ไฟแค้น โดย อสิมา : รางวัลชมเชยการประกวดเรื่องสั้นไซ-ไฟ ครั้งที่ 1 หัวข้อ “พลังจิต”

“นี่แกเองเหรอเนี่ย” เสียงของชายวัยกลางคนสั่นด้วยความพรั่นพรึง
“จำได้แล้วเหรอ ดีใจจัง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ยังอุตส่าห์จำได้” เจ้าของเสียงในชุดเสื้อคลุมมีฮู้ดปกคลุมศีรษะเอ่ยด้วยความเย็นชา
“แต่แกตายไปแล้วนี่”
“ใช่ตายไปแล้ว แต่บังเอิญฉันตะกายจากนรกขึ้นมาได้”
“แสดงว่าไอ้พวกนั้นก็ฝีมือแกด้วยนะสิ”
“ใช่ และแกก็จะมีจุดจบเหมือนพวกมัน”
ทันทีที่จบประโยค เปลวไฟกลุ่มหนึ่งก็ปกคลุมร่างของชายผู้นั้นราวกับเสกได้ ไฟโหมกระพือลุกไหม้ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว เขาร้องโหยหวนตะเกียกตะกายด้วยความทรมานและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ในไม่ช้าเสียงครวญครางนั้นก็เงียบสงบ ทิ้งไว้แต่เพียงร่างหงิกงอที่ถูกไฟเผาผลาญไหม้ดำเป็นตอตะโก
————————————-
“ศพล่าสุดเป็นชายอายุ 62 ปี ชื่อ นายขจร จิตคำรน เจ้าของโรงงานอะไหล่รถยนต์ สถานที่เกิดเหตุคือโกดังร้างเก็บของที่โรงงานย่านชานเมือง เหตุเกิดราวๆห้าทุ่มครึ่ง ส่วนสาเหตุการตายคือถูกไฟไหม้คลอกทั้งตัว ไม่พบหลักฐานที่เกิดเหตุอาทิเช่นวัตถุไวไฟ น้ำมัน เชื้อเพลิง ไฟแช็ก หรือไม้ขีด” หมวดไกรสิงห์รายงานผลการสืบสวน
“ถ้านับรวมกับศพก่อนหน้านั้นนี่ก็เป็นศพที่สามแล้วใช่ไหมหมวด” ร.ต.อ.ดิสกรถาม นายตำรวจหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง ที่ได้รับการยกย่องจากกองสืบสวนว่าเป็นตำรวจอัจฉริยะที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะตั้งแต่ทำคดีมา ไม่เคยมีคดีไหนที่เขาปิดไม่ได้ บ้างลือว่าเขามีพลังพิเศษบางอย่าง ล่าสุดผู้ใหญ่ในกรมส่งเขามาไขคดีประหลาดนี้โดยเฉพาะ
“ครับ ส่วนอันนี้” หมวดไกรสิงห์ ยื่นแฟ้มส่งให้ผู้กองดิสกร “คือรายงานคดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ทั้งสองศพถูกไฟคลอกเสียชีวิตเหมือนกัน ศพไหม้ดำเป็นตอตะโก สถานที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ส่วนตัวของเหยื่อเอง และเป็นที่ไกลหูไกลตาผู้คน การฆาตกรรมเกิดในเวลาดึกทั้งหมด ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ และที่สำคัญ จากการชันสูตรศพและตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่พบหลักฐานจำพวกวัตถุที่ก่อให้เกิดเปลวไฟได้เลยแม้แต่อย่างเดียว คนร้ายไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย” หมวดไกรสิงห์กล่าวในขณะที่ดิสกรง่วนกับการอ่านรายงานอย่างใช้ความคิด
