือ สมอง ที่สามารถเรียนรู้ และคิดเองได้เหมือนกับของมนุษย์

ไม่ว่าจะทำอย่างไรกลไกอัตโนมัติพวกนี้ ก็ยังไม่อาจมีความคิดเป็นของตัวเอง ยังคงเป็นได้แค่เพียงอุปกรณ์ที่ทำงานไปตามโปรแกรมซึ่งถูกกำหนดเอาไว้ เหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีตเท่านั้น

ถ้าเรื่องทั้งหมดที่เพื่อนเล่ามาเป็นความจริง นั่นก็เป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่เขาพอจะคิดออก แต่ใครๆ ก็รู้ว่าหุ่นยนต์เป็นเพียงเรื่องราวในจินตนาการเท่านั้น

“ไม่ เธอไม่มีทางเป็นหุ่นยนต์แน่ๆ เพราะเธอลงมือทำร้ายมนุษย์อย่างฉันได้อย่างไม่ลังเลเลยสักนิด อีกทั้งเธอยังมีอารมณ์ มีความรู้สึกด้วย”

“…อาจจะเป็นเพราะกฎข้อศูนย์หรือเปล่า”

มันเป็นช่องโหว่ที่นิยายวิทยาศาสตร์หลายเรื่องในอดีตชอบนำมาใช้ หุ่นยนต์อาจสามารถทำร้ายมนุษย์ที่เป็นปัจเจกได้ เพื่อช่วยมนุษยชาติที่มีความสำคัญยิ่งกว่า แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ หุ่นยนต์จะใช้อะไรในการตัดสินว่าเส้นทางใดคือความอยู่รอดของมนุษยชาติ

ในทุกการกระทำที่เกิดขึ้นย่อมมีผลกระทบต่อไปในอนาคต ดังนั้นหุ่นยนต์จึงไม่อาจตัดสินได้ว่าการกระทำใดจึงจะมีความเหมาะสม หากสถานการณ์เหล่านี้เป็นจริง และหุ่นยนต์ที่มีกฎสี่ข้อมีอยู่จริง สุดท้ายแล้ว มันจะถูกหยุดเอาไว้ด้วยกฎข้อหนึ่งเท่านั้น เพราะกฎข้อศูนย์มีความขัดแย้งมากเกินไป

“ฉันบอกแล้วว่าเธอไม่ใช่หุ่นยนต์ เธอเป็นคนแน่ๆ แต่ชุดที่เธอสวมอยู่อาจมีความลับบางอย่าง”

“…ชุดสีดำนั่นมีอะไรหรือไง”

คีย์ลองทบทวนความจำอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่ามันจะมีอะไรแปลกไปจากชุดทั่วไป

“…ฉันก็ไม่แน่ใจนัก แต่ด้วยร่างกายของมนุษย์ปกติ เธอทำแบบนั้นไม่ได้แน่ บางทีชุดที่เธอสวมใส่อยู่ อาจจะคล้ายกับชุดที่ยายจูสร้างขึ้นมา แต่มีความล้ำหน้ามากกว่า จนมองดูไม่เตะตาเหมือนกับชุดกล้ามเนื้อเทียม นั่นเป็นคำอธิบายเดียวที่ฉันพอจะคิดออก”

“นายเลยกลัวว่าจูเลียตจะรับมือเธอไม่ไหว”

หล่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะหยุดยืนหอบหายใจ เพราะได้มาถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้ว

“…ยายจูน่ะ ต้องแพ้แน่ ฉันก็แค่หวังว่าเธอจะรอดชีวิตไปได้ แต่ตอนนี้คงต้องช่างมันก่อนแล้ว เรามีประตูที่เปิดไม่ออกรออยู่ ดูเหมือนยายนั่นจะปิดตายประตูทุกบานในโรงเรียนนี้ไปแล้ว”

ทั้งคู่มองดูประตูที่กั้นพวกเขาเอาไว้จากลิฟต์ความเร็วสูงที่อยู่ด้านใน สุดท้ายแล้วพวกเขายังคงเลือกที่จะมุ่งหน้ามายังลานจอดรถเก่า เป้าหมายเดิมที่หล่งได้บอกให้ทริกรู้ไปก่อนหน้านี้แล้ว เขายืนยันอย่างหนักแน่นว่า เธอจะต้องคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน

“ไอพีของฉันตายสนิทไปแล้ว คงต้องพึ่งนายล่ะ”

หล่งยังคงพยายามเปิดไอพีของตนมาตลอดทาง เขาคิดว่าบางทีมันอาจไม่ใช่คำสั่งพิเศษอะไรอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ เพียงแต่ตั้งแต่จำความได้ไอพีก็ไม่เคยถูกปิด ดั้งนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีเปิด มันจึงอาจเป็นเพียงวิธีการง่ายๆ บางอย่างที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้ แต่เขาก็ยังหาไม่เจออยู่ดี

หน้าจอของมันยังคงมืดสนิท ไร้ชีวิตอยู่เช่นเดิม แต่เรื่องนี้ก็มีส่วนดีอยู่บ้าง เพราะทำให้ทริกไม่สามารถค้นหาตำแหน่งของเขาจากมันได้เช่นกัน

“…นายจะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ ฉันไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เหมือนนาย”

หล่งยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากที่พวกเขาได้กลับมาเจอกัน

“นายมีตัวช่วยอยู่แล้ว จำไม่ได้หรือไง”

เขายกไอพีของตัวเองขึ้นมาดู เจ้าตัวหัวกลมหน้าตาประหลาดก็ส่งยิ้มทักทายทันที เขาลองใช้นิ้วพยายามจิ้มไปที่ตัวมัน ซึ่งรีบหลบหลีกไปมา พร้อมกับทำหน้าล้อเลียน เขาเงยหน้ามองเพื่อน

“…นายจะให้ฉันทำอะไรกับมัน”

“พยายามติดต่อกับมัน บอกให้เปิดประตูให้พวกเรา”

เขามองหน้า และรอยยิ้มของเพื่อน

“…ทำไมนายไม่ทำชุดคำสั่ง หรือส่วนติดต่ออะไรสักอย่างเอาไว้ด้วยล่ะ”

“มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รับคำสั่งโดยตรงแบบนั้น”

เขายิ่งงงไปใหญ่ โปรแกรมที่ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นให้ทำตามคำสั่ง แล้วจะให้มันทำงานได้อย่างไรกัน รอยยิ้มตาหยีของหล่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“…ตอนนี้ฉันยังอธิบายอะไรไม่ได้มาก แต่ถ้าฉันทำได้สำเร็จ สิ่งนี้จะกลายเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราเลยทีเดียว มันถูกสร้างขึ้นมาจากความลับที่ฉันค้นพบโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน”

“ความลับ เรื่องอะไรกัน”

หล่งกัดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้

“…ฉันยังบอกไม่ได้ มันเป็นความลับที่ไม่มีใครควรรู้ มันเป็นจรรยาบรรณของนักเจาะระบบ แต่รับรองได้ว่า แม้แต่สำนักวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย”

เขาพึ่งเคยได้ยินว่าในหมู่นักเจาะระบบเอง ก็มีจรรยาบรรณกับเขาด้วย

“นายมั่นใจได้ยังไงกัน”

“ถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้ ก็ต้องจัดการปิดมันไปนานแล้ว ไม่ปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนี้หรอก เพราะมันอันตรายเกินไป เผลอๆ อาจจะทำให้เกิดยุคมืดที่สุดครั้งใหม่ที่เลวร้ายกว่าเดิมขึ้นมาก็เป็นได้”

เขาเริ่มไม่แน่ใจในความปกติของเพื่อน เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในบางครั้ง เมื่อความคิดของเขาดูจะหลุดออกจากกรอบของความเป็นจริงมากจนเกินไป

“…นายมีความลับอะไรกันแน่”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน รีบหาทางเปิดประตูให้ได้ดีกว่า”

“เอายังไงดีล่ะ”

เขาลองพยายามจิ้มนิ้วไปที่ตัวมัน พูดกับมัน หันกล้องไปทางประตูเพื่อให้ภาพปรากฏขึ้นในจอ ใช้มือทำท่าทางต่างๆ เพื่อแสดงว่าต้องการให้ประตูเปิด หล่งที่ยืนดูอยู่ อดไม่ไหว ต้องส่งเสียงหัวเราะออกมา

เขาหยุดแล้วจ้องหน้าเพื่อน

“ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ ดันออกแบบโปรแกรมบ้าๆ บอๆ แบบนี้ขึ้นมาได้”

“…โทษที โทษที นายพยายามต่อเถอะ…ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”

แม้จะพยายามควบคุมตัวเอง แต่หล่งก็ยังหัวเราะต่อไปไม่ยอมหยุด ทันใดนั้นเองก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นจากทางแยกข้างหน้า ก่อนที่จะมีเงาร่างของใครคนหนึ่งค่อยๆ เดินตรงเข้ามา หล่งอ้าปากค้าง เสียงหัวเราะเมื่อครู่ขาดหายไปเสียแล้ว

เขาเคยคิดว่าโรงเรียนอพอลโลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล กว่าที่ทริกจะคิดย้อนกลับมายังลานจอดรถเก่าแห่งนี้อีกครั้ง ก็น่าจะใช้เวลานานพอสมควร ไม่นึกว่าเธอจะรู้ตัวได้เร็วถึงเพียงนี้

เธอยื่นนิ้วภายใต้ถุงมือสีดำลากไปตามกำแพง เสียงกรีดแหลมเล็กบาดแก้วหูดังเสียดเข้าไปในหัวใจของเด็กหนุ่มทั้งสอง บนผนังโลหะเกิดรอยลากจากนิ้วทั้งห้าอย่างไม่น่าเป็นไปได้ หัวใจของพวกเขาค่อยๆ เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เส้นเลือดขยายตัวเพื่อเพิ่มการไหลเวียน ให้ร่างกายเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ร่างกายเตรียมพวกเขาให้พร้อมที่จะต่อสู้ หรือหลบหนี แต่เส้นทางสายนี้เป็นทางตรง ด้านหลังของพวกเขาคือประตูที่ไม่ยอมเปิด ส่วนด้านหน้านั้นคือยมทูตสาวในชุดดำ ที่ก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีทางหนี และก็คงไม่มีทางที่จะต่อสู้กับเธอได้เช่นกัน

เธอส่งยิ้มหยาดเยิ้มให้กับทั้งคู่

“หมดเวลาเล่นไล่จับกันแล้วพวกหนุ่มๆ ทั้งหลาย เธอคนหนึ่งจะต้องไปกับฉันแต่โดยดี ส่วนอีกคนหนึ่ง…”

รอยยิ้มที่เปลี่ยนไปของเธอ ทำให้ทั้งคู่ขนลุก

“…มาลองทายกันดูว่า อีกคนหนึ่งจะต้องเจอกับอะไร…”

9.

                ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งความสนใจไปยังฝั่งตรงข้าม เสียงเครื่องจักรทำงานก็ดังขึ้นเบาๆ ประตูพลันเลื่อนเปิดออก หล่งไม่รอช้ารีบคว้าคอของเพื่อน พร้อมกับลากตัวเขาเข้าไปในลิฟต์ความเร็วสูงทันที ประตูของมันเลื่อนปิดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังนับว่าเชื่องช้าเกินไปในความรู้สึกของเขา ‘ปิด ปิด เร็ว ปิด’ เขาได้แต่ส่งเสียงตะโกนอยู่ในใจ เพราะตื่นเต้นมากจนร้องไม่ออกเสียแล้ว

ทริกรีบยกไอพีของตนขึ้นมาเพื่อสั่งให้ประตูลิฟต์เปิดค้างเอาไว้ แต่ดูเหมือนจะเป็นอีกครั้ง ที่คำสั่งของเธอไม่เป็นผล มันยังคงเลื่อนปิดเข้าหากันอยู่เช่นเดิม โดยไม่ยอมเสียเวลากับมันอีก เธอรีบโน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับเกร็งขาทั้งสองข้างจนมองเห็นมัดกล้ามเนื้อปูดโปนขึ้นมาอย่างชัดเจน สองมือของเธอแตะลงบนพื้น สะโพกยกขึ้น ตามองตรง แล้วพุ่งตัวออกไปสุดแรง

ตรงจุดที่เธอใช้ออกตัว มีรอยเท้าสองรอยปรากฏอยู่บนพื้นอย่างชัดเจน มือและเท้าทั้งสองของเธอขยับเคลื่อนไหวสลับกันขึ้นลงราวกับเป็นลูกตุ้ม ประสานสอดคล้องกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มสูงขึ้น ร่างของเธอก็ปะทะชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น ทั้งมือ และแขนที่สลับกันยื่นออกไปทางด้านหน้า ทำหน้าที่ช่วยแหวกกระแสอากาศ ช่วยลดแรงต้านของร่างกายส่วนที่เหลือ เพื่อให้พุ่งผ่านกำแพงอากาศไปได้ง่ายยิ่งขึ้น

คีย์มองดูเงาร่างสีดำที่พุ่งตรงเข้ามาผ่านทางช่องประตูลิฟต์ที่กำลังแคบลงเรื่อยๆ อย่างไม่เชื่อสายตา ช่องว่างนั้นปิดด้วยความเร็วคงที่ ในขณะที่ร่างของเธอกลับมีอัตราเร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละช่วงก้าวนั้นมีระยะห่างอย่างไม่น่าเชื่อ เขาคิดว่าเธออาจสามารถวิ่งระยะทางหนึ่งร้อยเมตร โดยใช้เวลาน้อยกว่าแปดวินาที ซึ่งยังไม่เคยมีมนุษย์คนใดทำได้มาก่อน

ทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่ง มองดูมือของเธอที่กำลังเอื้อมมายังช่องประตูโดยไม่อาจทำอะไรได้เลย หากมีสิ่งใดสัมผัสเข้ากับขอบประตู มันก็จะเด้งเปิดออกในทันที ช่องว่างนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่ขอแค่เพียงเธอสอดปลายนิ้วเข้ามาได้ การหลบหนีครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลง

ทั้งสองคนร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น เมื่อไม่ทันได้เตรียมตัวรับกับอัตราเร่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดหมาย พร้อมกับเสียงปะทะชนที่ยังคงดังก้องอยู่ในตัวลิฟต์ ไฟภายในห้องโดยสารกระพริบวูบวาบ ทั้งคู่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

หล่งค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนมองไปยังเพื่อนที่เพียงแค่พลิกตัวมานอนหงายอยู่บนพื้น หัวใจของทั้งคู่ค่อยๆ เต้นช้าลง เมื่อสามารถผ่านสถานการณ์ที่บีบคั้นไปได้อีกครั้ง ถึงแม้จะดีใจแต่ก็ยังไม่มีใครยิ้มออก เพราะรู้ดีว่าตราบใดที่ยังไม่อาจหนีออกจากโรงเรียนอพอลโลแห่งนี้ ก็ไม่มีสถานที่แห่งใดปลอดภัยสำหรับพวกเขา

ลิฟต์ความเร็วสูงพุ่งตรงขึ้นสู่ลานจอดรถเก่าอันเป็นจุดหมายปลายทางที่อยู่เบื้องบนอย่างรวดเร็ว

#####

                ทริกค่อยๆ ดันร่างของตัวเองออกมาจากบานประตูลิฟต์ ผิวโลหะของมันยุบตัวลงไปตามรูปร่างของเธออย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ก็พอดูออกว่าเป็นเงาร่างของผู้หญิง ในตอนที่ปะทะเธอยกแขนทั้งสองขึ้นป้องกันส่วนศีรษะเอาไว้ได้ทัน จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ทำให้เธอต้องยืนงงอยู่พักหนึ่ง

เนื่องจากมันเป็นส่วนที่เปิดสู่โลกเบื้องบน ประตูลิฟต์นี้จึงมีความแข็งแรงมั่นคงมากกว่าประตูห้องภายในตัวอาคารหลายเท่า แม้ด้านนอกจะยุบตัวลงไปอย่างที่เห็น แต่ด้านในยังคงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด และลิฟต์ความเร็วสูงก็ยังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติ

‘บ้าจริง อูย’ เธอยกมือขึ้นลูบใบหน้าตรงบริเวณใต้จมูก บนถุงมือสีดำของเธอ มีคราบของเหลวสีแดงคล้ำข้นติดมาด้วย แต่นอกจากนั้นแล้วดูเหมือนจะไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย เธอยกไอพีของตนขึ้นมาได้ครึ่งทาง ก่อนที่จะรู้ตัว

‘ถ้าฉันไม่มัวแต่คิดจะใช้มัน แล้วพุ่งตัวออกไปตั้งแต่แรก ก็คงไม่เป็นอย่างนี้’ เธอช้าไปเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ความคลาดเคลื่อนเพียงน้อยนิดนี้ก็เป็นตัวตัดสินระหว่างความสำเร็จ และล้มเหลว เธอปล่อยแขนที่ติดตั้งจอไอพีเอาไว้ลงข้างกาย ‘ฉันกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรกันนะ’

เธอนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ตัวเองยังไม่เคยรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าไอพี ช่วงเวลาที่เธอต้องดิ้นรนในท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่ผู้เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะอยู่รอด แม้ชีวิตภายในกล่องโลหะแบบนี้จะมีความสะดวกสบายกว่ากันมาก แต่เธอก็ยังคงโหยหาช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ และรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ออกไปทำงาน ได้ต่อสู้เสี่ยงชีวิตอีกครั้ง

‘บางอย่างในตัวฉันได้เปลี่ยนไปแล้ว’ อย่างไม่รู้ตัว เธอได้ก้าวออกจากเส้นทางที่เคยภาคภูมิใจ อย่างไม่รู้ตัว เธอกลับคิดพึ่งพิงสิ่งประดิษฐ์มากกว่า วิถีของผู้พเนจร ที่เธอเคยยึดถือ

การเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของสำนักวิทยาศาสตร์ ค่อยๆ พาเธอออกห่างจากเส้นทางที่เคยก้าวเดิน ‘นั่นคือที่มาของความรู้สึกเคว้งคว้างที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ภายหลังจากการต่อสู้อย่างไร้จุดหมายพวกนี้จบสิ้นลง’ เธอยืนตรง หลับตา พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ปรับร่างกายให้กลับคืนสู่สภาวะผ่อนคลายอีกครั้ง ก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ดวงตาทั้งสองของเธอส่องประกายแวววาว ‘ฉันยังต้องพึ่งพาพวกมันอยู่ แต่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว’ เธอรู้ตัวดีว่าภารกิจในครั้งนี้มีความสำคัญมากเกินกว่าที่เธอจะทิ้งมันไปเฉยๆ ได้ กล้ามเนื้อทั่วร่างของเธอพองตัวขึ้นอีกครั้ง เธอเร่งพลังของชุดที่สวมใส่อยู่ขึ้นไปจนถึงขีดสุดแล้ว

#####

                ภายในที่ว่างเล็กๆ มีเพื่อนสองคนติดอยู่ในนั้นพร้อมกับความเงียบงัน

“…ฉัน…ฉันหักหลังนาย”

หล่งพูดทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด เขาก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตากับเพื่อน

“ฉันเข้าใจ”

คีย์พูดเพียงแค่นั้น ‘ฉันเข้าใจอะไรกัน’ หล่งไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงต้องรู้สึกโกรธกับคำตอบที่เป็นเหมือนคำปลอบใจจากเพื่อนด้วย

“นายจะไปเข้าใจอะไร นายไม่รู้หรอก นาย…นายยังเสี่ยงชีวิตกลับมาช่วยฉันเอาไว้เลย”

“เพราะฉันไม่ได้ถูกเธอบีบคอ ต่อยท้อง แล้วเหวี่ยงใส่กำแพงแบบนั้น ถ้าฉันเป็นนาย ก็คงทำแบบเดียวกันนั่นแหละ”

เขาพยายามอธิบาย แล้วทั้งสองก็เงียบไป ก่อนที่คีย์จะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

“…ฉันต่างหาก…ฉันปล่อยให้จูเลียต…ความจริงแล้วฉันสามารถเตือนเธอได้ บอกเธอไม่ให้เข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าเธอเป็นอะไรไป ฉันคง…ฉัน…”

“นายไม่ผิด…”

ครั้งนี้คีย์เป็นฝ่ายที่ไม่กล้าสบตากับเพื่อน

“…ถึงนายห้าม ยายจูก็ไม่ฟัง นายเองก็รู้จักนิสัยเธอดี”

คำพูดนั้นตรงกับสิ่งที่เขาพยายามใช้อธิบายกับตัวเองอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด ‘ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่ได้เตือนเธอ ฉันนิ่งเงียบเพื่อใช้ประโยชน์จากตัวเธอ’ นั่นคือความจริง และไม่ว่าคนอื่นจะมีคำอธิบายว่าอย่างไร เขาก็ไม่อาจหลอกลวงตัวเองได้ ซึ่งไม่แตกต่างจากสิ่งที่หล่งกำลังรู้สึกอยู่ภายในใจเช่นกัน

ความรู้สึกผิดที่ฝังลึกอยู่ภายในใจนี้ ไม่อาจลบล้างไปได้ด้วยคำอธิบาย หรือเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยรักษาเยียวยามันได้ ซึ่งพวกเขาต้องใช้เวลาเรียนรู้ และค้นพบมันให้ได้ด้วยตัวเองเท่านั้น

แสงไฟภายในห้องโดยสารกระพริบไหววูบวาบอีกครั้ง พร้อมกับความสั่นสะเทือนที่เขย่าตัวลิฟต์จนรู้สึกได้ ลิฟต์กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วภายใต้สนามแม่เหล็ก มันไม่ได้ถูกผูกโยงเอาไว้ด้วยสิ่งใดทั้งสิ้น ความสั่นไหวที่เกิดขึ้นนี้ อาจหมายถึงมีบางสิ่งกำลังรบกวนสนามแม่เหล็กของมันอยู่ก็เป็นได้

ทั้งสองลุกขึ้นยืนมองหน้ากัน ผู้ต้องสงสัยในความคิดของทั้งคู่ย่อมเป็น หญิงสาวในชุดดำที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องล่าง เธอต้องกำลังลงมือทำอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่

“…เรามีแผนยังไงต่อ”

คีย์เอ่ยถาม

“เธอยกเลิกการจองใช้รถทั้งหมดไปแล้ว เราคงต้องพยายามใช้ เอสยู ขโมยรถให้ได้สักคัน”

“…เอสยู อะไร”

“ก็เจ้าตัวที่อยู่ในไอพีของนายนั่นแหละ ฉันเรียกมันว่าเอสยู เออว่าแต่นายทำอย่างไร มันถึงยอมเปิดประตูให้กับพวกเราล่ะ”

คีย์ลืมมันไปเสียสนิท เขาไม่ได้นึกด้วยซ้ำไปว่ามันเป็นคนช่วยเปิดประตูให้ และเขาได้ทำอะไรลงไปบ้าง มันจึงตอบสนองเช่นนั้น

“…ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว”

ลิฟต์เกิดอาการไหวโยกตัวอีกครั้ง ซึ่งรุนแรงกว่าคราวก่อน ทั้งสองต้องย่อกายลง และใช้แขนช่วยในการทรงตัว ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันเงียบๆ และภาวนาอยู่ในใจ ให้สามารถไปถึงจุดหมายได้ทันก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงไปมากกว่านี้

ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก ในขณะที่ทั้งคู่ต่างพยายามเบียดตัวเองออกมาให้เร็วที่สุด ลานจอดรถเก่ายังคงสภาพเหมือนกับในตอนที่คีย์จากไป ความจริงแล้วเวลาก็พึ่งผ่านไปเพียงไม่นานเท่านั้น แต่ในความรู้สึกของเขากลับดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น ‘แม้แต่เวลาก็ยังยืดหดได้ โดยขึ้นกับผู้ที่เฝ้าดู’

คีย์รีบตรงไปยังรถคันเดิมที่เขาจอดทิ้งเอาไว้ เมื่อยังไม่มีผู้อื่นเรียกใช้งาน หรือยังไม่ถึงลำดับของมัน มันก็จะคงจอดอยู่อย่างนั้นเหมือนเดิมไปเรื่อยๆ แต่แม้จะเข้าไปด้านในได้ มันก็ไม่ตอบสนองต่อไอพีของเขาอยู่ดี ‘ต้องรีบทำอะไรสักอย่าง’ แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่า อะไรสักอย่างที่ว่านั้น คือต้องทำอย่างไร เขาจึงเริ่มต้นส่งภาษาบ้าๆ บอๆ กับเจ้าตัวหัวกลมที่ลอยยิ้มไปมาอยู่ในหน้าจอไอพีของเขาอีกครั้ง

หล่งไม่อาจช่วยอะไรได้ เพราะไอพีของเขายังคงตายสนิทอยู่เหมือนเดิม แต่เขากำลังสนใจถึงสาเหตุของสิ่งที่ทำให้ตัวลิฟต์สั่นไหวเมื่อครู่ ตอนนี้มันยังคงจอดนิ่ง และเปิดค้างเอาไว้อยู่เช่นเดิม ทั้งๆ ที่เขาคาดว่า มันน่าจะวนกลับลงไปรับใครอีกคนที่กำลังรออยู่ข้างล่าง

‘หรือว่าเธอไม่ได้รอ เธออาจจะไม่ได้คิดจะใช้มันตั้งแต่แรกแล้ว’ เขามองเห็นตัวลิฟต์สั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง คำตอบที่ต้องการพลันผุดขึ้นมาทันใด

“เร็วเข้า เธอกำลังมาแล้ว”

หล่งตะโกนบอก ในขณะที่คีย์ยังคงวุ่นวายอยู่กับการพยายามหาวิธีใช้เจ้าเอสยูในการขโมยรถ เขาเหลือบตาขึ้นมองแวบหนึ่ง

“ลิฟต์ยังไม่กลับลงไปเลย”

“เธอไม่ได้รอมันอยู่แล้ว เร็วเข้า”

ภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ ฉายชัดอยู่ภายในหัวของเขา

#####

                ประตูที่มีรูปร่างของหญิงสาวประทับอยู่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ที่เหล่าคู่รักนักเรียนต้องจูงมือกันมา เพื่อประกาศความรักมั่นที่มีต่อกัน เบื้องหน้ารูปรอยของ เทพีแห่งความรัก ได้ถูกง้างเปิดออกด้วยความไม่สมัครใจ ถึงแม้มันจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าประตูทั่วไป แต่ก็ไม่อาจต้านทานความตั้งใจของหญิงสาวที่เป็นเจ้าของรอยประทับนั้นได้

ทริกกำลังปีนป่ายไปมาอยู่ภายใต้สนามแม่เหล็กภายในปล่องช่องลิฟต์ เหนือขึ้นไปลิบๆ คือส่วนท้ายของตัวลิฟต์โดยสารที่เธอพยายามจะไล่ตามขึ้นไปให้ทัน

เธอใช้วิธีถีบตัวเองสลับไปมาจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง ของผนังภายในช่องอุโมงค์ที่เป็นทรงกระบอก เพื่อไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดมาก่อน คือความรุนแรงของสนามแม่เหล็กภายในนี้ ที่ส่งผลกระทบกับชุดของเธอ ทำให้ไม่สามารถควบคุม หรือเร่งความเร็วได้ตามที่ต้องการ

‘ต้องระวังให้มากไว้’ ปล่องลิฟต์นี้มีผนังเรียบเป็นส่วนใหญ่ แทบไม่มีที่ให้ยืดเกาะได้เลย ดังนั้นหากเกิดความผิดพลาดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ร่างของเธอคงต้องร่วงลงไปถึงเบื้องล่าง และด้วยระดับความสูงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความเสียหายที่ได้รับก็จะมากตามไปด้วยเช่นกัน ‘บางทีอาจถึงตายก็เป็นได้’

เธอเห็นส่วนท้ายของลิฟต์โดยสารข้างบนหยุดลงในที่สุด ‘ไม่ทันจนได้’ ตอนนี้เธอไม่แน่ใจแล้วว่า เด็กสองคนนั้นจะทำอะไรได้บ้าง ‘ต้องรีบแล้ว’ เธอเบียดร่างเข้าไปในช่องที่อยู่ระหว่างตัวลิฟต์กับผนังอุโมงค์ ซึ่งมีที่ว่างอยู่ไม่มากนัก แต่หากเธอสามารถดันตัวลิฟต์ให้ไปชิดอีกด้านหนึ่ง ก็คงจะมีที่ว่างมากพอให้เธอมุดขึ้นไปได้

หล่งเห็นตัวลิฟต์สั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง ก่อนที่จะมีเงาสีดำของมือข้างหนึ่งโผล่ออกมาจากช่องว่าง ระหว่างปล่องอุโมงค์ กับตัวลิฟต์ ที่ถูกถ่างให้กว้างออก เขานึกในใจด้วยความสยดสยอง ‘เธอมาแล้ว’ และดูเหมือนความพยายามของคีย์จะยังคงไม่ประสบผล

“ได้แล้ว”

คีย์ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร แต่ตอนนี้รถตอบสนองต่อไอพีแล้ว และเขาก็สามารถกำหนดจุดหมายปลายทางให้กับมันได้

“รีบมาเร็ว…”

คีย์ตะโกนเรียกเพื่อน พร้อมกับหันมาเห็นร่างของทริกที่กำลังพยายามมุดออกมาจากช่องลิฟต์เข้าพอดี เขารีบออกคำสั่งผ่านรถ ให้เปิดประตูลานจอดออก ก่อนหันมาเร่งเพื่อนของเขาอีกครั้ง

“…รีบมาเร็วเข้า”

หล่งมองดูสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับตัดสินใจออกวิ่ง แต่เขากลับวิ่งไปทางลิฟต์ที่ทริกกำลังพยายามจะมุดออกมา

“ไป…ไปเลย หนีไปให้ได้นะเพื่อน”

หล่งตะโกนลั่น เขาตัดสินใจที่จะหาทางถ่วงเวลาเธอเอาไว้ เพราะคิดว่าหากปล่อยให้เธอหลุดออกมาได้ พวกเขาสองคนต้องหนีไม่รอดแน่

“…ฉันจะไม่ยอมหักหลังนายอีกเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นนายเองก็ต้องไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

คีย์ได้ยินเสียงตะโกนของเขาเต็มสองหู เขาวิ่งได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะพุ่งตัวกระโดดข้ามร่างของทริกแล้วหล่นเข้าไปในตัวลิฟต์ ซึ่งเธอไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ

ลิฟต์พยายามที่จะรักษาสมดุลของมันภายใต้สนามแม่เหล็ก นั่นคือพยายามที่จะปรับตำแหน่งให้กลับไปลอยอยู่ตรงกึ่งกลางของช่องว่างภายในอุโมงค์อีกครั้ง ดังนั้นมันจึงหนีบร่างของเธอที่ติดอยู่ให้แน่นยิ่งกว่าเดิม เธอรีบใช้แขนทั้งสองออกแรงดันเอาไว้อย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากไม่อยู่ในท่าที่เหมาะสม แรงส่วนใหญ่จึงถูกใช้ไปอย่างไม่เกิดผล

เขายังคงกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ภายในลิฟต์เพื่อทำให้สถานการณ์ของเธอเลวร้ายลงไปอีก พร้อมกับส่งเสียงตะโกนซ้ำๆ ราวกับคนเสียสติ

“…หนีไป หนีไป หนีไป…”

คีย์มีท่าทีลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขับรถออกไปอย่างที่หล่งต้องการ เพื่อนของเขาพูดถูก แม้แต่ช่องลิฟต์ที่มีความสูงถึงขนาดนี้ เธอยังสามารถป่ายปีนขึ้นมาได้ หากปล่อยให้เธอหลุดออกมา พวกเขาไม่มีทางรอดแน่

เมื่อเห็นรถเคลื่อนห่างออกไป เรี่ยวแรงที่เคยมีของหล่งก็หดหายไปในทันที ทริกรีบฉวยโอกาสนั้นออกแรงผลักสุดแรง พร้อมกับแทรกร่างผ่านช่องขึ้นมาได้ในที่สุด เขาถูกแรงเหวี่ยงลงไปล้มกลิ้งอยู่บนพื้น มีเท้าข้างหนึ่งยื่นออกมาเหยียบหน้าอกของเขาเอาไว้

“รู้ไหมว่าเด็กดื้อจะต้องโดนลงโทษ”

เธอพูดเสียงเยียบเย็น

“…ยายจู…จูเลียต เป็นอย่างไรบ้าง”

เขารู้อยู่แล้วว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ แต่ก็ยังอดถามถึงชะตากรรมของจูเลียตไม่ได้ เธอค่อยๆ บรรจงยกร่างของเขาขึ้นมา กอดอย่างแนบแน่น พร้อมกับจูบที่แก้ม เขางงจนสมองหมุน แล้วเธอก็กระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“…ตามไปถามเธอเองสิ”

สติของเขาดับวูบ ร่างหลุดจากอ้อมกอดลงไปนอนกองอยู่บนพื้น เธอยืนมองรถคันดังกล่าวเคลื่อนห่างออกไป แม้ไม่ต้องตรวจสอบกับไอพี ก็สามารถเดาได้ไม่ยากว่าเขาจะไปยังที่ใด ‘การบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของทางศาสนจักรโดยเจ้าหน้าที่พิเศษของสำนักวิทยาศาสตร์จะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้’

เธอค่อยๆ ถอดชุดสีดำที่สวมใส่อยู่ออก อวดผิวเนื้อเปลือยเปล่าต่อท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆขมุกขมัว ปล่อยให้ร่างกายได้สัมผัสกับอากาศที่มีสารรังสีปนเปื้อนเหมือนกับเมื่อในสมัยก่อน หากจูเลียตได้มาเห็นเส้นใยจำนวนมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในชุด เธอจะต้องรู้ทันทีว่ามันคือกล้ามเนื้อเทียมเหมือนกับที่เธอใช้ เพียงแต่มีความก้าวหน้ามากกว่า

ทริกติดต่อหาทรีดเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ‘นี่คืองานชิ้นสุดท้ายในฐานะของเจ้าหน้าที่พิเศษแล้ว’

10.

