CordeTerrae : บทนำ

บทนำ-จุดเริ่มต้นแห่งความเปลี่ยนแปลง

ท่ามกลางห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง เต็มไปด้วยความตระการตาของหมู่ดาวนับร้อยพัน ที่บรรจงแต่งแต้มสีสันสวยงาม ราวประติมากรรมอันวิจิตรที่ยากจะมีสิ่งใดเสมอเหมือน  วัตถุชิ้นหนึ่งเคลื่อนตัวไปท่ามกลางความว่างเปล่าบนช่องทางระหว่างดวงดารา ที่ซึ่งสิ่งทรงปัญญาเผ่าพันธุ์หนึ่งเคยบัญญัติไว้ แน่นอนว่า เผ่าพันธุ์ดังกล่าวจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมนุษย์นั่นเอง แม้ว่ามนุษย์ผู้ควบคุมวัตถุดังกล่าวจะมั่นใจว่าตนเองหลุดออกจากเส้นทางที่รู้จักมานานแล้วก็ตาม

ชายหนุ่มในเครื่องแบบรัดรูปสีน้ำเงินเข้ม ประดับไว้ด้วยเข็มกลัดปีกวิหคสีทองอันแสดงถึงตำแหน่งสูงล้ำในเผ่าพันธุ์ของเขา ‘เอ็ดมันด์ เกลเดีย’ เหม่อมองออกไปยังห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ภายนอกหน้าต่างของหอควบคุมยานอวกาศขนาดมหึมา แม้ว่าสิ่งที่เขาโดยสารมาจะใหญ่โตเพียงใด ก็คงเป็นได้เพียงฝุ่นธุลีของเทหวัตถุเบื้องนอกนั่น และไม่ว่าเขากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วขนาดไหน เมื่อเปรียบกับขนาดของห้วงอวกาศแห่งนี้ ก็คงไม่ผิดอะไรกับการอยู่นิ่งมากนัก

เสียง ‘ฟู่’ เบาๆ ดังมาจากบุรุษเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ เอ็ดมันด์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อคิดย้อนไปถึงสิ่งที่ผ่านมาตลอดการเดินทางอันยาวนานของเขา แววตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองไปยังเข็มกลัดปีกวิหคสีเงินยวงที่วางไว้บนแผงควบคุม ประกายตาหม่นหมองเศร้าศร้อยอย่างที่ใบหน้าอันเย็นชาของเขาไม่อาจปกปิดความรู้สึกได้มิดชิดเมื่อหวนคิดไปถึงผู้เป็นเจ้าของ บุคคลผู้เคยเป็นทั้งน้องชาย และผู้ร่วมงานของเขา บุคคลที่เคยอยู่เคียงข้างเขามาตลอด โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพอันต่ำต้อยของเขาจนเขาสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้สำเร็จ บุคคลผู้ซึ่งได้จากเขาไปตลอดกาลพร้อมๆ กับลูกเรือทั้งหมดบนยานลำนี้ ‘คาร์ล คาร์เวล’ นับเป็นความผิดพลาดของเขาเองที่เลือกที่จะรับภารกิจพิเศษชิ้นนี้ ภารกิจซึ่งพรากเอาทุกชีวิตบนยานลำนี้ไป ภารกิจซึ่งแม้จะใช้เวลาชั่วนิรันด์ยังมิอาจเสร็จสิ้น

แก้วกาแฟสีขาวขุ่นค่อยๆ เลื่อนออกมาอย่างช้าๆ จากลิฟท์ส่งอาหารด้านข้างโต๊ะทำงาน พร้อมบราวนี่ชิ้นโต ทำให้สายตาของเอ็ดมันด์หันกลับไปสนใจอาหารว่างของเขา ด้วยร้อยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

“อย่างน้อยก็ไม่อดตายล่ะนะ” เสียงเปรยเบาๆ ดังขึ้นจากหนุ่มผมทอง พร้อมๆ กับอาหารในจานที่ลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วจนหมดลงในที่สุด

ไม่ว่าบนยานจะร้างไร้ผู้คน หรือเต็มไปด้วยแก๊สพิษก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้อยู่อาศัยในยานเลยแม้แต่น้อย ด้วยเทคโนโลยีสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในยุคสมัย ระบบทั้งหมดของยานเป็นระบบอัตโนมัติที่ควบคุมด้วยปัญญาประดิษฐ์ชั้นสูง ซึ่งจำลองไว้ด้วยมันสมองของผู้ที่สร้างมันขึ้นมา พร้อมด้วยแหล่งพลังงานอันมหาศาลจนแทบไม่มีวันหมดสิ้นด้วยเทคโนโลยีการหลอมรวมพลังงานต่างขั้วเข้าด้วยกัน รวมทั้งระบบดูแลรักษากลไกการขับเคลื่อนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ตราบเท่าที่ระบบยังคงสมบูรณ์พร้อม และผู้บังคับการณ์บนยานยังไม่สั่งปิดระบบ ยานลำนี้จะสามารถล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศแห่งนี้ได้ตราบชั่วนิรันด์ หรือจนกว่าตัวยานจะกลายเป็นฝุ่นธุลี แม้จะเหมือนการประชด แต่ด้วยลักษณะพิเศษของยานลำนี้ช่างเหมาะสมกับภารกิจของกัปตันผู้ควบคุมมันยิ่งนัก

“อลิส ขอน้ำองุ่นอีกแก้ว” เสียงสั่งการอย่างนุ่มนวลไปยังระบบปัญญาประดิษฐ์ดังขึ้น เกือบจะพร้อมกับที่แก้วทรงสูงพร้อมของเหลวสีม่วงเข้มถูกส่งผ่านมาอย่างช้าๆ เอ็ดมันด์หยิบแก้วอย่างแผ่วเบาก่อนจะยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่ขอบแก้วจะจรดริมฝีปากสายตาของเขากลับสะดุดลงเพราะบางสิ่งภายนอกหน้าต่างของหอบังคับการณ์

