บันทึกผจญภัยผลึกสีชาด ตอนที่ 3 โรงเรียนม.ต้นหลังขอบฟ้า (แก้ไข)

อาทิตย์ลับฟ้าท้องฟ้าโปร่งแลเห็นจันทราเยือกแข็งสีฟ้าครามเริงร่า เจิดจรัสเคียงข้างเหล่าสหายดาวดวงน้อยนับไม่ถ้วนบนม่านนภายามราตรี

บนถนนคอนกรีตสายนึงป้ายดิจิตอลข้างทางกำกับข้อความ  “ ถนนหลวง 907 ”  ปะปนไปกับป้ายบอกทางอื่น ลุงวาชิลลี่บิดมอไซต์ต้านแรงโน้มถ่วงลอยเหนือพื้น คันเดิมเปิดไฟหน้าสว่างจ้า แถบพลังงานวงล้อสีเหลืองเห็นเด่นชัดในบรรยากาศมืดเช่นนี้

ลอร่า นั่งซ้อนท้ายเกาะเอวแกเด็กหนุ่มนั่งบนเก้าอี้พิเศษพ่วงเข้ากับท้ายมอไซต์วาง ร่างไร้สติของสุนัขจรจัดตัวนั้นที่ตัก ตั้งปืนยาสลบไว้ข้างกาย ทั้งสามสวมหมวกกันน็อคและแว่นกันลม ทำจากพลาสติคแบบพิเศษที่เบาแต่ทนทานสูง บัดนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าค่ายทหารสถานแห่งความเหนื่อยยาก เข้มงวด แต่สำหรับพวกเขามันคือบ้านอันแสนสุขพักพิงมาตลอด 13 ปี

เด็กหนุ่มซดข้าวที่ชาวบ้านเลี้ยงไปประมาณ 3 จานอย่างตะกระตะกราม อิ่มแปร้พุงออก เขา นั่งพาดแขนขวาบนเบาะที่นั่ง มองวิวข้างทางที่ผ่านไปเข้ามาแล้วลับตาในพริบตา ดังเส้นทางชีวิตที่ก้าวไปแล้วไม่มีหวนกลับมาได้  ต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า รถยนต์ลอยเหนือพื้นแบบ สี่ที่นั่งวิ่งสวนทางมาคันแล้วคันเล่า ทุกคันล้วนมีแถบวงล้อพลังงานเรืองแสงหลากสีแวววาวเข้าตา

มองบนฟ้ายานอวกาศบินผ่านชั้นบรรยากาศมามุ่งหน้าเข้าตัวเมืองเป็นระยะจะมี เพียงพระจันทร์และหมู่ดาวเท่านั้นที่ไล่พวกเขาไปทุกที่

พอมองยานหลายลำชวนให้เด็กหนุ่มคิด

               ยานขนส่งมวลชนของอาณาจักรละมั้ง ได้ข่าวว่าตอนนี้ดาวเราคนเที่ยวบูม เพราะอุดมสมบูรณ์อากาศอบอุ่นตลอดปี ใครๆก็ขนานดาวนี่ว่าสวนสวรรค์ พลางนั่งรับลมเพลินอารมณ์มือซ้ายพลางลูบขนสีน้ำตาล สลับลายดำปุกปุย บางเส้นแข็งกระด้างเพราะถูกเศษดินโคลนเกาะอย่างเพลิดเพลิน  ท้องของมันพองยุบตามจังหวะหายใจ

        คงกินเวลาอีกสักพักกว่ามันจะฟื้นขึ้นมาโดนยาขนานแรงซะขนาดนั้น เด็กหนุ่มองมันอย่างเอ็นดู ระหว่างนั้นเกิดคันจมูกขึ้นมาใช้มือข้างที่ลูบสอดเข้ารูจมูก

อื้อหือ กลิ่น สาบดินโคลนปนกับน้ำลายเหม็นคาวผสมผสานกับกลิ่นธรรมชาติมากมายโชยเข้าจมูกชวน ให้คลื่นไส้จนต้องพ่นลมออกจากจมูกเพื่อกำจัดสัมผัสกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ ค้างคาในรูจมูก

ดูท่าแก ไม่เคยอาบน้ำละสิท่า เป็นหมานี่ก็ดีนะแค่เลียตัวไปมาก็สบายตัวแล้ว  ……..   ระหว่างที่คิดแล้วมองหน้าจมูกแหลมของเจ้าตูบสลับกับมองแขนตัวเองสักพัก นึกสนุกแลบลิ้นไปเลีย ทำความสะอาดหัวไหล่เล่นแต่แค่เพียงปลายลิ้นสัมผัสก็ต้องล้มเลิกไปเนื่องจากรสชาติแสนจะทนทาน

