เรื่องสั้นไซ-ไฟเรื่อง
ชีวิตลับร่องลึกบาดาล
โดย วรากิจ เพชรน้ำเอก
………………….
แสงสว่างใต้ท้องมหาสมุทรน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเกรกอรีนำซีฮอร์สซึ่งเป็นยานสำรวจน้ำลึกลงไปถึงระดับ 1หมื่น 9 พันฟุต ซึ่งเป็นเขตมืดลึกของมหาสมุทรแปซิฟิก แสงไฟจากสปอทไลท์ทั้ง 3 ดวงช่วยให้เขาเดินทางต่อไปได้อย่างไม่ลำบากนัก สัญญาณที่ถูกส่งมาจากระบบแจ้งพิกัดอัตโนมัติทำให้เขารู้ว่า เขาใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปทุกที มันคือสถานีวิจัยอควาเรียส ที่ติดตั้งอยู่ในแนวร่องลึกมาเรียนา ซึ่งเป็นร่องลึกบาดาลที่ลึกถึง 3หมื่น 6 พันฟุต ลึกกว่าความสูงของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ซึ่งสูงที่สุดในโลกเสียอีก แต่ด้วยการออกแบบโครงสร้างอย่างยอดเยี่ยม ประกอบกับวัสดุมหัศจรรย์อย่างโลหะไททาเนียมผสานด้วยคาร์บอนไฟเบอร์อันแข็งแกร่ง สำหรับบุผิวด้านนอกกับผนังภายใน ทำให้มันสามารถทนต่อแรงกดดันอันมหาศาลของน้ำทะเลได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว
แสงไฟจากสปอทไลท์กระทบกับลำตัวของสถานีวิจัยทำให้เห็นว่า ผิวด้านนอกของมันยังอยู่ในสภาพที่ดีเยี่ยม สถานีวิจัยใต้ทะเลลึกแห่งนี้ไม่ได้ถูกใช้งานมานานกว่า 3 เดือนแล้วถึงแม้ที่นั่นจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกทุกอย่างราวกับโรงแรมชั้นหนึ่งก็ตาม เพราะการส่งนักวิทยาศาสตร์ลงมาทำงานในระดับลึกสุดโลกและแทบจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและเสี่ยงอันตราย พอๆกับการส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปอยู่บนสถานีอวกาศทีเดียวเพียงแต่จะมีการเปลี่ยนแบตเตอร์รี สำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงปั๊มระบบระบายความร้อนของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทุกๆ 1 เดือนเท่านั้นเพื่อป้องกันการระเบิดจากความร้อนที่สะสมของแท่งเชื้อเพลิง จนกระทั่งเรือดำน้ำของกองทัพเรือได้ตรวจพบคลื่นสนามพลังประหลาดบริเวณร่องลึกบาดาลที่ก้นมหาสมุทรแปซิฟิก เกรกอรีผู้เชี่ยวชาญด้านสนามแม่เหล็ก ไบรอันซึ่งเป็นวิศวกรผู้ร่วมออกแบบอควาเรียส และเจสสิกานักสมุทรศาสตร์สาว จึงได้ถูกส่งลงมาที่นี่อย่างเร่งด่วนและเป็นความลับสุดยอด
“ผมกำลังเชื่อมต่อซีฮอร์สเข้ากับอควาเรียส” ไบรอันรายงานในขณะที่ขับเคลื่อนซีฮอร์สเข้าไปอยู่ใต้ท้องของสถานีวิจัย เพื่อเชื่อมต่อมันเข้ากับช่องทางเข้าของอควาเรียส