ภาพที่ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าสร้างความประหลาดใจแก่เอ็ดมันด์เป็นอย่างมาก มันไม่ใช่ทะเลดวงดาวที่สุกสว่างดังเช่นที่ผ่านมา หากแต่มันเป็นดาวเคราะห์สีเทาหม่นขนาดมหึมาดวงหนึ่ง ทั้งๆ ที่เขาตั้งระบบให้ยานออกห่างจากดาวทุกดวงในทุกเงื่อนไข ส่งผลให้เอ็ดมันด์ต้องวางแก้วลงพร้อมเริ่มต้นการสั่งการในทันที

“ขอรายงานเกี่ยวกับดาวนั่นด้วย อลิส” หน้าจอรายงานถูกเปิดออกพร้อมกระบวนการวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อกระบวนการวิเคราะห์เสร็จสิ้นลง เอ็ดมันด์ถึงกับต้องขมวดคิ้วในทันที เมื่อข้อมูลทั้งหมดที่ปรากฏออกมามีเพียงคำเดียว ‘ไม่ระบุ’

“เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางซะ ออกห่างจากดาวดวนนั้นโดยเร็ว อลิส” เสียงสั่งการดังขึ้นอีกครั้ง แต่กลับไม่มีการตอบสนองมาจากระบบเลย ในขณะที่ยานยังคงเคลื่อนตัวผ่านดาวเคราะห์สีเทาหม่นไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่ในทันทีที่ยานผ่านเข้าสู่วงโคจรที่อยู่ใกล้ตัวดาวมากที่สุด ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นกับตัวยานอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกับที่ไฟฟ้าทั้งหมดในยานดับวูบลง

ด้วยความเยือกเย็น และประสบการณ์ที่เคยพบเจอมา เอ็ดมันด์รวบรวมสติกลับมาได้ในชั่วอึดใจ ระบบควบคุมยานถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นการควบคุมโดยมนุษย์ พร้อมกับที่เสียงรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดดังขึ้น ส่งผลให้ระบบของตัวยานกลับมาทำงานอีกครั้ง คำสั่งที่ซับซ้อนถูกถ่ายทอดไปอย่างรวดเร็วเพื่อตรวจสอบทุกความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นกับตัวยาน แต่เมื่อการตรวจสอบเสร็จสิ้นกลับทำให้เอ็ดมันด์ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อไม่พบความผิดปรกติใดๆ เลย นอกจากนั้นระบบยังระบุว่าไม่เคยมีความผิดปรกติใดๆ เกิดขึ้นอีกด้วย หากแต่ในตอนนี้ระบบขับเคลื่อนหลักของตัวยานถูกปิดลงโดยสมบูรณ์ ทั้งยังไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้โดยไม่รู้สาเหตุ แม้จะใช้ระบบควบคุมโดยมนุษย์อยู่ก็ตาม

เสียงสบถดังขึ้นจากบุรุษผู้ไม่เคยหวั่นไหวต่อสิ่งใดเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้เพียงประการเดียว ดวงหน้าของชายหนุ่มกลับมาเรียบเฉยอีกครั้งพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด  เสียงรัวนิ้วบนคีย์บอร์ดดังขึ้นอีกครั้ง คำสั่งใหม่ถูกป้อนลงไปอย่างรวดเร็ว ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไปจากการตรวจสอบมาเป็นภาพฉายของห้องหนึ่งบนตัวยาน ซึ่งใช้เก็บสัมภาระพิเศษที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด

ห้องโถงโลหะปรากฏขึ้นบนจอภาพ ใจกลางห้องมีโดมผลึกสีขาวนวลขนาดใหญ่ ผิวโดมเนียนละเอียดราวกับประกอบขึ้นจากอัญมณีอันล้ำค่า โดยรอบโดมไร้ซึ่งประตู หน้าต่าง หรืออะไรก็ตามที่อาจเรียกได้ว่าเป็นทางเข้าออก หรือรอยต่อ ให้ชวนสงสัยว่ามันถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร แต่อย่างไรก็ตาม คำถามเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาของบุรุษเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้เลย

เสียง ‘ปี๊ป’ เบาๆ ดังแผ่วมาจากเก้าอี้บังคับการณ์ เกิดม่านแสงสีฟ้าบางๆ ขึ้นเบื้องหน้าของเอ็ดมันด์ ก่อนที่ม่านแสงนั้นจะค่อยๆ แปรสภาพออกเป็นรูปร่างของคีย์บอร์ด คำสั่งถูกส่งออกไปอีกครั้งจากคีย์บอร์ดแสง ทันใดนั้น โดมผลึกก็เรืองแสงอ่อนๆ ออกมา ความพึงพอใจแผ่ซ่านไปทั่วในหน้าของเอ็ดมันด์ เมื่อเห็นว่าโดมผลึกยังทำงานได้ตามปรกติ

เอ็ดมันด์เริ่มพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดแสงในทันที หวังเริ่มต้นแก้ไขปัญหาของยาน และเปิดระบบขับเคลื่อนหลักให้ยานเคลื่อนตัวกลับสู่เส้นทางดังเดิม แต่ยังไม่ทันที่คำสั่งแรกจะถูกส่งออกไปก็เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นกับตัวยานอีกครั้ง พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง

“แย่ล่ะ!” เสียงอุทานดังขึ้นเมื่อเอ็ดมันด์สังเกตว่าดาวเคราะห์สีเทาหม่นด้านนอกยานเริ่มใกล้เข้ามาอีกครั้งทั้งที่ระบบขับเคลื่อนหลักของยานยังไม่เริ่มทำงาน นั่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจน ยานของเขาตกลงไปสู่สนามโน้มถ่วงของดาวเคราะห์แล้ว และกำลังจะปะทะกับพื้นผิวของดาวในอีกไม่กี่นาที ซึ่งเป็นเวลาที่น้อยเกินกว่าจะแก้ไขระบบขับเคลื่อนหลักของยานได้ทัน และหากเป็นเช่นนั้นภารกิจของเขาคงล้มเหลวโดยไม่อาจแก้ไขได้อีก

ซึ่งเขาไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด!