ลอร่าได้ยินเสียงแปลกเหลียวหน้ามามองเห็นเพื่อนแต่เด็กทำกิริยาผิดมนุษมาสีหน้าเธอแหยโดยพลัน เสียงนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตัวดึงสติกลับมาจากโลกส่วนตัวเกาหัวหัวเราะกลบเกลื่อน แม้กระนั้นลอร่ายังคงหยอกล้อเขาว่าเลียนแบบสุนัข ลุงวาชิลลี่ได้ยินจึงเสริมมุขต่อ

“ ไม่เห็นต้องแปลกใจลอร่า  หมอนั่นมันซกมกเหมือนหมาอยู่แล้วนิ  ” วาชิลลี่พูดลอยๆขึ้นมา ไม่เหลียวหน้าหันมาพูดเนื่องจากกำลังขับรถมอไซต์อยู่ ลอร่าเอาศอกจิ้มหลังเขาพลางอมยิ้ม

“ พ่อนี่ก็ ปากเสียเหมือนเดิมเลยนะ ถ้าอยู่ต่อหน้าลุงแซนจะกล้าพูดงี้ไหมค่ะ  ”
“กล้าดิ ข้าคบพ่อเจ้านั่นมาตั้งแต่มันยังเป็นพลทหารจนมันขึ้นเป็นผู้พัน เอามั้ยละ พรุ่งนี้พ่อจะพูดงี้ให้พ่อมันฟัง ฮะๆ  ”

เด็กสาวได้ยินเช่นนั้นหันมายิ้มให้ราเอลแวบนึง ก่อนจะซบหลังพ่อของเธอ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า

เด็กหนุ่มนั่งดูภาพนั้นอยู่เบื้องหลังอมยิ้มอย่างสบายใจ  บรรยากาศครอบครัวที่คุ้นเคยแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ลุงวาชิลลี่เป็นพวกปากร้ายใจดี ถึงลูกถึงคนบ้าบอแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

            หึ ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดไปก็ไม่เลวนักหรอก เรียนหนังสือ ฝึกฝน ออกไปทำภารกิจเล็กๆน้อย แล้วคุยกันระหว่างทาง ราเอลเท้าคาง ยิ้มเล็กๆขณะคิด

“หาว ! ” อาการหนังท้องตึงหนังตาหย่อนมาเยือนเด็กหนุ่มอ้าปากหาวจนน้ำตาเล็ดออกมาก่อนจะฟุ่บหลับไปกับเบาะเข้าสู่ห้วงนิทราตามลอร่าไป

“ หึหึ ” ลุงวาชิลลี่เห็นเด็กทั้งสองหลับปุ๋ยไป ก็หัวเราะในคออย่างเอ็นดู มือบิดมอไซต์  มุ่งหน้าสู่บ้านอันแสนสุข ตามถนนยามค่ำคืนต่อไป

………………………………………………..      30 นาทีต่อมา ………………………………………..
ณ ประตูทางเข้าค่ายทหาร

กำแพง เหล็กกล้าสีเทาดำ สูงประมาณตึก 2 ชั้น ตะหง่านอยู่เบื้องหน้า บางจุดมีหอคอยสังเกตุการณ์ ทุกหอล้วนมีสปอร์ตไลท์ส่องสว่าง ตรวจตราบริเวณรอบๆ

ทหารยามแรนเจอร์ใส่เสื้อเกราะเบากับหมวกกันน็อค ทหาร ติดอาวุธ อาร์คไรเฟิล (Arc Pulse Rifle ) เดิน ลาดตระเวนตามกำแพง บางคนเดินเต๊ะท่าทหารองอาจ บ้างพูดคุยกับเพื่อนของตนบ้างสูบบุหรี่บรรเทาความหนาวเหน็บของลมหนาวยามค่ำ คืน  บ้างบิดขี้เกียจ บางคนก็หยิบกล้องมาส่องดาวบนท้องฟ้า

ลุงจอดจักรยานยนต์จอดเบื้องหน้าประตูเหล็กบานใหญ่สูงประมาณ 2.5 เมตรก่อนจะบีบแตรเรียกให้ทหารที่เข้าเวรอยู่เปิดประตูให้หลังจากเข้าไปบาน ประตูเลื่อนปิดลงดังเดิม

ภาย ในค่ายทหารเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างมากมายทั้ง หอพัก สถานีฝึกต่างทุกรูปแบบตั้งแต่ต่อสู้ระยะประชิดถึงขั้นระดับต่อต้านการจู่โจม จากอวกาศ โรงอาหาร โรงฝึกสุนัขสงคราม คลังแสงเป็นต้นห้อมล้อมลานกว้างรูปวงรีสำหรับวิ่งออกกำลังกายอยู่

ลุงวาชิลลี่ขับไปส่งราเอลถึงหน้าบ้าน พอร่ำลากันเสร็จลุงแกก็ขับยาวไปยังหอพักส่วนตัวของแก

