Trap

แท่งโลหะสังเคราะห์โค้งสามแท่งประกบและเรียงตัวกัน สร้างรูปทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสามเมตร ตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถงกว้างเกือบสามสนามฟุตบอล
ที่ซึ่งดร.ปราโมทย์ใช้เป็นพื้นที่ทดลองเพื่อดักจับอนุภาคที่ยังไม่สามารถถูกยึดครองได้มาก่อน
นั่นคือ anti matter หรือ ปฎิสสาร นั่นเอง

เป้าหมายของดร.ปราโมทย์คือเก็บกักมันในสภาพที่ยังคงพลังงานของมันอยู่ให้ได้ในช่วงเวลาที่นานที่สุด
สิ่งที่เขาสร้างคือพื้นที่ที่สามารถเก็บกักพลังงานอันมหาศาลเอาไว้ให้ได้

โดยการสร้างสนามพลังงานความเข้มข้นสูงขึ้นในรูปทรงกลมที่แท่งโลหะสังเคราะห์นั้นสร้างขึ้น จากนั้นเร่งอนุภาพภายในพื้นที่จนอยู่ในรูปของพลาสม่า ก่อนเริ่มกระบวนการนำพลังงานจากการแผ่รังสีกลับมาใช้ใหม่เพื่อรักษาสภาพทรงกลมนั้น
ผลก็คือพื้นที่ที่พลังงานสมบูรณ์ เสมือนพลังงานที่อยู่ในระบบปิด

ด้วยสมมุติฐานนี้ดร.ปราโมทย์เชื่อว่า วัตถุพลังงานใดก็ตามที่เคลื่อนที่ผ่านมา จะถูกกักเก็บอยู่ในพื้นที่ทรงกลมนี้ และ ปฎิสสาร ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น

ผมมองว่าแนวคิดของดร.ปราโมทย์ก็น่าสนใจดีแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากนักเพราะหลังจากติดตามงานวิจัยของเขามาสักพักผมก็พบว่ามันไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร
จนกระทั่งวันหนึ่งดร.ปราโมทย์โทรมาหาผมและเรียกให้ผมมาที่ห้องทดลองของเขาโดยด่วน
นั่นทำให้ผมเดินทางมาเห็นอุปกรณ์ของเขาในวันนี้ และสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

“คุณมองเห็นกลุ่มหมอกจางๆตรงนั้นไหม” ดร.ปราโมทย์ชี้ที่จอภาพที่ถ่ายภาพจากทรงกลม เนื่องจากไม่สามารถมองทรงกลมพลังงานได้โดยตรงด้วยสายตาปกติ
“อันนี้บันทึกด้วยอัตราความเร็วเท่าไรครับ”
“ประมาณสามหมื่นเฟรมต่อวินาที”
ผมขยับแว่นกันแสงหนาหนักพยายามมองทรงกลมพลังงานตรงๆแต่สิ่งที่ผมเห็นคือทรงกลมสีขาวขนาดมหึมาที่ไม่มีอะไรเลย
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่านั่นคือ ปฎิสสาร”
“ผมก็ตั้งคำถามนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ลองคิดดูสิ นี่คือทรงกลมที่เป็นพลังงานสมบูรณ์ ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นนอกจากพลังงาน ถ้าไม่ใช่ ปฎิสสาร ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นอะไรได้อีก”

“คุณกักมันไว้ได้กี่ชั่วโมงแล้วครับ”
“นี่น่าจะครบ สิบสองชั่วโมงแล้ว”

ผมถูกโทรตามในอีก ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
“มันพูดกับผม” ดร.ปราโมทย์บอก