                คีย์นั่งเหม่ออยู่ภายในรถที่กำลังพุ่งไปอย่างรวดเร็ว เส้นทางที่เลือกยังคงเป็นทางสายเดิม และจุดหมายปลายทางก็ยังคงเป็นสถานที่แห่งเดียวกัน หากจะมีที่ใดในโลก ที่อำนาจของสำนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจเอื้อมเข้าไปถึง คำตอบคงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือ ศาสนจักรแห่งศาสนาจักรวาล และเขาหวังว่าตัวเองจะคิดถูกในเรื่องนี้

‘นี่มันเรื่องอะไรกัน’ ตั้งแต่ที่ได้รับรู้ข่าวการเสียชีวิตของบิดา เรื่องราวต่างๆ ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนหน้านี้เพียงไม่ถึงหนึ่งวัน เขายังคงเป็นเพียงเด็กนักเรียนธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตให้หมดไปกับการเรียน กิจกรรมที่สนใจ และเพื่อนๆ ถึงแม้ว่าข้อสุดท้ายนั้น เขาจะไม่ค่อยมีก็ตาม

เมื่อนึกถึง จันทร์ ดุริยดารา สิ่งที่ปรากฏขึ้นภายในหัวของเขาก็คือ ‘ชายที่เป็นภาพเคลื่อนไหวอยู่ในหน้าจอ’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่เพราะความเกี่ยวข้องที่มีมาแต่กำเนิด กลับทำให้ชีวิตของเขา และเพื่อนต้องตกอยู่ในอันตราย ‘บางทีทั้งสองคนนั้นอาจจะตายไปแล้วก็ได้’ เขาพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

‘มีประโยชน์อะไรที่จะต้องดิ้นรนทำตามความต้องการของพ่อ’ ซึ่งความจริงแล้ว ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้แน่ว่ามันจะเป็นความต้องการของบิดาจริงหรือไม่ หญิงสาวปริศนาคนนั้นคือใคร หรืออะไร และพินัยกรรมในจดหมายลึกลับที่หายไปต่อหน้าต่อตาเขา ก็ยังคงไม่มีคำตอบ

‘ใครๆ ก็รู้ว่าสำนักวิทย์ ทำหน้าที่คอยปกป้องมนุษยชาติมาโดยตลอด การลงมือของทริกในครั้งนี้ คงต้องมีเหตุผลสำคัญอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่’ ปัญหานั้นมีอยู่มากมาย แต่น่าเสียดายที่เขาแทบจะไม่รู้คำตอบ หรือแม้แต่วิธีที่จะค้นหามัน เขาควรจะหลบหนีแบบนี้ต่อไปหรือไม่ แต่หากยอมมอบตัว นั่นอาจหมายถึงชีวิตของเขาเองก็ต้องจบสิ้นลงด้วย และเพื่อนทั้งสองคนก็คงต้องตายเปล่า

ทันใดนั้นไฟกระพริบสีแดงพร้อมเสียงเตือนก็ดังขึ้น เรียกสติของเขาให้หวนกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน จากข้อมูลที่แสดงอยู่บนหน้าจอ ตัวรถยังคงพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่อยู่เช่นเดิม และเขาคงได้แต่ต้องเชื่อพวกมัน เพราะการนั่งอยู่ภายในกระสวยโลหะนี้ ไม่มีทางที่เขาจะบอกความแตกต่างระหว่างการเคลื่อนที่ กับการหยุดนิ่งได้เลย

“กรุณาอยู่ในความสงบ นั่งลงบนเก้าอี้โดยสาร และรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยค่ะ…ขอย้ำอีกครั้ง…”

นั่นเป็นเสียงคำสั่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสได้นั่งรถแบบนี้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่เขาก็บอกตัวเองได้ในทันทีว่า ต้องมีความผิดพลาดบางอย่างที่ร้ายแรงกำลังเกิดขึ้น ใบหน้าของผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเด่นชัดขึ้นมาในห้วงความคิด ถึงแม้ว่ามันจะดูเหลือเชื่อก็ตาม ‘ทริก คุณกำลังทำอะไรกันแน่’

#####

                “…ท่านคะ…”

ไอรอนยังคงก้มหน้าก้มตาหาทางแก้ไขปัญหาของเธออยู่เช่นเดิม เหตุการณ์ที่พึ่งผ่านพ้นไปนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากปล่อยให้มันลุกลามต่อไป เธอฟังน้ำเสียงของทรีดออกในทันที และได้แต่ถอนใจ ในขณะที่มือยังคงเคลื่อนไหวไม่ยอมหยุด

“ข่าวร้ายอีกแล้วหรือ มีอะไรก็รีบว่ามา”

“…รายงานจากเจ้าหน้าที่ทริกค่ะ เธอปฏิบัติงานผิดพลาด เป้าหมายสามารถหลบหนีออกจากโรงเรียนอพอลโลได้สำเร็จ และกำลังมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของศาสนจักรเพียงลำพังค่ะ”

เธอหยุดมือทันที พร้อมกับยกมือขึ้นบีบนวดไปที่ขมับทั้งสองข้าง ก่อนที่สุดท้ายจะทุบทั้งสองมือลงไปบนโต๊ะ พร้อมกับระเบิดอารมณ์ออกมา มันเป็นอาการที่ทรีดไม่เคยเห็นมาก่อน และทำให้เธอรู้สึกตกใจ

“พวกเธอเป็นบ้ากันไปหมดแล้วหรือไง ที่ฉันต้องการก็แค่เพชรเม็ดเล็กๆ เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น มันจะอะไรกันนักกันหนา…”

ทรีดได้แต่นิ่งเงียบ ไอรอนสูดลมหายใจเข้าออกอีกสองสามครั้ง ก่อนค่อยๆ กลับคืนสู่ความเป็นหญิงเหล็ก

“…ถ้าแผนการที่จะใช้เด็กคนนั้นในการเข้าไปเอาเพชรล้มเหลว ก็คงเหลืออยู่แค่หนทางเดียวแล้ว”

“เจ้าหน้าที่ทริกได้แจ้งขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษของสำนักวิทยาศาสตร์มาเรียบร้อยแล้วค่ะ”

เธอเพียงพยักหน้ารับทราบด้วยอาการสงบ

“ดี ให้การลาออกของเธอมีผลในทันที”

“…ท่านคะ”

“ยังมีอะไรอีกหรือ ทรีด”

น้ำเสียงของเธออ่อนลง พร้อมทั้งแสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมา ‘บางทีฉันอาจจะแก่เกินไปแล้วสำหรับเรื่องพวกนี้’ แม้แต่หญิงเหล็กก็ไม่อาจหลบหนีจากความจริงในข้อนี้ไปได้

“…มีความเสียหายเกิดขึ้นภายในโรงเรียนอพอลโลจากการปฏิบัติงานในครั้งนี้ด้วยค่ะ…”

‘อีกแล้ว’ ความเสียหาย กับความสำเร็จของทริก เป็นสองสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้ นั่นเป็นข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของเธอ ไม่เคยเลยสักครั้งที่เธอจะไม่ทำข้าวของแตกหักเสียหาย ไอรอนแอบหวังเอาไว้ว่าครั้งนี้อาจจะแตกต่างออกไป เพราะเป้าหมายเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น

“ฉันไม่อยากรู้รายละเอียดอีกแล้ว เธอจัดการไปตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน”

“…ค่ะท่าน”

เธอคิดจะเลิกสนใจเพียงแค่นั้น แต่แล้วคำถามบางอย่างก็ผุดขึ้นมา ‘ทำไมเด็กคนนั้นจะต้องหลบหนีด้วย และที่สำคัญ เขาทำสำเร็จได้อย่างไร’ เธอจึงออกคำสั่งเพิ่มเติมไปอีกอย่างหนึ่ง

“ส่งรายงานของทริกเข้ามาให้ฉันดูด้วยนะ”

แต่หลังจากนั้น เธอก็กลับไปหมกมุ่นอยู่กับปมปัญหาเดิมที่ยังคงค้างคาอยู่ และลืมมันไปในที่สุด

#####

                จิอาโน อามานี่ หรือ โนอา กำลังนั่งอยู่ภายในห้องทำงานซึ่งถูกออกแบบให้เป็นรูปห้าเหลี่ยม ภายในห้องนี้มีวัตถุโบราณที่ทรงคุณค่าจัดแสดงอยู่หลายชิ้น แต่สิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุดย่อมต้องเป็น ดาบญี่ปุ่นโบราณที่มีชื่อเรียกขานว่า ‘มาสะมุเนะ’ เขาถึงกับสั่งให้ย้ายมันมาอยู่ทางด้านหลังโต๊ะทำงาน เพื่อให้สามารถเอื้อมถึงได้โดยสะดวก

อาวุธที่ถูกทำขึ้นด้วยการม้วนพับเหล็กจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนตีให้ยืดยาวจนกลายเป็นรูปร่างพื้นฐานของดาบ เผาด้วยความร้อนจนถึงจุดที่เหมาะสม แล้วแช่ในน้ำเพื่อให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว จนได้เนื้อโลหะที่มีความพิเศษเฉพาะตัวขึ้นมา เป็นดาบที่คม บาง แกร่ง แต่หยุ่นเหนียว ไม่แตกหักง่าย

ที่สำคัญคือ มันยังคงสามารถสืบต่อวัตถุประสงค์เพียงหนึ่งเดียวของผู้สร้างมาได้จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็คือการฟาดฟันได้อย่างหมดจดนั่นเอง ‘ถ้าหากยังมีใครคิดจะนำมันออกมาใช้อีกครั้งนะ’ เขายิ้มให้กับความคิดของตนเอง

“ท่านประธานสภาครับ”

เสียงที่ดังผ่านลำโพงทำลายความเงียบสงบภายในห้องไป ตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่ง ประธานสภานวโลกา ก็ไม่มีใครเรียกเขาว่า โนอา อีกเลย

“ได้อะไรมาบ้าง”

เขาถามออกไปอย่างมีความหวัง ในค่ำคืนนี้กำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น เขารู้สึกถึงมันได้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังคงนั่งรอคอยอย่างอดทนจนถึงเวลานี้ มันอาจเป็นโอกาสที่เขาเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน และหากเป็นเช่นนั้นจริง เขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไป

“ตรวจพบปัญหาพลังงานไม่เสถียรพร้อมกันทั้งระบบเลยครับ แต่กินเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น”

‘เธอต้องรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว’ เขานึกทบทวนถึงการโต้ตอบที่ผ่านมาอีกครั้ง ‘เธอกำลังมีปัญหา’ พลังงานไม่เสถียรที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นเพียงยอดเล็กๆ ของก้อนน้ำแข็งที่ปรากฏออกมาให้เห็น ในขณะที่ตัวตนของปัญหาที่แท้จริง อาจใหญ่โตเหมือนกับน้ำแข็งส่วนที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ

‘เหมือนกับเรื่องของ เรือที่ไม่มีวันจม’ เขานึกไปถึงตำนานของเรือโบราณที่มีชื่อว่า ไททานิก หรือ เรือที่ไม่มีวันจม แต่ด้วยการชนเข้ากับก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางทะเลเพียงครั้งเดียว สุดท้ายมันก็ลงไปนอนนิ่งอยู่ในสุสานใต้สมุทรตั้งแต่เที่ยวแรกของการเดินทาง มีนักวิชาการหลายคนให้ความเห็นไว้ว่าบางที มันอาจเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็เป็นได้

ภาพของไอรอนกำลังยืนอยู่ที่หัวเรือพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออก ทำท่าทางราวกับจะโบยบินขึ้นฟ้า ในขณะที่เรือยักษ์ซึ่งมีชื่อว่าสำนักวิทยาศาสตร์ กำลังมุ่งหน้าตรงเข้าหาก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ ทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้ ‘ทำไมฉันถึงได้คิดอะไรแปลกๆ แบบนี้นะ’

“…มีอะไรหรือเปล่าครับท่าน”

“…ไม่…ไม่มีอะไร แล้วนอกจากนี้ล่ะ”

“มีรายงานด่วนแจ้งเข้ามาว่า เจ้าหน้าที่พิเศษคนหนึ่งพึ่งลาออกไป ในขณะที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ลับ ซึ่งไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อนเลยครับ”

เขาเห็นด้วยอย่างเต็มที่ว่ามันแปลกเกินไป

“ใครกัน”

“เจ้าหน้าที่ ที่มีชื่อเรียกว่า…ทริก ครับ”

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

เขาจำสาวคนนั้นได้ขึ้นใจ เจ้าของหุ่นอวบอัด พร้อมกับหมัดที่รวดเร็ว และหนักหน่วงอย่างไม่น่าเชื่อ เธอกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า ทรีด เปรียบเหมือนกับมือขวา และ มือซ้ายของหญิงเหล็ก คนหนึ่งอยู่ข้างกายไม่เคยห่าง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คอยซ่อนตัวอยู่ภายในเงามืด

เรื่องพวกนี้ต้องมีเบื้องหลังซ่อนอยู่ และเชื่อมโยงกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขายังมีข้อมูลในมือน้อยเกินไป จึงไม่อาจบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปได้

ผู้คนทั่วไปต่างรู้ดีว่าอำนาจในโลกปัจจุบันนี้ถูกถ่วงดุลเอาไว้ด้วยสองส่วน คือ สภานวโลกา กับ ศาสนจักรแห่งศาสนาจักรวาล แต่ที่คนส่วนใหญ่คิดไม่ถึงคือ ภายในสภานวโลกานั้นอำนาจส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นของ ประธานสภา แต่กลับเป็นของ ผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์ แทน

ทั้งหมดนี้มีที่มาแสนสลับซับซ้อนตั้งแต่ในสมัยก่อน ซึ่งเขาก็เข้าใจมันดี และยังนับถือไอรอนในหลายๆ ด้าน แต่ความมุ่งหวังในการเข้ารับตำแหน่งของเขา ก็คือการนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจดั้งเดิมเหล่านี้

การที่สภา กับศาสนจักร ไม่อาจเชื่อมเข้าหากันได้นั้น สำนักวิทยาศาสตร์มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบอยู่มาก ในความคิดของเขา หากการรวมกันของทั้งสองส่วนนี้ยังคงไม่เกิดขึ้น ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการฟื้นฟูโลกอย่างแท้จริง

เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย เขาไม่ลังเลที่จะทำทุกสิ่ง จนได้ตำแหน่งประธานสภามาไว้ในครอบครอง และพร้อมจะเขี่ยใครก็ตามที่เข้ามาขวางให้ออกไปพ้นทาง ‘ถึงแม้จะเป็นคุณก็ตาม ไอรอน’ หลายปีที่ผ่านมานี้ เขายังคงหาวิธีเพื่อเจาะเข้าไปในฐานอำนาจของเธอ

“หารายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องนี้ให้ผมด้วย เธออยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร ก่อนที่จะลาออก…”

เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะถึงแม้จะมีอะไรที่น่าสนใจหลายอย่างเกิดขึ้น แต่พวกมันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

“…แล้วเรื่องฐานดวงจันทร์ไปถึงไหนแล้ว”

“ยังไม่มีความคืบหน้า…”

เป็นคำตอบที่ไม่ผิดจากความคาดหมายของเขา

“…แต่เราตรวจพบอะไรแปลกๆ บางอย่างครับ”

“ว่ามาเลย”

“ไม่มีการติดต่อระหว่างที่นั่น กับพื้นโลก มาประมาณสองวันแล้วครับ การเชื่อมต่อยังคงอยู่ แต่ไม่มีการส่งข้อมูลเกิดขึ้นเลย เราสงสัยว่าพวกเขาอาจเจอปัญหาใหญ่บางอย่าง”

“…มันเกิดขึ้นภายหลังการตายของศาสตราจารย์จันทร์ใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาจะใช้เล่นงานเธอได้อยู่ดี ‘ต้องมีอะไรที่มากกว่านี้ อะไรที่’ แล้วทันใดนั้น ห้องทำงานห้าเหลี่ยมของเขาก็ตกอยู่ในความมืดมิด เหมือนกับเขากระพริบตานานเกินไป ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเป็นเช่นเดิม เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“…ผมไม่ได้คิดไปเอง มันเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม”

เขาถามเพื่อต้องการคำยืนยัน

“เรื่องจริงครับท่าน…และตอนนี้ เรากำลังใช้พลังงานสำรองกันอยู่ครับ”

‘นี่แหละที่ฉันต้องการ เรื่องใหญ่ๆ ที่จะใช้เล่นงานเธอ” แม้จะดีใจ แต่เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเริ่มมองเห็นน้ำแข็งส่วนที่ซ่อนลึกอยู่ใต้น้ำ เพราะมันคือก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย

‘พลังงานคือแกนกลางของเรื่องราวทั้งหมดนี้’ มันคือรากฐานของทุกสิ่งที่ถูกนำกลับมาใช้ในปัจจุบัน เป็นเพราะการค้นพบแหล่งพลังงานของสำนักวิทยาศาสตร์ หรือที่ถูกเรียกว่า ‘การฟื้นฟูโลก’ ที่ทำให้มนุษย์สามารถรอดพ้นจากยุคมืดที่สุด และก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วได้อีกครั้ง ในเวลาเพียงไม่นาน

การควบคุมแหล่งพลังงาน คืออำนาจในการต่อรองของสำนักวิทยาศาสตร์ ที่ไอรอนใช้ในการผลักดันสภา ให้เดินไปตามทิศทางที่เธอต้องการ รวมถึงการขัดขวางความพยายามที่จะรวมโลกทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง เขาเองก็ไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดคนอย่างเธอถึงมีความคิดแบบนั้นได้

เขาไม่อยากนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากแหล่งพลังงานดังกล่าวต้องสูญหายไปอีกครั้ง ‘มีบางอย่างเกิดขึ้นกับฐานดวงจันทร์’ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับการตายของศาสตราจารย์จันทร์อย่างไม่ต้องสงสัย และเธอกำลังหาวิธีแก้ไขมันอย่างเร่งรีบ ‘ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับการลาออก และหายตัวไปของทริก’

แน่นอนที่ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ‘แต่อาจเป็นหลังจากที่หญิงเหล็กหลุดจากตำแหน่งของเธอไปแล้ว’

#####

                ไอรอนมองดูค่าตัวเลขต่างๆ บนหน้าจอ แต่ภายในหัวของเธอกำลังมองเห็นผลที่เกิดขึ้นจากตัวเลขเหล่านั้น นอกจากภายในสภานวโลกาแห่งนี้ ทั่วทั้งโลกต่างต้องตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง ผู้คนอาจกำลังส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ในที่สุดสิ่งที่เธอไม่ต้องการก็เกิดขึ้นจนได้

“อีกกี่นาที”

“…ประมาณสิบนาทีค่ะ กว่าที่ระบบสำรองจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์”

ทรีดตอบกลับมาด้วยเสียงสั่น ‘อดทนเอาไว้ทุกคน แค่สิบนาทีเท่านั้น’ เธอไม่อยากนึกถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเลย ‘ระบบสำรองจะจ่ายพลังงานทดแทนให้’ แล้วทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ‘ใช่ ความสงบที่ยาวนานประมาณสี่สิบแปดชั่วโมง’

ถ้าหากพวกเธอยังหาทางแก้ปัญหาไม่ได้ พลังงานสำรองจะหมดลงภายในระยะเวลาประมาณสี่สิบแปดชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นฝันร้ายของมวลมนุษยชาติก็จะเริ่มต้นขึ้น ยุคมืดที่สุด จะหวนคืนกลับมา และในครั้งนี้มนุษย์อาจไม่สามารถกลับมายืนหยัดได้อีก

#####

                “…ขอย้ำอีกครั้ง…กรุณาอยู่ในความสงบ นั่งลงบนเก้าอี้โดยสาร และรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยค่ะ…”

คีย์ขยับตัวบนที่นั่ง แล้วรัดเข็มขัดนิรภัยตามที่เสียงนั้นบอก และก่อนที่เขาจะทันได้รู้ตัว รอบกายก็ตกอยู่ในความมืดมิด เขารู้สึกตัวเบาราวกับไม่มีน้ำหนัก เหมือนกับจะสามารถลอยขึ้นจากพื้น แต่ก็ถูกเข็มขัดพวกนั้นรัดเอาไว้ เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ไม่มีแสงสว่าง ก็หมายถึงไม่มีพลังงาน และหมายความว่าไม่มีสนามแม่เหล็กที่คอยพยุงรถคันนี้เอาไว้ เขากำลังตก รถคันนี้กำลังร่วงลงสู่พื้นด้วยความเร็ว ตัวเขาเหมือนกับนั่งอยู่ภายในกรงที่กำลังร่วงหล่นลงสู่พื้น และเขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อการเดินทางสู่พื้นดินในครั้งนี้จบสิ้นลง

เขาเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงกระแทกที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง

11.