สองพ่อลูกลับตาไป เด็กหนุ่มหันไปมองบ้านของตนแบกร่างสุนัขบนบ่าซ้าย ฝากปืนยาสลบเก่ากึกให้ลุงวาชิลลี่เก็บเข้าคลังแสงเอง  บ้านของเขานั่นทำมาจากเหล็กอะลูมิเนียมสีเหลือง  ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแต่หลังคาทรงฝาชีครอบ สูงสองชั้น ชั้นนึงเนื้อที่ประมาณ 6 ห้อง  ประตูเข้าบ้านเป็นประตูไม้กลอนธรรมดามีกริ่งอยู่ข้างบานประตูสำหรับแขกผู้มาเยือน เด็กหนุ่มมองประตูบ้านก็ทำหน้าเซ็งส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ
“ ถึงบ้านซะที คืนนี้อาบน้ำเสร็จ อ่านการ์ตูนสักเล่มแล้วนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนม.ต้นวันแรกแล้วนิว่า ขี้เกียจชะมัดยาดเลย  ”   ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินนั่นเอง

พริบตานั้นเองเขารู้สึกว่าอะไรบางเข้ามาทางด้านหลัง จึงรีบสไลด์ไปข้างหน้าแล้วหมุนตัวกลับมามอง

ชายรูปร่างสันทัด ค่อนข้างเจ้าเนื้อ ผมทอง หัวเกรียนเกือบติดหนังหัว สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเขียว กางเกงคอมแบตลายพราง รองเท้าคอมแบตกำลังยืนยิ้มเท้าสะเอวให้

“ แหมๆ กะตบไหล่ทักทายหน่อยเดียว ไวเป็นปรอทเลยนะไอ้น้อง  ! ”

เขาคือพลทหารจอห์นนี่ เรียกสั้นๆว่า “ จอห์น ”  หนึ่ง ในทหารชั้นผู้น้อยคนสนิทของพ่อราเอล เขามักจะได้รับมอบหมายหน้าที่จิปาถะทั่วไป ตอนที่พ่อเขาไม่ว่างจอห์นจะเป็นสอนราเอลเรื่องปืนและกลยุทธทหารแบบเบื้องต้น เป็นพี่ทหารในค่ายที่ราเอลสนิทด้วยที่สุดแล้ว

จอห์นยิ้มแย้มจะเดินเข้ามาตบไหล่เด็กหนุ่ม
“ ธรรมดาบ้านแก คนอื่นไม่มีใครเขาประสาทไวยังกับปรอทเหมือนเอ็งหรอก อ้าวหมาตัวนั้น ”   พลันเห็นสุนัขบนบ่าราเอลนึกสงสัยเลยชี้ถาม

เด็กหนุ่มหันไปมองมันแวบนึงแล้วมองหน้าพี่จอห์นต่อ
“ อ๋อ มันไล่ขโมยไก่ จนชาวบ้านเขาร้องเรียนมา พ่อเลยให้ผมไปจับมันน่ะ ”

จอห์นเดินเข้ามาตบไหล่เด็กหนุ่มแสดงความชื่นชมผ่านสีหน้าอย่างชัดเจน
“ โห สมกับเป็นลูกพันตรีนรก พันธุ์นั่นนะมันระดับหมาสงครามนะ ขึ้นชื่อเรื่องฝีเท้าอันว่องไวและความซื่อสัตย์  หากไม่แม่นจริงสอยไม่ได้หรอก”

เด็กหนุ่มกลัวเสียฟอร์มว่าแท้ที่จริงตัวเองมอมยามันแต่อีกใจไม่อยากจะโกหกเลยตอบครึ่งๆกลางๆไป
“เอ่อ ผมใช้วิธีอะไรนิดหน่อยอ่ะนะ ฮะ ฮะ เอ่อพี่ แน่จริง พี่ลองไปเรียกฉายาพันตรีนรกต่อหน้าพ่อดิ ผมท้าเลย ถ้าพี่กล้านะผมให้พี่เลย 100 มาร์เลย (ค่าเงินของอาณาจักร) ”

“ ฮ่า ๆ ใครจะกล้าฟะ โดนแดกตายแน่ เออ ไปละ เดี๋ยวเจอกัน” สิ้นคำหยอกล้อทั้งคู่โบกมือลาก่อนหันหลังให้กัน แยกไปตามทางของตน  ราเอลเดินไปยังหน้าประตูบ้าน เอามือเคาะกลไกบางอย่างบนบานประตูประมาณห้าที
บานประตูฉายแสงสีฟ้าออกมาแสกนสรีระของราเอลประมาณสามวินาที พอยืนยันได้ว่าเจ้าของบ้านตัวจริงเสียงจริงอยู่หน้าบ้าน

“  ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ๊ะ ราเอล ”  ระบบประตูได้เล่นเสียงบันทึกออกมา แสงแสกนนั่นดับลงไปโดยพลัน  ไม่รอช้าเขาหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป ถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นรองเท้า  ไฟทางเดินสว่างขึ้นอัตโนมัติ

ชั้น 1 ประกอบด้วย ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ห้องเก็บของ และ ห้องทำงานส่วนตัวของพ่อที่กินเนื้อที่ไป 2 ห้องที่ถูกพ่อย้ำเสมอว่าห้ามเข้าห้องนี้ก่อนได้รับอนุญาติ

