เรื่องสั้น: หลอนมรณะ องก์ที่ ๑/๒

เงาทะมึนทอดยาวอยู่ไกลๆ แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกถึงความกดดันอยู่ใกล้แค่ลมหายใจรดต้นคอ
ต้นไม้สูงใหญ่บิดตัวหงิกงอโดยปราศจากกระแสลม
อากาศหยุดนิ่งแต่สิ่งของรอบข้างกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง
ฉับพลัน การเคลื่อนไหวของโลกดูเหมือนจะหยุดลง
ผิวดินสงบนิ่ง แตกระแหง แต่เย็นยะเยือก
ข้าพเจ้าพยายามขยับเขยื้อนร่างกายแต่กลับไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ข้าพเจ้าได้แต่หยุดนิ่งอยู่กับที่
เงาร่างเข้มดำบดบังท้องฟ้าทั้งมวลจนมืดมิด ลมหายใจร้อนระอุราวโลหะร้อนแดงนาบลงบนใบหน้า ส่งเสียงดังฟืดฟาด เมื่อเคลื่อนตัวเข้าใกล้
แขนขาข้าพเจ้าเป็นอันไดไป
ข้าพเจ้า ก้มลงมอง …
หายไปแล้ว … ไม่มี
ไม่มีสิ่งใดเลยเบื้องล่าง … มีเพียงศรีษะข้าพเจ้าตั้งวางอยู่บนพื้น ดินเย็นเฉียบนั่น
เงาร่างเคลื่อนใกล้เข้ามา สูงใหญ่ราวภูเขาเลากา
ข้าพเจ้ากรีดร้องสุดเสียง ศรีษะของข้าพเจ้ากลิ้งโค่โร่ไปตามพื้น

ข้าพเจ้า สะดุ้งพรวดขึ้นจนสุดตัว … ฝันร้าย!
ข้าพเจ้าหอบหายใจกระชั้นถี่ … เหนื่อยเสมือนวิ่งอย่างสุดกำลังมาสักร้อยเมตรพันเมตร
“ฝันบ้าอะไรว่ะ” ข้าพเจ้าสบถ พลางพยายามผ่อนลมหายใจ …
ถ้าเป็นเมื่อก่อนหน้านี้สัก สอง สามวัน ข้าพเจ้าคงลุกขึ้นไปอาบน้ำอย่างไม่แยแสสนใจ
แต่นี่มันสามวันแล้ว สามวันที่ข้าพเจ้าเฝ้าฝันถึงเงาดำน่าขนพองสยองเกล้านั่น
และไม่ใช่แค่สามครั้ง … ทุกๆครั้งที่ข้าพเจ้าหลับตา ทุกครั้งที่ข้าพเจ้านอนลงงีบแม้เพียงแค่ห้านาที
“คนเราจะฝันก็ต่อเมื่อ อยู่ในสภาวะที่เขาเรียกว่าหลับลึก” เพื่อนของข้าพเจ้าตอบอย่างรำคาญ เมื่อข้าพเจ้าบ่นเรื่องฝันร้ายให้มันฟัง “อย่างเอ็งนี่มันเรียกว่าฝันกลางวันแล้ว … อะไรจะฝันกันได้บ่อยๆ” ข้าพเจ้าได้แต่พยายามเร่งฝีเท้าเดินจากมันมา “กลับไปนอนไป๊ … โทรมยังกะผี” มันไม่วายตะโกนไล่หลังมา

เงาดำทะมึนเหยียดแขนที่เต็มไปด้วยขนสากกร้าน กรงเล็บแหลมคมแผ่กว้าง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเตะจมูก

“จะให้กลับไปนอนได้อย่างไร” ข้าพเจ้านึก … เทปข่าวยังเตรียมไม่เสร็จ ส่วน สกู๊ปข่าวช่วงสุดสัปดาห์ก็ยังขาดบทสัมภาษณ์สรุปอยู่ …
และที่สำคัญ ข้าพเจ้ารู้สึกหวาดกลัวที่จะฝัน
ข้าพเจ้า นิวัตร ปฏิสานานุพร เป็นนักข่าวที่มีความรับผิดชอบ การละทิ้งการงานด้วยสาเหตุจากการอดนอนสักสามสี่คืนดูจะเรื่องที่เลวร้ายต่อจิตสำนึกของข้าพเจ้ายิ่งนัก
ยิ่งหัวข้อข่าวที่กำลังเป็นที่ถกเถียงและเพ่งเล็งจากสังคมอยู่ในขณะนี้ก็เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเผ้าติดตามและปลุกเร้ามาโดยตลอด
หัวข้อการทุ่มงบประมาณอันมหาศาลในการจัดการทดลองและซื้ออาวุธครั้งใหญ่ของประเทศ ทั้งที่โลกอยู่ในภาวะที่สงบสุขเยี่ยงนี้

“การทดลองทางการทหารย่อมมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ” ชายหนุ่มในชุดนายทหารตอบเสียงเข้มแข็งฉาดฉาน …
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คนใหม่ การแสดงตัวตนเพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้เห็นถึงความเหมาะสมของตนเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง …
มิเช่นนั้นย่อมจะตกเป็นเป้าโจมตีของ พรรคฝ่ายค้านและผู้ประสงค์ในตำแหน่งภายในพรรคเดียวกัน
นั่นหน้าที่ของเขา เราก็มีหน้าที่ของเรา
“แต่ด้วยสถานะทางการเงินของประเทศในปัจจุบัน การทุ่มเงินนับร้อยล้านเหรียญ ท่านไม่คิดว่ามันจะเกินกำลังประเทศไปหน่อยหรือครับ” ข้าพเจ้ายิงคำถามสวนกลับ “หากจะดูจากสัดส่วนของงบประมาณทั้งหมด นี่เป็นจำนวนถึง เกือบสี่สิบเปอร์เซนต์เชียวนะครับ” ข้าพเจ้ายิงคำถามต่อโดยทันที …
บรรยากาศภายในห้องทำงานของท่านรัฐมนตรีที่ถูกจัดเตรียมเพื่อการสัมภาษณ์พิเศษเขม็งเครียดขึ้นมาในบัดดล
เสียงหึ่งๆในหูน่ารำคาญ
“ในสถานะการณ์ที่ล่อแหลมทางด้านพลังงานในขณะนี้ เราจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพทางด้านการทหารเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้”
“แต่ท่านไม่คิดว่าการดำเนินการทางการฑูตน่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าแถมยังประหยัดเงินงบประมาณของชาติได้มากกว่า” ข้าพเจ้าถามต่อไป
รู้สึกกล้ามเนื้อที่แขนกระตุกเล็กน้อย เหมือนโดนไฟฟ้าช๊อตโดยไร้สาเหตุ …
ประหลาด …
“การดำเนินการทางการฑูตย่อมมีความจำเป็นและมีบทบาทในตัวของมันเองอยู่แล้ว ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่ประการใด หากแต่การเตรียมตัวภายในก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน เช่นเดียวกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยนั่นละครับ” ท่านรัฐมนตรียิ้ม มองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาราวกับมองดูเด็กปัญญาอ่อนก็ไม่ปาน
หน้าที่ใครก็หน้าที่มัน
“แล้วการพัฒนาและการสะสมกำลังในลักษณะนี้ ท่านไม่คิดว่าเป็นการยั่วยุให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคหรือครับ … เพราะหลังจากที่ท่านประกาศพัฒนาอาวุธเหล่านี้ ประเทศเพื่อนบ้านของเราก็ประกาศซื้ออาวุธสงครามในวันถัดมาโดยทันที”
“ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การทำสัญญาอะไรสักอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัญญาระหว่างรัฐบาลนั้นต้องมีขั้นตอนการเตรียมการเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร … ในกรณีนี้เพื่อนบ้านของเราก็มีการเตรียมการก่อนหน้านั้นเป็นเวลานานแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเลขงบประมาณที่เราพึ่งจะประกาศไป … และยิ่งเป็นการชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทางเราจะต้องเตรียมตัวให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ”