เสียงโลหะกระทบกันของตัวล็อคทั้ง 6 จุดที่ยึดขอบของช่องทางเข้าสู่สถานีวิจัยดังขึ้น ซึ่งหมายถึงว่าซีฮอร์สได้เชื่อมต่อเข้ากับอควาเรียสเรียบร้อยแล้ว เกรกอรีโผล่เข้าไปในสถานีวิจัยเป็นคนแรกหลังจากที่ม่านผนึกกันน้ำหมุนเปิดออกเหมือนม่านรูรับแสงของกล้องถ่ายรูป ทั้ง 3 คนต้องแบกถังออกซิเจนกับสวมหมวกครอบซึ่งมีไฟฉายตรงหน้าผากไปด้วย จนกว่าไบรอันจะสามารถเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับทุกระบบของสถานนีวิจัยได้สำเร็จ เจสสิกาปีนตามมาเป็นคนสุดท้ายและปิดม่านผนึกกันน้ำ เธอมองหาทางที่จะไปยังคอมพาร์ตเมนท์ที่ 1 ซึ่งเป็นส่วนของห้องควบคุมหลัก
เกรกอรีกับไบรอันตรงไปที่คอมพาร์ตเมนท์ที่ 3 ซึ่งเป็นส่วนที่ติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แล้วสวมชุดป้องกันรังสีซึ่งเก็บอยู่ในตู้เหล็กหน้าประตูก่อนที่จะเข้าไปในนั้น ไบรอันวัดปริมาณรังสีเพื่อความแน่ใจว่า จะไม่มีรังสีรั่วไหลอยู่ในคอมพาร์ตเมนท์นี้
“ระบบระบายความร้อนปฐมภูมิกับทุติยภูมิทำงานปกติ” ไบรอันรายงานหลังจากแน่ใจว่าระบบระบายความร้อนกับท่อต่างๆอยู่ในสภาพปรกติ
เสียงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดังกระหึ่มขึ้นหลังจากที่เกรกอรีเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ไฟฟ้าทั่วทั้งสถานีสว่างพรึ่บขึ้นพร้อมกัน จนทุกคนต้องหลับตาลงชั่วครู่เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่าง เกรกอรีถอดหมวกครอบออกเมื่อระดับออกซิเจนในสถานีเพิ่มขึ้นสู่ระดับปรกติ
“ยินดีต้อนรับสู่อควาเรียส” เสียงต้อนรับอันจืดชืดดังขึ้นเมื่อเจสสิกาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของระบบควบคุมหลัก
“เขาน่าจะปรับระบบเสียงของคุณให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่านี้นะ…..ลีนา” เจสสิกาพูดล้อระบบควบคุมหลักซึ่งมีชื่อรหัสว่าลีนา
เกรกอรีมองดูจอมอนิเตอร์ของระบบต่างๆ ที่กำลังประมวลผลการทำงานของทุกระบบอยู่ ทำให้ภายในคอมพาร์ตเมนท์ที่1แพรวพราวไปด้วยข้อมูล ซึ่งเปล่งแสงเป็นสีสันต่างๆบนจอคอมพิวเตอร์ที่เรียงรายอยู่บนแผงหน้าปัดอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ราวกับว่าเขากำลังอยู่ในสถานบันเทิงที่เต็มไปด้วยไฟดิสโกกับแสงเลเซอร์
“ผมอยากดูวิวข้างนอกสถานีสักหน่อย” เกรกอรีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“รับทราบ” ลีนาตอบรับคำสั่ง และไฟสปอทไลท์ซึ่งติดตั้งรอบๆสถานีก็สว่างจ้าขึ้นเผยให้เห็นหน้าผาหินอันสูงชันที่ล้อมรอบสถานีวิจัย กับพื้นของร่องลึกบาดาลมาเรียนาซึ่งเต็มไปด้วยโขดหินและผืนทราย เกรกอรีแหงนมองขึ้นไปยังเบื้องบนของมหาสมุทร มันมืดสนิทราวกับว่าเขากำลังอยู่ในอวกาศนอกโลก
“ผมพบคลื่นสนามพลังลึกลับแล้ว มันอยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณ 20 ไมล์” ไบรอันรายงานหลังจากที่เครื่องแมกนิโตมิเตอร์ตรวจพบคลื่นสนามพลังที่มีความเข้มข้นสูงมาก
“อาจจะเกิดจากการแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลก” เกรกอรีพยายามหาเหตุผลเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น “หรืออาจจะเกิดจากการเคลื่อนตัวของแก่นโลกชั้นนอกที่เป็นชั้นของเหล็กหลอมเหลวทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น”
“เท่าที่เราตรวจพบ คลื่นสนามพลังครอบคลุมพื้นที่ถึง 5 ตารางไมล์” ไบรอันบอก
เจสสิกาคิดว่ามันอาจจะมีคำอธิบายมากกว่านั้นก็ได้ “เราต้องไปตรงจุดที่เกิดคลื่นสนามพลัง”
“เราจะส่งอาซิมอฟไปตรวจดูว่าคลื่นสนามพลังนั่นเกิดจากอะไร” เกรกอรีหมายถึงหุ่นยนต์สำรวจใต้น้ำ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายจานบินขนาดเท่ากับล้อรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ตั้งชื่อตามนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลก มันเป็นหุ่นยนต์ควบคุมระยะไกลที่สามารถส่งสัญญาณภาพในระยะ 100 ไมล์มายังอควาเรียสได้ และยังสามารถวิเคราะห์คุณภาพของน้ำทะเลกับแร่ธาตุต่างๆจากตัวอย่างดินหรือหินที่มันเก็บขึ้นมาได้ด้วย
……………..
ไบรอันควบคุมอาซิมอฟให้เคลื่อนที่ฝ่าความมืด ลัดเลาะไปตามหุบเขาและหน้าผาชันของร่องลึกบาดาลอย่างเงียบเชียบ แสงไฟฉายที่ด้านหน้าของมันทำให้ปลาซิแอสโมดอนท้องป่องตัวหนึ่งหลบวูบเข้าไปแอบหลังโขดหินด้วยความตกใจ มันไม่เคยเห็นแสงที่สว่างจ้าแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต นอกจากแสงสลัวๆจากปลายหนวดที่เรืองแสงได้ของปลาเมลาโนซิตัส ซึ่งมีไว้สำหรับล่อเหยื่อมาให้มันจับกินเป็นอาหารเท่านั้น
“อีก 15 ไมล์จะถึงบริเวณต้นตอของคลื่นสนามพลังลึกลับ หวังว่ามันจะยังอยู่ที่เดิมจนกว่า อาซิมอฟจะไปถึง” ไบรอันรายงานให้เกรกอรีทราบเป็นระยะๆ
ทันใดนั้น จอมอนิเตอร์ก็ปรากฏภาพบางอย่างที่อาซิมอฟถ่ายไว้ได้ มันเคลื่อนที่ผ่านอาซิมอฟไปอย่างรวดเร็ว ขนาดของมันใหญ่มากแต่ภาพที่อาซิมอฟส่งมาให้ค่อนข้างเบลอเพราะคลื่นที่กระแทกอย่างแรง ทำให้มันถึงกับสั่นโคลงเคลงและแทบจะตีลังกาถอยหลังเลยทีเดียว
“คุณเห็นอะไรไหม?” เกรกอรีถามอย่างตื่นเต้น
“อาจจะเป็นปลาวาฬสเปิร์ม” ไบรอันบอก
“ในระดับความลึกเกือบ 4 หมื่นฟุตแบบนี้น่ะเหรอ?” เจสสิกาแย้งขึ้น ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวสน์วิทยาใต้ทะเล เธอไม่เคยพบว่าปลาวาฬสเปิร์มจะลงมาหากินลึกขนาดนี้
แต่แล้วสัญญาณภาพจากอาซิมอฟก็สั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นภาพของความชุลมุนวุ่นวายบางอย่างจนฝุ่นทรายจากพื้นมหาสมุทรฟุ้งกระจายขึ้นมาเต็มไปหมด ไบรอัน พยายามบังคับให้อาซิมอฟเคลื่อนที่ต่อไป แต่ดูเหมือนว่ามันไม่สามารถตอบสนองต่อคำสั่งของไบรอันได้ สัญญาณภาพยังคงถูกส่งมาตลอดเวลา ถึงแม้ว่าภาพของมันจะสับสนจนไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาซิมอฟ แต่แล้วภาพคล้ายกับดวงตากลมโตดวงหนึ่งได้ปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเต็มจอมอนิเตอร์ทำให้ทุกคนถึงกับสะดุ้งเฮือก แล้วทุกคนก็ได้เห็นอวัยวะที่ยาวและเคลื่อนไหวได้คล้ายงูโบกสะบัดไปมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าอาซิมอฟจะถูกมันจับเอาไว้เสียแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” เกรกอรีร้องลั่นด้วยความตกใจ