ทั             นใดนั้นเองมีเสียงฝีเท้าเบารัวดังมาจากในบ้าน ค่อยๆประชั้นชิดเข้ามา
“ กลับมาแล้วเหรอฮับ นาย  ”   หุ่นยนต์สุนัขตัวเหล็กร่างเล็กประมาณลูกหมากำลังโต วิ่งหน้าตั้งหางดิกออกมา พูดน้ำเสียงไร้เส้นเสียงแบบจักรกลแอ๊บแบ๊ว เข้ามาเคลียคลอ

เด็กหนุ่มเองก้มตัวเอานิ้วไปเกาคางมันสามทีอย่างเอ็นดูแล้วเดินเข้าห้องครัว ภายในมีเครื่องทำครัว ตู้เย็น อ่างล้างจาน และ โต๊ะกินข้าวพร้อมเก้าอี้ 4 ตัวแล้ววางร่างสุนัขกับพื้น เดินไปล้างมือที่อ่างล้างจานบิดไหล่ข้างนั้นด้วยความเมื่อยล้าจากการแบกสุนัขมาตลอด

ระหว่างที่ล้างมือ ฟอกสบู่อยู่นั้นเอง เจ้าสุนัขจรจัดนั่นเริ่มรู้สึกตัวม่านตาหรี่ขึ้นมาหน่อย ขยับหัวไปมาส่วนเจ้าบ๊อบบี้เข้าไปดม แล้วยิงแสงสีแดงออกจากเบ้าตาเพื่อแสกนสรีระ พอเเจ้าสุนัขจรจัดเห็นแสงประหลาดเข้า เกิดความระแวงขึ้นมา แยกเขี้ยว ส่งเสียงขู่ พยายามจะพยุงตัวขึ้นมา ทว่ายาสลบยังไม่หมดฤทธิ์ดีเลยยืนเซทั้งล้มทั้งยืน
เด็กหนุ่มเห็นท่าไม่ดีรีบวิ่งมาปัดบ๊อบบี้กระเด็น แล้วกอดเจ้าสุนัขตัวนั้น พลางลูบหัว กล่าวปลอบโยนมัน

“ ใจเย็นๆ น่า  ใจเย็น ๆ ไม่มีอะไรต้องกังวลนะ ”  เจ้าตูบโดนลูบหัวก็หลับตาลงด้วยความเคลิบเคลิ้ม สงบท่าทีลง ระหว่าง นั้นเองเสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้นมา ตามด้วยเสียงย่ำเท้าลงพื้น ไม่ช้าเจ้าของเสียงได้เดินเข้ามายังห้องครัว เนื่องจากเห็นไฟเปิดอยู่ ไม่ใช่ใครที่ไหน พันเอกแซนเดอร์สันพ่อของราเอลนั่นเอง ในชุดเสื้อโค๊ตกันหนาวสีน้ำตาลมรกต

เด็กหนุ่มก้มหัวทักทายพ่อทันทีโดยที่มือยังลูบหัวเจ้าสุนัขอยู่

แซนเดอร์สันเห็นสุนัขในอ้อมแขนราเอลทราบทันทีว่าเด็กหนุ่มทำภารกิจสำเร็จ ลุล่วง  เขายิ้มอย่างภาคภูมิใจในตัวราเอล ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูดังที่เด็กหนุ่มกำลังลูบหัวสุนัข สัมผัสจากมือพ่อมันช่างอบอุ่นเหลือเกินอาจจะเพราะความรักนั้นได้ถ่ายทอดผ่าน สักพักนึง เด็กหนุ่มชี้ยังสุนัขบนตักตนเงยหน้ามองพ่อตน

จากนั้นเด็กหนุ่มถามไถ่ว่าจะเอายังไงกับหมาตัวนี้ดี ทีแรกพ่อของเขาตั้งใจจะเอาไปฝึกเป็นสุนัขสงครามแต่เด็กหนุ่มเกิดรู้สึกถูก ชะตากับมัน เลยอ้อนวอนจนพ่อใจอ่อนอนุญาติให้เลี้ยงโดยมีข้อแม้ว่าห้ามทิ้งมันเด็ดขาด พอตกลงกันเรียบร้อยพ่อของเขาก็ลาไปทำงานในห้องแห่งความลับ พร้อมย้ำให้เด็กหนุ่มนอนเร็วเพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนม.ต้นเป็นวันแรก แล้ว

สุนัข ตัวนั้นแม้ได้สติคืนมาแต่ยังมีสภาพงัวเงียเด็กหนุ่มตั้งชื่อให้มันว่า “ลีโอ” แล้วหาอะไรในตู้เย็นให้มันทาน เหลือบมองนาฬิกาดิจิตัลบนผนัง
“  21.00 “

