สวัสดีครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวกับเรื่องสั้นของผมด้วยนะครับ ตัวผมนั้นเขียนมาเยอะ แต่ไม่เคยเขียนนิยายวิทยาศาสตร์จริงๆจังๆคราวนี้จึงขอนำเรื่องสั้นแนวไซไฟของผมมาให้ลองติชมดูครับ
เรื่องสั้น “Lonely”
-LooKeyPeople-
“โอเคครับ ผมขอบอกเลยว่า นี่มันสุดยอดเกินที่ผมคิดไว้มากจริงๆ! ผมอยู่คนเดียวมาตลอดหลายอาทิตย์ แต่เชื่อมั๊ยผมไม่รู้สึกเหงาเลย เพราะพลังจากทุกคนช่วยให้ผมสดชื่อแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา อีกไม่นานผมจะกลับไปแน่นอนครับ ผมรับประกันได้!”
สิ้นเสียงที่บันทึกลงในอินเทอร์คอมของยาน เขาก็เดินหน้าหาจุดลงจอดที่ผิวดวงจันทร์ทันที
นี่จะเป็นวันที่จักรวาลต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อมนุษย์เพียงคนเดียวที่มีชื่อว่า “เอริค ดอว์นตั้น” นักบินอวกาศหนุ่มที่เดินทางไปดวงจันทร์ด้วยตัวคนเดียว เพื่อไปตั้งรากฐานสำหรับมนุษย์ในอนาคตเพื่อไปอาศัยบนดวงจันทร์ โดยเขาจะไปเป็น “ผู้ทดลองอาศัย” คนแรกของโลกบนดวงจันทร์
การใช้ชีวิตบนดวงจันทร์ราบรื่นดี การเป็นอยู่และอาหารต่างๆก็มีพร้อม เว้นแต่เขาต้องเจอกับท้องฟ้ามืดสนิทและไม่มี เพื่อนคุยเลยซักคน แต่เขาก็บอกเองว่าเขาไม่เหงา ทำให้ไม่มีสิทธิ์จะมาบ่นอะไรอีก จะมีสิ่งบันเทิงก็แค่เสียง ปิ๊บ ปิ๊บ จาก คอมพิวเตอร์ เพลงกับเกมแล้วก็หนังหลายๆเรื่องที่เอาติดยานมาด้วย งานของเขาก็คือการออกไปสำรวจรอบๆดวงจันทร์ว่า ที่แห่งไหนอยู่ได้ ที่แห่งนั้นมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะจะตั้งถิ่นอาศัย ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งสมองและกำลังในคราวเดียว เพราะนอกจากจะต้องแบกโน่นแบกนี่ทั้งวันแล้วยังต้องมาคำนวณพิกัดที่ตั้งและอากาศที่เหมาะสมด้วย
เอริคไม่ได้คุยกับใครแม้แต่โทรศัพท์จากครอบครัวก็ไม่มีซักสาย ตลอดหลายสัปดาห์ที่ทำงานบนดวงจันทร์นี้ เขาเองก็เบื่อเหมือนกัน แต่เพราะการที่ทำงานโดยนับวันรอจะกลับไปที่โลกทำให้กำลังใจของเขามันพุ่งขึ้นมาได้เป็นอย่างดี
จนตอนนี้เขาอยู่บนดวงจันทร์มาแล้วทั้งสิ้น 3 เดือน 25 วัน ซึ่งใกล้วันจะหมดสัญญาแล้วอีกไม่กี่วันนี้ ทำให้เอริคเปิดแชมเปญฉลองกับตัวเอง โดยเอาตุ๊กตาหมีสองตัวที่ติดยานมาด้วย (เพราะรุ่นน้องผู้หญิงของเขาให้มา) มานั่งคุยกัน
“ไงพวก! พวกนายรู้ใช่มั๊ยว่าเราเจอกับอะไรมาบ้าง พวกเราสนุกกับความเงียบงันมานานหลายเดือน ถึงฉันจะบ่นกับพวกนายไปบ้าง แต่ในที่สุดเราก็จะได้กลับไปแล้ว! ฮิปฮิปฮูเร่!!!!!!” เขาเอาแก้วของตนไปชนกับแก้วที่วางอยู่สองใบ และทำตัวร่าเริงสุดๆ ทั้งๆที่กว่าจะได้กลับก็อีกตั้งหลายวัน แต่ถ้าเทียบกับการรอคอยตลอดหลายเดือน มันก็คุ้มค่าพอตัว