หากไม่อาจย้อนกลับไปใช้วิธีเดิมได้ ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นที่อาจให้ผลดีกว่า!

หากไม่อาจหนีได้อีกแล้ว ก็ต้องซ่อนมันเอาไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของเขาก็ตาม!

เอ็ดมันด์พิมพ์คำสั่งลงบนคีย์บอร์ดแสงอย่างรวดเร็ว วัตถุทรงกลมแบนโปร่งใสชิ้นหนึ่งลอยออกมาจากช่องเปิดบนเก้าอี้บังคับการณ์ เขาได้หยิบเข็มกลัดปีกวิหคสีเงินขึ้นมาแล้วติดลงไปบนด้านแบนด้านหนึ่งของวัตถุโปร่งใส ก่อนจะปลดเข็มกลัดของตัวเขาเองลงจากปกเสื้อ ติดลงไปบนอีกด้านหนึ่ง แล้วจึงพิมพ์คำสั่งชุดหนึ่งลงไปบนคีย์บอร์ดแสง

ทันใดนั้น เข็มกลัดที่ติดลงไปบนวัตถุโปร่งใสทั้งสองด้านค่อยๆ จมลงไปในเนื้อของวัตถุ ก่อนจะประกบติดกับเข็มกลัดอีกอัน ณ ใจกลางของวัตถุโปร่งแสงชิ้นนั้น ก่อเกิดแสงสีขาวนวลสว่างวาบขึ้นที่ตัวเข็มกลัดทั้งสอง แสงนั้นกลืนพื้นที่ทั้งหมดของวัตถุโปร่งใสอย่างนุ่มนวล แล้วเปลี่ยนรูปร่างของวัตถุโปร่งใสให้กลายเป็นทรงกลมโดยสมบูรณ์ พร้อมกับเรืองแสงสีขาวนวลออกมาอย่างสม่ำเสมอ ก่อนจะลอยนิ่งอยู่ซ้ายมือของเอ็ดมันด์แล้วปล่อยเส้นแสงสีขาวนวลไปยังคีย์บอร์ดแสงสีฟ้าของเขา

แสงสีฟ้าของคีย์บอร์ดถูกย้อมเป็นแสงสีขาวนวลอย่างช้าๆ พื้นใต้เก้าอี้บังคับการณ์เปิดออกเป็นช่อง พร้อมๆ กับที่เก้าอี้ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านช่องที่เปิดออก เมื่อลอดผ่านช่องลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏให้เห็นคือเพดาน และผนังโลหะสีเทาของห้องโถงขนาดมหึมาที่เคยเห็นในจอภาพ เบื้องล่างคือโดมผลึกสีขาวนวลที่ตอนนี้เรืองแสงสว่างยิ่งกว่าเดิม เพดานส่วนบนสุดของโดมปริแตกออกเป็นฝุ่นธุลีจำนวนมหาศาล ลอยขึ้นด้านบนพร้อมบิดตัวเป็นเกลียวอย่างช้าๆ แกนกลางแหวกออกเป็นช่องล้อมรอบตัวเอ็ดมันด์ที่กำลังลอยลงมาอย่างงดงาม ราวกับต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยความยินดี

เอ็ดมันด์ไม่ได้ให้ความสนใจในความเปลี่ยนแปลงของโดมผลึกมากนัก เขาเคยเห็นมันทำงานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในตอนที่มันถูกสร้างขึ้นมา สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการจัดการกับภารกิจสุดท้ายในชีวิตของเขาด้วยเวลาอันน้อยนิดที่เหลืออยู่

แม้จะใช้ระบบขับเคลื่อนหลักไม่ได้แต่นั่นไม่เกี่ยวกับการบังคับทิศทาง

ยานถูกตั้งให้หันหัวยานไปยังพื้นผิวดาวเคราะห์ตามคำบัญชาของกัปตัน พร้อมกับที่พลังงานในเตาปฏิกรณ์จำนวนมหาศาลถูกส่งมายังถังพลังงานด้านข้างห้องนิรภัย

เอ็ดมันด์ละสายตาจากจอภาพหลังจากที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว พอดีกับที่เก้าอี้บังคับการณ์ลอยผ่านผนังเข้ามาภายใน เพดานของโดมผลึกก็ปิดตัวลงดังเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของเขาเป็นพีระมิดฐานสี่เหลี่ยมสีเงิน ใต้ฐานนูนลงไปเป็นทรงพีระมิดกลับหัวที่แบนกว่ามากหากแต่มุมทั้งสี่ของพีระมิดกลับหัวมีแท่งโลหะยืดยาวลงไปเป็นลวดลายงดงามอ่อนช้อยดุจเปลวอัคคีโดยส่วนปลายบรรจบกันเป็นทรงพีระมิดกลับหัวที่มีความสูงโดยรวมเท่ากับพีระมิดเบื้องบน ใจกลางลวดลายของเสาโลหะสีเงินทั้งสี่ตั้งไว้ด้วยทรงกลมโลหะโปร่งแสงสีขาวขุ่นลอยอยู่อย่างสงบ โดยโครงสร้างทั้งหมดของสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ลอยอยู่เหนือพื้นโดมเล็กน้อย

เมื่อเก้าอี้บังคับการณ์ลองเข้ามาใกล้ ผนังของพีระมิดก็เปิดออกเป็นช่องให้ลอดผ่าน และเมื่อเก้าอี้บังคับการณ์เลื่อนเข้าสู่ใจกลางพีระมิดเรียบร้อยแล้ว ช่องก็ปิดลงเหลือเพียงความมืดสนิทภายในพีระมิด ทว่ากลมแสงสีขาวนวลและคีย์บอร์ดแสงกลับคงความสว่างไม่เสื่อมคลาย ก่อนที่เส้นแสงสีต่างๆ จะปรากฏขึ้นเรียงตัวเป็นสัญลักษณ์ และข้อมูลต่างๆ มากมายรายล้อมชายหนุ่มเพียงคนเดียวในที่นี้ อันเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว

โดมผลึกทั้งโดมแตกตัวออกเป็นฝุ่นธุลีจำนวนมหาศาล พีระมิดโลหะค่อยๆ ลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ ห้อมล้อมด้วยธุลีของโดมผลึกที่พร้อมใจกันบิดเป็นเกลียวขนาดใหญ่รายรอบพีระมิด ทรงกลมสีขุ่นใต้พีระมิดสาดแสงสีฟ้าใสดุจดวงดาราทว่าเจิดจ้าราวแสงสุริยัน

เมื่อลอยสูงขึ้นระดับหนึ่งแล้ว ธุลีผลึกสีขาวนวลก็ไหลบิดวนเป็นเกลียวเข้าสู่ศูนย์กลางแล้วคืนรูปกลับเป็นทรงกลมผลึก ล้อมรอบพีระมิดสีเงินกลางอากาศอย่างนิ่มนวล ก่อนสียงครางของเครื่องจักรขนาดใหญ่จะดังขึ้นภายในห้องนิรภัย เมื่อท่อพลังงานขนาดใหญ่ที่ผนังห้องถูกเปิดออก

คลื่นพลังงานในรูปคลื่นสีฟ้าปริมาณมหาศาลไหลทะลักเข้าสู่ห้องนิรภัยอย่างรุนแรงก่อนจะพุ่งเข้าหาทรงกลมผลึกใจกลางห้องราวถูกดึงดูดด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น พร้อมกับบิดวนเป็นทรงกลมล้อมรอบทรงกลมผลึกอีกชั้นด้วยปริมาณและความเร็วมหาศาล ทำให้ตอนนี้ภายในห้องนิรภัยเต็มไปด้วยคลื่นพลังงานปริมาณมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ไหลวนอยู่อย่างรุนแรง

ทรงกลมผลึกกระจายตัวอีกครั้ง ก่อนจะหลอมรวมเข้ากับทะเลพลังงานโดยรอบ แล้วค่อยๆ รวบคลื่นพลังงานมหาศาลเป็นทรงกลมลดขนาดลงเรื่อยๆ ในขณะที่พลังงานยังไหลเข้ามาไม่หยุด ทำให้ทรงกลมพลังงานหนาแน่น และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ในขณะที่พีระมิดโลหะที่เป็นศูนย์กลางกลับสงบอย่างเหลือเชื่อ

ภายในพีระมิดโลหะถูกเปลี่ยนให้จำลองภาพภายนอกตัวยานเข้ามาในรูปแบบสามมิติ โดยมีเอ็ดมันด์ที่นั่งมองดูความเคลื่อนไหวของยานที่ค่อยๆ พุ่งเข้าหาดาวเคราะห์สีเทาหม่นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ และมวลอันมหาศาลของยาน เมื่อรวมองค์ประกอบของภาพจำลองอวกาศภายในพีระมิดเข้ากับบรรยากาศรอบตัวของเอ็ดมันด์ ทำให้เขาดูราวกับเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังเฝ้ามองความเป็นไปของดวงดาวเลยทีเดียว

ยานลำมหึมาพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศด้วยความเร็วสูง โดยมีเอ็ดมันด์นั่งมองอย่างสงบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยที่สามารถปฏิบัติภารกิจสุดท้ายได้สำเร็จ แต่เมื่อยานเริ่มเข้าใกล้ผิวดาวจนเห็นทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มของเอ็ดมันด์ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตระหนกถึงขีดสุด เมื่อภาพที่ปรากฏต่อสายตานั้นกลับเป็นภาพของหอคอยสีเทาสูงตระหง่านตั้งอยู่เบื้องหน้า ณ จุดที่ยานกำลังพุ่งเข้าไป ราวกับถูกดึงดูดด้วยหอคอยนั้นก็ไม่ปาน

เขาพลาดที่คิดว่าดาวดวงนี้เป็นดาวร้างแต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก

เขาจะซ่อนอะไรได้หากมันอยู่ภายใต้การจับตามองของสิ่งทรงปัญญาอื่นอีกนับพันชีวิต

นี่หรือสิ่งที่เขา ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากคนทั้งเผ่าพันธุ์ในฐานะวีรบุรุษแลกชีวิตเพื่อทำให้สำเร็จ

ภาพความผิดในอดีตไหลย้อนกลับมาในความทรงจำ ซ้อนทับกับความผิดพลาดครั้งสุดท้ายภายใต้แรงกดดันที่ถาโถมอย่างหนักหน่วง แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดภายในศีรษะอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ บีบคั้นร่างกายจนแทบสิ้นสติ พลันก็เกิดการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงมวนท้องบิดคั้นจนขย้อนของเหลวสีแดงฉานออกสู่ภายนอกอย่างไม่อาจทานทนไหว

ทรงกลมแสงด้านซ้ายมือยังทำงานตามลำดับขั้นปล่อยเส้นแสงเข้าทั่วร่างกาย ก่อนจะทำให้ร่างกายของเขาเกิดประกายแสงสีขาวนวลแล้วทวีความเจิดจ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่สนใจ ภายใต้สติอันเรือนราง สิ่งสุดท้ายที่เขาคิดถึงมีเพียงบ้านเกิดที่เขาจากมา ดาวเคราะห์ดวงที่สามของระบบสุริยจักรวาล อันมีนามว่า ‘โลก’

ทัศนียภาพรอบตัวพลันเปลี่ยนไป จากดาวเคราะห์สีเทาไร้ชีวิตชีวากลับกลายเป็นทุ่งหญ้าอันงดงาม ราวกับผู้สั่งการต้องการหนีความจริง แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับสร้างความปวดร้าวจนไม่อาจทานรับได้อีกต่อไป เมื่อสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับเป็นภาพของน้องชายของเขา ผู้ที่สละทั้งความหวัง และชีวิตของตนให้เขาเป็นผู้สานต่อ