“ สามทุ่มแล้วหรอวะเนี่ย อืม ๆ อาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า ”  เขารำพึงเสร็จก็ลุกอุ้มเจ้าลีโอที่ยังไม่เดินไม่ค่อยคล่องจากฤทธิ์ยาขึ้นไปชั้นสองปล่อยให้บ๊อบบี้เดินตามไปเอง
ชั้นสองนี่มีเพียงสองห้องคือห้องนอนของเขากับห้องนอนของพ่อ ส่วนชั้นสาม เป็นห้องใต้หลังคาสำหรับส่องกล้องดูดาว

ในห้องของเด็กหนุ่มนั้นแลคล้ายห้องของวัยรุ่นชายทั่วไปมีชั้น หนังสืออ่านเล่น โน๊ตบุ๊ค ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของจิปาถะ วิทยุ แอร์บนเพดาน เตียงนอนธรรมดา หน้าต่างข้างเตียงฉายวิวภายนอก ตัวหน้าต่างนั้นสามารถปรับระดับความเข้มของฟิล์มกรองแสงเพื่อบังแดดหรือยาม ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ว่าแล้วเขาก็ถอดเสื้อ เข้าห้องน้ำในห้องนอน แกะหนังเทียมบริเวณลิ้นปี่ออกมา ปรากฏสัญลักษณ์ลึกลับแลดูคล้ายลอยสักสีเลือดเด่นชัดกลางหน้าอก

เขามองภาพสัญลักษณ์บนอกที่สะท้อนบานกระจกในห้องน้ำ พ่อย้ำเสมอว่าห้ามให้ใครเห็นสัญลักษณ์นี้เป็นอันขาด

สัญลักษณ์นี่มันคืออะไรกันแน่  ลวดลายของมันนั้นแปลกประหลาด ไม่อาจตีความได้ว่ามันมีความหมายอะไรกันแน่

ช่างเหอะ คิดไปก็ปวดสมองเปล่า ๆ อาบน้ำดีกว่า รู้ ว่าไร้ประโยชน์จะมาหมุ่นกับมันไปอาบน้ำระหว่างนั้นได้ลากเจ้าลีโอมาเอาน้ำ เปล่าราดตัว เพื่อขจัดกลิ่นสาบที่ติดตัวมัน แน่นอนว่ามันดิ้นแทบตายแต่เด็กหนุ่มล็อคตัวมันไว้

10 นาทีต่อมา

              เด็กหนุ่มในชุดนอนใช้ผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวลีโอจนแห้งดีก็พาดมันบนผนัง พลันเปิดโน๊ตบุ๊คท่องเน็ตถึงประมาณ 4 ทุ่มก็เช็คข้าวของสำหรับไปโรงเรียนในวันพรุ่งว่าครบหรือยังยัดลงเป้  ตั้ง นาฬิกาปลุก ปิดท้ายด้วยปิดไฟห้อง กระโดดตีลังกาหนึ่งตลบขึ้นไปนอนบนเตียง หลังจากเหนื่อยมาตลอดวันนึงเต็ม การเข้าสู่สู่ห้วงนิทราบนเตียงนุ่มนั้นแสนง่ายดาย รอเช้าวันใหม่มาเยือน ส่วนเจ้าลีโอกับบ๊อบบี้นอนกับพื้นข้างเตียง

ยาม 6 โมงครึ่ง เช้าวันใหม่

ท้อง ฟ้ายังมืดสลัวอยู่เล็กน้อยพระจันทร์กับหมู่ดาวนั่นเลือนลาง ดวงอาทิตย์เริ่มปรากฏออกมาแต่ยังไม่สาดส่องแสงสว่างเต็มที่ ฝูงนกโบยบินออกหาอาหาร ร่ำร้องเพลงต้อนรับการมาของวันใหม่

บนถนนเข้าสู่ตัวเมืองเส้นนึง พันเอกแซนเดอร์สันในชุดไปรเวท กางเกงยีนส์ สวมหมวกกันน็อค แว่นกันลม ขี่จักรยานยนต์สีขาวลายแดงลอยได้คล้ายๆของลุงวาชิลลี่แต่เบาะที่นั่งนั้น ยาวกว่าสามารถซ้อนได้ถึงสามคน ราเอลและลอร่าในชุดไปรเวทธรรมดาสะพายเป้กลางหลังนั่งซ้อนอยู่

 

สมัย นี้ไม่มียานพาหนะอันไหนใช้ล้อกับเพลาอีกแล้ว ทุกอย่างล้วนใช้ระแบบต้านแรงโน้มถ่วงจะมีกำลังมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่การ ใช้งานส่วนพลังงานหลักคือพลังงานปฏิกิริยาไฟฟ้าอาร์ค (ARC Reaction ) ไม่ มีใครใช้พลังงานฟอลซิสดังยุคเก่าแล้ว  ถนนเข้าสู่ตัวเมืองยามเช้าตรู่โล่งจนแทบไม่มีรถวิ่งผ่านเลย ข้างทางนั้นเป็นป่า สลับกับหมู่บ้านของเหล่าเกษตรกรไขสันหลังแห่งอาณาจักร บางส่วนออกมาทำงานกันแล้ว