“แล้วไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเลยหรือ” ดิสกรถามขณะก้มหน้าอ่านแฟ้มรายงาน
“สองคดีก่อนหน้านั้นไม่มีครับ แต่คดีล่าสุดมีพยานเห็นเหตุการณ์ครับ เป็นไอ้ขี้ยาที่แอบเข้าไปเสพยาในโกดังร้างประจำ เขาเล่าว่า ระหว่างเกิดเหตุ เหยื่อกับคู่กรณีกำลังถกเถียงอะไรบางอย่างที่ตัวเขาได้ยินไม่ชัดนัก แต่จู่ๆไฟก็ลุกขึ้นตามตัวผู้ตายอย่างกับเสกได้ โดยที่คู่กรณีไม่ได้เข้าไปแตะตัวผู้ตายแม้แต่นิดเดียว” หมวดไกรสิงห์อธิบาย
“ไม่ได้แตะตัวแต่จู่ๆไฟก็ลุกขึ้นมาเฉยๆเหรอ” ดิสกรฉงน “เป็นไปได้ยังไง”
“ผมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อน้ำคำไอ้ขี้ยานี่เท่าไหร่ บางทีมันอาจจะตาฝาดก็ได้”
“แต่ว่าคดีก่อนหน้านั้นฝ่ายพิสูจน์หลักฐานก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลยนี่นา”
“ครับ…แล้วผู้กองคิดว่าฆาตกรใช้วิธีไหนละครับ” หมวดไกรสิงห์ถาม
“ไม่รู้สิ บางทีมันอาจจะ….ช่างเถอะ”
“อะไรล่ะครับ เผื่อผมอาจจะนึกอะไรออกช่วยผู้กองไขคดีนี้ได้นะครับ”
“ฆาตกรอาจจะมีพลังพิเศษ”
“พลังพิเศษ” หมวดไกรสิงห์หัวเราะ “ขอโทษครับผู้กอง ว่าแต่พลังพิเศษอะไรครับ มายากลเสกไฟหรือครับ”
“ไม่ใช่มายากล แต่มีความสามารถในการบังคับไฟหรือเสกไฟ”
“ความสามารถในการควบคุมไฟหรือครับ”
“ใช่ พลังจิตที่เขาเรียกกันว่าไพโรคินเนซิส (Pyrokinesis) ไงล่ะ”
รอยยิ้มของหมวดไกรสิงห์หดหายกลายเป็นแค่นยิ้ม ยากที่จะบอกได้ว่าเป็นความรู้สึกว่าเป็นแบบใดระหว่างพิศวงปนขำในความคิดของผู้กองกับตื่นตะลึงในคำสันนิษฐาน และหากเป็นอย่างหลัง ฆาตกรก็เป็นบุคคลอันตรายมากทีเดียว
————————————-
เมื่อไม่มีแม้แต่ร่องรอยหรือหลักฐานอื่นใดที่จะสืบสาวไปยังตัวฆาตกรได้ ผู้กองดิสกรจึงตัดสินใจไปดูศพของเหยื่อที่สถาบันนิติเวช
“ทางนี้ค่ะ ผู้กอง” เจ้าหน้าที่สาวเดินนำผู้กองมายังห้องเก็บศพ
ทันทีที่ผ้าคลุมศพถูกเปิดออก ดิสกรถึงกับผงะเล็กน้อย
ร่างหงิกงอดำเป็นตอตะโก บางส่วนไหม้ลึกจนเห็นกระดูก ดิสกรแทบจะนึกถึงสภาพเดิมของเหยื่อไม่ออก แต่ที่รู้ๆก็คือ ก่อนตาย เหยื่อคงทรมานอย่างแสนสาหัส
“ผมขออยู่คนเดียวสักครู่นะครับ” ดิสกรบอกกับเจ้าหน้าที่สาว