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนไร้ซึ่งประกาย หยาดน้ำตาที่หลั่งไหลกลับกลายเป็นสายโลหิตอันปวดร้าว ใบหน้าที่เคยนิ่งสงบกลับบิดเบี้ยวไป คล้ายสติที่เคยเรื่อยไหลดุจสายน้ำแปรเปลี่ยนเป็นความวิปลาสอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ริมฝีปากแสยะยิ้มราวสิ้นสติ พร้อมเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในวินาทีสุดท้ายของชีวิต คำสั่งสุดท้ายถูกส่งออกไปด้วยการทุบกระแทกที่เท้าแขนด้านขวามือ อันเป็นที่ตั้งของระบบทำลายตนเอง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะสลายกลายเป็นละอองแสงฟุ้งไปราวไม่เคยมีตัวตน

ตัวยานพุ่งเข้าชนกับหอคอยสีเทาหม่นอย่างรุนแรง แต่การระเบิดกลับเกิดขึ้นใจกลางยาน ณ ที่ตั้งของเตาปฏิกรณ์ บังเกิดเป็นโดมแสงสีขาวเจิดจ้ากลืนกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกวาดล้างทุกสรรพสิ่งในระยะให้ระเหิดเป็นไอ ก่อนที่โนว่าสีแดงฉานจะปะทุออกเป็นสาย เปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งไปโดยสิ้นเชิง

____________________________________________________________

ทดสอบเอาลงครับ แต่งได้หลายบทแล้วแต่ยังไม่เข้าที่เท่าไร เลยยังไม่คิดจะลงในตอนแรก แต่เอาลงไปดูข้อผิดพลาดในแนวทางการเขียนก่อนก็คงดี จะได้ปรับปรุงทีเดียว ฝากด้วยนะครับ ระบบโพสข้อความเว็บนี้ค่อนข้างมึนเลยทีเดียวนะครับ

10 ความเห็นบน “CordeTerrae : บทนำ”

  1. อ่อ ไม่หรอกครับ ติดที่ความเคยชินน่ะครับ ครั้งแรกก็แบบนี้ล่ะ หาอะไรไม่ค่อยจะเจอ ^^

    ถ้าจะว่าไป รูปแบบมันขัดกับมาตรฐานละมั้งครับ คือปรกติจะเป็นการเซ็ทค่าจากบนลงล่างตามขั้นตอน เช่น ชื่อเรื่อง>หมวดหมู่>Tag>ตัว Insert File>กล่องข้อความสำหรับใส่เนื้อหา และรูปแบบทั่วไป>ปุ่มยืนยัน

    แต่การจัดเรียงของเว็บนี้เป็นการแยกระหว่างตัวเรื่อง(ชื่อเรื่อง+InsertFile+เนื้อหา) กับการเซ็ทค่า(ระบบบันทึกไฟล์และปุ่มยืนยัน+หมวดหมู่+Tag) เป็นสองซีกคือซ้ายกับขวา ตอนพยายามเอาลงเลยมึนไปเล็กน้อยครับ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าชินก็หมดปัญหา

  2. “ที่ซึ่งสิ่งทรงปัญญาเผ่าพันธุ์หนึ่งเคย บัญญัติ ไว้ ” ???ประโยคนี้ดูชอบกลอยู่ครับ

    “เสียงรัวนิ้วลงบนคีย์บอร์ดดังขึ้น” ยังใช้อยู่อีกหรือ???

    บรรยายเรื่องการปรับค่าต่างๆอะไรต่อมิอะไรเยอะเกินไปจนมึน

    แล้วดาวสีเทานั้นทำไมมีอิทธิฤทธิ์อะไรหนักหนา หรือจะมีการแฟลชแบคในตอนต่อไปครับ

  3. ปิดระบบ AI ไปแล้วครับ เลยต้องนั่งกดคีย์บอร์ดเอง

    ดาวสีเทาไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อะไรเลย ปัญหาอยู่ที่ตัวยาน กับเรื่องราวก่อนจะมาถึงจุดนี้ครับ ส่วนหอคอยสีเทาเป็นแค่ผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่ๆ ก็โดนระเบิดครับ

    เนื้อเรื่องทั้งหมดของตัวเรื่องจะวนๆ อยู่กับการ Terra Forming ครับ แยกสลายสสารที่เสถียรอยู่แล้ว แล้วประกอบขึ้นใหม่ พลังงานย่อมมหาศาลเป็นธรรมดา

    นี่เป็นบทนำ มีเพื่อดึงเรื่องให้คนติดตามจึงทำให้เป็นแค่เหตุการณ์ฉากหนึ่งเท่านั้นครับ

    ส่วนเรื่องการปรับค่าอะไรต่างๆ จนมึนนั่นไม่แน่ใจว่าหมายถึงเม้นหรือนิยาย
    ถ้าหมายถึงนิยายก็เป็นเพราะสำนวนผมยังไม่ดีพอครับ จะปรับปรุงต่อไป
    ถ้าหมายถึงเม้นก็ขอให้ปล่อยมันลอยคอไป ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีกครับ

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่สละเวลามาอ่านบทความไร้สาระ

  4. ขออภัยที่พูดสั้นไป

    การปรับค่าหมายถึง ช่วงที่เล่าเรื่องดังต่อไปนี้ครับ

    “เอ็ดมันด์พิมพ์คำสั่งลงบนคีย์บอร์ดแสงอย่างรวดเร็ว วัตถุทรงกลมแบนโปร่งใสชิ้นหนึ่งลอยออกมาจากช่องเปิดบนเก้าอี้บังคับการณ์ เขาได้หยิบเข็มกลัดปีกวิหคสีเงินขึ้นมาแล้วติดลงไปบนด้านแบนด้านหนึ่งของ วัตถุโปร่งใส ก่อนจะปลดเข็มกลัดของตัวเขาเองลงจากปกเสื้อ ติดลงไปบนอีกด้านหนึ่ง แล้วจึงพิมพ์คำสั่งชุดหนึ่งลงไปบนคีย์บอร์ดแสง