การสัมภาษณ์จบลงด้วยบรรยากาศที่สุดแสนจะอึดอัด
ซ้ำข้าพเจ้ายังต้องพยายามฝืนไม่ให้หาวอยู่หลายครั้ง
“นี่พ่อหนุ่ม…” ข้าพเจ้าสะดุ้งเล็กน้อย รู้สึกตัวเหมือนตื่นจากภวังค์ ขณะก้าวออกสู่ภายนอกอาคาร
ข้าพเจ้าหันตามเสียงเรียกและต้องสะดุ้งสุดแรงอีกครั้งเมื่อเผชิญเข้ากับชายในชุดดำทะมึน หน่วยรักษาความปลอดภัยของท่านรัฐมนตรีนั่นเอง
ข้าพเจ้าถอยหลังหนึ่งก้าว มือทั้งสองกำแน่น ตามสัญชาติญาณการป้องกันตัว
ความรู้สึกคุ้นเคย แต่เย็นสันหลังอย่างแปลกประหลาด ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พ่อหนุ่มไม่คิดหรือว่าสิ่งที่พ่อหนุ่มทำนั้นน่ะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ” ชายคนนั้นเอ่ยปากอย่างเย็นชา … นิ่งเฉยจนผิดปรกติ
“ไม่หรอกครับ ผมทำตามหน้าที่ของผู้สื่อข่าว เท่านั้นครับ … ประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารในทุกๆด้าน … ”
ประเทศย่อมจะเจริญไปได้ด้วยการพัฒนาความรู้ของประชาชน
ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนี้มาโดยตลอด
“ความรู้ … พวกแกไม่อยากรู้หรอก …” ชายหนุ่มในชุดสีดำลากเสียงเย็นชา “พวกแกแค่อยากหาความสุขใส่ตัวเท่านั้น แกแค่อยากรู้สึกมีอำนาจเหนือคนอื่น …”
ข้าพเจ้ารู้สึกผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก เหลียวมองด้านหลัง เพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า ทั้งสามคนกำลังยกอุปกรณ์ประกอบการบันทึกเทปข่าวเข้าสู่ตัวรถตู้ซึ่งจอดห่างออกไป
บางอย่างผิดปกติ
“แกไม่อยากรู้หรอกว่ามีนายทหารตายในสงครามกี่คน … รัฐบาลสูญเสียเวลา กำลังเงิน และกำลังสมองช่วยเหลือพวกแกมากน้อยเพียงไร … แกแค่อยากร้องโวยวาย… อยากได้ใคร่มี… แต่กลับไม่ยอมลงมือแก้ปัญหาใดๆทั้งนั้น” น้ำเสียงบ่นด่ายังคงราบเรียบสม่ำเสมอ แต่ความดังกลับมากขึ้นเรื่อยๆ …
ไม่มีใครคนอื่นสนใจแม้แต่น้อย … ข้าพเจ้าหันมองรอบข้างเลิ่กลั่ก
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชายคนซึ่งยืนตัวแข็งทื่อนั้น ดูสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มืดทะมึนขึ้นทุกขณะ …
ต้นไม้รอบข้างเอนเอียงบิดงอโดยปราศจากกระแสลม
เพื่อนของข้าพเจ้าเดินหยอกล้อกันอยู่ไกลๆ
แสงอาทิตย์เลือนหาย เฆมโหมกระหน่ำปกคลุมท้องฟ้าจนมืดคลึ้ม …
ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆในมวลอากาศ
ข้าพเจ้ากำลังฝัน!? แต่เพื่อนของข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงนั้น … ข้าพเจ้าพึ่งเสร็จจากการสัมภาษณ์ ท่านรัฐมนตรี … ท่านยังยืนอยู่ที่บันไดอาคารนั้น หันมองมาทางข้าพเจ้าก่อนเดินลับตาไป …
ข้าพเจ้าไม่ได้หลับ!
แต่เงาดำที่สูงใหญ่ กรงเล็บที่กรีดแหลม ยืนทะมึนอยู่เบื้องหน้า
ผิวถนนคอนกรีตแข็งค่อยๆแตกสลายอย่างไร้ซุ่มเสียง ดินสีดำเข้มผุดขึ้นตามรอยแยกเหมือนโลหิตที่ข่นคลัก … ผืนดินไต้ฝ่าเท้าไหว ยวบ อย่างเงียบงัน
เงาร่างเบื้องหน้านั้นยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ … ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ … สักตึกห้าชั้นแล้วเห็นจะได้
ข้าพเจ้ายืนตัวแข็งทื่อ ลมหายใจติดขัด “บ้าน่า … ตื่นสิ”
แต่ไม่เป็นผล
เงาดำสแยะยิ้ม ส่งกลิ่นคาวเลือดชวนสะอิดอะเอียนโชยออกจากปากมันอย่างรุนแรง “แกมันเพียงแค่สวะสังคม กากเดนประเทศชาติ” มันกรีดร้องเสียงแหลมเล็กโฉบเข้ามา
ข้าพเจ้าผงะขยับเท้า “เดินได้แล้ว” ข้าพเจ้าคิด ก่อนหมุนตัวออกวิ่งสุดกำลัง