เมื่อเจ้าหน้าที่สาวเดินออกจากห้องไป ดิสกรก็สวมถุงมือ จากนั้นก็ตั้งสมาธิและหลับตาลง ความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของดิสกรที่ไม่มีใครรู้ก็คือ เพียงแค่เขาสัมผัสสิ่งของ เขาก็สามารถรับรู้เรื่องราวในอดีตของเจ้าของสิ่งของนั้นได้อย่างแม่นยำ เป็นพลังจิตที่เรียกว่าไซโคเมทรี (Psychometry) หรือบางครั้งเพียงแค่สัมผัสบาดแผลของผู้ได้รับบาดเจ็บหรือของผู้ตาย เขาก็หยั่งรู้ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัว
ทันทีที่สัมผัสร่างไร้วิญญาณ ภาพอดีตของผู้ตายก็ค่อยปรากฏปะติดปะต่อในสมอง เขาเห็นผู้ตายร้องโหยหวนอย่างทรมาน เขาเห็นร่างฆาตรกร ทว่าไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ฆาตกรรูปร่างผอมบางสวมฮู้ดปกปิดใบหน้า
“รู้รสชาติของความทรมานที่ครอบครัวฉันได้รับหรือยัง” เสียงแหลมเล็กของฆาตกรบอกด้วยความเคียดแค้น
ดิสกรสะดุ้งลืมตาตื่น ความแค้น เขาอุทานในใจ ฆาตกรต้องการแก้แค้นหรือนี่ แสดงว่าเหยื่อต้องเคยก่อคดีอะไรสักอย่างไว้อย่างแน่นอน เขาตั้งข้อสันนิษฐาน
ดิสกรหลับตาอีกครั้ง คราวนี้เขาตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่อีกครั้ง เพราะเป็นการใช้พลังจิตค้นหาเรื่องราวอันแสนยาวไกล เขาเห็นภาพครอบครัวหนึ่งนอนสลบอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูกชายสองคน และลูกสาวคนเล็กซึ่งน่าจะอายุราวสิบห้าปี ทั้งหมดถูกทำร้ายบาดเจ็บ ดิสกรมองเห็นนายขจรซึ่งเป็นผู้ตายกำลังราดน้ำมันรดไปยังตัวบุคคลเหล่านั้น ไม่สิ เขาเห็นภาพเหยื่อสองรายที่เพิ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นรวมอยู่ด้วย ทั้งสองคนถือไม้กระบองคนละอัน ทันใดนั้น ภาพชายคนสุดท้ายก็ปรากฏตัวขึ้น เขาโยนไม้ขีดลงไปบนตัวผู้เป็นพ่อ ไฟค่อยๆลุกไหม้จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง จากนั้นไฟก็ลามไปยังบริเวณรอบๆจนบ้านทั้งหลังตกอยู่ในเปลวเพลิง ส่วนฆาตกรทั้งสี่หัวเราะก่อนจะเดินจากไป
ดิสกรสะดุ้งลืมตาตื่นอีกครั้ง เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขาหมดแรงเพราะว่าใช้พลังมากเกินไป
ใช่แล้ว ฆาตกรต้องการแก้แค้นพวกเขาเหล่านี้ ดิสกรคิด ตอนนี้ทำสำเร็จไปสามคน เหลืออีกคนหนึ่งที่ยังไม่ตาย และชายผู้นั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย
————————————-