หลังจากฉลองเสร็จสิ้น เอริคก็เตรียมตัวไปสำรวจดวงจันทร์อีกเหมือนเดิม โดยใส่ชุดอวกาศออกไปและคราวนี้เป็นพิกัดที่ใกล้กับฐานมาก เขาเลยเดินออกไปไม่ใช้รถ
เขาออกไปทำเหมือนเดิมคือเอาเครื่องวัดมาตราส่วนที่จะแสดงค่าเป็นพิกัดทรงกลมแผ่ออกไปเป็นวงกว้าง ปักลงไปที่พื้นและรอการคำนวนจนเสร็จสิ้น ซึ่งตรงนี้ก็เป็นมุมที่มองเห็นโลกได้ชัดพอสมควร โลกที่เห็นจากตรงนี้เป็นโลกทรงกลมดิ๊กอยู่ไกลแต่เหมือนใกล้กันเหลือเกิน เอริคคิดว่าองค์การนี้ช่างใจร้ายนักที่ไม่ยอมมองระบบติดต่อกับโลกให้เลย เพราะเห็นว่ามันแค่ไม่กี่เดือน เลยสามารถรับคำสั่งโดยตรงได้จากคอมพิวเตอร์ตัวหลักที่ฐาน เขาชมโลกและยิ้มด้วยความตื้นตันใจ และมีกำลังที่จะอยู่บนดวงจันทร์ต่อไป
เอริคมองดูอยู่อย่างนั้น จนเขาเริ่มสังเกตถึงพื้นผิวของโลกที่ดูแล้วเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติ ตรงส่วนสีฟ้าของน้ำที่ดูแล้วจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่คิดอะไรเพราะตอนนี้โลกก็ร้อนขึ้นอยู่แล้ว
แต่แล้วจู่ๆเขาก็มองเห็นรอยแยกบางอย่างที่ผิวดิน เขาจึงเข้าไปสังเกตมันอย่างใกล้ๆ
จนในที่สุด พื้นผิวทั้งหมดก็แยกออกจากกันเป็นแผ่นเล็กแผ่นน้อย!
เอริคตกใจมากและรีบเดินกลับฐานที่อยู่ใกล้แค่นิดเดียวและตั้งใจจะหาทางติดต่อกับโลก แต่ตอนนั้นเอง แผ่นดินทั้งหมดก็จมลงไปในผิวสีฟ้าของน้ำ กระแสน้ำที่เอริคเห็นก็แรงมากจนรู้สึกได้
ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ โลกก็แตกเป็นเสี่ยงๆต่อหน้าเขาทันที!!!
เอริคไม่มีเสียงอะไรออกมาจากปาก แม้ในอวกาศจะไม่มีเสียง แต่เสียงตู้มก็ดังสนั่นในหัวของเขาอย่างรุนแรง เขายืนดูสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าด้วยอาการตกใจและช็อคจนขีดสุด เขายืนดูอยู่อย่างนั้นเป็นนานหลายนาที ยืนนิ่งเหมือนกับหุ่นลองเสื้อ….ตอนนี้ความมืดและเวิ้งว้างที่มีอยู่แล้วก็ค่อยๆเข้ามาในใจของเขาเรียบร้อยแล้วในตอนนี้
______________________________________________
[ โอเคครับ ผมขอบอกเลยว่า นี่มันสุดยอดเกินที่ผมคิดไว้มากจริงๆ! ผมอยู่คนเดียวมาตลอดหลายอาทิตย์ แต่เชื่อมั๊ยผมไม่รู้สึกเหงาเลย เพราะพลังจากทุกคนช่วยให้ผมสดชื่อแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา อีกไม่นานผมจะกลับไปแน่นอนครับ ผมรับประกันได้! ]
เอริคเอาข้อความเสียงที่ตนเองบันทึกๆไว้มาฟัง เอริคนั่งอยู่ในห้องนอนของตนในฐาน เขาหยิบแชมเปญออกมากิน และนั่งอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เขาควักรูปถ่ายของเขากับพ่อแม่และน้องสาวออกมาดู และก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก….