เด็กหนุ่มแลบรรยากาศเกษตรกรเหล่านั้น สักพักได้ชวนพ่อคุยว่าเป็นเกษตกรท่าทางมีความสุขดี พ่อของเขาก็หัวเราะบอกว่าทุกคนย่อมมีหน้าที่ของตน เกษตรเหล่านั้นต้องขายผลผลิตกับทางรัฐอย่างน้อยสองในห้าโดยมีเจ้าหน้าที่รัฐติดสินราคาอย่างยุติธรรม
ลอร่าได้ยินเช่นนั้น เลยถามออกมาด้วยความสงสัย

“  แล้วถ้าข้าราชการพวกนั้น ไม่ซื่อกดราคาละค่ะ ? ”

ได้ยินเช่นนั้น แซนเดอร์สันกล่าวลอยตอบกลับไปขณะหมุ่นกับการขับมอไซต์ว่าตั้งแต่อาณาจักรกำเนิดมาทุกที่มีผู้ตรวจการณ์หากพวกเขาจับได้ว่าใครทุจริตนั กฆ่าในนามนักฆ่าแห่งเทร่าจะมาปลิดชีวิตก่อนจะประจานทั่วอาณาจักรไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง แม้ลอร่าจะรำพึงว่ามันดูโหดร้ายแต่แซนเดอร์สันบอกเธอว่ามันจำเป็นเพื่อความอยู่รอดของอาณาจักร หากปล่อยให้โกงกินแล้วประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าคงจะเกิดปัญญาอาชญกรรมและประท้วงจนอาณาจักรสั่นคลอนนำไปสู่การล่มสลายได้

เด็กหนุ่มได้ยินเรื่องนักฆ่าตีหน้าใคร่รู้ถามพ่อของตน
“ แล้วพ่อเคยเห็นพวกนักฆ่าเหล่านี้ไหมครับ ”

แซนเดอร์สันหัวเราะเบาๆ มือทั้งสองยังคงบังคับมอไซต์
“ ไม่เคยและไม่อยากเห็นด้วย ถ้าเขามาเยือนคนระดับพ่อละก็แสดงว่าพ่อคงทำผิดอะไรแน่นอน จะหนีพวกนี้ทีคงต้องหนีสุดขอบจักรวาลเลย แต่เอาเข้าจริงตอนนี้แค่สมัยพ่อหนุ่มๆ ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าโกงละ ต้องสมัย 80 ปีที่แล้วนู่นว่ากันว่าโดนเก็บกันเป็นว่าเล่น ”

เด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าไม่คิดจะถามอะไรต่อแล้ว

หมดบทสนทนต่างฝ่ายต่างไม่มีประเด็นคุยต่อ บรรยากาศตลอดทางเลยเงียบเชียบกว่าสามสิบนาทีจนกระทั่ง
วิวตัวเมืองปรากฏมาแต่ไกลตึกราบ้านช่องรูปทรงทันสมัยสูงตระหง่านบ้างก็เป็น อาคารที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยระบบต้านแรงโน้มถ่วงชั้นยอด ทั้งแสงไฟ ตามอาคาร ส่องเจิดจรัญเห็นแต่ไกล ห้อมล้อมด้วยกำแพงเมือง   ยานพาหนะลอยฟ้าบินอย่างเป็นระเบียบตามกฏจราจรทางอากาศในเมืองได้กำหนดเอาไว้

หลังจากเข้าตัวเมืองแล้วพ่อของเขาได้ไปส่งราเอลและลอร่าที่ลานกว้างแห่ง หนึ่งไม่มีตึกสูงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง มีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า

“ ลานรับ-ส่ง นักเรียน ห้ามจอดยานพาหนะในบริเวณนี้โดยเด็ดขาด ฝ่าฝืนมีโทษหนัก”  ขณะนี้เวลา 7 โมง เช้า แสงแดดอ่อนเริ่มสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า สีคราม นักเรียนคนอื่นทยอยกันมาที่ลานกว้างแห่งนี้ ปรากฏทั้งเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขาแลที่โตกว่า แม้กระทั่งเด็กวัยรุ่นตอนปลายระดับประมาณ ม.5 ม.6

แซนเดอร์สันโบกมือ ยิ้มส่งวัยรุ่นทั้งสองก่อนกลับรถมอไซต์ขับลับตาจากไป

เด็กหนุ่มกวาดสายตารอบกายพลางเตะฝุ่นที่พื้นไปมาฆ่าเวลา
“ เมื่อไรจะไรยานจะมาเนี่ย ”

ได้ยินเช่นนั้นลอร่ากดปุ่มบางอย่างบนนาฬิกาข้อมือ ทันใดนั้นมันฉายจอภาพแสดงฟังชั่นออกมา ทำงานด้วยระบบทัชสกรีน เธอเข้าอินเตอร์เน็ต เพื่อดูกำหนดการในเว็บพลางส่งยิ้มหวายให้เด็กหนุ่ม
“ อีกประมาณ 15 นาที รออีกแปปน่า ราเอล ”