“คุณเรียกตัวผมมาทำไมกันเนี่ย ผมมีงานต้องทำนะ” พลากร ตะโกนโวยวายลั่นโรงพัก
“คือว่า…ทางเรากังวลว่าคุณอาจจะเป็นเป้าหมายถัดไปของฆาตกร เลยอยากสอบถามอะไรนิดหน่อย”
ผู้กองดิสกรบอกอย่างใจเย็น
“แล้วมันเกี่ยว อะไรกับผมด้วยล่ะ ผมไม่รู้เรื่องการตายของสามคนนั่นสักหน่อย พวกคุณนี่ยังไงกัน แทนที่คุณจะเอาเวลาไปจับตัวฆาตกรแต่เอาเวลามาสอบสวนผม” นักธุรกิจใหญ่เจ้าของโรงแรมห้าดาววัยหกสิบสองปีบอกอย่างไม่สบอารมณ์
“เกี่ยวสิครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่รู้จักเหยื่อสามคนที่เสียชีวิต พวกเขาเป็นเพื่อนคุณทั้งนั้น อีกอย่าง เมื่อยี่สิบปีก่อน พวกคุณสี่คนก็เคยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมตระกูลสุทธิธรรมโรจน์ไม่ใช่เหรอครับ” ดิสกรอธิบาย
“แล้วไง คดีนั้นศาลยกฟ้องพวกเรา เพราะไม่มีหลักฐานว่าผมกระทำผิด ไอ้พลมันถูกฟ้องล้มละลายไม่มีเงินใช้หนี้ ก็ฆ่าตัวตายเผาบ้านยกครัว” ไอ้พลที่พลากรพูดถึงก็คือ จิรพล สุทธิธรรมโรจน์ อดีตเพื่อนร่วมทุนธุรกิจที่เสียชีวิตเพราะไฟไหม้บ้านเมื่อยี่สิบปีก่อน
“แต่ในวงธุรกิจเขาพูดกันว่าคุณจิรพลถูกเพื่อนด้วยกันหักหลังจนหมดตัว” ตำรวจในทีมสืบสวนคนหนึ่งพูดขึ้น
“พูดให้ดีๆนะคุณตำรวจ คุณอาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้” พลากรคำราม
ดัสกรยกมือบอกให้เฉยไว้
“ไม่มีใครกล่าวหาว่าคุณทำสักหน่อย จะจริงหรือไม่จริง คดีนั้นก็หมดอายุความไปแล้ว ศาลก็ตัดสินไปเรียบร้อยแล้วด้วย แต่เพื่อความปลอด ยังไงผมก็อยากจะเตือนคุณไว้ก่อน บางทีคนร้ายอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีเมื่อยี่สิบปีก่อน อีกอย่างข้อมูลในแฟ้มรายงานว่าพบศพแค่สี่ราย แต่ไม่พบร่างเด็กผู้หญิงที่เป็นทายาทคนสุดท้องของตระกูล” ดิสกรบอก
“แต่ฆาตกรเป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอครับ พยานที่เห็นเหตุการณ์ก็บอก” หมวดไกรสิงห์ตั้งข้อสังเกต
“แต่พยานไม่เห็นหน้าตาคนร้ายนี่นา บอกไม่ได้หรอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” ดิสกรบอก
“ถ้าเป็นผู้หญิง ทำไมเราหาเธอไม่เจอละครับ ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะมีคนรู้บ้างนะครับ บางทีเธออาจถูกไฟไหม้จนไม่เหลือซากไปเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ได้นะครับ”
“ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เอาเป็นว่า ผมจะให้คนของผมคอยคุ้มกันคุณไว้ เพราะคุณอาจจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของฆาตกร” ดิสกรบอกเสียงเข้ม
“ฮึ! คุ้มกัน” พลากรส่งเสียงเหยียด
“หมวดไกร ช่วยดูแลคุณพลากรหน่อยนะ” ดิสกรขอร้องแกมสั่ง
หมวดไกรสิงห์ทำท่าเบื่อหน่ายเมื่อรู้ว่าต้องคอยคุ้มกันนักธุรกิจเจ้ายศเจ้าอย่างอย่างพลากร แต่ก็รับคำโดยดี ดิสกรตบหลังไกรสิงห์เพื่อเป็นการให้กำลังใจ แต่แล้วเขาก็ล้มวูบ
“ผู้กองเป็นอะไรไปครับ” ทุกคนในห้องตกใจยกเว้นพลากร
“ไม่มีอะไรหรอก สงสัยช่วงนี้โหมงานมากไปหน่อย ไม่ค่อยได้นอน ทุกคนไปทำงานเถอะ” ดัสกร
“พวกคุณแน่ใจเหรอว่าจะมีปัญญาคุ้มครองผมได้” พลากรกล่าวสบประมาท
“แน่ครับ! รับรองว่าผมจะดูแลคุณอย่างดี” หมวดไกรสิงห์ตาลุกวาวด้วยความโกรธ
พลากรเดินออกจากห้อง พร้อมด้วยหมวดไกรสิงห์
พลันที่ทุกคนออกจากห้องไป ดิสกรเข้าไปนั่งพักในห้องทำงานส่วนตัว เมื่อครู่ไม่ใช่อาการล้มวูบ แต่เขาเห็นอะไรบางอย่าง ภาพเลือนรางลอยเข้ามาในสมอง เขาได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด บาดแผลของเธอเป็นแนวยาวกลางหลัง ใบหน้าของเธอมีรอยไหม้ลึก หรือว่าวิญญาณเด็กคนนี้มาบอกอะไรบางอย่าง ดิสกรได้แต่สงสัย หรืออาจะเป็นเพราะช่วงนี้เขาใช้พลังมากเกินไป จึงเห็นภาพในอดีตมากมาย เมื่อรู้สึกดังนั้น ดิสกรตัดสินใจกลับบ้าน เขาบอกกับตัวเองว่า ต้องพักผ่อนเสียบ้างแล้ว
ทันทีที่เดินผ่านโต๊ะของหมวดไกรสิงห์ ดิสกรเห็นปืนพกประจำตัวของหมวดไกรวางอยู่ พลันแปลกใจว่าผู้หมวดลืมของสำคัญอย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาได้รับหน้าที่คุ้มกันผู้อื่นอยู่
ดิสกรหยิบปืนขึ้นมา จู่ๆภาพๆหนึ่งก็ไหลวูบเข้ามาในหัว เขาหลับตา จากนั้นก็รีบถลันออกไปอย่างรวดเร็ว
————————————-
“นี่มันโรงแรมของฉันนี่นา ทำไมไม่ไปที่บ้านล่ะ” พลากรถามหมวดไกรสิงห์อย่างไม่พอใจทันทีที่ผู้หมวดขับรถเลี้ยวเข้ามาในบริเวณโรงแรมแห่งใหม่ของพลากรที่กำลังก่อสร้างอยู่
“ลงจากรถ” หมวดไกรสิงห์พูดเสียงเข้ม
“นี่แกเล่นตลกอะไรเนี่ย” พลากรร้องเสียงสั่น
ไกรสิงห์เปิดประตูกระชากพลากรลงจากรถ พลากรกลิ้งล้มลงบนพื้น เขารีบชักปืนออกมาขู่ไกรสิงห์ แต่จู่ๆไฟกลุ่มหนึ่งก็ลุกไหม้ที่มือของพลากร เขาร้องลั่นสลัดปืนทิ้งทันที พลากรเดินถอยเข้าไปข้างในบริเวณก่อสร้างที่ร้างไร้ผู้คนอย่างหวาดกลัว
“แกใช่ไหมที่เป็นฆาตกร”