เอริคร้องไห้หลายชั่วโมง ร้องจนแทบจะไม่มีน้ำตาเหลืออีก
เขาเดินเข้าไปในห้องเก็บอาหาร และเดินหยิบ “มีดปอกผลไม้” ที่คมมากๆมา และตั้งใจ กรีดลงไปที่ข้อมือซ้ายของเขาเอง
เอริคเฉือนลงไปที่ข้อมือ เขากดลงไปที่แผล พอเอามีดออก เลือดก็ไหลออกมาจากปากแผลเป็นทาง เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะบรรยากาศบนดวงจันทร์ทำให้แผลของเขาเปิดออกมากจนระงับอาการเจ็บปวดไม่อยู่ เขารีบวิ่งไปเอายาและผ้าปิดแผลมาปิดไว้ทันที เหงื่อของเขาไหลออกมากจนทำให้ปวดแสบปวดร้อนที่แผลมาก ความรู้สึกเหมือนโดนตัดข้อมือไปทั้งมือ
นั่นทำให้เขาเลิกคิดที่จะฆ่าตัวตาย และลองไปค้นจดหมายเสียงในคอมพิวเตอร์หลักบนฐาน เผื่อจะมีข้อความที่เขาไม่ได้อ่านบ้าง
จนเขาเจออยู่สามฉบับที่เขายังไม่ได้อ่าน ซึ่งมีทั้งข้อความแรกๆเมื่อหลายเดือนก่อนและข้อความที่พึ่งได้เมื่อไม่นานมานี้
เขาเปิดข้อความฉบับแรกฟัง
[ เอริค ดอว์นตั้น เราซาบซึ้งมากที่คุณออกไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ด้วยตัวคนเดียว มันเป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาดจริงๆเพราะนักบินอวกาศหลายคนไม่ยอมไปเพราะคิดว่ามันเสี่ยงที่จะต้องอยู่คนเดียว ผมดีใจที่คุณยอมไป ขอให้โชคดีนะพวก! ]
เอริคฟังเสร็จและยิ้มแบบสมเพชตัวเอง และเปิดข้อความฉบับที่สองฟัง
[ เอริค นี่ฉันเบิร์ทเพื่อนนายนะ ตอนนี้โลกกำลังแย่เลยมากๆเลย! พึ่งจะเกิดแผ่นดินไหวมาไม่นานก็มีสึนามิที่แถบเอเชียอีกแล้ว! ตอนนี้อากาศแย่มากๆทั้งร้้อนทั้งเหม็นชื้นเลย!…..โอ๊ะ! แย่แล้วเอริค! ตอนนี้น้ำท่วมสูงขึ้นมามากเลย! ถึงนายจะตอบกลับไม่ได้แต่ก็อยากให้รู้นะ ถ้านายทำได้มันจะมีประโยชน์ต่อมนุษย์มากที่จะอพยบไปอยู่บนนั้น ขอให้สำเร็จเพื่อนรัก! แล้วเราจะรอนะ! ]
เอริคฟังแล้ว รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิมซะอีก เขาคิดว่าถ้าเขากลับไปเร็วกว่านี้ ทุกคนอาจจะมีโอกาสได้มานั่งกันอยู่ตรงนี้
เอริคจึงเปิดฉบับสุดท้ายทันที
[ สวัสดีค่ะพี่! นี่ฉันเอเลน่านะ ]
มันคือข้อความที่เอเลน่า ดอว์นตั้น น้องสาวของเขาส่งมา ทำให้เอริคตั้งในฟังมาก
[ …ตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่ทำอะไรอยู่ แต่ฉันอยากให้พี่รู้ว่า….พ่อกับแม่..ไม่อยู่แล้วนะ ]
และเสียงของเอเลน่าก็สะอื้นออกมาอย่างแรงจนแทบจะพูดไม่เป็นคำ
[ พวกท่านโดนตึกที่ถล่มลงมาทับ…ฉันมากับทีมกู้ภัยไม่มีเวลาไปหาศพมา ตอนนี้ฉันอยู่ในเรือดำน้ำใหญ่มาก มีคนเยอะแอร์อัดเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงอีก แต่ฉันว่าโลกคงอยู่ได้อีกไม่นาน….ฉันเลยอยากให้พี่รู้ว่า พ่อ แม่ ฉัน เพื่อนของพี่…รักและเป็นห่วงพี่เสมอนะคะ…..ข้าแด่พระองค์ ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันบนสรวงสรรค์….. ]
และหลังจากนั้นเสียงก็ขาดหายไปทันที
เอริคฟังและน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง เขาฟุบลงไปและนั่งสะอื้นอยู่ตรงนั้น….