    ทันใดนั้น เข็มกลัดที่ติดลงไปบนวัตถุโปร่งใสทั้งสองด้านค่อยๆ จมลงไปในเนื้อของวัตถุ ก่อนจะประกบติดกับเข็มกลัดอีกอัน ณ ใจกลางของวัตถุโปร่งแสงชิ้นนั้น ก่อเกิดแสงสีขาวนวลสว่างวาบขึ้นที่ตัวเข็มกลัดทั้งสอง แสงนั้นกลืนพื้นที่ทั้งหมดของวัตถุโปร่งใสอย่างนุ่มนวล แล้วเปลี่ยนรูปร่างของวัตถุโปร่งใสให้กลายเป็นทรงกลมโดยสมบูรณ์ พร้อมกับเรืองแสงสีขาวนวลออกมาอย่างสม่ำเสมอ ก่อนจะลอยนิ่งอยู่ซ้ายมือของเอ็ดมันด์แล้วปล่อยเส้นแสงสีขาวนวลไปยัง คีย์บอร์ดแสงสีฟ้าของเขา

    แสงสีฟ้าของคีย์บอร์ดถูกย้อมเป็นแสงสีขาวนวลอย่างช้าๆ พื้นใต้เก้าอี้บังคับการณ์เปิดออกเป็นช่อง พร้อมๆ กับที่เก้าอี้ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านช่องที่เปิดออก เมื่อลอดผ่านช่องลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏให้เห็นคือเพดาน และผนังโลหะสีเทาของห้องโถงขนาดมหึมาที่เคยเห็นในจอภาพ เบื้องล่างคือโดมผลึกสีขาวนวลที่ตอนนี้เรืองแสงสว่างยิ่งกว่าเดิม เพดานส่วนบนสุดของโดมปริแตกออกเป็นฝุ่นธุลีจำนวนมหาศาล ลอยขึ้นด้านบนพร้อมบิดตัวเป็นเกลียวอย่างช้าๆ แกนกลางแหวกออกเป็นช่องล้อมรอบตัวเอ็ดมันด์ที่กำลังลอยลงมาอย่างงดงาม ราวกับต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยความยินดี

    เอ็ดมันด์ไม่ได้ให้ความสนใจในความเปลี่ยนแปลงของโดมผลึกมากนัก เขาเคยเห็นมันทำงานมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในตอนที่มันถูกสร้างขึ้นมา สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการจัดการกับภารกิจสุดท้ายในชีวิตของเขาด้วยเวลาอัน น้อยนิดที่เหลืออยู่

    แม้จะใช้ระบบขับเคลื่อนหลักไม่ได้แต่นั่นไม่เกี่ยวกับการบังคับทิศทาง

    ยานถูกตั้งให้หันหัวยานไปยังพื้นผิวดาวเคราะห์ตามคำบัญชาของกัปตัน พร้อมกับที่พลังงานในเตาปฏิกรณ์จำนวนมหาศาลถูกส่งมายังถังพลังงานด้านข้าง ห้องนิรภัย

    เอ็ดมันด์ละสายตาจากจอภาพหลังจากที่สั่งการเรียบร้อยแล้ว พอดีกับที่เก้าอี้บังคับการณ์ลอยผ่านผนังเข้ามาภายใน เพดานของโดมผลึกก็ปิดตัวลงดังเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

    สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของเขาเป็นพีระมิดฐานสี่เหลี่ยมสีเงิน ใต้ฐานนูนลงไปเป็นทรงพีระมิดกลับหัวที่แบนกว่ามากหากแต่มุมทั้งสี่ของ พีระมิดกลับหัวมีแท่งโลหะยืดยาวลงไปเป็นลวดลายงดงามอ่อนช้อยดุจเปลวอัคคีโดย ส่วนปลายบรรจบกันเป็นทรงพีระมิดกลับหัวที่มีความสูงโดยรวมเท่ากับพีระมิด เบื้องบน ใจกลางลวดลายของเสาโลหะสีเงินทั้งสี่ตั้งไว้ด้วยทรงกลมโลหะโปร่งแสงสีขาว ขุ่นลอยอยู่อย่างสงบ โดยโครงสร้างทั้งหมดของสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ลอยอยู่เหนือพื้นโดมเล็กน้อย

    เมื่อเก้าอี้บังคับการณ์ลองเข้ามาใกล้ ผนังของพีระมิดก็เปิดออกเป็นช่องให้ลอดผ่าน และเมื่อเก้าอี้บังคับการณ์เลื่อนเข้าสู่ใจกลางพีระมิดเรียบร้อยแล้ว ช่องก็ปิดลงเหลือเพียงความมืดสนิทภายในพีระมิด ทว่ากลมแสงสีขาวนวลและคีย์บอร์ดแสงกลับคงความสว่างไม่เสื่อมคลาย ก่อนที่เส้นแสงสีต่างๆ จะปรากฏขึ้นเรียงตัวเป็นสัญลักษณ์ และข้อมูลต่างๆ มากมายรายล้อมชายหนุ่มเพียงคนเดียวในที่นี้ อันเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว

    โดมผลึกทั้งโดมแตกตัวออกเป็นฝุ่นธุลีจำนวนมหาศาล พีระมิดโลหะค่อยๆ ลอยตัวขึ้นอย่างช้าๆ ห้อมล้อมด้วยธุลีของโดมผลึกที่พร้อมใจกันบิดเป็นเกลียวขนาดใหญ่รายรอบ พีระมิด ทรงกลมสีขุ่นใต้พีระมิดสาดแสงสีฟ้าใสดุจดวงดาราทว่าเจิดจ้าราวแสงสุริยัน