เด็กหนุ่มไม่อยากท้าวความอะไรจึงเกาหัวมองหาที่ว่างสำหรับนั่ง

“เอ้อ ช่างเถอะ ไปหาที่นั่งรอฆ่าเวลากันเถอะ ”    พอเห็นที่แล้ว เขาจูงมือพาลอร่าไปเนื่องจากบริเวณนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน  ทั้งคู่ไปนั่งจุมปุ้กรอมุมเล็กมุมนึง เสียงเด็กคนอื่น คุยกันดังระงม แต่ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไรนักส่วนมากต่างสนทนากันตามประสาเพื่อน

ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษกระทั่ง ……………….
เด็กหนุ่มได้ยินบทสนทนาของเด็กกลุ่มข้างเคียง วันรุ่นชาย  2 คน คนนึงผิวดำหัวเกรียน คนนึงผิวคล้ำผมสีน้ำตาลรองทรงหวี กับ วัยรุ่นหญิงผมดำ ผมทรงบ็อบ ทั้งสามแต่งชุดไปรเวทอายุน่าจะมากกว่าราเอลประมาณปีสองปี

วัยรุ่นชายผิวคล้ำทำหน้ามุ่ยบ่นออกมา

“ทำไม ต้องมาตั้งโรงเรียนกลางอวกาศก็ไม่รู้ น่าจะสร้างที่พื้นดาวเหมือนอาคารทั่วๆไป เสียเวร่ำเวลาชะมัดเลย ต้องตื่นเช้ามารอยานบ้าๆเนี่ย ”

วัยรุ่นหญิงอ้าปากหาวด้วยความหน่ายก่อนจะตอบเขากลับ

“อืม แม่ฉันเล่าให้ฟังนะ ว่าประมาณเกือบร้อยปีที่แล้ว เกิดการก่อกบฏครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ  หลัง จากนั้นมาทางอาณาจักรจึงต้องควบคุมการศึกษาของเด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่ให้โรงเรียนอิสระใช้เป็นเครื่องมีอล้างสมองความคิดอุดมการณ์ต่อต้าน อาณาจักร และท่านเกรทเซียร์”

ทันใดนั้นวัยรุ่นชายอีกคนตัดพ้อขึ้นมา
“เฮ้อ บรรพบุรุษเราเนี่ยทำไรไม่คิดนะ ลูกหลานอย่างเราต้องมารับเคราะห์ไปด้วย เอ่อ พูดถึงเกรทเซียร์แล้วแกเชื่อหรอวะว่า มีจริง ไม่ใช่นิทานหลอกเด็กที่ทางอาณาจักรนั่งเทียนขึ้นมาหลอกให้คนเคารพ”
“ เรา ก็ไม่ค่อยแน่ใจนะแต่คุณปู่เคยเล่าว่าฟังคำทำนายเกรทเซียร์ช่วยทำให้หลีก เลี่ยงเรื่องร้ายๆไปเยอะ อย่าพูดเรื่องนี้มากเลย พวกนายเคยได้ยินมะ กำแพงมีหู ประตูมีตา เดี่ยวพวกเจ้าหน้าที่ทางราชอาณาจกัรได้ยินเข้าโดนสวดยาวแน่ ”

วัยรุ่นหญิงพูดตัดบทก่อนที่เรื่องจะออกทะเลไปมากกว่านี้  ว่า แล้วทั้งสามก็บ่นเรื่องการเรียน เรื่องสัพเพเหระออกมา เด็กหนุ่มเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร นั่งมองท้องฟ้าอย่างเบื่อหน่าย ส่วนลอร่ามองบรรยากาศรอบกายสีหน้านิ่งเฉย

เวลาของทั้งคู่ไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่ง

“ เฮ้ เธอ ขอเรานั่งด้วยได้ไหม ” เสียงเด็กหนุ่มคนนึงมาจากทางลอร่า

“ ได้สิจ๊ะ ” ลอร่ายิ้มตอบรับเขาไป ราเอลจึงหันไปดู
ปรากฏเด็กหนุ่มผมหางม้าดำผิวเหลือง จมูกไม่โด่งมาก โครงหน้าเรียวแบบคนเอเชีย กำลังยืน ในชุดเสื้อยืดขาว กางเกงขายาวสีดำ ยืนค่อมพวกเขาอยู่
“ อือ ขอบใจนะ พอดีผมพึ่งย้ายมาอยู่ดาวดวงนี้มาไม่นานน่ะ อยากหาคนวัยเดียวกันเป็นเพื่อนหน่อย”  พอได้ยินลอร่าตอบรับเขาก็ค่อยๆเดินข้ามก้าวขาทั้งสองมานั่งจุ้มปุกข้างเด็กหนุ่ม