                “ยังไม่นอนอีกหรือลูก”

หญิงสาวเอ่ยถามเบาๆ พร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวลูกสาวตัวน้อยที่นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่ม อากาศบนพื้นผิวโลกอบอุ่นขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังต่ำกว่าในสมัยที่มนุษย์เคยยึดครองมันเอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จอยู่หลายองศา

ถึงแม้ชุดเครื่องแบบเก่าๆ ของชาวนวโลกาที่ได้รับตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วนั้น จะช่วยกักเก็บอุณหภูมิ และลดการสูญเสียความร้อนของร่างกายเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็ยังต้องอาศัยหนังของสัตว์ขนฟูบางชนิดที่เอามาเย็บรวมกันเป็นผ้าห่ม เพื่อให้ความอบอุ่นเพิ่มเติมในยามค่ำคืน

ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นมานั่งที่ข้างกายของทั้งสอง ก่อนโอบกอดทั้งหมดเอาไว้ด้วยกัน ชุดที่เขาสวมใส่อยู่เรืองแสงขึ้นเล็กน้อยโดยอาศัยพลังงานที่ได้จากการเคลื่อนไหวร่างกายในยามเดินทาง เมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา

สถานที่พักผ่อนหลับนอนในคืนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของซากสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ไม่อาจบอกได้แล้วว่า มันเคยเป็นสิ่งใดมาก่อน กำแพงเตี้ยๆ ที่หลงเหลืออยู่เพียงสองด้านของมันยังคงสามารถช่วยป้องกันลมหนาวเอาไว้ได้บางส่วน

เหล่าสิ่งก่อสร้างทั้งหลายที่เคยสูงเทียมฟ้า ล้วนพังทลายลงมาจนหมดสิ้นแล้ว พวกมันไม่อาจทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรง และที่สำคัญคือไม่มีการบำรุงรักษาจากมนุษย์ที่เป็นผู้ให้กำเนิดพวกมันขึ้นมาอีกต่อไป

เขาค้นหาไปรอบๆ บริเวณนี้ และไม่พบสิ่งใดที่จะนำมาใช้ในการก่อไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นได้เลย มีเพียงเศษพลาสติกหลากรูปแบบจำนวนมากมายที่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่พวกมันก็ยังคงสภาพ และมีอายุยืนยาวมาจากในยุคสมัยที่ถูกผลิตขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ถึงพวกมันจะติดไฟได้ แต่เขารู้ว่าควันสีดำที่เกิดขึ้นนั้นมีความเป็นพิษ ดังนั้นการต้องนอนอยู่ท่ามกลางความเย็นแบบนี้ ก็ยังดีกว่าการจุดพวกมันขึ้นมาเพื่อให้ได้ความอบอุ่น

เด็กหญิงตัวน้อยลืมตากลมโตจ้องมองขึ้นไปบนฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆดำขมุกขมัว นานๆ ครั้งที่พวกมันจะเปิดออกเผยให้เห็นดวงดาวระยิบระยับที่อยู่ไกลออกไป และหากโชคดีก็อาจจะได้เห็นวงกลมสีเหลืองนวลอันเป็นที่เล่าขาน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก่อนที่พวกมันจะถูกบดบังไปอีกครั้ง

“พ่อเล่านิทานเรื่องนั้นให้หนูฟังอีกได้ไหมคะ”

“มันดึกแล้วนะลูก”

หญิงสาวต้องการให้ลูกน้อยได้นอนหลับพักผ่อนมากที่สุด แต่ผู้เป็นพ่อกลับใจอ่อนให้กับแววตาที่ออดอ้อนคู่นั้น ก่อนค่อยๆ เอ่ยปากเล่านิทานเรื่องเดิมด้วยท่วงทำนองน่าฟัง

“นานมาแล้ว ณ ดินแดนแห่งหมู่เกาะซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ชายชราที่ไร้ทายาทผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่ในป่าไผ่ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีลักษณะเป็นข้อปล้องขนาดใหญ่ ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ในอดีตเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในสมัยที่บนพื้นโลกยังปกคลุมไปด้วยสีเขียวของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า พืช…”

ชายชราได้พบเจอปล้องไม้ไผ่ที่ส่องแสงเรืองรองอย่างประหลาด เขาจึงตัดมันออกมา และพบกับเด็กทารกหญิงตัวน้อยที่มีขนาดเท่ากับหัวแม่มือ

เขารีบนำเธอกลับบ้านด้วยความยินดี ตายายทั้งสองพากันเรียกเธอว่า คางูยะ ซึ่งต่อมาได้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่มีขนาดตัวเท่าคนปกติ แต่มีความงดงามที่เกินกว่าธรรมดามากนัก

“เหมือนกับลูกเลย”

เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มหวานรับคำชมจากผู้เป็นพ่อ

เจ้าชายจากห้าประเทศใหญ่ในยุคสมัยนั้น ต่างเดินทางมาเพื่อขอแต่งงานกับเธอ แต่เธอกลับตั้งเงื่อนไข ให้พวกเขาต้องออกไปค้นหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

‘ข้าต้องการชุดที่ทำให้ผู้สวมใส่มีพลังเหนือมนุษย์’

‘ข้าต้องการแหล่งกำเนิดพลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมด’

‘ข้าต้องการสิ่งที่สามารถให้ความอบอุ่นกับโลกทั้งใบ’

‘ข้าต้องการกิ่งไม้ที่สามารถสร้างต้นไม้ขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว’

‘ข้าต้องการสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีลูกหลานเป็นสัตว์ได้ทุกชนิด’

แน่นอนที่ไม่มีใครสามารถหาสิ่งของเหล่านี้มาให้กับเธอได้ เจ้าชายบางคนถึงกับต้องสังเวยชีวิตของตนเองไปกับการค้นหานี้ แม้แต่พระราชาแห่งหมู่เกาะนั้นก็ยังไม่อาจพิชิตใจของเธอได้

หลังจากนั้น ในทุกค่ำคืนเธอจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวง พร้อมด้วยประกายแห่งน้ำตา เมื่อถูกคาดคั้นถามจากสองตายาย เธอก็ยอมเปิดเผยว่า ความจริงแล้วเธอคือชาวจันทรา ในตอนนี้สงครามบนสวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว และชาวจันทราจะเดินทางมารับเธอกลับไปในไม่ช้า

พระราชาได้ใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากมายให้คอยเฝ้าเธอเอาไว้ แต่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังลึกลับของชาวจันทราที่เดินทางมาถึงด้วย บันไดแห่งแสง

‘ข้ารักโลกใบนี้ แต่ข้าก็ต้องกลับสู่จันทราอันเป็นบ้านเกิด’

เธอได้ทิ้งชุดของเธอไว้เป็นที่ระลึกให้กับสองตายาย และมอบ กุญแจแห่งสวรรค์ ให้กับพระราชา ก่อนที่เธอจะหมดสิ้นความเป็นมนุษย์ สูญสิ้นความผูกพัน และกลับคืนสู่ดวงจันทร์ในที่สุด

ในจังหวะเวลานั้น หมู่เมฆทะมึนก็แยกตัวออกเผยให้เห็นลูกกลมสีเหลืองนวลอยู่ชั่วครู่ เด็กหญิงชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมกับร้องออกมาด้วยความยินดี

“หนูเห็นพระจันทร์ด้วย…แต่นั่นมันอะไรกันคะ…”

เด็กหญิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ชายหนุ่ม และหญิงสาวต่างมองตามทิศทางที่ลูกชี้ไปพร้อมกัน ทั้งสองได้เห็นลูกกลมเล็กๆ ร่วงตรงลงมาจากท้องฟ้าห่างออกไปไม่ไกลนัก ในขณะที่จ้องมองดูอยู่นั้น มันก็ค่อยๆ บวมพองใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ผิวกลายสภาพเป็นตะปุ่มตะป่ำ ก่อนลับหายไปจากสายตา พร้อมเสียงตกกระแทก และแรงสะเทือนเบาๆ ที่รู้สึกได้

“…ใช่พวกชาวจันทราหรือเปล่าคะ…”

เด็กน้อยถามพร้อมกับเบียดร่างเข้ามากอดมารดาของเธอ สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน ก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะยิ้ม พร้อมกับใช้มือขยี้หัวลูกสาว

“ไม่ใช่หรอกน่า ลูกยังกลับดวงจันทร์ตอนนี้ไม่ได้หรอก…ลูกยังต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนาน”

เขาทำท่าจะลุกขึ้น แต่หญิงสาวยื่นมือมาจับแขนเขาไว้เบาๆ

“…คุณจะออกไปดูหรือ”

ชายหนุ่มทำท่าคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อเห็นท่าทางของลูกน้อยที่ยังคอยตั้งใจฟังอยู่

“อาจมีใครต้องการความช่วยเหลือก็ได้ คุณก็รู้ว่าพวกเราต้องช่วยกัน”

“แต่…เขาอาจไม่ใช่ พวกเรา”

ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับขยี้หัวหญิงสาวราวกับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยอีกคนหนึ่ง

“ไม่เอาน่า…ดูลูกให้รีบนอนด้วย”

สองแม่ลูกต่างยังคงเฝ้าดูแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังเดินจากไปอย่างไม่วางตา ชุดของเขาหยุดเรืองแสงทำให้ร่างกายกลืนหายไปกับความมืด เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อประเมินทิศทางการตกของวัตถุปริศนาเมื่อครู่ ก่อนเริ่มมุ่งหน้าออกไปด้วยความรวดเร็ว

#####

                ในการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดต่างๆ นั้น ความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นสิ่งสำคัญ จึงต้องมีการออกแบบ ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บ หลีกเลี่ยงการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น และสำหรับ รถ ที่คีย์โดยสารอยู่นี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

เมื่อพลังงานถูกตัดขาด สนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะยังคงสภาพอยู่อีกครู่หนึ่ง เพียงพอให้ผู้โดยสารสามารถนั่งลง และรัดเข็มขัดนิรภัยได้ทัน ก่อนที่การตกจะเริ่มต้นขึ้น หลังจากนั้นระบบรักษาความปลอดภัยในส่วนอื่นๆ ก็จะเริ่มทำงาน

ถุงลมนิรภัยที่อยู่ภายในห้องโดยสารจะพองตัวออกอย่างรวดเร็ว และนั่นเป็นแรงกระแทกที่เขารู้สึกได้ในตอนแรก ซึ่งไม่ได้เกิดจากการตกกระทบแต่อย่างใด ดังนั้นหลังจากที่เขาเริ่มกรีดร้อง ตัวรถก็ยังคงตกต่อไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นถุงลมนิรภัยภายนอกที่มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างออกไปก็จะพองตัวขึ้นรอบๆ ตัวรถ ทำให้มันมองดูเป็นตะปุ่มตะป่ำ ซึ่งจะช่วยลดความเร็วในการตก และยังทำหน้าที่เป็นวัสดุดูดซับแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้นด้วย ทำให้ตัวรถไม่ได้รับความเสียหายจากการตกมากจนเกินไป

ตามปกติแล้วพื้นที่ใต้เส้นทางที่รถเหล่านี้วิ่งผ่านในอดีตจะมีการเตรียมพื้นผิวเพื่อรองรับการตกเอาไว้ด้วย แต่เนื่องจากการฟื้นฟูระบบรถของสำนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้รวมสิ่งนี้เข้าไปด้วย ดังนั้นเบื้องล่างจึงเต็มไปด้วยเศษซากของสิ่งต่างๆ จากในอดีต เหมือนกับพื้นที่บนผิวโลกโดยทั่วไป

การตกกระแทกพื้นของรถจึงไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น ถุงลมนิรภัยภายนอกหลายใบเกิดการฉีกขาด หลังจากที่ตัวรถเด้งขึ้นลงไปบนซากของสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะหยุดลงได้ในที่สุด ประตูที่ถูกออกแบบให้หงายขึ้นด้านบนเมื่อการตกจบสิ้นลงกลับถูกทับอยู่ทางด้านล่าง ทำให้เปิดออกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถุงลมนิรภัยภายในเริ่มยุบตัวลง เผยให้เห็นร่างของคีย์ที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเก้าอี้โดยสาร ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายนัก แต่แรงกระแทกที่เกิดขึ้นทำให้เขาหมดสติไป

ชายหนุ่มที่พึ่งมาถึงมองดูเขาผ่านทางช่องเปิดนั้น และมองเห็นไอพีที่อยู่บนแขนเสื้อของเขาได้ในทันที ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ใส่ชุดเครื่องแบบที่ดูคล้ายกัน แต่บนชุดของพวกเขาไม่มีไอพีอยู่ด้วย ที่ตรงนั้นว่างเปล่า เป็นเพียงแขนเสื้อธรรมดาเท่านั้น

มันคือสิ่งที่บ่งบอกถึงฐานะที่แตกต่าง ระหว่าง ชาวนวโลกา กับ ผู้พเนจร อย่างพวกเขา ชายหนุ่มหยิบ มีดสั้น ซึ่งเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวของเขาออกมา ก่อนมุดหายเข้าไปภายในรถ

#####

                “เกิดอะไรขึ้น”

คุรุ อุทานกับตนเอง เมื่ออยู่ๆ รอบกายของเขาก็ตกอยู่ในความมืดมิด เขาเป็นครูชายวัยกลางคนที่ทำการสอนอยู่ในโรงเรียนอพอลโลแห่งนี้มาเกินสิบปีแล้ว เขามีงานอีกอย่างหนึ่งที่มีคนรู้ไม่มากนัก นั่นคือเขาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักวิทยาศาสตร์ คอยทำหน้าที่ส่งรายงานเกี่ยวกับนักเรียนที่มีความน่าสนใจให้กับทางสำนักงาน

เขาเป็นคนที่แจ้งเรื่องเกี่ยวกับ คีย์ และ หล่ง ไปยังสำนักงานเอง แต่ยังคงลังเลเกี่ยวกับ จูเลียต ว่าจะมีความเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิเศษหรือไม่ เพราะบุคลิกภาพส่วนตัวของเธอ จึงยังคงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนัก

วันนี้เขาได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ทรีดให้มาทำงานอีกอย่างหนึ่งซึ่งแตกต่างออกไป เขาเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิเศษทริกมานานแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเห็นผลงานของเธอด้วยตาของตนเอง

ความเสียหายเหล่านี้อาจดูไม่มากมายอะไรนัก แต่เมื่อได้รู้ว่าเป้าหมายของเธอเป็นแค่เด็กเพียงคนเดียวเท่านั้น มันก็ดูจะรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะร่างของเด็กสองคนนั้น แถมยังเป็นเด็กที่เขารู้จักเป็นอย่างดีด้วย

‘เธอบ้าไปแล้วหรือไง ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้’ แม้จะคิดอย่างนั้น แต่เขาก็ลงมือทำตามคำสั่งที่ได้รับมาอย่างรวดเร็ว ‘เก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย อะไรที่เสียหายมากก็ให้ทิ้งไว้ก่อน รอทีมเสริมที่จะตามไปในภายหลัง’ เมื่อจัดการกับร่างของเด็กทั้งสองคนนั้นแล้ว ก็คงเหลือเพียงร่องรอยต่างๆ อีกเล็กน้อย ‘ถ้าไม่นับรอยพิมพ์ร่างของเธอที่อยู่ตรงประตูลิฟต์นั่นนะ’ เขายังนึกไม่ออกเลยว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาได้พบเจอกับชุดสีดำที่เป็นของเจ้าหน้าที่พิเศษซึ่งแปลกแตกต่างจากชุดทั่วไปถูกถอดทิ้งเอาไว้ด้วย เขามั่นใจในทันทีว่ามันต้องเป็นชุดของทริก และทรีดก็ช่วยยืนยันความคิดของเขา ‘เก็บมันเอาไว้ก่อน แล้วจะมีคนไปรับเอง’

สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ เธอจากไปพร้อมกับร่างที่เปลือยเปล่าอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนเธอคนนี้จะมีการกระทำที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ ‘ถ้าอย่างนั้น บางที จูเลียตอาจจะเหมาะกับงานแบบนี้ก็เป็นได้’

ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเก็บรวบรวมมาไว้ในห้องเก็บของที่ไม่มีใครสนใจ และมีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเปิดมันออกได้ หลังจากที่ปิดผนึกเรียบร้อย เขาก็ยืนอยู่หน้าห้องนั้นท่ามกลางความมืดมิด

“…พลังงานดับ”

ชุดของเขาค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมาอย่างช้าๆ ในขณะที่ไอพีปรับเข้าสู่ระบบประหยัดพลังงาน ที่มีการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้สามารถทำอะไรได้มากนัก จนกว่าพลังงานจะกลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ‘ไม่มีประกาศเตือนล่วงหน้าสักหน่อย’ ทุกครั้งที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเสมอ และแต่ละครั้งจะกินเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น

เขาหยุดยืนรออยู่ตรงนั้นปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ‘นานเกินไปแล้ว’ แม้จะมีความมั่นใจต่อสำนักวิทยาศาสตร์ที่เขาทำงานอยู่ แต่ความมืดมิดที่ยาวนานกว่าปกติโดยไม่มีคำเตือนล่วงหน้าเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกเกิดความหวาดระแวงขึ้นมาเช่นกัน ‘หรือว่า หรือว่า’ จินตนาการของเขาเริ่มเตลิดเปิดเปิงไปอย่างไม่อาจควบคุม

ถึงแม้ว่าระบบของเมืองใต้ดินทั้งหมดจะหยุดลง แต่การหมุนเวียนของอากาศจะยังคงไม่เป็นปัญหา นอกจากมันจะหยุดไปเป็นเวลานานมาก อากาศภายในเมืองจึงจะเริ่มเข้าสู่ระดับที่ไม่เหมาะกับการหายใจ และปริมาณรังสีก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย

นอกจากภายในสภานวโลกาแล้ว เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ภายในเมืองใต้ดินทุกแห่งซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ต่างเกิดความแตกตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากในซีกโลกแถบนี้เป็นเวลากลางคืน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างขังตัวเองอยู่ภายในห้องอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทำอะไรได้ไม่มากนักนอกจาก อยู่เฉยๆ กรีดร้อง ทุบประตู หรือไม่ก็นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ตรงมุมห้อง

ส่วนในซีกโลกที่เป็นช่วงเวลากลางวัน มีผู้ที่อยู่ในพื้นที่ส่วนกลางมากกว่า พวกเขาส่วนใหญ่ต่างจับกลุ่มกันอยู่กับที่ แต่ก็มีบางส่วนที่เกิดอาการคุ้มคลั่งวิ่งร้องตะโกน ‘ยุคมืดที่สุดกลับมาแล้ว’ ไปอย่างไร้ทิศทาง หรือไม่ก็ทำอะไรแปลกๆ อย่างอื่น ที่ทำให้ตัวเอง และคนอื่นๆ เดือดร้อน หรือได้รับบาดเจ็บ

ในส่วนของศาสนจักรแห่งศาสนาจักรวาลเองก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่พวกเขามีความคุ้นเคยกับความมืดมากกว่าชาวนวโลกา เพราะมีความใกล้ชิดกับเหล่าผู้พเนจรที่อาศัยอยู่บนพื้นผิวโลกอย่างแน่นแฟ้น พวกเขาทั้งสองส่วนต่างถูก สภานวโลกา หรือในความเป็นจริงก็คือ สำนักวิทยาศาสตร์ กีดกันไม่ให้มีการติดต่อกับเมืองของชาวนวโลกาโดยตรง

พวกเขามีเมืองเป็นของตนเอง แม้จะมีอยู่เพียงเจ็ดแห่ง และไม่ใหญ่โตเหมือนกับเมืองใต้ดินของทางสภา แต่ก็มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ มีการใช้ไอพีที่จำกัดอยู่ในวงแคบๆ เฉพาะพวกนักบวชที่มีตำแหน่งสูงๆ เท่านั้น พลังงานดับที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงไม่ส่งผลกระทบมากมายอะไรนัก เพียงแค่เพิ่มเติมความรู้สึกไม่พอใจที่มีอยู่แล้ว ให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

สิบนาทีอันแสนเนิ่นนานผ่านพ้นไปในที่สุด พลังงานกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง ความวุ่นวายทั้งหมดจบสิ้นลง แล้ววิถีชีวิตแบบเดิมๆ ก็เริ่มดำเนินต่อไป

คุรุ ตรวจดูประตูห้องเก็บของอีกครั้งก่อนเดินจากไป เขาจะกลับไปนั่งรอในห้องจนกว่าทีมเสริมที่ทรีดบอกจะมาถึง แล้วค่อยให้พวกเขาตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ‘กลับไปนั่งเล่นไอพีต่อดีกว่า’

12.

                ชายหนุ่มจ้องมองคนแปลกหน้าที่ยังนอนสลบอยู่ภายในรถ ‘พวกเราไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย’ เขามองไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงไอพีที่เคยเห็นแต่ซากที่พังแล้วของพวกมัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นของจริงที่ยังคงใช้งานได้อยู่ แม้แต่เหล่านักบวชในศาสนจักรที่เขามีโอกาสได้เข้าพบ ก็ไม่มีใครสวมใส่สิ่งนี้เลย

ภายในหัวของเขา มีความคิดสองอย่างกำลังตีกันอยู่อย่างสับสน ‘มันอาจเป็นโอกาสเดียวที่ แก้วตา จะรอดชีวิต’ เขานึกถึงชะตากรรมที่ลูกสาวตัวน้อยกำลังเผชิญอยู่ แต่ความคิดนี้ก็ค้านกับหลักการที่เขายึดถือมาทั้งชีวิต นั่นคือ หัวใจของผู้พเนจร ‘ผู้พเนจรต้องช่วยเหลือกันในยามที่เผชิญภัยอันตราย’

เขาอยากได้ไอพีที่เห็นอยู่ตรงหน้า แต่หากทำเช่นนั้นมันก็คือการขโมย และหากไม่ช่วยเหลือคนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ เขาก็ไม่ต่างอะไรจากเหล่า คนเถื่อน บรรพบุรุษที่เคยใช้ชีวิตอยู่ใน ยุคมืดที่สุด นั่นเอง

เขาได้ยินเสียงแผ่วๆ ดังมาในสายลมหนาว เสียงของสายลมที่พัดผ่านตัวรถที่ตอนนี้กลายสภาพมาเป็นก้อนปูดโปนรูปทรงประหลาด มันดังคล้ายกับเสียงเพลงที่เขาเคยคุ้นในอดีต เสียงเพลงกล่อมเด็กของมารดา เสียงที่ทำให้จิตใจของเขาพบกับข้อสรุปได้ในที่สุด

เขายื่นมีดออกไปใกล้ร่างของคนแปลกหน้า ก่อนลงมือตัดเข็มขัดนิรภัยที่รัดร่างนั้นออก แล้วค่อยๆ ลากออกมายังภายนอกตัวรถ เขาเก็บมีดสั้นไว้เหมือนเดิม นั่งคุกเข่าลง และพยายามปลุกคีย์ให้ตื่นขึ้นมา

“…อา”

แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่แรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ทำให้ระบบประสาทของเขาได้รับความกระทบกระเทือนไม่น้อย เขายังคงนอนงงอยู่อีกครู่หนึ่ง กว่าจะสามารถรับรู้ได้ว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างกายเขา

“คุณเป็นอะไรมากไหม”

เขาตะกายลุกขึ้นมานั่ง พร้อมกับพยายามมองหน้าฝ่ายตรงข้าม ดูเหมือนว่าพวกมันจะยังคงไม่เข้าที่ เพราะภาพจากดวงตาทั้งสองข้างยังคงซ้อนเหลื่อมกันอยู่ แต่เขารับรู้ได้ว่ามันกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ และคงจะเป็นปกติได้ในที่สุด

“…ผม…ผมไม่เป็นอะไร”

ในหัวของเขามีเพียงความว่างเปล่า

“…เกิดอะไรขึ้น ผมอยู่ที่ไหน…ผม…ผม…”

เขายกมือขึ้นมาปิดหน้า เกิดความรู้สึกวิงเวียนแปลกๆ ขึ้นมาอย่างฉับพลันเมื่อเขาพยายามใช้ความคิด

“ผมว่าคุณนอนลงก่อนดีกว่า รถของคุณตกลงมาจากท้องฟ้า แรงกระแทกคงทำให้คุณได้รับความกระทบกระเทือน”

เขาค่อยๆ เอนหลังลงนอนพร้อมกับหลับตา ภาพเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นค่อยๆ ย้อนกลับมาทีละน้อย ความรู้สึกวิงเวียนก็ค่อยๆ ลดลง เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับเป็นปกติ เขาได้เห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน และมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับผู้พเนจรที่ไม่ใช่เป็นเพียงข้อมูลที่มีไว้ให้ศึกษาเท่านั้น

ความรู้สึกแรกของเขาก็คือ ‘พวกเขาเหมือนกับพวกเรามาก ต่างจากที่ข้อมูลบอกเอาไว้’ ชายคนนี้น่าจะมีอายุเท่าๆ กับเขา หรืออาจจะมากกว่าสักสองสามปี

เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ยื่นมือไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวทักทาย

“สวัสดีครับ ผมมีชื่อเรียกว่า คีย์”

ชายแปลกหน้ายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาในระดับหัวไหล่ ก่อนแบหงายฝ่ามือออก แล้วจึงค่อยยื่นออกมาจับมือกับเขา

“สวัสดี ผมชื่อ ซูฟี”

แม้จะไม่เข้าใจ และรู้สึกแปลกๆ กับท่าทางดังกล่าว แต่เขาคิดว่าคงยังไม่ค่อยเหมาะนัก ที่จะถามถึงเรื่องนี้

“คุณช่วยผมไว้สินะ ขอบคุณมากครับ”

ซูฟี ยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า

“รถนั่นต่างหากที่ช่วยชีวิตคุณเอาไว้ ผมแค่ลากคุณออกมาอย่างผู้พเนจรที่ดีควรทำ ก็แค่นั้น”

เขาหันกลับไปมองตัวรถ ที่ตอนนี้สภาพภายนอกของมันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาพอจะเข้าใจในระบบนิรภัยของมันแล้ว เขายกไอพีของตนขึ้นดูด้วยความเคยชิน โดยไม่ได้รู้สึกถึงความสนใจอย่างผิดปกติของฝ่ายตรงข้ามเลย

ไอพีของเขาเปลี่ยนเข้าสู่ระบบประหยัดพลังงาน เพราะบนพื้นผิวโลกทั้งหมดนั้นไม่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย มันจึงแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากเจ้าเอสยูหัวกลมที่ยังคงล่องลอยไปมาอยู่ในหน้าจอ พร้อมยิ้มตอบให้กับเขาเหมือนทุกที ถึงแม้ว่ามันจะเคยช่วยเขามาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า ที่ผ่านมานั้นเขาติดต่อกับมันได้อย่างไร

“…ถึงอย่างนั้น ผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”

เขาเงยหน้าขึ้น และไม่ได้เอะใจแม้แต่น้อย ที่คู่สนทนารีบทำเป็นหันมองไปอีกทางอย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ ในเมื่อคุณปลอดภัยดีแล้ว ผมก็คงต้องขอตัวก่อน”

ซูฟีต้องการจากไปโดยเร็ว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับสิ่งล่อใจให้นานไปมากกว่านี้

“เดี๋ยวก่อนครับ…”

คีย์เรียกเขาเอาไว้ เพราะตอนนี้เขายังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เขาคงต้องพยายามเดินทางไปยังศาสนจักร แต่จะไปอย่างไร และทางไหน คงต้องหวังพึ่งผู้พเนจรแปลกหน้าที่ดูท่าทางไว้ใจได้คนนี้เสียแล้ว

“ผมต้องเดินทางไปยังศาสนจักร ไม่รู้ว่าต้องไปทางทิศไหน…และอีกไกลมากหรือเปล่าครับ”

“…คุณไม่คิดจะกลับไปยังเมืองของคุณก่อนหรือ ถ้ารออยู่ตรงนี้ อีกไม่นานก็คงมีเจ้าหน้าที่พิเศษมารับคุณกลับไปเอง”

พอได้ยินคำ เจ้าหน้าที่พิเศษ เขาถึงกับสะดุ้ง

“…ผม ผมมีธุระด่วนที่ต้องไปยังศาสนจักรให้ได้น่ะครับ”

ท่าทีของคีย์ ทำให้เขาแปลกใจ ‘ต้องมีเรื่องอะไรแน่ บางทีเขาอาจกำลังอยู่ในระหว่างหลบหนี’ แต่ถึงอย่างนั้น ลักษณะของฝ่ายตรงข้ามกลับทำให้เขาไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดสักเท่าไร

“ศาสนจักรที่ใกล้ที่สุดก็ต้องเป็น แชงกรีลา เดินไปตามถนนสายนี้อีกประมาณครึ่งวันก็คงถึง…”

เขาชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง ส่วนถนนที่ว่าก็คือพื้นที่ที่เคยอยู่ใต้ ถนนบนฟ้า นั่นเอง ถึงแม้จะมีเศษซากต่างๆ กองระเกะระกะ แต่ก็ยังพอมองเห็นมันได้อยู่

“…แต่คุณไม่ควรเดินทางในตอนกลางคืนแบบนี้ หาที่พักผ่อนแล้วรอให้ถึงตอนเช้าค่อยไปจะดีกว่า”

“ทำไมหรือครับ”

ซูฟีไม่แปลกใจนักที่คนพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวบนพื้นผิวโลก

“ยังมีอันตรายจากฝูงสัตว์กินเนื้อที่ออกหากินในเวลากลางคืน ถึงแม้ว่าพวกมันจะเหลืออยู่ไม่มากนักก็ตาม”

คีย์แปลกใจที่ได้ยินเรื่องนี้ เพราะตามข้อมูลที่เขาเคยรับรู้มา บนพื้นผิวโลกแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว

“…อย่างพวก เสือ สิงโต หรือ หมี ใช่ไหมครับ”

เขานึกทบทวนถึงชื่อ และภาพของสัตว์ป่าอีกหลายชนิด ที่เกิดและเติบโตขึ้นภายในสถานที่ที่เรียกว่า สวนสัตว์ ในช่วงก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามขึ้น นั่นเป็นสถานที่สุดท้ายที่ข้อมูลของพวกมันได้ถูกบันทึกเอาไว้ ในยุคสมัยนั้นสัตว์ป่าหลากหลายสายพันธุ์ได้สูญหายไปจนเกือบหมดสิ้น หลงเหลือเพียงส่วนน้อยในสวนสัตว์ ที่กระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ เท่านั้น

ซูฟีหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคนเมืองพูดถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานพวกนั้น ‘เขาคิดว่าพวกมันมีตัวตนอยู่จริงอย่างนั้นหรือ คนพวกนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย’

“ผมหมายถึงพวกสุนัข หรือ หมา ต่างหาก คุณรู้จักไหม”

คีย์ย่อมรู้จักพวกมัน

“แต่พวกมันไม่ใช่สัตว์ป่า และไม่น่าจะมีอันตรายไม่ใช่หรือครับ”

ซูฟียิ้มให้กับความไม่เดียงสาของเขา

“พวกมันเป็นสัตว์ป่า และเป็นอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกมันจะออกล่ากันเป็นฝูง ฉลาดในการไล่ต้อนเหยื่ออย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ยังมีพวกแมลงมีพิษอีกหลายชนิดที่ออกหากินในเวลากลางคืนด้วย”

มันไม่ตรงกับข้อมูลที่เขาเคยรับรู้มาเลย แต่คีย์ก็ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะพูดล้อเล่น เขาคงคิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาโหดร้ายเพียงสั้นๆ ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลก จะสามารถทำลายมิตรภาพที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างมนุษย์ กับเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างสุนัขลงจนหมดสิ้น

ในทุกวันนี้ สุนัขอาจเป็นสัตว์ที่เหลือรอดอยู่มากที่สุด นอกเหนือจากมนุษย์ก็เป็นได้ พวกมันได้หลบหนีจากการตกเป็นอาหารในช่วงของความขาดแคลน และกลับคืนสู่อ้อมกอดของธรรมชาติอย่างรวดเร็ว พวกมันล้วนมีพละกำลัง และอาวุธติดตัวอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพวกมันหันกลับมาอ้าเขี้ยวเข้าใส่มนุษย์ มิตรที่ดีที่สุดก็กลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวไป

“ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ผมขอไปพักกับคุณได้ไหมครับ”

“…เรื่องนั้น”

“แล้วผมจะตอบแทนคุณ”

คีย์คิดว่าเขายังมีเงินที่พ่อทิ้งไว้ให้อยู่อีกมาก แต่เขาลืมนึกไปว่าเงินจำนวนนั้นสามารถแลกเปลี่ยนได้เฉพาะกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทางสภานวโลกาเท่านั้น ไม่อาจใช้ทั่วไปในโลกเบื้องบนนี้ได้ เป็นอีกครั้งที่แววตาของคู่สนทนาของเขาเปลี่ยนไป และเขาไม่ทันได้พบเห็นมัน

“ถ้านั่นเป็นคำสัญญา ผมก็ตกลง”

“ผมสัญญา”

คีย์กล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนที่ซูฟีจะค่อยๆ เดินนำเขาไปในความมืด ชุดของทั้งคู่เรืองแสงขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ถึงแม้ทั้งสองจะมีขนาดรูปร่างใกล้เคียงกัน แต่ความคล่องตัว และพละกำลัง กลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าฝ่ายที่แข็งแรงกว่าย่อมเป็นซูฟีอย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมลืมบอกไปว่าผมไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง”

ซูฟีพูดขึ้นในขณะที่ทั้งสองเดินทางใกล้ถึงที่พักค้างแรมของพวกเขา ชุดที่สวมใส่อยู่นั้นค่อยๆ หรี่แสงลง เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาในระดับหัวไหล่ แบมือออกไปทางด้านหน้า เหมือนกับที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้ คีย์เองก็ทำตามอย่าง และเขาหันมามองพร้อมกับพยักหน้าบอกว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว

สิ่งแรกที่หญิงสาวมองเห็นก็คือไอพีที่อยู่บนแขนของชายแปลกหน้าที่ติดตามสามีของเธอมา และมันทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“เธอชื่อ ดวงใจ เป็นภรรยาของผม ส่วนที่นอนหลับอยู่คือ แก้วตา ลูกสาวของผม”

ซูฟีกล่าวแนะนำเบาๆ และนั่นนำความแปลกใจอย่างใหญ่หลวงมาให้กับคีย์ ‘พวกเราน่าจะมีอายุใกล้เคียงกัน แต่เขาแต่งงานแล้ว แถมยังมีลูกอีกด้วย’ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีใครมีครอบครัวเร็วขนาดนี้ แต่บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องปกติของผู้พเนจรเหล่านี้ก็เป็นได้

“สวัสดีครับ ผม คีย์ ครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

ดูเหมือนว่าข้อมูลเกี่ยวกับผู้พเนจรที่เขารับรู้มานั้นจะผิดไปจากความเป็นจริงในหลายๆ ด้าน รูปร่างของพวกเขามองดูไม่แตกต่างจากพวกที่อยู่ในเมืองใต้ดินเลยสักนิด อาจจะมีร่างกายที่แข็งแรงมากกว่า แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โต หรือผิดรูปผิดร่างอย่างที่บอกเอาไว้

นอกจากนี้ คนพวกนี้ก็ยังดูมีวัฒนธรรม อีกทั้งยังคงมีระบบครอบครัว ที่ดูเหมือนจะดีกว่าในเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมาด้วยซ้ำไป ‘บางที อาจมีความผิดพลาดในการจัดทำข้อมูลมาตั้งแต่แรกก็เป็นได้’ นั่นเป็นคำอธิบายเดียวที่ดูเหมือนจะฟังดูมีเหตุผล

“คุณไปนอนทางด้านนั้น แล้วพรุ่งนี้เช้าเราค่อยออกเดินทาง”