ทำไมองค์การถึงไม่ติดระบบสื่อสารมากับยานด้วย?
ทำไมเขาถึงตกลงมาทำภารกิจนี้คนเดียว?
ทำไมโลกต้องถึงวาระสุดท้ายในตอนนี้?
คำว่า ทำไม ทำไม และ ทำไม ผุดขึ้นมาเป็นสิบเป็นร้อยประโยคคำถามในหัวของเอริค เขากลัวว่าเขาคงเป็นบ้าแน่ถ้ายังทำแบบนี้อยู่ เขาจึงเลิกคิดและลองค้นทุกข้อมูลที่มีในคอมพิวเตอร์ และลองดูพวกไฟล์รูปภาพเก่าๆ หนังที่ลงเอาไว้ และไปเจอบรรดาหนังไซไฟที่เขาชอบดู มีทั้ง สตาร์วอร์ส สตาร์เทร็ค ซีรีย์อิเอ็กส์ไฟล์ส เอริค เป็นคนที่ชอบหนังไซไฟมาก เขาสนใจเรื่องอวกาศ มนุษย์ต่างดาว ยานอวกาศ มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ทำให้เขาตั้งใจเรียนและดั้นด้นจนมาทำงานเป็นนักบินอวกาศได้สำเร็จ
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงมาทำงานนี้
ด้วยเหตุนั้นเอง ทำให้เขามีความคิดบ้าๆอย่างหนึ่งว่า
ถ้าเขาเลิกคิดฆ่าตัวตาย และออกไปจากดวงจันทร์นี่ล่ะ….ถ้าเขาหลุดออกไปจนสุดจักรวาล เขาจะเจออะไรบ้างมั๊ยนะ?
เอริคเดินไปยังฐานเก็บ “ยานกู้ชีพ” และ “ยานสำหรับเดินทางไกล” ทั้งสองลำสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดเป็นสิ่งสุดท้ายของโลก เขาลองไปตรวจพลังงานที่ต้องใช้ในของยาน ปรากฏมันถูกสร้างขึ้นด้วยพลังงานแบบเดียวกับดวงอาทิตย์ที่สามารถสร้างพลังงานขึ้นมาเองได้ตลอดเวลา เอริคคาดว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาด พลังงานที่จะใช้ในยานทั้งสองนี้สามารถอยู่ได้ถึงห้าสิบปีเลยทีเดียว มันสามารถพาเขาไปไกลมากๆจนไม่สามารถคาดเดาได้….
เอริคเก็บของทุกอย่างยัดลงไปในยาน ทั้งเสบียงทั้งหมดก็เอาไปไว้ในยานหมดทุกอย่าง แป๊บเดียวฐานทั้งฐานก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เอริคเตรียมตัวเปิดพลังงานเร่งจนสุดพลังของยาน และเข้าไปนั่งในค๊อกพิตของยาน เตรียมตัวออกเดินทางจากฐาน ซึ่งเอริค ได้ติดตั้งระบบปิดตัวเองของฐานไว้แล้ว เมื่อยานออกจากฐาน ทุกอย่างจะหมดพลังและรวมกันที่ยานลำนี้ลำเดียวทันที
ตอนนี้สีหน้าของเอริคจากที่สลดหดหู่ตาบวม กลายเป็นสีหน้าที่สดใส มุ่งมั่น และเต็มเปี่ยมด้วยแรงใจ และหลังจากนั้นยานก็ออกจากฐานอย่างเต็มกำลัง พุ่งตรงออกไปจากพื้นผิวดวงจันทร์ขึ้นสูงลิบ และกำลังจะหลุดวงโคจรดวงจันทร์ในไม่ช้า
เอริคเอาเวเฟอร์กับน้ำอัดลมออกมากิน เอาเครื่องเล่น MP3 ออกมาเปิดเพลง “Accross The Universe” ของ The Beatles มาฟังอย่างชิวๆ และเปิดเครื่องบันทึกข้อความเสียงพร้อมกับบันทึกวิดีโอไปพร้อมกัน และตั้งระบบเป็นการส่งสัญญาณออกไปนอกตัวยานแบบสุ่ม ซึ่งมันจะไปติดที่สัญญาณวิทยุอะไรก็ได้ในตอนนี้….