“ปลาหมึกกล้วยยักษ์” เจสสิกาพูดขึ้นอย่างตกตะลึง
“อะไรนะ?” เกรกอรีถามย้ำอีกครั้ง
“ปลาหมึกกล้วยยักษ์…..ต้องใช่แน่ๆ ฉันรู้จักดวงตากับหนวดของมันดี มันอาจจะใหญ่ถึง 55 ฟุต มันเป็นศัตรูตัวฉกาจของปลาวาฬสเปิร์มเลยทีเดียว” เจสสิกายังจำเหตุการณ์เมื่อครั้งที่เธอดำลงมากับยานสำรวจใต้น้ำของกองทัพเรือเมื่อ 3 ปีก่อนได้ดี เธอแทบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้ายักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเล ซึ่งพยายามรัดยานสำรวจของเธอให้แตกเป็นเสี่ยงๆด้วยหนวดที่ยาวถึง 20 ฟุตของมัน โชคดีที่แขนกลทั้งสองชุดของยานสำรวจสามารถตัดหนวดของมันได้สำเร็จจนมันต้องผละหนีไป
ไบรอันยังคงพยายามบังคับอาซิมอฟต่อไปถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นผล “เราเสียอาซิมอฟไปแล้ว”
เกรกอรีนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่เขาจะนึกอะไรขึ้นได้
“กระแสไฟฟ้า…..ไบรอัน…..” เกรกอรีตะโกนดังลั่นเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า อาซิมอฟสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อป้องกันการรบกวนของสัตว์ทะเลได้
“จริงด้วยสิ ทำไมผมไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้นะ?” ไบรอันยิ้มอย่างผู้ชนะ เขาส่งคำสั่งไปยังอาซิมอฟทันที
กระแสไฟฟ้าขนาด 1,500 โวลท์ถูกปล่อยออกมาจากลำตัวโลหะของอาซิมอฟ แสงแปลบปลาบจากกระแสไฟฟ้าทำให้น้ำบริเวณรอบๆอาซิมอฟ ซึ่งคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นคล้ายหมอกควันสว่างไสวขึ้น ดูราวกับเนบิวลาที่เรืองรองอยู่กลางอวกาศ กระแสไฟฟ้าแล่นเข้าสู่ร่างกายสีแดงเข้มของเจ้าปลาหมึกกล้วยยักษ์โดยที่มันไม่มีทางหลีกหนีไปไหนได้ มันคลายหนวดที่รัดรอบๆอาซิมอฟออกด้วยความตกใจและเจ็บปวด มันพ่นหมึกคล้ายหมอกควันสีดำออกมาและเผ่นหนีหายไปท่ามกลางความมืดมิดของร่องลึกบาดาลอย่างรวดเร็ว ทำให้อาซิมอฟเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง
“เราไม่เคยจับมันได้เป็นๆเลย” เจสสิกาบ่นอย่างเสียดาย เคยมีความพยายามที่จะจับปลาหมึกกล้วยยักษ์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้แค่ลูกตัวเล็กจิ๋วหรือไม่ก็ซากที่ตายแล้วของมันเท่านั้น
“คลื่นสนามพลังงานอยู่ห่างออกไปอีก 15 ไมล์” ไบรอันอ่านข้อมูลที่อาซิมอฟส่งเข้ามา