คีย์พยักหน้าเดินจากไปยังมุมที่เขาบอกพร้อมกับล้มตัวลงนอน หญิงสาวดูเหมือนมีเรื่องมากมายที่อยากเอ่ยถาม แต่เธอก็ไม่พูดอะไร เมื่อทั้งคู่ล้มตัวลงนอน เขาก็กระซิบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง รวมถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจด้วย หญิงสาวแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลย

ความคิดต่างๆ รุมเร้าเข้ามาจนตอนแรกคีย์ไม่คิดว่าเขาจะนอนหลับลงได้ แต่ความเหน็ดเหนื่อยทั้งกาย และใจที่มากกว่าปกติ ก็บังคับให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราได้ในที่สุด

ยามเช้ามาเยือน เมฆหนาขยับเขยื้อนแยกออกจากกันเป็นบางครั้ง เปิดเผยให้เห็นท้องฟ้าที่มีสีสว่าง อากาศเองก็มีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าในตอนกลางคืนเล็กน้อย แต่ยังห่างไกลจากคำว่าอบอุ่น คีย์ลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกสดชื่นอย่างแปลกประหลาด เมื่อเขาเริ่มขยับตัว ดูเหมือนว่าคนอื่นๆ เองก็พึ่งตื่นเช่นกัน

‘ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนั้นนะ’ ความคิดทั้งหลายอันสับสนวุ่นวายในยามที่ล้มตัวลงนอน ไม่ใช่ บิดา เพื่อน หรือ ทริก แต่กลับเป็นหญิงสาวสวยผู้ลึกลับที่เขาได้พบเจอเพียงครั้งเดียวนั้น ที่เป็นสิ่งสุดท้ายซึ่งเขาจดจำได้ก่อนที่สติจะดับวูบไปเมื่อคืนนี้

“…สวัสดีค่ะ”

เสียงเล็กๆ ที่น่ารักเรียกให้เขากลับมาสู่ปัจจุบัน เด็กหญิงตัวน้อยตากลมโตกำลังยืนจ้อง และกล่าวคำทักทายกับเขา ถึงแม้จะแลดูสดใส แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ เด็กหญิงคนนี้ต้องมีสิ่งผิดปกติบางอย่าง ที่เขายังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอะไรกันแน่

“สวัสดีจ๊ะ แก้วตา”

“คุณรู้จักชื่อหนู”

“ผม คีย์ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”

เธอเอื้อมมือจูงแขนของเขาไป ‘รูปร่างเธอเล็กเกินไป’ นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความไม่ปกติของเธอ ทั้งหมดเดินไปนั่งรวมกัน และซูฟีก็นำเนื้อแห้ง กับอาหารที่ทำจากแป้งบางอย่างออกมา นี่เป็นครั้งแรกที่คีย์ได้เห็นอาหารหน้าตาแบบนี้

“นี่เป็นทั้งหมดที่เหลืออยู่ แต่เราจะไม่มีปัญหาเมื่อไปถึงแชงกรีลาในตอนบ่ายของวันนี้ พวกเขาจะต้อนรับเรา และแบ่งปันสิ่งที่จำเป็นให้”

ซูฟีกล่าวกับแขกของเขา คีย์ล้วงเข้าไปในชุดก่อนหยิบอาหารเม็ดขนาดประมาณหัวแม่มือ ซึ่งถูกบรรจุเอาไว้ภายในห่อที่ผนึกแน่นออกมา มันเป็นหนึ่งในรูปแบบของอาหารสำเร็จรูปที่พกพาง่าย กินเพียงหนึ่งเม็ดพร้อมกับน้ำ ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารที่เพียงพอสำหรับหนึ่งมื้อ รวมถึงทำให้รู้สึกอิ่มได้ด้วย

อาหารตามปกติของเขาจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารอาหาร น้ำ เนื้อสัมผัส และรสที่ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกอร่อยในการกิน รวมอยู่ภายในถ้วยเดียวกัน พวกมันมีหลายรส แต่ไม่มีการระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นรสของอะไรทั้งสิ้น และจะถูกจัดให้สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละมื้อด้วยการสุ่ม

“…มันคืออะไรคะ”

เด็กน้อยเอ่ยถาม

“มันเป็นอาหารแบบหนึ่ง เธอจะลองชิมดูไหม”

หญิงสาวมองดูอย่างหวาดระแวง ก่อนยื่นมือมาขวางลูกสาวของตนไว้ เขายิ้มให้กับเธอ แกะห่อมันออก ใส่เข้าปาก อมไว้สักครู่ ก่อนกลืนลงไปทั้งเม็ด มันทิ้งรสหวานเล็กน้อยไว้ในปาก กับความรู้สึกอิ่มที่ค่อยๆ ฟูขึ้นมาจากในท้อง

ที่เหลือจึงเริ่มกินกันอย่างเงียบๆ หญิงสาวต้องเคี้ยวเนื้อแห้งไว้ในปากของเธอครู่หนึ่งก่อนป้อนให้กับเด็กน้อย มันคงจะแข็งเกินไปสำหรับฟันของเธอ อาหารเช้าเงียบๆ มื้อนั้นจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นเองเสียงใสๆ ของเด็กน้อยก็ดังขึ้น

“นี่มันตัวอะไรคะ”

เด็กน้อยชี้มือไปยังเจ้าตัวหัวกลมซึ่งลอยไปมาอยู่ในไอพีของเขา มันยิ้มตอบเธออย่างน่ารัก

“มันชื่อ เอสยู เพื่อนรักของผมเป็นคนให้มา”

“มันน่ารักจังเลย ขอหนูดูมันชัดๆ ได้ไหมคะ”

เขาขยับตำแหน่งเพื่อให้เด็กน้อยนั่งดูได้ถนัด โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาแปลกๆ อีกสองคู่กำลังจ้องมองดู ทั้งลูกสาวของพวกตน และไอพีที่อยู่บนแขนของเขา แล้วในไม่ช้าการเดินทางมุ่งหน้าสู่แชงกรีลาก็เริ่มต้นขึ้น

#####

                ‘หมดไปแปดชั่วโมงแล้ว’ แปดชั่วโมงที่ไม่ได้อะไรคืบหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ไอรอน หยิบยาอีกเม็ดหนึ่งส่งเข้าปาก เธอต้องกินมันทุกๆ แปดชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องนอน มีคำเตือนว่าไม่ควรใช้มันนานเกินกว่าสี่สิบแปดชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเธอ และเธอคงต้องแกล้งลืมไปว่าใช้มันมานานเท่าไรแล้ว

อะไรบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวของเธอเกี่ยวกับการปฏิบัติการของทริก ‘เด็กคนนั้นหนีรอดเงื้อมมือเธอไปได้อย่างไรกัน’ แม้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ แต่เธอกลับรู้สึกว่าบางที อาจมีคำตอบที่คาดไม่ถึงซุกซ่อนอยู่ในนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะเปิดรายงานฉบับนั้นออกดู

“ท่านคะ…”

“มีอะไร”

เธอตอบทรีด พร้อมกับเริ่มอ่านรายงานฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว

“…ไม่มีการติดต่อจากท่านประธานสภามาอีกเลย นับตั้งแต่เกิดเหตุพลังงานดับขึ้นค่ะ”

คำพูดของทรีดทำให้เธอรู้สึกถึงความผิดปกติได้เช่นกัน แล้วทันใดนั้นเธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม ‘ฉันประมาทเกินไปแล้ว’

“ประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทันที”

“อะไรนะคะ”

“เร็วเข้า ไม่มีเวลาแล้ว”

‘ไม่ใช่ ไม่มีเวลา บางทีอาจจะสายเกินไปแล้วก็เป็นได้’ เธอปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของทรีด ไม่มีอะไรที่เธอจะทำเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีก เธอหันกลับมาพยายามมองหาคำตอบที่ต้องการ ซึ่งอาจซุกซ่อนอยู่ภายในรายงานฉบับนี้

13.

                “ขอบคุณทุกคนที่มาประชุมพร้อมกัน แม้จะเป็นเวลาเช้าขนาดนี้…”

มีใครบางคนส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ แต่โนอาทำเป็นไม่ได้ยิน

“…ผมขอเปิดประชุมสภานวโลกาวาระพิเศษในวันนี้ เพื่อลงมติปลด ไอมานเด้ รอนโนวิช ออกจากตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์ทันที”

มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจากเหล่าผู้ที่นั่งร่วมประชุมทั้งสิบสองคน แม้จะมีอยู่หลายคนที่พอจะคาดเดาเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม

“ในเมื่อคุณไม่ได้ทำการขอเปิดประชุมใหญ่อย่างเต็มรูปแบบ นั่นหมายความว่าคุณต้องได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากพวกเรา”

“ผมทราบเรื่องนั้นดีครับคุณ ยูดา”

ยูมิน คิม ดาอิล ซึ่งมีตาชั้นเดียว กับผมที่เถิกขึ้นไปเกือบถึงครึ่งศีรษะผู้นี้ เป็นพันธมิตรคนสำคัญของไอรอนมาอย่างยาวนาน

“ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ต้องประชุมต่อแล้ว…”

โนอาพยายามยิ้มอย่างใจเย็น เขาเองก็คาดอยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น

“…ผมไม่พอใจตั้งแต่วิธีการเชิญประชุมของคุณแล้ว ท่านประธานสภา ทำไมคุณถึงไม่ให้ประชุมผ่านไอพี”

“เพราะมติในครั้งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์ ผมไม่คิดว่าการทำอะไรผ่านไอพีจะเป็นความคิดที่ดีนัก”

‘และคุณก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ยังมาแกล้งถามกันอีก’ ซึ่งส่วนนี้เขาได้แต่เก็บเอาไว้ในใจ

“แล้วเรื่องเจ้าหน้าที่ของคุณ กับอาวุธประหลาดของพวกเขาอีกล่ะ คุณจะอธิบายอย่างไร”

ภายในห้องนี้นอกจากสมาชิกสภาทั้งสิบสองคน กับตัวเขาเองแล้ว ก็ยังมีเจ้าหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง ยืนประจำอยู่ตามจุดต่างๆ รวมถึงเฝ้าคุมประตูทางเข้าออกเอาไว้ด้วย ที่เอวของพวกเขาต่างคาดสิ่งที่ดูคล้ายกับดาบญี่ปุ่น เหมือนกับ มาสะมุเนะ ดาบโบราณที่ตอนนี้โดดเด่นอยู่ที่เอวของเขา

โนอายิ้มพร้อมกับล้วงของสิ่งหนึ่งออกมา มันมีรูปร่างเป็นแท่งทรงกระบอกขนาดเหมาะมือ และเมื่อเขากดปุ่มที่จัดวางไว้ตรงตำแหน่งนิ้วหัวแม่มือพอดี ความยาวของมันก็ยืดออกมาจนพอๆ กับดาบเล่มหนึ่ง เขากวักมือเรียกเจ้าหน้าที่ ซึ่งเดินเข้ามาหาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะฟันสิ่งที่อยู่ในมือเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่คนนั้นยืนนิ่ง แม้แต่ตาก็ยังไม่กระพริบ

เมื่อแท่งวัตถุนั้นสัมผัสถูกร่างของเจ้าหน้าที่ ก็มีเสียงฮัมเบาๆ ดังขึ้น พร้อมกันนั้นร่างของผู้โชคร้ายก็ร่วงลงไปกองกับพื้น เพราะคำสั่งจากระบบประสาทส่วนกลาง ที่ส่งไปสู่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้ถูกกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาอย่างฉับพลันจาก ‘กระบองไฟฟ้า’ ปิดกั้นเอาไว้ทั้งหมด แม้จะยังคงรู้ตัว แต่เขาจะไม่สามารถสั่งการใดๆ กับร่างกายของตนเองได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

อาวุธที่มีอานุภาพสามารถทำให้ถึงตายได้นั้น ไม่มีการถูกค้นพบ หรือไม่ก็ถูกสำนักวิทยาศาสตร์ซุกเก็บเอาไว้จนหมด คงมีเพียงแค่กระบองไฟฟ้าที่ใช้หยุดการเคลื่อนไหวได้ในทันทีนี้เท่านั้น

สมาชิกสภาทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเฉยชา เพราะพวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ โนอายิ้มก่อนที่จะลงมือจู่โจมเข้าใส่ยูดา ด้วยกระบวนท่าดาบที่รวดเร็วเหลือเชื่อยิ่งกว่าเมื่อครู่ ฟันเข้าใส่หัวไหล่ของเขาอย่างจัง

แต่เมื่อกระบองไฟฟ้าสัมผัสถูกร่าง ยูดากลับยังคงนั่งอยู่เป็นปกติ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น แม้ตัวเขา กับสมาชิกสภาที่เหลือจะตกใจกับการกระทำนี้อยู่บ้าง แต่เขาก็ยังยิ้มอย่างใจเย็น

“…คุณพยายามจะบอกอะไรกันแน่”

“ก็อย่างที่พวกคุณรู้ดีอยู่แล้ว สมาชิกสภาอย่างพวกคุณได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากกระบองไฟฟ้าพวกนี้ ด้วยความเอื้อเฟื้อของสำนักวิทยาศาสตร์ พวกมันจึงไม่สามารถใช้กับพวกคุณได้ในทุกกรณี…แต่อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น ผมยังเชื่อว่ามันอาจจะใช้ได้ ถ้าผู้ใช้พวกมันเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของทางสำนักวิทยาศาสตร์เอง”

เขากวักมือเรียกเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเข้ามา พร้อมกับโยนกระบองไฟฟ้าให้แล้วพยักหน้า เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ลงมือจู่โจมใส่เขาด้วยท่าดาบที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

สมาชิกสภาทั้งสิบสองคนมองเห็นเพียงประกายแวบขึ้นภายในห้อง ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหยุดนิ่ง ปลายที่แหลมคมของมาสะมุเนะจ่ออยู่ที่คอของเจ้าหน้าที่ ขณะที่ในมือของเขาเหลือเพียงด้ามจับของกระบองไฟฟ้า ส่วนที่เหลือของมันถูกตัดขาดหล่นอยู่ที่พื้น

“คุณพยายามจะขู่พวกเราอย่างนั้นหรือ ท่านประธานสภา”

ยูดาถามเสียงเครียด ในขณะที่สมาชิกสภาคนอื่นๆ ตอนนี้ก็ดูจะมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

“อย่าคิดอย่างนั้น ผมแค่ตอบคำถามของคุณเท่านั้นเอง เจ้าหน้าที่เหล่านี้ทั้งหมด ผมได้ทำการฝึกฝนขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่ผมมีเหตุผล และความจำเป็นที่จะอธิบายให้พวกคุณฟัง ก่อนจะขอให้มีการลงมติ”

“…คุณไม่มีทางหาอาวุธพวกนี้มาได้เองแน่ คุณแอบติดต่อกับทางศาสนจักรใช่ไหม มันเป็นอาวุธของผู้พเนจร ของพวกคนเถื่อนเหล่านั้น”

โนอาพยายามควบคุมตัวเองให้เยือกเย็น

“ผมจะยังไม่ตอบคำถามของคุณในตอนนี้ หากการประชุมในวันนี้จบลง และคุณยังอยากรู้เรื่องพวกนี้เพิ่มเติม คุณก็สามารถตั้งกระทู้ถามผม ในการประชุมสภาครั้งถัดไปได้…”

‘แต่เมื่อถึงตอนนั้น ดุลอำนาจทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว คุณคงไม่อยากถามอะไรที่กวนใจผมอีก’ โนอาเดินกลับมาที่ตำแหน่งหัวโต๊ะ เมื่อเขากำลังจะนั่งลง ก็มีเจ้าหน้าที่อีกสองคน เข้ามาหอบหิ้วร่างของเพื่อนที่ยังไม่อาจขยับเคลื่อนไหวได้ออกไปจากห้อง

“…ผมขอเปิดประชุม ณ บัดนี้”

โนอาเปลี่ยนมาใช้ท่าที และน้ำเสียงที่จริงใจ ตามที่เขาถนัด

“ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ ถ้ามีใครในพวกคุณที่ยังไม่รู้ พวกเรากำลังใช้พลังงานสำรองกันอยู่ ซึ่งจากข้อมูล ผมคาดว่าจะหมดลงในอีกไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงข้างหน้า หรือน้อยกว่านั้น”

เขาแอบลดตัวเลขของมันลงเล็กน้อยเพื่อให้น่าตื่นเต้นมากขึ้น สมาชิกสภาส่วนใหญ่ดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ยกเว้นเพียงสองสามคน ที่ไม่อาจปกปิดท่าทีแตกตื่นเอาไว้ได้

“และคุณไอรอนก็กำลังทำหน้าที่ของเธออย่างแข็งขันเพื่อแก้ปัญหานี้”

ยูดาประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะใช้คำพูดแบบนี้

“นั่นฟังดูไม่เป็นเหตุผลอันควรในการขอปลดเธอออกจากตำแหน่งในครั้งนี้เลยใช่ไหมครับ แต่ผมยังมีความจริงบางอย่างที่อยากเสนอให้พวกคุณได้รับรู้เอาไว้ด้วย”

“เรื่องแรกก็คือ ผมคิดว่าเธอรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ที่เราประสบกับปัญหาพลังงานไม่เสถียรอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ผมได้ทำการสอบถามถึงเรื่องนั้น ซึ่งเธอก็ได้ส่งข้อมูลเบื้องต้นให้กับผมในทันที”

“ข้อมูลอย่างดีที่มีการเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า ข้อมูลอย่างดีที่ดูเหมือนจะมีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่กลับไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้เลยสักนิด ข้อมูลที่จะทำให้เธอซื้อเวลาไปได้ชั่วคราว”

ทุกคนต่างได้รับข้อมูลที่เขาพูดถึง มีหลายคนที่พิจารณาดูข้อมูลดังกล่าว แต่ยูดากลับไม่สนใจ

“แม้จะเผชิญหน้ากับปัญหาที่มีความร้ายแรงขนาดนี้ เธอก็ยังไม่คิดจะรายงานให้พวกเราได้รับรู้เลย หลายคนอาจคิดว่ามันคงเป็น ความลับ ของสำนักวิทยาศาสตร์ที่พวกเรามักได้ยินเธออ้างถึงอยู่บ่อยๆ ความลับที่แม้แต่ผมซึ่งเป็นประธานสภาก็ยังไม่เคยได้รับรู้”