“สวัสดีครับ ทุกคนที่อยู่ในจักรวาลแห่งนี้ ผม เอริค ดอว์นตั้น นักบินอวกาศประจำดาวโลก ถ้าใครติดตามข่าวมันก็คือ ดาวที่พึ่งแตกสลายไปนั่นแหละครับ ก็ไม่มีอะไรมากนะครับ เพราะยังไงผมว่าดาวอื่นก็คงฟังภาษาอังกฤษไม่ออก…เอาเป็น ตอนนี้ผมว่างสุดๆไม่มีอะไรทำเลยครับ บ้านก็ไม่มีแล้วด้วย ถ้าดาวดวงไหนที่ผมเจอและไปลงจอดเป็นที่แรก…ก็ขออาหาร ต้อนรับดีๆละกันนะครับ แล้วเจอกันครับผม!”
เอริคปิดเครื่องบันทึก และนั่งฮัมเพลงไปเรื่อย ในที่สุดเขาก็หนีไม่พ้นที่ต้องทำภารกิจที่ต้องทำคนเดียวอีกครั้ง เพียงแต่ภารกิจคราวนี้ไม่ใช่คำสั่งจากใคร แถมตอนนี้เขายังรู้สึกสดชื่นเต็มเปี่ยมอีกต่างหาก…..
[The End.]
ขออนุญาตใส่ tag more และจัดการขึ้นบรรทัดใหม่บางส่วนนะครับ
ครับผม
ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ล่าช้าไปหน่อย
อาทิตย์ที่แล้วติดภาระกิจ และผมเป็นพวก ย่อยช้า อ่ะครับ
เข้าเรื่องเลยละกัน
เรื่องเกี่ยวกับ มหาภัย แต่งานนนี้ เน้นไปที่ผู้ประสบเหตุที่โดดเดี่ยวอยู่นอกเหตุการณ์
เนื่องจากไม่ได้เน้นไปที่ เหตุ หรือ วิธีการเอาชีวิตรอด แต่เน้นไปที่ อารมณ์ของผู้ประสบเหตุเป็นหลัก
ผมแยก comment ออกเป็นสองเรื่องนะครับ คือ ในเชิง วิทยาศาสตร์ กับในเชิงเรื่องสั้น
ในเชิงวิทยาศาสตร์ ผมติดอยู่ ๔ ประเด็นนะครับ
๑. เวลาเกิดการล่มสลายของดวงดาวในลักษณะของการแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย(ผมไม่แน่ใจว่าผู้เขียนตั้งจะบอกว่า แต่กออกมาเป็นชิ้นๆ หรือ ผิวพื้นดิน แยกออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย)
คือ หาก ดาว แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ นั่นคือการระเบิดในระดับแกน หรือ มีการพุ่งชนปะทะ
ตรงนี้มันเลยรู้สึกแปลกๆเพราะผู้เขียนไม่ได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น กรณีเกิดระเบิด ผลกระทบต่อ ดวงจันทร์ จะเป็นเช่นไร เศษชิ้นส่วน จะพุ่งมาหรือไม่?