อาซิมอฟเคลื่อนที่ต่อไปอีกราว 30 นาที มันส่งสัญญาณกลับมายังอควาเรียสบอกให้รู้ว่ามันพบอะไรบางอย่างอยู่ห่างออกไปไม่ถึง 100 ฟุตซึ่งเป็นจุดกำเนิดคลื่นสนามพลังลึกลับ ไบรอันบังคับกล้องวีดีโอ.ของอาซิมอฟให้กวาดภาพไปรอบๆ และภาพที่อาซิมอฟเห็นทำให้ทุกคนถึงมองหน้ากันอย่างตะลึงงัน มันคล้ายกับดวงดาวสีฟ้าสดใสจำนวนมากมายมหาศาลนับล้านๆดวงที่เปล่งประกายระยิบระยับตระการตา
“พระเจ้า!…..นั่นมันอะไรน่ะ?” ไบรอันอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา แต่เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ปรกติอย่างแน่นอน
“บางทีอาจจะเป็นฝูงปลาแฮตเซตที่เรืองแสงได้ก็ได้” เกรกอรีพยายามอธิบายเกี่ยวกับแสงสว่างจำนวนมากที่อาซิมอฟพบ
“แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีฝูงปลาแฮตเซตที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” เจสสิกาไม่เห็นด้วย
สัญญาณภาพจากอาซิมอฟถูกส่งตรงไปยังทำเนียบขาว ท่านประธานาธิบดีรู้สึกตกตะลึงกับภาพกลุ่มของแสงสีฟ้าจำนวนมาก กองเรือดำน้ำได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมเสมือนอยู่ในภาวะสงคราม ในขณะที่อาซิมอฟยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป แสงระยิบระยับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆจนร่องลึกบาดาลอันมืดมิดสว่างเรือรองขึ้นราวกับสรวงสวรรค์ใต้บาดาล
“เราได้รับคำสั่งให้ไปที่นั่น”เกรกอรีบอกกับลูกทีมเสียงเครียด หลังจากที่เขาได้วางสายจากท่านประธานาธิบดี
……………….
ซีฮอร์สปลดตัวเองออกจากอควาเรียสอีกครั้งหนึ่ง มันมุ่งหน้าตามสัญญาณจากอาซิมอฟไป ผ่านปล่องย่อยของภูเขาไฟใต้ทะเลซึ่งกำลังพ่นลาวาหลอมเหลวที่ลุกแดงด้วยหินละลายหลอมเหลว หินหนืดอันร้อนแดงไหลเป็นธารลาวาไปตามพื้นของก้นมหาสมุทร ก่อนที่จะเย็นลงจนจับตัวแข็งกลายเป็นหินสีดำอย่างรวดเร็ว แล้วยังมีน้ำพุร้อนพลุ่งออกมาจากรอยแยกของภูเขาไฟ ทำให้น้ำบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำอุ่นและไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆกล้าเข้าไปใกล้
“อาซิมอฟอยู่นั่น” ไบรอันตะโกนลั่นเมื่อเห็นหุ่นยนต์อาซิมอฟลอยลำนิ่งอยู่ข้างหน้า เขาบังคับให้แขนกลของซีฮอร์สยื่นออกไปจับอาซิมอฟเอาไว้ แล้วยกขึ้นมายึดไว้กับอุปกรณ์สำหรับจับยึดที่อยู่ด้านบนของซีฮอร์สแต่อาซิมอฟก็ยังคงทำหน้าที่บันทึกภาพต่อไป
“คลื่นสนามพลังรุนแรงมาก” เกรกอรีบอกเมื่อเขาอ่านค่าของคลื่นสนามพลังที่วัดได้
และแล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ทุกคนถึงกับขนลุกซู่และรู้สึกชาไปทั้งร่าง ทุกคนเงียบงันและนัยน์ตาเบิกโพลง ดูเหมือนว่าสติสัมปชัญญะจะหลุดลอยไปชั่วขณะ ภาพของแสงสีฟ้าระยิบระยับที่เขาได้เห็นทางจอมอนิเตอร์นั้น มันงดงามวิจิตรอลังการยิ่งกว่าหลายเท่าเมื่อมันปรากฏอยู่ตรงหน้า ความงดงามของแสงสีฟ้านับล้านๆดวงสะกดทุกคนให้ถึงกับจ้องมองตาค้างด้วยความตื่นตะลึง