“รู้แล้วถามทำไม” ไกรสิงห์เดินเข้าหาพลากรอย่างช้าๆ สีหน้าของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ได้เวลาปิดบัญชีเสียทีนะ” ทันทีที่ไกรสิงห์พูดจบ ไฟก็ล้อมรอบตัวพลากรเป็นวงกลมกั้นไม่ให้เขาหนีไปไหน
“อย่าทำอะไรฉันเลย ขอร้องล่ะ” พลากรคุกเข่าขอขมายกมือไหว้
“ตอนที่พวกฉันร้องขอชีวิตพวกแก แกเคยทำตามที่ร้องขอไหมล่ะ” ไกรสิงห์แสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อแกไม่เคยให้ฉัน ฉันก็ให้แกไม่ได้เหมือนกัน”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะหมวดไกร” ดิสกรจ่อปืนไปที่ไกรสิงห์ “ไม่ใช่สิ ทวิตรา ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลสุทธิธรรมโรจน์”
พลากรตะลึง ทวิตรา เด็กสาวคนนั้น เป็นไปได้อย่างไร เธอตายไปแล้วนี่นา พลากรได้แต่อุทานในใจ
“แกยังไม่ตาย” พลากรร้องผ่านกำแพงไฟที่ล้อมตัวเขาไว้
“ตายไปแล้ว แต่ตะกายจากนรกขึ้นมาเพื่อคิดบัญชีกับแก” ทวิตราบอก “ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงนะผู้กอง” เธอถามอย่างใจเย็น
“ไม่ใช่แค่เธอหรอกที่มีพลังพิเศษนั่นคนเดียว ฉันรู้ตอนตบหลังหมวดไกร ไม่สิ หลังเธอ แผลที่กลางหลังนั่นเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ฉันเห็นภาพเธอ แล้วก็ตอนที่แตะปืนของหมวดไกรสิงห์ฉันถึงได้รู้ว่าเธอปลอมตัวมา เพราะฉันเห็นหมวดไกรตัวจริงนอนสลบอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง” ดิสกรบอก
“ไซโคเมทรีเหรอ” ทวิตราหัวเราะ “เหลือเชื่อจริงๆ แต่คงเอาชนะไพโรคินเนซิสอย่างฉันไม่ได้หรอก”
จู่ๆเปลวไฟก็ลุกไหม้ที่มือของดิสกร เขาสลัดปืนทิ้ง ปืนไหม้จนใช้การไม่ได้
“มอบตัวซะเถอะให้กฎหมายจัดการดีกว่านะ” ดิสกรยกมือขอร้อง
“ไร้เดียงสาน่าผู้กอง เสียเวลาเปล่า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว”
“แต่เธอไม่มีเหตุผลที่ต้องทำร้ายหมวดไกรนี่นา”
“ฉันไม่ได้ทำร้ายผู้หมวด เขาประสบอุบัติเหตุตกเขา ฉันไปเจอเขาพอดี เลยพาไปส่งโรงพยาบาล เขาเป็นอัมพาตสูญเสียความทรงจำ พอดีเห็นว่าเป็นตำรวจฉันก็เลยสบโอกาสปลอมตัวเป็นผู้หมวด ใช้อำนาจในตำแหน่งสืบหาข้อมูลพวกมันแล้วก็จัดการคิดบัญชีกับพวกมันทีละคน แล้วก็รับอาสาเข้ามาสืบคดีเอง เพราะถึงยังไงก็ไม่มีทางที่ใครจะสงสัยตำรวจที่สืบคดีที่ตัวเองก่ออยู่แล้ว ต้องขอบคุณผู้กองนะที่อุตส่าห์มอบหน้าที่คุ้มกันไอ้กรให้ฉัน ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาตัวมัน” ทวิตราหัวเราะ