    เมื่อลอยสูงขึ้นระดับหนึ่งแล้ว ธุลีผลึกสีขาวนวลก็ไหลบิดวนเป็นเกลียวเข้าสู่ศูนย์กลางแล้วคืนรูปกลับเป็น ทรงกลมผลึก ล้อมรอบพีระมิดสีเงินกลางอากาศอย่างนิ่มนวล ก่อนสียงครางของเครื่องจักรขนาดใหญ่จะดังขึ้นภายในห้องนิรภัย เมื่อท่อพลังงานขนาดใหญ่ที่ผนังห้องถูกเปิดออก

    คลื่นพลังงานในรูปคลื่นสีฟ้าปริมาณมหาศาลไหลทะลักเข้าสู่ห้องนิรภัยอย่าง รุนแรงก่อนจะพุ่งเข้าหาทรงกลมผลึกใจกลางห้องราวถูกดึงดูดด้วยอำนาจที่มองไม่ เห็น พร้อมกับบิดวนเป็นทรงกลมล้อมรอบทรงกลมผลึกอีกชั้นด้วยปริมาณและความเร็ว มหาศาล ทำให้ตอนนี้ภายในห้องนิรภัยเต็มไปด้วยคลื่นพลังงานปริมาณมหาศาลจนไม่อาจคาด เดาได้ไหลวนอยู่อย่างรุนแรง

    ทรงกลมผลึกกระจายตัวอีกครั้ง ก่อนจะหลอมรวมเข้ากับทะเลพลังงานโดยรอบ แล้วค่อยๆ รวบคลื่นพลังงานมหาศาลเป็นทรงกลมลดขนาดลงเรื่อยๆ ในขณะที่พลังงานยังไหลเข้ามาไม่หยุด ทำให้ทรงกลมพลังงานหนาแน่น และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ในขณะที่พีระมิดโลหะที่เป็นศูนย์กลางกลับสงบอย่างเหลือเชื่อ”

    มันซับซ้อนและยาวไปหน่อย น่าจะลองแก้ไขได้

  5. คีย์บอดร์ที่บรรยายในเรื่องเมื่ออ่านแล้วจะเห็นภาพว่ามีลักษณะแบบเดียวกับคีบอร์ดในปัจจุบัน
    ซึ่งทำจากพลาสติกแข็งๆ ที่น่าจะไม่มีใช้แล้วในยุคอนาคตอันไกลโพ้น

    โดยเฉพาะระะบบฉุกเฉินซึ่งต้องการ การป้อนค่าต่างๆที่ต้องใช้ความเร็วสูงและคำสั่งอันแม่นยำ

    “ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่สละเวลามาอ่านบทความไร้สาระ”

    นี่ไม่ถือว่าเป็นการเสียเวลาอ่านบทความที่ไร้สาระหรอกครับ แต่เป็นงานบรรณาธิการ
    ที่มีจุดหมายเพื่อปรับปรุงและเสริมจุดแข็งของนวนิยาย ที่นำมาลงในเว็บของชมรม

    หากเราไม่ช่วยกันดู ไม่มีคำตำหนิติชม ก็จะพาวงการหนังสือบ้านเราพุ่งลงเหว

  6. อ่าครับ ตรงจุดนั้นจะลองพยายามปรับแก้ดูครับ พอดีมันเป็นช่วงที่เน้นความเคลื่อนไหวอย่างเดียวน่ะครับ เพราะตัวละครในบทมีเพียงตัวเดียวเลยไม่ได้ใส่บทพูดเข้าไปคั่น แต่ใช้วิธีบรรยายเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ แทนครับ ไว้หลังจากนี้จะลองเอาคำใบ้เนื้อเรื่องใส่แทรกลงไปให้มีตัวคั่นบทแล้วกันครับ บางทีถ้าแยกออกเป็นส่วนย่อยๆ แล้วข้ามบางส่วนไปให้เห็นแค่ภาพรวมก็น่าจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้นบ้าง

    สำหรับคีย์บอร์ดจะขอรับแนวคิดนี้ไปปรับใช้ในเนื้อเรื่องต่อไปนะครับ (ไฮเทคจริงของต้องเทพ) จะว่าไปถ้าพูดถึงเสียงรัวนิ้วบนคีย์บอร์ดจะให้ความรู้สึกเหมือนเสียง “ต็อกแต็กๆ” เวลาเคาะแป้นพิมพ์เนอะ เดี๋ยวจะลองหาศัพท์ใหม่ที่อธิบายถึงความเร่งด่วนได้โดยเลี่ยงหัวข้อนี้ไปครับ <(^o^<)

    อ้อ เทคโนโลยีในเรื่องชุด Corde Terrae เกือบทั้งหมดจะโดนดึงไว้ไม่ให้แปลกแยกไปจากปัจจุบันมากเกินควร ด้วยการถูกควบคุมพัฒนาการทั้งระบบโดยบุคคลเพียงคนเดียวครับ อันเป็นแก่นของเรื่องเลย ผมจึงเบาใจได้เปลาะหนึ่งว่าไม่ต้องพัฒนาเทคโนโลยีแปลกๆ มากนักในการเดินเรื่องครับ แม้จะต้องระวังให้มันล้ำกว่าปัจจุบันพอสมควรก็ตาม ตอนยานตกนี้ไม่ไกลจากปัจจุบันมากนักครับ (ไม่เกิน 200 ปี) แต่การเดินเรื่องจริงจะเดินเรื่องหลังเหตุการณ์นี้ไปเกือบ 1500 ปี โดยจะค่อยๆ ปล่อยประเด็นปัญหาในอดีตออกมาเพื่อให้ตัวเอกตัดสินใจในทางที่จะเลือกเดินต่อไปในอนาคตครับ

    พูดง่ายๆ ก็คือจะแบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 3 ส่วนครับคือ
    1.จุดเปลี่ยน (บทนำนี้ อันเป็นจุดช่วยให้ตัวละครเชื่อมกับอดีตได้)
    2.ปัญหาจริง (ปัญหาที่นำโลกมาจนถึงจุดเปลี่ยนที่มีคนพยายามจะทิ้งเบาะแสไว้ให้แก้ไข)
    3.เนื้อเรื่องหลัก (ให้ตัวเอกเดินเรื่องจริงๆ ครับ)