หลายคนเงยหน้าจากข้อมูลขึ้นมาสบตากับเขา

“แม้จะเผชิญหน้ากับปัญหาที่มีความร้ายแรง แต่กลับมีบุคคลากรของสำนักวิทยาศาสตร์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการแก้ปัญหานี้…ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผมได้รับการยืนยันมาจากเจ้าหน้าที่ของผมเอง”

หลายคนเริ่มขมวดคิ้ว

“ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผมยังคงมีทัศนะคติที่ดีต่อหญิงเหล็กของเรา เธอได้ทำสิ่งที่ถูกต้องมามากมาย และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น…”

ตอนนี้ทุกคนต่างพุ่งความสนใจมายังตัวเขา แม้แต่ยูดาเองก็ยังอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรกันแน่

“…แต่ผมคิดว่าการแก้ปัญหาของเธอในครั้งนี้ยังคงไม่เพียงพอ ปัญหานี้ใหญ่เกินไป และเราควรจะระดมกำลังที่มีอยู่ให้เข้ามาช่วยกัน เพื่อที่จะทำอย่างนั้น ผมจึงจำเป็นต้องขอปลดเธอออกจากตำแหน่งเพื่อเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด และทำการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วที่สุด”

“เธอยังคงเป็นบุคคลากรที่สำคัญ ยังคงต้องเป็นส่วนหนึ่งของทีมต่อไป ผมไม่มีความต้องการที่จะกำจัดเธอ แต่ผมคิดว่าเธอไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ควบคุมสำนักวิทยาศาสตร์อีกต่อไปแล้ว…”

เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่ง เพื่อให้ข้อความสุดท้ายที่เขาต้องการเน้นเด่นชัดที่สุด

“…ในความเห็นส่วนตัวของผม ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของเธอเอง และเธอพยายามที่จะปกปิดมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เธอกำลังเอาอนาคตของพวกเราทั้งหมดเข้าไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ผมจึงต้องขอมติเพื่อปลดเธอออกจากตำแหน่งในทันที”

ยูดาถามอย่างใจเย็น

“ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะตั้งอยู่บนการคาดเดามากเกินไป มีข้อมูลที่เป็นจริงอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น”

“นั่นเป็นเพราะเธอไม่ยอมให้ข้อมูลกับผม และมันอาจเป็นการคาดเดาอย่างที่คุณพูด แต่เรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่อาจนำมาซึ่งการล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์อีกครั้ง ผมหมายถึงยุคมืดที่สุดรอบใหม่ เพียงเพราะเธอไม่ต้องการให้เรารับรู้ถึงความผิดพลาดที่เธอได้ก่อขึ้น…”

โนอาทำสีหน้าเคร่งเครียด

“…คุณเองก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน เธอพยายามปกปิดทุกคน เธอมีการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม แม้แต่คุณก็คงเข้าใจถึงความจำเป็นในครั้งนี้”

ยูดาก้มหน้าลงขบคิด ในขณะที่โนอาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

“อย่างที่พวกคุณเห็นอยู่แล้ว ผมอาจใช้กำลังบังคับเพื่อให้พวกคุณลงมติเห็นชอบในครั้งนี้ แต่ผมต้องการทำทุกอย่างให้ถูกต้อง มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เพื่อความอยู่รอดของพวกเราทุกคน”

สมาชิกสภาหลายคนหันหน้าไปกระซิบกันเบาๆ มีเพียงยูดาเท่านั้นที่ยังคงนั่งก้มหน้าอยู่คนเดียว โนอาปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ผมขอรับทราบมติด้วยครับ”

สมาชิกสภาแต่ละคนผลัดกันลุกขึ้นเพื่อขานมติของตนเอง คำว่า ‘เห็นชอบ’ ถูกกล่าวออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมาถึงยูดาซึ่งเป็นคนที่สิบสอง

“ผมไม่คิดว่าคุณจะพูดความจริงออกมาทั้งหมด ท่านประธานสภา…”

ทั้งสองคนจ้องหน้ากันนิ่ง สมาชิกสภาที่เหลือต่างรู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่ออกมา ความเงียบที่เกิดขึ้น ถูกทำลายลงด้วยเสียงถอนหายใจของยูดา ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายหลบสายตา

“…แต่ผมก็เข้าใจถึงความเร่งด่วนในเรื่องนี้ และคุณพูดถูก เราไม่อาจเอาอนาคตของทุกคนเข้ามาเสี่ยงได้ ผมเห็นด้วยกับคุณ…”

เขาเงยหน้าขึ้นจ้องตาฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

“…เฉพาะในเรื่องนี้เท่านั้น เมื่อปัญหาทุกอย่างจบลง คุณยังคงต้องอธิบายถึงที่มาของอาวุธพวกนี้อยู่ดี”

‘แล้วคอยดูกันต่อไป’ โนอานึกในใจ

“ผมเองก็เห็นชอบเช่นกัน ดังนั้นมติในการขอปลด ไอมานเด้ รอนโนวิช ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์จะมีผลในทันที และผมขอปิดการ…”

คำพูดของเขาถูกขัดด้วยเสียงประกาศเยียบเย็นของทรีด

“ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจากสำนักวิทยาศาสตร์ นับตั้งแต่บัดนี้พื้นที่ของสำนักงานวิทยาศาสตร์ให้ถือเป็นเขตควบคุมพิเศษ ห้ามมิให้มีการเข้าออกอย่างเด็ดขาด และให้มีผลไปจนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลงจากทางสำนักงาน ขอประกาศซ้ำอีกครั้ง…”

มีข้อความเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นบนไอพีของทุกคนด้วย ทั้งหมดต่างมองหน้ากันอย่างงุนงง ‘ดูเหมือนเธอจะรู้ตัวก่อน’ โนอาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แผนขั้นต่อไปของเขาคงไม่ง่ายเสียแล้ว และหากเธอสามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้ก่อนที่เขาจะยื่นมือเข้าไปถึง คำสั่งปลดในครั้งนี้คงต้องตกไปอย่างไม่ต้องสงสัย

“รีบสั่งเคลื่อนกำลังในทันที เราจะบุกเข้าไปในสำนักวิทยาศาสตร์ให้ได้”

สมาชิกสภาที่เหลือต่างนั่งงง ในขณะที่โนอา กับเจ้าหน้าที่ของเขา รวมถึงยูดารีบเร่งรุดออกไปจากห้อง ยูดามองดูกองกำลังที่มาเตรียมพร้อมอยู่ทางด้านนอกด้วยความตกใจ พวกเขามีจำนวนมากมาย และทุกคนต่างพกพาดาบทั้งสิ้น

โนอารีบถ่ายทอดคำสั่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้อุปกรณ์สื่อสารอย่างอื่นในการติดต่อ ยูดาพึ่งเห็นว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต่างไม่มีไอพีติดตั้งอยู่บนชุด แขนเสื้อของพวกเขาล้วนว่างเปล่า

มีเพียงสองสามคนที่ยืนใกล้ๆ กับโนอาที่มีไอพี พวกเขาไม่ได้พกดาบเหมือนกับคนอื่นๆ และจากรูปร่างท่าทางทำให้เข้าใจได้ว่า น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคมากกว่าอย่างอื่น

‘เตรียมมาพร้อมเชียวนะ คงเป็นพวกนักเจาะระบบ’ โนอาต้องเตรียมการมานานแล้ว เพียงแต่รอคอยจังหวะลงมือที่เหมาะสมเท่านั้น ‘ขอโทษด้วยนะไอรอน ฉันไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไรกันแน่ แต่เพื่อความอยู่รอดของทุกคน ฉันจึงต้องทำเช่นนี้’ เขาตัดสินใจติดตามทั้งหมดไปด้วย ซึ่งโนอาก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด

#####

                “ที่เห็นอยู่นั่นคือฟาร์ม ที่ทำงานของพวกเราส่วนใหญ่…”

ซูฟีชี้ให้คีย์ดูหมู่หลังคากระโจมที่มองเห็นอยู่ไกลๆ

“…ส่วนใหญ่พวกมันจะอยู่รายล้อมที่ตั้งของศาสนจักรทั้งเจ็ดแห่ง แต่ก็ยังมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปด้วย เท่าที่ระบบส่งพลังงานจะไปถึง”

“ส่วนที่เหลือ ก็เป็นเหมือนอย่างพวกผม เป็นพวกพเนจรที่ร่อนเร่ไปทั่ว ทำทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงชีวิต”

เขามองดูสิ่งต่างๆ ด้วยความตื่นตา เมื่อมีเพื่อนร่วมเดินทางที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย เขาก็หันกลับมาสนใจในสิ่งรอบกาย เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาสู่โลกภายนอก ได้สัมผัสกับความเป็นจริงที่ไม่ใช่แค่ข้อมูลให้ศึกษา ซึ่งเขาพบว่าค่อนข้างจะแตกต่างกันพอสมควร พวกมันไม่ได้เลวร้ายมากมายอย่างที่เคยคิด

“แล้วพวกคุณเลี้ยงอะไรกันครับ”

“แมลง แมลงมากมายหลากหลายชนิด”

คีย์ไม่รู้สึกแปลกใจกับคำตอบนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้ก่อนแล้ว เนื้อแห้งที่เห็นพวกเขากินกันก่อนหน้านี้ก็คงเป็นการแปรรูปพวกมันเพื่อใช้เป็นอาหาร แมลงเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษย์มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สาม และเคยเป็นมาตั้งแต่สมัยในยุคดึกดำบรรพ์แล้ว

มีแมลงนับพันชนิดที่สามารถใช้เป็นอาหารได้ ทั้งที่เป็น ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวเต็มวัย รวมถึงพวก แมง อย่าง แมงมุม บึ้ง และแมงป่องด้วย

แมลงไม่ได้เป็นเพียงแหล่งของโปรตีนเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่ และไขมัน พวกมันสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แพร่พันธุ์ได้ในปริมาณมหาศาล และต้องการปัจจัยพื้นฐานเพียงน้อยนิด ที่สำคัญคือพวกมันทนทานต่อรังสีที่ยังตกค้างอยู่บนผิวโลกได้เป็นอย่างดี

เขาเริ่มมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มของผู้คนที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ สภานวโลกามีเทคโนโลยี และแหล่งพลังงาน ในขณะที่ผู้พเนจรมีแรงงานที่ใช้ในการผลิตอาหาร โดยมีศาสนจักรเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงทั้งสองฝ่ายเข้าหากัน เขาไม่เคยพบเห็นข้อมูลพวกนี้มาก่อน และทำให้เขารู้สึกสงสัยในใจอยู่เรื่อยมา

“คุณคะ…”

แก้วตาเดินมากระตุกแขนเสื้อเบาๆ เขาจึงก้มลงไปหาเธอพร้อมรอยยิ้ม

“…ยกโทษให้พ่อของหนูด้วยนะคะ”

เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกระซิบบอกนี้เลยสักนิด แต่ในขณะที่กำลังจะซักถามเพิ่มเติม ดวงใจก็รีบตรงเข้ามาอุ้มเธอ ให้ขึ้นไปเกาะอยู่ทางด้านหน้าลำตัว ซึ่งทำเป็นเชือกคล้องเอาไว้

“มันมากันแล้ว ตามปกติพวกมันจะไม่เข้ามาหากินใกล้ที่อยู่ของมนุษย์มากขนาดนี้ ให้เดินไปเรื่อยๆ อย่าวิ่ง อย่าแสดงว่ากลัวพวกมันเด็ดขาด”

พอซูฟีพูดจบก็รีบชักมีดออกมาถือไว้ ในมือของดวงใจเองก็มีมีดอีกเล่มหนึ่งเช่นกัน ทั้งสองหนึ่งอยู่หน้า หนึ่งอยู่หลัง โดยให้คีย์อยู่ตรงกลาง เขาเดินตามไปเรื่อยๆ และแอบมองไปรอบๆ จนสามารถเห็นพวกมันได้ในที่สุด

หมาเลี้ยงถึงแม้จะมีรูปร่างหน้าตาที่หลากหลายซึ่งเกิดจากการผสมสายพันธุ์ แต่เมื่อกลับคืนสู่ธรรมชาติ พวกมันก็หวนคืนสู่ความเป็นหมาป่าอีกครั้ง ครอบครัวนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่ตัว พวกมันมีขนหนา ยาว สีน้ำตาลอ่อนแซมด้วยสีครีม เขาได้สบตากับตัวหนึ่ง เห็นเขี้ยวขาวในปากกว้าง และเพียงแค่นั้นก็ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความอันตรายของพวกมันแล้ว

“หวังว่าพวกมันจะลังเล แล้วตัดสินใจจากไป”

ซูฟีพูดเบาๆ อย่างมีความหวัง ก่อนที่เส้นทางข้างหน้าจะมีหมาตัวใหญ่อีกสองตัวยืนแยกเขี้ยวขวางทางพวกเขาเอาไว้ นั่นทำให้พวกมันรวมกันเป็นหกตัว

“อย่าแยกกันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเสร็จมันแน่”

ซูฟีตะโกนบอกก่อนที่ความสับสนวุ่นวายจะเริ่มต้นขึ้น

14.

                หมาที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาตินั้น มักไม่ค่อยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ เพราะยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร ก็หมายถึงส่วนแบ่งอาหารที่ได้รับจากการล่าจะยิ่งลดลง ในฝูงจึงมักมีเพียงคู่พ่อแม่ กับลูกๆ ที่ยังเล็ก และมีอยู่บ่อยครั้งที่จะพบพวกมันใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง

ซึ่งนับเป็นโชคดี เพราะการใช้ชีวิตแบบนี้ ทำให้ความสามารถในการร่วมมือกันล่าเหยื่อของพวกมัน ไม่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปกว่าเดิม สิ่งที่พวกมันกำลังทำอยู่ในตอนนี้คือการเลือกเหยื่อที่อ่อนแอ และพยายามแยกเป้าหมายนั้นออกไปจากกลุ่ม ดวงใจที่มีลูกอ่อนอยู่ด้วยจึงต้องตกเป็นเป้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

คีย์ได้แต่พยายามติดตามทั้งหมดไป ในขณะที่ซูฟีนั้นโลดแล่นกวัดแกว่งมีดสั้นในมือไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่ยอมให้พวกมันเข้ามาใกล้ภรรยา กับลูกสาวได้

หมาตัวใหญ่หนึ่งในสองตัว ตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายมาจู่โจมใส่คีย์อย่างคาดไม่ถึง เขาเบี่ยงตัวหลบรอดจากคมเขี้ยวของมันไปได้อย่างหวุดหวิด เมื่อเห็นดังนั้น สมาชิกทั้งหมดภายในฝูง จึงหันมาจู่โจมใส่เขาแทน

“เรารีบไปเถอะ…”

หญิงสาวเข้ามากระซิบบอกซูฟี เธอคิดที่จะหนีเอาชีวิตรอด ในขณะที่หมาพวกนี้หันไปจัดการกับคนเมือง

“…แล้วค่อยย้อนกลับมาทีหลัง”

ซูฟีเข้าใจคำว่า ‘ย้อนกลับมาทีหลัง’ นี้ เธอหมายความว่า ค่อยออกติดตามหาร่องรอยอีกครั้ง หลังจากที่พวกมันจัดการกับร่างของคนเมืองเรียบร้อยแล้ว เพราะถึงอย่างไรพวกมันก็คงไม่กลืนกินไอพีเข้าไปด้วยแน่ แต่ก็ยังมีโอกาสที่มันอาจจะได้รับความเสียหายอยู่เหมือนกัน

“…ฉันให้สัญญาไปแล้ว”

เขาตอบเธอเพียงแค่นั้น ก่อนจะรีบพุ่งตัวออกไปช่วยคีย์ มีดสั้นในมือตวัดไปมาไม่ยอมหยุด

“อย่าออกห่างจากกลุ่ม”

ซูฟีตะโกนเรียกสติของคีย์ให้กลับคืนมา หลังจากที่เขาถูกพวกหมาไล่ต้อนจนเกือบจะหนีเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว แต่เมื่อทำอย่างนั้น กลับกลายเป็นการเปิดช่องว่าง ปล่อยให้ภรรยากับลูกอยู่เพียงลำพัง และพวกมันก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสในครั้งนี้ให้หลุดรอดไป

ซูฟีสบถเสียงดัง ในขณะที่พยายามจะย้อนกลับมาช่วย แต่หมาใหญ่ทั้งสองตัว ต่างพยายามขัดขวางเขาอย่างเต็มที่ ในขณะที่อีกสี่ตัวที่เหลือต่างเข้าล้อมสองแม่ลูกเอาไว้ เขาได้แต่ร่ำร้องอยู่ภายในใจ โทษว่าตัวเองกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดเมื่อครู่

ในที่สุดเขาตัดสินใจพุ่งเข้าใส่พวกมันอย่างยอมแลกชีวิต ‘ขอเพียงให้พวกเธอรอดก็พอแล้ว’ เขาจึงถูกหมาใหญ่ตัวหนึ่งกัดเข้าที่ขา ก่อนที่มันจะลากเขาจนล้มลงไป บาดแผลที่เกิดจากคมเขี้ยวนั้นเปิดกว้าง ทำให้เลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว พวกที่เหลือต่างเปลี่ยนเป้าหมายมายังตัวเขาทันที

“หนีไปเร็ว หนีไปให้หมด”

“ไม่ ฉันไม่ยอมทิ้งคุณ”

“รีบพาลูกหนีไป”

ถึงตอนนี้พวกหมาก็ไม่สนใจคนอื่นอีกแล้ว พวกมันต่างแยกเขี้ยวเตรียมพร้อมที่จะรุมจัดการกับเหยื่อที่กำลังได้รับบาดเจ็บ  แต่เขาก็ไม่ได้เอาแต่นอนรอความตาย มีดในมือยังคงพยายามกวัดแกว่งปกป้องตนเองอย่างถึงที่สุด

คีย์ได้แต่ยืนมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นราวกับมันเป็นฝันร้าย เขาอยากที่จะช่วย แต่ก็หวาดกลัวจนไม่อาจขยับตัวได้ เสียงกรีดร้องของทั้งแก้วตา ดวงใจ บาดลึกเข้าไปในหัวใจ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจวิ่งเข้าไปเตะใส่หมาตัวหนึ่งโดยไม่คิดถึงผลที่จะเกิดติดตามมา