พอนั่งลงเด็กหนุ่มคนนั้นก็จ้อขึ้นมาทันที
“ ไงนายชื่ออะไรเหรอพรรคพวก ”

ราเอลตอบห้วนกลับไปแล้วควักกระติกน้ำในเป้มายกดื่ม
“ราเอล บลอร์ดมอร์ ส่วนข้างๆ ฉันนี่ชื่อ ลอร่า ดาเวี่ยน”

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มไร้นามคนนั้นทำหน้าทะเล้นยิงคำถามเด็ดออกมา
“  นายกับลอร่าเป็นแฟนกันหรอ ? ”

ราเอลถึงกับพ่นน้ำกระจายลงพื้นทันทีได้ยินคำถามเขาส่วนลอร่าสะดุ้งเฮือก แก้มแดงแจ๋ ปัดปอยผมของตนก่อนที่จะหันไปตอบเด็กหนุ่มคนนั้น

“  เอ่อ พวกเราเป็นแค่เพื่อนกันตั้งแต่เด็กจ๊ะ  ”

“ แอะ ๆ  ว่าแต่นายเหอะเป็นใคร เจอหน้าครั้งแรกก็สอดซะขนาดนี้ มีมารยาทบ้างไหมฟะ ” ราเอลไอจากอาการสำลักแล้วหันมาต่อว่าเด็กหนุ่ม

ลอร่ารีบแตะไหล่ห้ามปรามราเอล
“ ใจเย็นน่า ราเอล เขาคงล้อเล่นเฉย ๆ ” ลอร่ารีบแตะไหล่ห้ามปรามราเอล

เด็กหนุ่มเกาหัว หัวเราะคิกคัก  ระหว่างที่กำลังจะบอกชื่อตัวเองนั่นเอง
“ฮะ ๆ ๆ อะ เอ่อ ขอโทษที เราชื่อว่า ……. ”

“ ฟังทางนี้ ! ฟังทางนี้ !      ขณะ นี้ยานรับ-ส่งได้เทียบท่าแล้ว นักเรียนที่มีความประสงค์ร่วมเดินทาง กรุณาเข้าแถวขึ้นยานอย่างเป็นระเบียบเพื่อความรวดเร็วและความปลอดภัยของตัว นักเรียนเอง

กรุณาแสดงบัตรประจำตัวของตนแก่เจ้าหน้าที่ก่อนขึ้นยานด้วยและกรุณานั่ง 1 คนต่อหนึ่งที่นั่ง รัดเข็มขัดนิรภัย ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดด้วยเมื่อได้เข้าไปในยานแล้ว ” เสียงประกาศจากลำโพงบริเวณนั้นดันกลบเสียงเด็กหนุ่มคนนั้น

ตอนนี้ราเอลไม่สนใจชื่อของเด็กหนุ่มนั่นแล้ว เพราะมีอะไรที่น่าสนใจกว่าหลายเท่านักกำลังลอยเหนือหัวพวกเขา ณ บัดนี้  ภาพยานอวกาศหลากลำทั้งหมดล้วนทำจากเหล็กกล้าสีเทาสะท้อนแสงอาทิตย์แวววาวติด สี่ ปีก และสลักหมายเลขกำกับไว้ข้างลำปรากฏไอพ่นท้ายลำ ขนาดลำนึงบรรทุกคนได้ประมาณสี่ร้อยคนกำลังจะลงจอดเทียบท่ากระชั้นชิดต่อหน้าเป็นครั้งแรกในชีวิต

6 ความเห็นบน “บันทึกผจญภัยผลึกสีชาด ตอนที่ 3 โรงเรียนม.ต้นหลังขอบฟ้า (แก้ไข)”

  1. อันนี้ขออนุญาต แก้ไข คุณpommm นิดหนึ่งครับ
    (พอดียังไม่ได้อ่านเลย)

    เท่าที่ผมเข้าใจ
    21:00 เป็น น.(นาฬิกา) ครับ
    ถ้าจะใช้ AM หรือ PM จะเป็น 9:00 ครับ

    จากที่เห็นแว๊บๆ

    21.00 AM
    “สามทุ่มแล้ว….”

    ข้อมูลสองบรรทัดนี้ ซ้ำซ้อนนะครับ เลือกเอาอันใดอันหนึ่งก็น่าจะพอ นะครับ

    เดี๋ยวขอเวลาอ่านก่อน แล้วจะกลับมาอีกรอบ นะครับ

  2. ๑. ระวังเรื่องอารมณ์ต่อเนื่องของตัวละครนะครับ
    การเปลี่ยนแปลงจำเป็นจะต้องมีเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ครับ
    ๒. การอธิบายเรื่อง ก็ควรจะมีเหตุแห่งการอธิบายนั้น (ฉากขับรถผ่านตลาด)
    และไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องด้วยบทพูด ครับ
    (อย่างเช่นเรื่องผู้ตรวจการ สามารถเล่าเรื่องโดยใช้ฉากประหารก็ได้ นะครับ)

ใส่ความเห็น