ดิสกรพยายามหาจังหวะเข้าถึงตัวทวิตรา แต่เธอก็เสกกำแพงไฟกันดิสกรเอาไว้จนดิสกรต้องถอยร่นออกไป
“ขอร้อง ฉันไม่อยากทำร้ายคุณ” ทวิตรากอดอก
“อย่าทำอย่างนั้นทวิตรา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจเถอะ” ดิสกรร้อง
“หน้าที่ตำรวจเหรอ พวกแกจะมีปัญญาช่วยอะไรได้ ครอบครัวฉันถูกพวกมันโกงจนหมดตัว แค่นี้ยังไม่พอ มันยังรวมหัวกันฆ่าพวกฉันปิดปาก แล้วสร้างฉากว่าพ่อฉันเผาบ้านฆ่าตัวตายยกครัว บังเอิญฉันรอดตายมาได้ หลายสิบปีมานี้ฉันต้องอยู่อย่างแร้นแค้น ต้องทุกข์ทรมานกับบาดแผลไฟไหม้ ต้องปกปิดตัวตนเพื่อไม่ให้พวกมันมาตามราวี แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้ฉันได้พลังจิตไพโรคินเนซิสมา คงเป็นเพราะความแค้นกระมัง เอาล่ะ หมดเวลาอธิบายแล้ว ได้เวลาปิดบัญชีเสียที”
ทวิตราจ้องไปที่พลากรที่คุกเข่าอ้อนวอนอย่างบ้าคลั่ง และแล้วไฟกลุ่มใหญ่ก็โหมไหม้พลากรอย่างรุนแรง เขาหวีดร้องอย่างบ้าคลั่งทุรนทุราย ในไม่ช้าเสียงร้องนั้นก็เงียบสงบลง ไฟร้องแรงเผาผลาญพลากรจนไม่เหลือซาก ดิสกรได้แต่นิ่งตะลึงงันอย่างไม่อาจทำอะไรได้
ทวิตราหันมาหาดิสกร ความรู้สึกหวาดหวั่นเข้าครอบคลุมจิตใจ เขาอาจมีพลังหยั่งรู้อดีต แต่ไม่อาจรู้อนาคตได้ เขาไม่รู้ว่าทวิตราจะจัดการกับเขาแบบเดียวกับพลากรหรือเปล่า
“ไม่ต้องกลัวหรอกผู้กอง” ทวิตราพูดราวกับอ่านใจดิสกรออก “ฉันไม่ทำร้ายคุณหรอก ฉันแค่มาคิดบัญชีกับพวกมันเท่านั้น นอกนั้นฉันไม่เคยฆ่าใคร”
“แล้วเธอจะทำอะไร” ดิสกรพูดเสียงสั่นผ่านเปลวไฟ
“ฉันได้ชื่อว่าตายไปแล้วนะผู้กอง ถึงเวลาต้องตายจริงๆเสียที”
ทันทีที่พูดจบ เปลวไฟก็ลุกไหม้ร่างทวิตรา หน้ากากปลอมรูปใบหน้าไกรสิงห์ละลายออกกลายเป็นใบหน้าของทวิตรา เผยให้เห็นรอยแผลไฟไหม้ตามร่างกายเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เปลวเพลิงโหมร้อนแรง อุณหภูมิสูงเป็นพันองศาจน ดิสกรต้องถอยห่าง ทว่าเขากลับไม่ได้ยินเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของทวิตราแม้แต่นิด หรือมันอาจเทียบไม่ได้กับความเจ็บแค้นที่เธอเคยได้รับ ในไม่ช้าร่างของเธอก็สูญสลายหายไปจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ ความแค้นของเธอถูกชำระแล้ว และไฟแค้นก็เผาผลาญเธอไปด้วย
ดิสกรยืนนิ่งท่ามกลางราตรีเงียบงัน