แต่ก็เข้าใจว่า นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักของผู้เขียน เพียงแต่ว่า เรื่องเขียนที่สร้างคำถามต่อผู้อ่าน จะทำให้ผู้อ่าน สะดุด และ เกิดความไม่แน่ใจ(เชื่อ)ในเรื่อง นะครับ
๒. การสำรวจดวงจันทร์ เพื่อการอยู่อาศัย คงเป็น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ (ความลาดชัน) แต่โดยความรู้สึกของผม ถ้าต้องการพื้นที่ตั้ง camp มันไม่ต้องสำรวจครับ มันตั้งได้เลย เพราะปัญหาการดำรงชีพในต่างดาว คือ อากาศ และ อาหาร(รวมถึงน้ำ) ครับ ซึ่งมันต้องถูกสร้างขึ้น(ไม่ใช่ขนขึ้นไป) ฉะนั้น วิธีการสร้าง น้ำ อาหาร และ อากาศ (หรือ re-cycle) จึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ครับ
๓. บรรยากาศในที่พัก ก็คือ บรรยากาศบนโลกนั่นล่ะครับ ฉะนั้น มันไม่มีผลต่อบาดแผล ครับ นอกจาก จะอยู่ในสภาพเปิดนอกที่พัก (ซึ่งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าจะฆ่าตัวตายในอวกาศ คนเราจะเลือกวิธีไหน)
๔. การเดินทางสำราจ ผมมองว่า พลังงาน ไม่สำคัญเท่า อากาศ และ อาหาร ซึ่งผู้เขียนไม่ได้อธิบายว่ามีการเตรียมการอย่างไร หรือ re-cycle กันอย่างไร (เช่นเดียวกับข้อ ๒)
ส่วนในประเด็นของเรื่องสั้นนะครับ
ประเด็นหลักเลยคือ ช่วงเวลาจากการสิ้นหวังจนถึงการเกิดความหวังใหม่
มันสั้นไปครับ
ผู้เขียนสามารถทิ้งการนั่งซึมเป็น ปีๆ ได้ด้วยอักษรเพียงสองสามบรรทัด แต่น่าจะให้การเชื่อมต่อทางอารมณ์ที่ดีกว่า ครับ
งานเขียนซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นการให้ความหวัง
ซึ่งดีครับ (โดยส่วนตัวชอบงาน positive thinking) เพียงขาดหมัด knock หนักๆในตอนท้ายเท่านั้น
ครับ
ขอบคุณครับ ในฐานะนักเขียนสมัครเล่น รู้สึกว่าการคิดแบบไซไฟ มันยากจริงๆแฮะ เพราะปัญหาส่วนตัวของผมคือ ผมมักจะคิดว่าถ้าโลกเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ดวงจันทร์บริวารมันก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่นะ หรือบางทีก็อาจจะเป็นอะไรไปหลังจากนี้ก็ได้ และภายในบรรยากาศของที่พักที่มันควรจะมีแรงโน้มถ่วงต่ำ มันจะมีผลต่อของเหลวในร่างกายเรามั๊ย? แล้วก็พลังงานที่จะใช้เดินทางรอบจักรวาลนั้นผมว่ามันน่าจะสำคัญ พอๆกับเสบียงที่มี คือผมคงคิดอะไรให้มันเยอะเกินไปนั่นแหละ ผมคงพลาดตรงนี้มั้ง ขอบคุณครับสำหรับคอมเมนต์ดีๆ เป็นประโยชน์กับคนพึ่งจะเริ่มต้นการเขียนจริงๆจังๆอย่างผมมากๆเลยครับ
“หากโลกเกิดอะไรขึ้น ดวงจันทร์บริวารมันก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่”
ขึ้นอยู่กับ ความเสียหายของโลก ครับ
ถ้าเป็นภาวะโลกร้อน เกิดแผนดินไหวรุนแรง(แผ่นดินแยกเกิดทวีปใหม่ หรือ แผ่นดินจมลงในน้ำทั้งหมด) หรือการเข้าสู้ยุคน้ำแข็ง ซึ่งมวลของโลกไม่มีการเปลี่ยนแปลง(มากนัก) (น่า)จะไม่มีผลต่อดวงจันทร์ ครับ
แต่กรณีแตกเป็นเสี่ยงๆ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มวลมันเปลี่ยนครับ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีผลอะไรกับดวงจันทร์ หรือเปล่า? แต่น่าจะมีไม่มากก็น้อย เช่นแนวโคจร, การพุ่งชนของเศษโลก, ผลกระทบจากมวลอากาศของโลก, ฯลฯ ครับ
กรณี บรรยากาศ และ แรงโน้มถ่วง ที่มีผลต่อบาดแผล หรือไม่?