พาดหัวอุบัติเหตุสยองกลางกรุงแผ่หราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในเช้าวันนี้
นักข่าวสายการเมืองชื่อดัง ถูกรถบรรทุกชนเข้าอย่างจัง เสียชีวิตคาที่ หลังจากการสัมภาษณ์สดรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมซึ่งสั่นสะเทือนวงการการเมืองของประเทศ
“อยู่ดีๆเขาก็กระโดดลงมาบนถนน … ผมเบรกไม่ทันจริงๆครับ” นั่นคือปากคำของคนขับรถบรรทุกคันนั้น
“ไม่น่าจะเป็นเรื่องฆ่าตัวตายนะครับ เพราะเขากำลังประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างท่วมท้นขนาดนี้” เพื่อนร่วมงานชี้แจง
“พักนี้เห็นว่านอนไม่ค่อยหลับครับ … สงสัยจะหลับใน” เพื่อนอีกคนเสริม
มีแต่ข้าพเจ้าที่รู้ความจริง …
ข้าพเจ้า สาธิต มงคลนุเคราะห์ เป็นหนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในโครงการวิทยาศาสตร์เพื่อการทหารของกระทรวงกลาโหม
เราเริ่มการทดลองระบบบังคับประสาทระยะไกลมาได้สักสามปีแล้ว
หลังจากการทำผังการทำงานของสมองโดยละเอียดรวมถึงการเข้าใจเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดของสมอง ซึ่งเป็นการทำงานของไฟฟ้าเคมีอย่างอ่อน
ทั้งหมดถูกนำมาตีความเป็นสัญญาณภาพโดยคำนวณจากการรับรู้ของระบบประสาททั้งหมด แม้ยังไม่สมบูรณ์นักเนื่องจากความแตกต่างของประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งนำไปสู่การตีความที่แตกต่างกันไป แต่เราก็พอจะสามารถสร้างประสบการณ์จำลองเลียนแบบเหตุการณ์พื้นๆบางอย่างได้
เช่น ความกลัว จากสิ่งที่ไม่รู้จัก เป็นเพียงการสร้างความสับสนในการรับรู้
การขาดการควบคุมร่างกายเป็นเพียงการรบกวนการส่งสัญญาณของระบบประสาท
หรือการส่งสัญญาณภาพเข้าสู่เซลประสาทรับภาพหลังดวงตาควบคู่ไปกับการส่งสัญญาณเข้าสู่สมองในส่วนของการตีความ เพื่อหลอกลวงว่าเป็นการรับรู้ทางสายตา
ทั้งหมดนี้สามารถทำโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหลากหลายย่านความถี่ จากแหล่งกำเนิดที่ต่างกันหลายร้อยจุด และการคำนวณนับพันล้านครั้งต่อวินาที เพื่อส่งช่วงคลื่นเหล่านี้เข้าสู่ตำแหน่งของร่างกายอย่างเหมาะสม การแทรกสอดและหักล้างกันของคลื่น กระตุ้นการทำงานของต่อมไร้ท่อและจุดรวมประสาทต่างๆตามจังหวะและเวลาที่กำหนด … สร้างประสบการณ์จำลองที่ถูกคำนวณไว้ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง
ทั้งหมดผ่านการคำนวณและตรวจวัดตำแหน่งของร่างกาย ปริมาณสารเคมีในร่างของเป้าหมาย อย่างละเอียดถี่ถ้วน
อาจเป็นเรื่องยากของคนทั่วไป
แต่ง่ายดายมากสำหรับองค์กรที่มีเครือข่ายครบถ้วน ทั้งเงินทุนสนับสนุน แหล่งความรู้จากสถาบันวิจัยต่างๆ รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานจากโรงพยาบาลทั่วประเทศ
มาถึงขั้นนี้ การทดลองอาจจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์เนื่องจากความคลาดเคลื่อนทั้งในตัวข้อมูลที่ได้รับ และการตีความของแต่ละบุคคล รวมทั้งระยะห่างในการกระทำต่อเป้าหมายซึ่งยังถือว่าสั้นมากเนื่องจากเป้าหมายต้องอยู่ในระยะที่ไม่เกินสิบเมตร ความเป็นไปได้ของการบิดเบือนของคลื่นอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อม
ถึงตอนนี้ สิ่งที่ปรากฏในมโนทัศน์ของเป้าหมายยังคงเป็นปริศนาเนื่องจากขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล อันสืบเนื่องจากประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
แต่ก็ถือว่าใช้งานได้แล้ว
วัตถุประสงค์คือการลดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติอันเป็นที่รัก
นักข่าวคนนี้รู้มากเกินไป … ขุดคุ้ยมากเกินไป … และ เห็นแก่ตัวมากเกินไป
มันไม่คิดถึงผลเสียที่จะตามมาต่อประเทศชาติ นอกจากหวังว่าข่าวมันจะขายได้
คนเรามีวิถีทางของตนเอง มีวิธีคิดของตนเอง
แต่ใช่จะหมายความว่า ตนเองเท่านั้นเป็นฝ่ายถูก และ ทุกคนเป็นฝ่ายผิด
และโครงการณ์นี้ก็ถือเป็นความลับอย่างยิ่งยวดทางความมั่นคง
หากปล่อยไว้ต่อไปเจ้านักข่าวคนนั้นคงสืบสาวติดตามการใช้งบประมาณ มาจนถึงโครงการณ์นี้เป็นแน่
โครงการณ์ซึ่งสามารถสังหารศัตรูของประเทศโดยไม่ต้องเฉียดเข้าใกล้ และ ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆแม้แต่น้อย
ข้าพเจ้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น …
หน้าที่ของทหารหาญที่ออกไปสังหารข้าศึกอันเป็นอันตรายต่อประเทศ

ข้าพเจ้ากดนิ้วหัวแม่มือเข้าที่ขมับ พยายามจะลดความเจ็บปวดของศรีษะ อันเนื่องมาจากการอดนอน
ข้าพเจ้าฝันร้ายมา สามสี่วันแล้ว
ไอ้คนชุดดำบ้าในฝันนั่นมันคือใครกันนะ
ฝันติดๆกันมาหลายครั้งแล้ว
ฝันบ้าๆ

[ยังมีต่อ]

ใส่ความเห็น