จบ

5 ความเห็นบน “ไฟแค้น โดย อสิมา : รางวัลชมเชยการประกวดเรื่องสั้นไซ-ไฟ ครั้งที่ 1 หัวข้อ “พลังจิต””

  1. เป็นเรื่องที่สนุกดีครับ นำเอาพลังจิตมาผูกเป็นเรื่องฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนได้อย่างน่าสนใจครับ และมีการค้นคว้าหาข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับพลังจิตมาประกอบทำให้เรื่องดูเป็นไซ-ไฟมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ชัดเจนนัก แต่การที่ทวิตราซึ่งเป็นผู้หญิงปลอมตัวเป็นหมวดไกรสิงห์ซึ่งเป็นผู้ชายด้วยการสวมหน้ากากนั้นดูธรรมดาเกินไปและไม่สมเหตุสมผลจนไม่น่าเชื่อว่าจะหลอกคนอื่นๆได้ น่าจะหาวิธีการปลอมตัวด้วยวิธีอื่นที่แนบเนียนกว่า อาจจะใช้วิธีการวิทยาศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่ง

  2. เรื่อง “ไฟแค้น” นี้เป็นเรื่องที่เห็นว่ามีรูปแบบการเขียนที่ค่อนข้างสมบูรณ์เรื่องหนึ่ง ด้วยสำนวนการเขียน การนำเสนอ บทบรรยาย และบทพูดที่กลมกลืนลื่นไหลอ่านได้ไม่ติดขัด จังหวะการให้ข้อมูลตามรายทางในเรื่องทำได้อย่างลงตัว เมื่ออ่านแล้วมีข้อสังเกตว่าหากเพิ่มจำนวนหน้าให้อีกซักนิดเรื่องนี้จะสามารถทำให้สมบูรณ์กว่านี้ได้ เปิดเนื้อเรื่องที่บทพูดสนทนาระหว่างตัวละครสองตัวซึ่งอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักซึ่งเปิดโดยการกล่าวสรุปรายงานการสืบสวนของเหตุการณ์ต้นเรื่องซึ่งในจุดนี้ทำได้ดีมาก ในเรื่องการสับเปลี่ยนโยกย้ายเหตุการณ์หนึ่งไปอีกเหตุการณ์หนึ่งเพื่อเข้าสู่เรื่องหลัก (ที่มักใช้บ่อยตามละครหรือภาพยนตร์เช่นกัน) การแสดงอารมณ์ของตัวละครและบรรยากาศในเรื่องก็เป็นอีกสิ่งที่ทำได้ดีและทำให้ผู้อ่านเข้าถึงได้ง่าย พลังพิเศษของตัวละครในเรื่องอธิบายได้อย่างเข้าใจง่ายและง่ายต่อการจินตนาการ จังหวะการผูกเรื่องที่ค่อยๆ สร้างและคลายปมจนไปถึงจุดคลี่คลายทำได้ดี บทสนทนาเป็นธรรมชาติ และบทจบที่อาจจะคาดเดาได้แต่จบลงสมบูรณ์เป็นที่น่าพอใจเมื่ออ่านจบ

    อาริยา – อุษณา

  3. แก่นเรื่องเกี่ยวกับการล้างแค้นในอดีต ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในงานเขียนเรื่องสั้น เพราะจะปูพื้นความรู้สึกได้ยาก นั่นเอง

    เป็นอีกเรื่องที่การหักมุมดูน่าจะเป็น จุดเด่นของเรื่อง (ผมใช้คำว่า น่าจะ)
    เพราะถึงแม้จะมีคำอธิบายมากมายในตอนท้าย แต่ไม่มี คำใบ้ใดๆให้เห็นก่อนหน้า
    ทำให้การเฉลยในตอนท้ายจึง ขาดพลังไป อย่างน่าเสียดาย(ออกจะไปแนว ขำๆ เสียด้วยซ้ำ)
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยความสามารถของตัวเอก ทำให้แทบจะไม่ต้องลุ้นอะไรเลย

    ข้อติงส่วนหนึ่งก็คือ
    ความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ เช่น ในแง่ของที่มาที่ไป(ของพลังอำนาจ) อาจจะมีน้อยไปสักนิด

    การเดินเรื่องทั่วไป และ ภาษา อยู่ในเกณฑ์ดี

    ครับ
    (ปล. อ่านแล้วรู้สึกเหมือนดูละครไทยยังไงไม่รู้แฮะ)

  4. ชวนตื่นเต้นครับ จุดหักมุมของเรื่องนี้ผมว่าอยู่ที่ตำรวจอีกคนกลับมีพลังจิตอยู่ด้วย ซึ่งดูแล้วบังเอิญมากไปนิดนึงครับ แต่เรื่องที่มาที่ไปของพลังจิตนั้นโดยส่วนตัวไม่ค่อยติดใจนัก (ส่วนหนึ่งเพราะผมชอบเรื่องที่ทิ้งค้างไว้ให้เดาเองเป็นทุนเดิมอยู่ก่อน)

  5. เรื่องนี้เขียนดีที่สุดใน 3 เรื่อง เรื่องเรียบง่ายชวนติดตาม ไม่เกินความคาดหมายเท่าไหร่
    แต่การปลอดตัวของหญิงสาวดูจะประดักประเดิกไม่น้อย ใครช่วยแต่หน้าปิดบาดแผลให้ ความสูงต่ำ น้ำเสียง นิสัยต่างๆ ดูไม่น่าเชื่อถือ แบบโมเมเอาง่ายๆ

    เรื่องสนุกดี แต่ไม่ล้ำลึก

ใส่ความเห็น