พอบอกว่าเป็น”บรรยากาศ” ผมมองเป็นเรื่องความดัน ครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น เพื่อให้อยู่ในสภาพที่ผู้อยู่อาศัยน่าจะสบายที่สุด นั่นคือใกล้เคียงกับผิวโลกนั่นเอง
ส่วนแรงโน้มถ่วงต่ำกว่าโลกถูกต้องแล้วครับ แต่ผมนึกไม่ออกว่าจะมีผลต่อบาดแผลอย่างไร เลือดอาจจะหยดลงบนพื้นช้าลง แต่ไม่น่าจะเกี่ยวกับสภาพของบาดแผล ครับ
จริงๆ พลังงาน กับ เสบียง อาจจะสำคัญพอๆกัน
แต่พอเลือกที่จะพูดถึงพลังงาน แต่ไม่พูดถึงเสบียง ผมก็เลยสะดุด ครับ
ฉะนั้น ผมกลับไม่ได้มองว่า “เยอะเกินไป” แต่น่าจะ “ไม่ครอบคลุมเพียงพอ” มากกว่ามั้งครับ
แต่โดยรวม ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วครับ
ขออุนญาต (โดยไม่รอให้อนุญาต) ให้ผมได้ลองตั้งข้อสังเกตุในบางอย่าง บางประโยคที่เป็นส่วนเกินของเรื่อง อาจทำให้เรื่องมีจุดบกพร่อง หรือสิ่งอื่นๆที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ
“สิ้นเสียงที่บันทึกลงในอินเทอร์คอมของยาน” ปกติเขาจะไม่นิยมบันทึกเสียงลงในอินเตอร์คอมนะครับ มันเป็นเครื่องมือสื่อสาร ไว้เรียกขานกันในยาน วรรคนี้เราไม่ต้องบอกก็ได้ว่าบันทึกเสียงลงในอะไร แค่บันทึกเสียงเก็บไว้เฉยๆคนอ่านก็เข้าใจได้
“สิ่งบันเทิงก็แค่เสียง ปิ๊บ ปิ๊บ จาก คอมพิวเตอร์” คอม ยุคนั้นมันไม่นาจะส่งเสียงแบบนั้นแล้ว มันเป็นภาพพจน์จากหนังเก่าๆที่คอมฯต้องมีเสียงอะไรสักอย่าง
“เพลงกับเกมแล้วก็หนังหลายๆเรื่องที่เอาติดยานมาด้วย ” วรรคนี้อ่านแล้วมันชวนให้คิดว่าขนแผ่นหรือเทปเอามาเป็นกล่อง ๆลังๆ ทั้งที่มันน่าจะบันทึกลงในคอม ในฮาร์ดดิส
“ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเพราะบรรยากาศบนดวงจันทร์ทำให้แผลของเขาเปิดออกมาก”
1-เขาไปแทงแขนตัวเอง ในหรือนอกที่พักครับ เพราะในที่พักต้องปรับความดันถึงจะมีบรรยากาศ แรงดึงดูดก็ไม่เกี่ยวของกับการฉีกกว้างของแผล
2-เฉือดแขนที่ดาวไหนก็ตาม แผลเปิดจากมีดก็ร้องทั้งนั้นแหละครับ และตอนนั้นเหงื่อไม่มีผลแล้วครับ เพราะเจ็บแสบจากเส้นประสาทฉีกขาดเรื่องใหญ่กว่า เหลือเป็นเจ๊บปวดจนส่งเสียงร้องเพราะแผลจากมีดก็พอ
“เอริคไม่ได้คุยกับใครแม้แต่โทรศัพท์จากครอบครัวก็ไม่มีซักสาย”
“องค์การนี้ช่างใจร้ายนักที่ไม่ยอมมองระบบติดต่อกับโลกให้เลย” เครื่องบิน เรือ รถบรรทุก บนโลก
ก็ต้องมีระบบวิทยุทั้งนั้นครับ ไปไกลขนาดนั้นไม่มีวิทยุ แล้วทางต้นสังกัดจะทราบได้อย่างไรว่างานสำเร็จ ลงทุนส่งนักบินไม่ใช่เงินน้อยๆ ตรงนี้ตรรกะ ผิด ไม่งั้นต้องอธิบายว่าส่งข้อความทางเดียวเข้าคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร
“ตอนนี้ฉันอยู่ในเรือดำน้ำใหญ่มาก” น้องสาวมีอุปกรณ์ ฝากข้อความติดต่อมาดวงจันทร์ ในยามฉุกเฉิน?