  7. ผมว่าการเขียนเรื่องเป็นตอน ๆ ตีพิมพ์ ไม่ว่าจะใน internet หรือตามนิตยสาร
    เหมือนกับเราดูหนัง series ที่ต้องทำให้คนดูในแต่ละตอนไม่ลดหายไป
    เคล็ดลับน่าจะอยู่ที่การมี “อะไร” ประหลาดใจให้คนอ่านอย่างสม่ำเสมอ
    ในแต่ละตอนก็น่าจะมีจุด peak ของตัวเอง และผูกปมสำหรับตอนต่อไปทิ้งไว้
    ให้คนอ่านมีความสงสัยและคอยติดตามตอนต่อไปของเรื่อง
    คงเหมือนกับการตั้งคำถามที่หนึ่งทิ้งไว้ ตอนต่อไปก็ตอบคำถามที่หนึ่งแล้วถามคำถามที่สองต่อ
    จากนั้นมาเฉลยกันในตอนที่สามและตั้งคำถาม(สร้างปมเรื่อง)ไว้สำหรับตอนต่อไป

    นิยายที่มาจากการรวมเล่มของเรื่องที่ตีพิมพ์ตามนิตยสารจึงมีความแปลกกว่านิยายที่เขียนเป็นเรื่องยาวโดยเฉพาะ
    เคยอ่าน “หิมาลายัน” ของประภัสสร เสวิกุล ก็เป็นอย่างที่ผมได้อธิบายไว้ข้างต้น
    เรื่องยาวห้าร้อยกว่าหน้า เผลออ่านต่อเนื่องกันจนลืมเวลาไปเลยครับ

    นิยายสายลับของ Tom Clancy ใช้กลวิธีนี้กับทุกเรื่อง (และไม่เคยมีเรื่องใดขายไ่ม่ได้)
    เขียนเป็นตอนสั้น ๆ ตัดสลับกันไปหลาย ๆ เหตุการณ์ ทิ้งค้างไว้ด้วยประโยคที่ชวนให้ใจหาย
    หรือคำพูดที่คนอ่านอดไม่ได้ จะต้องเปิดอ่านบทต่อไป (และจากนั้นก็อ่านต่อไปเรื่อย ๆ)

    (เห็นด้วยกับคุณ pommm ที่ว่าการบรรยายช่วงนั้นดูละเอียดเกินไป – เว้นแต่ว่าจะนำไปใช้ต่อในตอนต่อไปนะครับ)

    งานเขียนที่บรรยายแบบละเอียดแต่ชวนติดตามก็มีมากนะครับ เช่นนิยายของแดน บราวน์
    ทุกเรื่องที่ผมเคยอ่านมา (ยกเว้น The last symbol ยังไม่ได้อ่าน) ดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบในไม่เกินหนึ่งวัน เขียนบรรยายได้ห้า-หกร้อยหน้าโดยไม่น่าเบื่อ และยังดำเนินเรื่องได้ชวนติดตามอีกด้วย
    เป็นงานเขียนที่น่าศึกษาไม่น้อยเช่นกันครับ

  8. การสร้างงานในลักษณะของการลงตอนต่อตอนในเน็ตจำเป็นต้องทำแบบนั้นจริงๆ ครับ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมจะไม่สนใจความนิยมในเน็ตมากนัก จึงอาจไม่จำเป็นต้องสนเรื่องนี้น่ะครับ ที่เอามาลงที่นี่ก็เพื่อรับคำแนะนำเท่านั้น อันที่จริงบทที่ลงตอนนี้ไม่ใช่เนื้อเรื่องหลักครับ แค่ตอนสั้นๆ ที่มีเหตุการณ์ช่วงหนึ่งสำหรับเปิดเรื่องเท่านั้นเอง ไม่สามารถลงเกิน 1 ตอนได้ครับ ดังนั้นต้องลงทั้งหมดเลย แต่ปัญหาที่ตามมาคือทำยังไงไม่ให้ผู้อ่านเบลอครับ นั่นคือปัญหาหลักจริงๆ ของตอนนี้ที่มีการบรรยายรายละเอียดแน่นเกินไปจนยากจะจินตนาการตามทัน

    การสร้างความนิยมของนิยายในเน็ตคือการเร่งลงอย่างสม่ำเสมอในช่วงแรกครับ แต่งทิ้งไว้มากๆ แล้วลงวันละ 1-2 ตอนโดยให้เนื้อเรื่องรวบรัดเล็กน้อยเพื่อให้ผู้อ่านมองภาพรวมออกโดยเร็ว เมื่อตอนมากขึ้นในระดับหนึ่งแล้วเนื้อเรื่องเราดึงผู้อ่านอยู่ ต่อให้เราไม่ทิ้งปมอะไรไว้เลย ลงช้าแค่ไหนก็ยังมีคนติดตามครับ แต่ระวังอย่าให้น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 ตอนนะ (ได้ผลสูงสุดในเว็บเด็กดีครับ แต่แนวการเขียนต้องตรงความนิยมนะไม่งั้นโดนติแหลก เว็บนั่นเด็กเล่นเยอะ เขาสนเฉพาะแนวที่เขาคิดว่าดี)

    เอาเป็นว่า สำหรับคำแนะนำติชมเท่าที่ผ่านมาช่วยให้ผมหาข้อเสียในบทเจอครับ แต่ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะสามารถรอจนแต่จบค่อยย้อนมาผูกบทนำนี่ใหม่ให้มีรายละเอียดที่เราต้องการทีหลังได้ครับ

    ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านเป็นอย่างสูงที่เข้ามาช่วยกันหาข้อบกพร่อง ตราบเท่าที่มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับแนวการเขียนผมจะขอรับฟังเสมอครับ และจะชี้แจงแนวการแก้ไขที่น่าจะให้ผลดีที่สุดสำหรับงานชิ้นนี้ รวมถึงเหตุผลรองรับให้เสมอเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือในการกรองงานครับ

ใส่ความเห็น