“พระเจ้าช่วย!!…..สวยงามเหลือเกิน” เจสสิกาอุทานออกมาอย่างลืมตัว
“นี่เราอยู่ที่ก้นมหาสมุทรหรือในอวกาศกันแน่?” เกรกอรีเองก็ตกตะลึงจนไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเสียสติไปหรือเปล่า
เกรกอรีพยายามขับเคลื่อนซีฮอร์สเข้าไปใกล้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แล้วมันก็กลับหยุดชะงักลงอย่างกะทันหันและไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้อีก ทั้งๆที่อยู่ห่างจากเป้าหมายแค่ 100 ฟุตเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น?” เกรกอรีถามเสียงเครียดเมื่อเครื่องยนต์ของซีฮอร์สดับสนิท รวมทั้งระบบคอมพิวเตอร์ต่างๆก็รวนไปหมด
“ผมไม่รู้ อยู่มันก็หยุดไปเฉยๆ” ไบรอันพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้งหนึ่ง แต่มันเงียบสนิทและลอยลำนิ่งคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างยึดเอาไว้
“คงเป็นเพราะคลื่นสนามพลังงานนั่นแน่ๆที่ขวางไม่ให้เราเข้าไปใกล้มากกว่านี้” เกรกอรีหันไปบอกกับไบรอัน
“ระบบสื่อสารของเราก็ขัดข้องด้วย” ไบรอันรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
ทันใดนั้นแสงระยิบระยับจำนวนมากมายมหาศาลนั้นได้ลอยตรงมายังซีฮอร์สและหยุดเมื่ออยู่ห่างจากซีฮอร์สแค่ไม่กี่ฟุต
“พระเจ้า!!…..มันคืออะไรกันแน่?” เกรกอรีมองดูสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะแสงสีฟ้าอันงดงามนั้น แท้ที่จริงแล้วมันคือร่างของสิ่งมีชีวิตซึ่งมีรูปร่างประหลาดที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าสดใสออกมารอบๆร่างกายที่โปร่งแสงและมีขนาดเท่ากับเด็กทารก ร่างของสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้นพากันจ้องมองมาที่ซีฮอร์สด้วยดวงตากลมโตทั้งสองดวง ซึ่งสว่างและใสราวกับแก้วจนสามารถมองทะลุเข้าไปถึงข้างในได้ ศรีษะกลมและไม่มีริมฝีปาก ตรงส่วนที่เป็นลำตัวไม่ปรากฏอวัยวะที่เป็นแขนหรือขา แต่กลับมีเพียงเส้นแสงบางๆมากมายพลิ้วไหวอย่างอิสระ
เจสสิกาเพ่งมองไปที่สิ่งมีชีวิตประหลาดที่เรืองแสงได้ “ฉันไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลแบบนี้มาก่อน”
ทันใดนั้น คล้ายกับมีแรงดึงดูดบางอย่างดึงให้ซีฮอร์สเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆและผ่านคลื่นสนามพลังงานที่ขวางอยู่
“พวกเขากำลังดึงพวกเราเข้าไป” ไบรอันร้องลั่นด้วยความตกใจ เขาพยายามที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง แต่เครื่องยนต์ยังคงเงียบสนิมเหมือนเดิม และในที่สุดซีฮอร์สก็ตกอยู่ในวงล้อมของฝูงสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เรืองแสงได้โดยสิ้นเชิง
………………