“เอริคเดินไปยังฐานเก็บ “ยานกู้ชีพ” และ “ยานสำหรับเดินทางไกล” ทั้งสองลำสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดเป็นสิ่งสุดท้ายของโลก” ยานนี้ขนาดไม่เล็กแน่ๆ ต้องมีทีมขึ้นมาสร้างฐาน อยู่อาศัยกันเป็นปีๆ ไม่ต้องส่งพระเอกมาทดลองอีกก็ได้ ที่น่าสนใจคือคนสร้างฐานเสร็จแล้วกลับโลกไปหมดเลยดื้อๆ ? น่าจะลองเล่าว่าใช้หุ่นยนต์สร้าฐาน และดูแลฐานดู พระเอกก็จะได้มีเพื่อน
ครับ เหล่านี้เป็นจุดที่คนอ่าน อ่านแล้วจะรู้สึกว่ามันแปลกๆ น่าจะลองแก้ไขใหม่ดูครับ
คอนเซ็ป หรือ แนวคิดของเรื่องดีครับ ไม่ต้องทิ้งเรื่องเดิมนะครับ แต่ลองปรับปรุงดู ซึ่งนักเขียนเก่งๆหลายท่านก็ต้องทำอย่างนี้ เอาเรื่องไปให้บรรณาธิการวิจารณ์แล้วนำเรื่องเดิมมาปรับใหม่
เอาเรื่องที่แก้แล้วมาให้พวกเราดูอีกครั้งนะครับ
นัยpommm
ผมชอบพล็อตเรื่องนี้นะ สร้างพล็อตได้แปลกและน่าสนใจมาก
บรรยากาศของเนื้อเรื่องตอนแรก ๆ ทำให้คิดถึงหนังเรื่อง moon (ปี 2009) ขึ้นมาทันที
http://www.imdb.com/title/tt1182345/
(หมายเหตุ หนังดี ดูสนุก เป็น sci-fi ที่ดูแล้วชวนให้คิดตามดีครับ)
พระเอกต้องขึ้ไนปทำงานคนเดียวบนดวงจันทร์ คล้ายกับในเรื่องนี้เลย
ผมชอบเรื่องที่เล่นกับอารมณ์แบบนี้ครับ ดูมันหม่นหมองดี
ประเด็นเรื่องหลักการทางวิทยาศาสตร์นั้นหลายท่านพูดถึงไปแล้ว
อยากให้ดึงดูดผู้อ่านให้คล้อยตามไปอีกสักนิดครับ จะทำให้ “ได้อารมณ์” ขึ้นอีกมาก
ประเด็นการเดินทางในอวกาศ ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวนักผมแนะนำให้อ่านเรื่องนี้ครับ
http://thaiscifi.izzisoft.com/?p=261
อัลฟา โอเมก้า ไล่ล่าหาความตาย โดยคุณ เชษฐา สุวรรณสา
เป็นรวมเรื่องสั้นที่ีมีหลายเรื่องพูดถึงการเดินทางในอวกาศแบบตัวคนเดียว
ซึ่งเขียนแล้วได้ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวดีครับ
โดยรวมเห็นด้วยกับ ท่านนิราจ ครับ เรื่องเทคนิคทางวิทยาศาสตร์นี้เป็นปัญหากับนักเขียนเสมอ ของผมก็เป็นครับ เสริมอีกนิดหนึ่งคือมีการทดลองใช้ลมสุริยะในการพัดให้ยานอวกาศเดินทางในอวกาศเป็นการประหยัดพลังงาน เพราะไม่ต้องนำแหล่งพลังงานติดตัวไปด้วย
ท่านหมอชีวาโก้ทำให้ผมคิดถึงท่านเชษฐาตะหงิดๆครับ