มันส่งเสียงร้องดังลั่นเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว แต่แทนที่เขาจะเตะเข้าใส่บริเวณท้องซึ่งจะทำให้มันได้รับบาดเจ็บ เขากลับเตะใส่บริเวณต้นขาหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแทน อาจเป็นด้วยความไม่รู้ หรือเพราะความสงสารที่ยังคงซ่อนลึกอยู่ภายในระหว่างทั้งสองสายพันธุ์ที่มีความเกี่ยวข้องกันมาอย่างยาวนาน

สายตาวาวทั้งหกคู่หันมาทางเขา ก่อนที่พวกมันจะแสดงท่าทางที่ผิดปกติออกมา หางของพวกลูกๆ ทั้งสี่ตัวที่เคยชูสูงกลับลดต่ำลง แสดงออกถึงความหวาดกลัวที่ไม่อาจซ่อนเร้นเอาไว้ได้

“กล้าหาญดีนี่ คนเมือง”

เสียงผู้หญิงที่คีย์ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากทางด้านหลัง ก่อนที่จะมีมือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของเขา มันเป็นมือที่ดูบอบบาง แต่ความรู้สึกที่ส่งผ่านออกมานั้น คือความเข้มแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย และมันทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ถึงแม้ว่ายังคงต้องเผชิญหน้าอยู่กับคมเขี้ยวขาวแวววาวเหล่านั้น

ร่างภายใต้ผ้าคลุมเก่าขาด ก้าวออกมายืนเคียงข้างเขา แวบแรกที่หันไปมอง เขาคิดว่าเธอคือคนที่เขาเคยรู้จักก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าเธอคือเจ้าหน้าที่พิเศษทริก แต่ผู้หญิงคนนี้ตัวเตี้ยกว่า สองแขนเปลือยเปล่าที่อยู่นอกผ้าคลุมก็ดูแบบบางกว่ามาก และที่สำคัญหน้าอกของเธอดูแบนราบแตกต่างจากเธอคนนั้นราวฟ้ากับดิน

บนใบหน้าของเธอสวมใส่ไว้ด้วยหน้ากากใบหนึ่ง ไม่รู้ว่ามันทำขึ้นมาจากวัสดุชนิดใด เป็นรูปใบหน้าที่กำลังเศร้าโศกของมนุษย์ และถูกระบายตบแต่งด้วยสีต่างๆ แต่ซีดจางลงไปมากแล้ว แสดงให้เห็นถึงความเก่าแก่ของมัน

“แต่ควรเลือกจู่โจมใส่ตำแหน่งท้องของพวกมันจะดีกว่า”

พอเธอพูดจบ หมาใหญ่ที่คงเป็นตัวผู้จ่าฝูง ก็ตัดสินใจพุ่งเข้าใส่เธอ เขาไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ร่างของหมาตัวดังกล่าวลอยกลับไปด้วยความเร็วที่มากกว่าตอนที่มันพุ่งเข้ามาเสียอีก มันร่วงลงไปนอนอยู่บนพื้น ปากอ้าค้าง ลิ้นตกออกมาข้างนอก โดยไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องเลยสักครั้ง

หมาใหญ่อีกตัวรีบวิ่งเข้าไปดมร่างนั้น ก่อนเลียไปตามใบหน้าของมัน เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็เงยหน้าขึ้น และเริ่มส่งเสียงหอนอย่างหดหู่โหยหวน แต่แทนที่จะตัดสินใจจู่โจมเข้าใส่เธอ มันกลับรีบพาพวกลูกๆ ที่เหลือหลบหนีจากไปอย่างรวดเร็ว

แก้วตา ดวงใจ ต่างรีบเข้าไปทำการปฐมพยาบาลให้กับซูฟี ดูเหมือนทั้งสองคนจะรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี ในขณะที่ผู้หญิงสวมหน้ากากเดินตรงไปที่ร่างของหมาตัวนั้น คีย์เองก็ติดตามเธอไปด้วย และได้พบเห็นรอยรูปหมัดอย่างชัดเจนปรากฏอยู่ที่บริเวณส่วนท้องของมัน นั่นคงเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียวที่สามารถพรากชีวิตของมันไปได้

เธอนั่งลงเหนือร่างนั้น ยื่นมือออกไปเหนือศีรษะของมัน พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง คีย์มองเห็นอย่างไม่ตั้งใจว่า ร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมเก่าๆ นั้นเกือบจะเปลือยเปล่า ซึ่งทำให้เขาต้องรีบหันมองไปทางอื่น

“…ขอบคุณ ผู้อาวุโส”

ซูฟีที่ได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาหา โดยมีดวงใจช่วยประคองร่างเอาไว้ และแก้วตาแอบอยู่ทางด้านหลัง หญิงลึกลับยื่นมือออกมาโดยไม่พูดอะไร เขาก็รีบส่งมีดของตนให้ไปอย่างนอบน้อม ก่อนที่เธอจะเริ่มลงมือชำแหละร่างของหมาตัวนั้น ถลกหนังของมันออกมาอย่างชำนาญ

คีย์ต้องเบือนหน้าไปทางอื่น เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างยืนมองดูอยู่เงียบๆ ซูฟีที่มีฝีมือทางด้านนี้อยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสลงมือทำ จับตามองการเคลื่อนไหวของเธออย่างชื่นชม

“ดู แล้วจดจำเอาไว้ให้ดีนะลูก นี่คือความเคารพต่อชีวิต ที่ผู้พเนจรอย่างเราต้องแสดงออกในยามที่ก่อการฆ่าขึ้น”

คีย์รับฟังคำพูดของเขาอย่างสนใจ การถลกหนัง แล่เนื้อหมาตัวนี้เกี่ยวข้องอะไรกับความเคารพต่อชีวิตที่พูดถึง เขาคิดว่าคงไม่เหมาะนักที่จะเอ่ยปากถามออกไปในตอนนี้ จึงได้แต่ขบคิดอยู่เงียบๆ ก่อนที่ความเข้าใจบางอย่างจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา

สิ่งที่เธอผู้นี้กำลังทำอยู่ไม่ใช่ความทารุณโหดร้าย แต่คือการนำทุกอย่างจากชีวิตที่จากไป มาใช้ให้เกิดประโยชน์ มันอาจเป็นความเคารพที่ถูกพูดถึงนั่นเอง

เธอใช้เวลาไม่นานนักในการจัดการกับร่างกายของมัน ทุกอย่างจบลงกลายเป็นผืนหนัง พร้อมกับเนื้อขนาดใหญ่อีกหลายชิ้น เธอเช็ดมีดให้เรียบร้อย ก่อนส่งคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของ

“พวกเธอกำลังจะไปไหน แล้วคนเมืองผู้นี้เป็นใครกัน”

ซูฟีค้อมศีรษะลงเล็กน้อย รับมีดมาเก็บไว้ ก่อนตอบคำถาม

“พวกผมกำลังมุ่งหน้าไปสู่แชงกรีล่า ส่วนคนเมืองผู้นี้ตกลงมาพร้อมกับรถ และต้องการมุ่งหน้าไปยังที่เดียวกัน จึงขอร่วมทางมาด้วย…”

เขาตัดสินใจเอ่ยถามออกไป

“…แล้วผู้อาวุโสเหตุใดจึงเดินทางตัวเปล่าเช่นนี้”

คำเรียกหาที่เขาใช้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คีย์รู้สึกสงสัยตั้งแต่แรก ถึงแม้ว่าหญิงสวมหน้ากากผู้นี้จะมีอายุมากกว่าพวกเขา แต่ก็ไม่น่าจะมากจนถึงขนาดที่ต้องเรียกเป็นผู้อาวุโส

“ไม่ต้องใส่ใจกับเรื่องนี้ ตัวฉันเองก็กำลังมุ่งหน้าไปสู่แชงกรีล่าเช่นกัน”

แม้จะยังสงสัย เพราะการออกเดินทางโดยไม่มีสิ่งของจำเป็นติดตัวมาด้วยนั้น ย่อมไม่แตกต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายเลยสักนิด ถึงแม้ว่าหญิงผู้นี้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ก็ตามที แต่เขาก็ไม่คิดจะถามถึงมันอีก นอกจากนี้ คำตอบของเธอยังทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

เขาเหลือบมองดูภรรยา และลูกสาวอีกครั้ง โดยเฉพาะแก้วตา ก่อนตัดสินใจเอ่ยปาก

“…ถ้าอย่างนั้น ผมอยากขอร้องผู้อาวุโสเรื่องหนึ่งได้หรือไม่ครับ”

ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอย่างไร เพราะน้ำเสียงของเธอราบเรียบ และหน้ากากใบนั้นได้ปกปิดสีหน้าที่แท้จริงของเธอเอาไว้จนหมดสิ้น

“ฉันเองก็มีเรื่องที่อยากจะขอร้องอยู่เช่นกัน แต่พูดเรื่องของพวกเธอมาก่อนเถอะ”

เขาก้มหน้าลงอีกครั้งก่อนเอ่ยปาก

“…ในเมื่อผู้อาวุโสคิดจะเดินทางไปยังแชงกรีล่าอยู่แล้ว ผม…ผมอยากจะขอฝากคนเมืองผู้นี้ไปด้วยได้หรือไม่”

“ก็ไหนพวกเธอบอกว่า กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“ก็…ก่อนหน้านี้ก็ใช่ครับ แต่เมื่อได้ผู้อาวุโสมาคอยนำทางให้กับคนเมืองผู้นี้แล้ว ผมก็จะขอเปลี่ยนจุดหมายไปยังสถานที่อื่น…ที่มีความสำคัญมากกว่าแทน”

คีย์พึ่งพบว่าตลอดเวลา เขาไม่เคยหันมาทางด้านนี้เลย เหมือนกับจงใจหลบตา

“…จะเอาอย่างนั้นก็ได้ ส่วนเรื่องที่ฉันอยากจะขอร้องคือ ช่วยจัดการกับเนื้อเหล่านี้ให้ด้วย ฉันต้องการเพียงหนังผืนเดียวเท่านั้น”

ซูฟีรีบรับปากด้วยความยินดี เมื่อไม่ได้เดินทางไปยังแชงกรีล่า เสบียงอาหารจะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา ดังนั้นแม้จะต้องเสียเวลาเพื่อจัดการเปลี่ยนสภาพเนื้อเหล่านี้ ให้สามารถเก็บไว้กินได้นานๆ แต่ก็นับว่าคุ้มเกินคุ้ม นอกจากนี้พวกมันยังเป็นที่ต้องการ สามารถใช้แลกเปลี่ยนกับสิ่งของจำเป็นอย่างอื่นได้ หากพบเจอกับแหล่งที่อยู่อาศัย หรือผู้พเนจรในหนทางข้างหน้า

ถึงตอนนี้ซูฟีจึงยอมหันมาสบตากับคีย์

“เราคงต้องจากกันเพียงเท่านี้ แต่คุณจะปลอดภัยยิ่งกว่า เมื่อมีผู้อาวุโสเดินทางไปด้วย”

เขายิ้มตอบ

“ถึงอย่างไร ผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”

ซูฟีทำท่าอ้ำอึ้ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยปากออกไป

“…เรื่องสัญญาที่เราเคยพูดกันในคืนนั้น คุณลืมไปหรือยัง”

เขายังคงยิ้ม

“ผมไม่ลืมหรอกครับ แต่ยังไม่รู้ว่าจะ…จะโอนเงินให้คุณได้อย่างไร ถ้าไปถึงแชงกรีล่าแล้ว ผมจะลองถามพวกนักบวชดูอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็อาจจะต้องรอ จนกว่าผมจะได้กลับไปที่โรงเรียนอีกครั้ง”

เขาพูดออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่รู้อนาคตของตนเองเลยว่า จะได้ย้อนกลับไปเหยียบโรงเรียนแห่งนั้นหรือไม่ ซูฟีจ้องมองเขากลับมาด้วยสายตาแปลกๆ

“…คุณไม่เข้าใจ คุณให้คำสัญญาว่าจะตอบแทนโดยไม่ได้ระบุถึงสิ่งใด นั่นหมายความว่าคุณให้ผมเป็นคนเลือกสิ่งที่ต้องการเอง และผมก็ไม่ต้องการเงินที่คุณพูดถึง มันไม่มีประโยชน์สำหรับผมเลยแม้แต่น้อย”

รอยยิ้มของเขาแข็งค้าง ไม่คิดว่าคนที่ดูซื่อตรงในตอนแรกที่พบเจอ กลับมาพูดจากับเขาแบบนี้

“…ถ้าอย่างนั้น คุณต้องการอะไร”

“ผม…ต้องการ…ไอพี ของคุณ”

“อะไรนะ”

เขาร้องลั่น นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน แต่เมื่อมาคิดดูให้ดี สิ่งเดียวที่มีติดตัวอยู่ในตอนนี้ ก็คือมันเท่านั้น แต่เขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ดี ว่าทำไมซูฟีถึงต้องการไอพีของเขา เพราะมันไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย หญิงสวมหน้ากากยืนดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสนใจ

“ผมไม่นึกว่า…คุณจะกลายเป็นคนแบบนี้…”

เขาไม่อาจปิดบังความรู้สึกไม่พอใจที่พุ่งขึ้นมาได้

“…และผมไม่คิดว่า คุณจะมีสิทธิในการทำอย่างนี้”

ซูฟีจ้องเขากลับไปอย่างดุดัน

“คุณเป็นคนให้คำสัญญาเอง และเมื่อครู่นี้ ถ้าคุณยังจำได้ ผมได้เสี่ยงชีวิตปกป้องคุณเอาไว้”

“…ผมขอโทษ แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าการให้คำมั่นสัญญาออกไป จะกลายเป็นแบบนี้”

น้ำเสียงของเขาอ่อนลง แต่ก็ยังรู้สึกไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี

“ถ้าคุณไม่ยินยอม เราคงต้องตกลงกันอย่างผู้พเนจร ด้วยมือเปล่า หรือมีด ซึ่งผมคิดว่า คุณคงจะยิ่งไม่ชอบใจขึ้นไปอีก ดังนั้นได้โปรดถอดไอพีออกมาให้กับผมเถอะ”

“…พวกคุณจะเอามันไปทำอะไร”

ซูฟีหันไปสบตากับครอบครัวของตนอีกครั้ง

“ลูกสาวของผมป่วยหนัก และไอพีอาจเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเธอ”

เขางงงันกับคำอธิบายที่ได้ยิน ไอพีของเขาจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยให้เธอได้อย่างไรกัน

“…คุณคงเข้าใจอะไรผิดแล้ว มันทำแบบนั้นไม่ได้ และถ้ามันทำได้จริง ผมจะรีบใช้มันช่วยรักษาเธออย่างไม่ลังเลเลย”

“ไม่ คุณไม่เข้าใจ ผมจะนำไอพีของคุณ พร้อมกับลูกสาว เดินทางไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อมีสิ่งนี้ เธอก็จะสามารถเข้าไปภายในเมืองได้ แล้วคนพวกนั้นจะช่วยรักษาเธอเอง โรคที่ทางศาสนจักรไม่อาจรักษาได้ ก็คงเหลือเพียงวิธีนี้เท่านั้น”

เขายังคงไม่เข้าใจความคิดของคนพวกนี้อยู่ดี

“คุณทำแบบนั้นไม่ได้ ไอพีเป็นของส่วนบุคคลไม่อาจยกให้ใคร ถึงแม้พวกคุณจะเดินทางไปพร้อมกับไอพีของผม พวกเขาก็ยังไม่ยอมให้เข้าไปอยู่ดี”

“คุณโกหก เคยมีผู้พเนจรหลายคนที่ทำแบบนี้มาก่อน และตอนนี้พวกเขาต่างก็อยู่อย่างสุขสบาย กลายเป็นคนเมืองกันหมดแล้ว”

“ผมคิดว่ามันคงเป็นแค่คำเล่าลือเท่านั้น คุณเคยพบเจอกับคนพวกนี้ด้วยหรือ”

“…ไม่ แต่มันเป็นความจริง”

ซูฟียืนยันอย่างหนักแน่น อาจเพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อาจสามารถช่วยชีวิตลูกสาวเอาไว้ได้ เขาจึงต้องเชื่อมั่นกับเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด

“ผมเคยเสียลูกไปแล้วคนหนึ่ง และจะไม่ยอมเสียเธอไป…ได้โปรดส่งไอพีของคุณมาให้ผมแต่โดยดีเถอะ”

สองแม่ลูกที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง โอบกอดกันอย่างเงียบงัน เขาหลับตาลง แม้จะยังคงคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเชื่อของคนพวกนี้ได้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจถอดไอพีออกจากชุดของตน แล้วยื่นส่งให้กับซูฟีซึ่งรับไปอย่างยินดี

ซูฟีติดตั้งมันลงบนแขนเสื้อของแก้วตา ซึ่งหันมามองดูคีย์ด้วยสายตาเศร้าๆ เขาจึงส่งยิ้มให้เธออย่างปลอบโยน ไอพีสามารถติดตั้งลงไปได้ก็จริง แต่พวกเขาไม่รู้วิธีใช้ และถึงรู้ มันก็จะไม่ตอบสนองคำสั่งจากผู้ใดนอกจากตัวเขาเท่านั้น

“เราไปกันเถอะ”

หญิงสวมหน้ากากเอ่ยปากหลังจากเอาแต่ยืนนิ่งเงียบ เขาตัดใจก้าวเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผู้คนเหล่านี้อีก แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ดูเหมือนเขาจะแตกต่างจากหล่ง เพื่อนของเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะสามารถทิ้งไอพีของตนเองได้โดยไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย

เงาหลังของทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังวุ่นวายอยู่กับเนื้อกองนั้น เด็กน้อยเงยหน้าพร้อมกับชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ดูนั่นสิคะ หนูเห็นนกด้วย”

ทั้งหมดต่างเงยหน้ามองดู และทันได้เห็นเงาสีขาวที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ห่างออกไปเพียงไม่ไกลนัก นกพิราบขาวตัวหนึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติง เด็กน้อยนั่งลงแล้วใช้สองมือโอบอุ้มร่างของมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามันหลงเหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณเท่านั้น

ใส่ความเห็น