กุทรุสกะ มหันตภัยร้ายแห่งกาล (เวลา) : ๒ : อายุขัยที่สั้นลง!

: อายุขัยที่สั้นลง! 

วันที่   ๑   ตุลาคม   กุสกะ   ๔๕๕๕

ภายในห้องรับรอง ‘จามาคะที่สิบสอง’ ของปราสาทที่ประทับแห่งองค์จักรพรรดิ ผู้เข้าร่วมประชุมต่างมีเสียงงึมงำดังไปทั่วห้อง บรรยากาศภายในห้องขณะนี้มีท่าทีตื่นตระหนกและตกใจในบางสิ่งบางอย่าง! เสียงงึมงำหยุดลงเมื่อประตูบานใหญ่ของห้องรับรองถูกเปิดออก

บุรุษรูปร่างสูงสง่า ปรากฏพระวรกายขึ้น พระเกศายาวสีน้ำตาลแซมสีดอกเลา สายพระเนตรคมกริบแฝงด้วยอำนาจเมื่อผสมกลมกลืนกับชุดฉลองที่เต็มยศนั้นยิ่งทำให้รัศมีแห่งพลังและอำนาจแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกอณูของพื้นที่ที่ปรากฏพระวรกาย ทุกคนภายในห้องลุกขึ้นยืนและถวายความเคารพโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อจักรพรรดิจามาคะที่ ๑๙ ประทับนลงพระราชอาสน์ตรงด้านหน้าทำให้ดูเด่นเป็นสง่ายิ่งนัก หลังจากนั้นทุกคนภายในห้องจึงนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง

“ทุกท่านคงได้ดูในรายงานกันแล้ว…เมื่อ ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา ดร.อนุได้นำข้อมูลดังกล่าวมาให้เราดู” หยุดพักเว้นระยะ

“มันเป็นข้อมูลที่เหลือเชื่อมาก! แต่ก็เต็มไปด้วยพื้นฐานตรรกะทางเหตุผลและข้อเท็จจริงอันอิงกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่มีมารองรับจนยากจะปฏิเสธ เราถือว่าเรื่องดังกล่าวนี้เป็นภัยร้ายแรงที่คุกคามมวลมนุษยาชาติในเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน!” จักรพรรดิจามาคะที่สิบเก้าตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจและทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้อง ยิ่งทำให้ดีกรีแห่งความร้อนที่ครุกรุ่นอยู่ก่อนหน้าเริ่มกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระองค์ทรงตรัสเสร็จ

“อะ…อะไรกันนี่!!! อา…อายุขัยในอีกห้าปีข้างหน้าจะเหลือแค่สี่ปีงั้นเหรอ? นี่ขนาดอายุขัยในปัจจุบันโดยเฉลี่ยของพวกเราอยู่ที่ประมาณ ๑๐ ปี ก็ยังถือว่าสั้นมากแล้ว หากลดเหลือแค่สี่ปี… มะ…มันไม่จริงใช่ไหมดร.อนุ!” บุรุษวัยกลางคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และไว้หนวดเครารุงรังพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักอันดัง ทั้งที่พยายามบังคับแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล

“จริงครับท่าน!” ดร.อนุย้ำกับทุกคนที่เข้าร่วมประชุมอีกครั้งอย่างหนักแน่น เสียงในห้องรับรองเริ่มอื้ออึงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อดร.อนุพูดจบก่อนที่เขาจะเสริมต่อ

“ใจเย็น ๆ ก่อนครับทุกท่าน ตอนนี้ทางศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งอาณาจักรของเรากำลังหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขในเรื่องดังกล่าวอยู่”

“แล้วได้เรื่องหรือยังท่านอนุ!” นายพลวชิ หนุ่มใหญ่วัยห้าปี รูปร่างท้วม ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงคาดคั้น

“ตอนนี้ยังครับ แต่ผมคิดว่า…”

“ยัง! อย่างนั้นเหรอ นี่มันผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้วนะนับตั้งแต่ที่ท่านรู้ข้อมูล ไม่น่าเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์มือหนึ่งอย่างท่านจะไม่มีคำตอบไหนที่ดีและโสภาไปกว่าคำว่า ‘ยังไม่รู้อะไรเลย!’ ช่างน่าผิดหวังซะนี่กะไร” นายพลวชิมองดร.อนุอย่างเหยียดๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปทางองค์จักรพรรดิจามาคะ

“ฝ่าพระบาท กระหม่อมมีความเห็นว่าพระองค์น่าจะมอบหมายภาระหน้าที่นี้ให้กับดร.โมหาไปดูแลดีกว่า พะยะค่ะ” นายพลวชิพยามยามไล่ต้อนดร.อนุและเพื่อจะบีบจักรพรรดิจามาคะให้มอบหมายเรื่องสำคัญดังกล่าวให้อยู่ในความดูแลของดร.โมหาลูกน้องคนสนิท ขณะเดียวกันหลายๆ ท่านที่อยู่ในห้องรับรองที่ใช้ในการประชุมเรื่องสำคัญนี้ เริ่มมีเสียงที่แสดงไปในทิศทางที่เห็นด้วยกับท่านนายพลวชิ

“ผมว่าพวกเราใจเย็น ๆ กันก่อนดีกว่า เรื่องนี้พวกเราทุกคนต่างตระหนักว่าเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงที่สำคัญที่สุดต่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกเรา ดร.อนุในฐานะที่เป็นผู้ศึกษาและเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่แรก ผมคิดว่าน่าจะให้โอกาสท่านอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งผมมั่นใจว่าด้วยความอัจฉริยะของท่านคงจะหาทางแก้ไขในเรื่องดังกล่าวได้แน่ และเราต้องไม่ลืมว่าตลอดระยะที่ผ่านมาพวกเราไม่เคยผิดหวังในตัวของท่านดร.อนุเลย” นายพลสุตะบุรุษรูปร่างสูงใหญ่วัยเดียวกันกับท่านนายพลวชิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมและมั่นใจอันเป็นเอกลักษณ์ของท่าน ทำให้โมเมนตัมทางความคิดของหลาย ๆ ท่านที่นั่งอยู่ภายในห้องเหวี่ยงกลับมายังจุดเดิมที่เคยเป็นอยู่ตามปกติ เสียงอื้ออึงภายในห้องเริ่มสงบลง ในขณะที่นายพลวชิกัดกรามแน่น

“ณ เวลานี้!” พระสุรเสียงที่หนักแน่นและทรงพลังดังขึ้นหลังจากที่นายพลสุตะพูดจบ

“เอาเป็นว่า ให้ท่านอนุดำเนินการต่อไป หรือหากว่าใครมีข้อเสนอแนะที่ดีมีเหตุและผลที่อยู่ภายใต้กรอบของวิทยาศาสตร์อันคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนที่ทางราชอาณาจักรได้บัญญัติไว้!” เว้นระยะและทอดสายพระเนตรมายังท่านนายพลวชิ “เราก็เปิดโอกาสให้ไม่ปิดกั้น ที่สำคัญเราขอให้ทุกท่านที่ประชุมกันในวันนี้อย่าพึ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปป็นอันขาด จนกว่าว่าจะมีอะไรที่คืบหน้าและชัดเจนเป็นรูปธรรมมากกว่านี้!” จักรพรรดิจามาคะทรงย้ำกับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน

“พะยะค่ะ!” ขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน

 

ใส่ความเห็น