ร่างของสิ่งมีชีวิตเรืองแสงร่างหนึ่งลอยออกมาจากกลุ่ม และมาหยุดที่ด้านหน้าของซีฮอร์ส ร่างนั้นจ้องมองเข้ามาทางช่องบานหน้าต่าง ทันใดนั้น ฝาปิดช่องทางเข้าซึ่งอยู่บนส่วนยอดของหอสะพานเดินเรือได้คลายล็อคตัวเองราวกับมีพลังลึกลับพยายามจะเปิดมันออก เกรกอรีกับลูกทีมถอยกรูดไปรวมกันที่ด้านท้ายของซีฮอร์ส เขาสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับน้ำทะเลที่จะทะลักเข้ามาท่วมซีฮอร์สในทันทีที่ฝาปิดช่องทางเข้าถูกยกขึ้น แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีน้ำทะเลทะลักเข้ามาอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อฝาปิดช่องทางเข้าเปิดอ้าออก ร่างของสิ่งมีชีวิตเรืองแสงร่างนั้นพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนกับเชื้อเชิญให้มนุษย์ทั้ง 3 ออกมาจากยานพาหนะ เกรกอรีคิดว่าพวกเขาคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องออกจากยานดำน้ำ เขาปีนนำหน้าคนอื่นออกจากซีฮอร์สและทันทีที่เขาโผล่ศรีษะออกจากหอสะพานเดินเรือ เขาก็ต้องประหลาดใจอย่างมากเมื่อพบว่า รอบๆศรีษะของเขาไม่มีน้ำอยู่เลย แต่กลับกลายเป็นที่ว่างเปล่าซึ่งเขาสามารถหายใจได้ตามปรกติเหมือนอยู่บนแผ่นดิน และเมื่อเขาออกมาจนพ้นจากซีฮอร์สแล้ว ร่างของเขาก็ลอยอยู่กลางที่ว่างเปล่าราวกับกำลังลอยอยู่ในฟองสบู่ เขารู้สึกคล้ายกับว่ารอบๆร่างกายของเขามีสนามพลังบางอย่างเกิดขึ้น และได้ผลักโมเลกุลของน้ำให้อยู่ห่างจากร่างกายของเขาแต่กลับปล่อยให้โมเลกุลของอากาศผ่านเข้ามาได้ สักครู่หนึ่ง ไบรอันกับเจสิกาก็ตามออกมาและร่างของทั้งสองคนก็ลอยอยู่ในความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน บรรดาสิ่งมีชีวิตเรืองแสงยังคงสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม พวกเขาไม่มีท่าทีคุกคามอะไร
“พวกท่านคือใคร?” เกรกอรีเอ่ยถาม
ไม่มีเสียงตอบใดๆเลยแม้แต่น้อย แต่กลับปรากฎภาพของดาราจักร 3 มิติมากมายเกิดขึ้นตรงหน้าราวกับว่าทุกคนกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศจริงๆ สิ่งมีชีวิตเรืองแสงร่างนั้นโบสะบัดระยางค์ที่เป็นเส้นแสงของตนสัมผัสดวงดาวดวงหนึ่งซึ่งอยู่สุดขอบของดาราจักรหนึ่ง แล้วดาวดวงนั้นก็ได้ขยายภาพใหญ่ขึ้น จนมีขนาดใหญ่เท่ากับลูกบาสเก็ตบอลล์ลอยอยู่ตรงหน้าของเกรกอรี มันเป็นดวงดาวสีฟ้าสดใสทั้งดวงและมีริ้วเมฆสีขาวบางๆแซมอยู่เล็กน้อย ในทันทีนั้น ทุกคนก็สามารถรับรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับดาวดวงนี้ได้ด้วยจิตสัมผัสของตัวเองอย่างมหัศจรรย์ มันเป็นดวงดาวซึ่งไม่มีแผ่นดิน มันเป็นดวงดาวแห่งมหาสมุทรที่เปรียบเสมือนหยดน้ำอันบริสุทธิ์ ที่โคจรอยู่ในระบบสุริยจักรวาลแห่งหนึ่งในดาราจักรแซจิตาริอุสซึ่งอยู่ห่างจากโลกถึง 4 ล้านปีแสง สิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปราศจากร่างกาย พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในรูปของพลังงาน และสามารถเพิ่มความเข้มข้นของพลังงานจนปรากฏเป็นรูปร่างให้เห็นได้เมื่อพวกเขาต้องการ แต่แล้วดวงดาวของพวกเขาก็กำลังคืบคลานสู่วาระสุดท้าย น้ำบนดวงดาวของพวกเขาเริ่มระเหยออกไปในห้วงอวกาศโดยที่ไม่มีทางหยุดยั้งได้ ขนาดของดวงดาวเล็กลงอย่างรวดเร็วและน้ำหยดสุดท้ายก็จะระเหยไปในเวลาอีกไม่นานนัก ทำให้พวกเขาต้องอพยพเพื่อหาแหล่งน้ำที่จะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป ในที่สุด พวกเขาก็พบกับโลกใบนี้หลังจากการเดินทางข้ามห้วงจักรวาลมาด้วยระยะเวลาอันยาวนาน
เจสสิกามีสีหน้าเศร้าสลดเมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนร่วมจักรวาล “แต่พวกท่านอาจถูกรบกวนจากอาวุธของพวกเรา” เจสสิกาเตือนด้วยความเป็นห่วง
“และอาวุธของพวกท่านอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆด้วยเช่นกัน” จิตสัมผัสของเกรกอรี ไบรอันกับเจสสิกาสามารถรับรู้ความคิดของสิ่งมีชีวิตเรืองแสงจากนอกโลกได้อย่างแจ่มชัด
…………………
ซีฮอร์สถูกปล่อยให้กลับออกมาจากกำแพงคลื่นสนามพลัง สิ่งมีชีวิตเรืองแสงจากจักรวาลได้กระจายตัวกันออกไปจนคลื่นสนามพลังอ่อนกำลังลงและหมดไปในที่สุด เกรกอรีติดต่อกับทำเนียบขาวอีกครั้งหนึ่ง
“ขออภัยครับท่านประธานาธิบดี ระบบสื่อสารของเราขัดข้องไปชั่วขณะครับ เราพบว่าคลื่นสนามพลังเกิดจากความแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลก และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราว ตอนนี้มันสลายไปจนหมดแล้ว”
“แล้วแสงสีฟ้าพวกนั้นล่ะ?” เสียงของท่านประธานาธิบดีถามกลับมา
ไบรอันบังคับให้อาซิมอฟหันกล้องเข้าหากลุ่มแสงสีฟ้ากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ และขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น มันเป็นภาพของฝูงปลานับพันตัวที่เปล่งแสงออกมาจากจุดเรืองแสงใต้ท้องของมัน และอีกกลุ่มหนึ่งสามารถเปล่งแสงออกจากนัยน์ตาทั้งสองข้างเหมือนกับไฟหน้ารถยนต์
“มันเป็นแค่ฝูงปลาแฮตเซตกับฝูงปลาแลมพ์ค่ะท่านประธานาธิบดี มันคงเป็นฤดูผสมพันธุ์ของมัน พวกมันก็เลยมารวมกลุ่มกันมากผิดปรกติ ดูสิคะ มันเป็นแค่ฝูงของปลาตัวเล็กๆเท่านั้น”
………………
เกรกอรี ไบรอัน กับเจสสิกานำซีฮอร์สดำลงไปยังร่องลึกบาดาลมาเรียนาอีกครั้งหนึ่งหลังจาก ที่พวกเขาไม่ได้ไปที่นั่นหลายปีแล้ว ตั้งแต่คราวที่พวกเขาสามารถยับยั้งการการโจมตีของกองเรือดำน้ำในครั้งนั้นได้ ซีฮอร์สตรงไปยังกำแพงคลื่นสนามพลังที่กำลังก่อตัวและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แสงสีฟ้าระยิบระยับนับล้านๆได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยความงดงามตระการตาอย่างยิ่ง……..
…………………