“คุณบอกว่าพลังงานทั้งหมดถูกเก็บไว้ แต่เสียงก็เป็นพลังงานนี่ครับ”
“ใช่ นั่นแหล่ะที่ทำให้ผมประหลาดใจ แต่ผมเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นการสั่นผ่านแกนโลหะสังเคราะห์ หรืออาจจะเป็นการเหนี่ยวนำให้เกิดการสั่น ซึ่งไม่ใช่การสั่นโดยการใช้พลังงานโดยตรง”
ผมพยายามฟังสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ แต่สิ่งที่ได้ยิน เหมือนเสียงวัตถุผิวหยาบบดใส่กันมากกว่า
มันให้ความรู้สึกเสียวฟัน แสบแก้วหู โหยหวน และเย็นสันหลัง ในเวลาเดียวกัน

ผมฟังเสียงบันทึกนั้นได้ประมาณสองสามวินาที ผมก็แทบบ้าแล้ว
แต่นี่ผ่านมาเกือบสามสิบหกชั่วโมงแล้วที่เสียงนั้นเริ่มต้นขึ้น และดร.ปราโมทย์ก็บอกว่ามันไม่เคยเงียบนับจากนั้น
แล้วผมก็ได้รับโทรศัพท์อีกครั้ง
“คุณต้องรีบมาดูนี่โดยด่วน”

สิ่งที่ผมเห็น ใกล้เคียงหนังสยองขวัญเข้าไปทุกที
เงาดำจางๆก่อนหน้านี้ บัดนี้เข้มข้นและขยายใหญ่ขึ้น
“ผมลองปรับความถี่ในย่านต่างๆ ตอนที่ผมพบว่ามันเป็นคำหลายๆคำในย่านความถี่ที่ต่างกันตามค่า log6”
“หมายถึงมันเปลี่ยนความถี่ไปเรื่อยๆ”
“ใช่ๆ รวมถึงความเร่งด้วย และบางคำก็เหมือนกับการพูดกลับหลัง”
แล้วเขาก็สังเคราะห์เสียงให้ฟัง
“ปล่อย … ฉัน … ไป”

ผมกลับมานั่งตั้งสติอยู่ที่บ้านตนเองเกือบสองวัน หลังจากได้ยินคำเหล่านั้น
แล้วผมก็เริ่มคิดได้ว่า นี่อาจจะเป็นการเล่นตลกของดร.ปราโมทย์เองก็เป็นได้
เขาอาจจะกำลังจนตรอกจากความล้มเหลวในการทำงานและผลงานวิจัยต่างๆที่ผ่านมา
ถ้าใช่ นี่น่าจะเป็นการแหกตาลวงโลกในวงการวิทยาศาสตร์ขนานใหญ่โดยแท้
ซึ่งผมในฐานะสื่อมวลชนจะไม่ยอมหลงอยู่ในกลลวงนี้โดยเด็ดขาด

แต่ประหลาด
ผมขาดการติดต่อจากดร.ปราโมทย์มาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว ทั้งๆที่ถ้าเขาต้องการจะสร้างชื่อเสียงจากผลการทดลองจอมปลอมนี่ เขาจะต้อง’ต้องการติดต่อ’กับผมมากกว่านี้
ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่บ้านของดร.ปราโมทย์เสียเอง ผู้ดูแลอาคารก็ยินดีเปิดอาคารให้ผมเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งบอกว่าไม่ได้เห็นดร.ปราโมทย์มาหลายวันแล้ว

ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทรงกลมพลังงานก็ยังคงอยู่ของมัน
เอกสารการจดบันทึกทั้งหมดยังคงอยู่อย่างเรียบร้อยนอกจากฝุ่นที่หนามากขึ้น
ดร.ปราโมทย์ไม่เคยออกจากบ้าน ไปไหนนานๆมากกว่าหนึ่งวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทิ้งให้การทดลองของเขาดำเนินไปโดยปราศจากการติดตามแบบนี้

หลังจากโทรศัพท์รายงานข้อสงสัยของผมต่อตำรวจโดยทันที ซึ่งสิ่งที่ได้กลับเป็นเพียงความไม่ใส่ใจ
“ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงค่อยโทรกลับมาใหม่”
ผมจึงเริ่มอ่านบันทึกการทดลองทั้งหมด

วันที่สี่
ยี่สิบสี่ชั่วโมง นับจากการแปลเสียงได้ครั้งแรก
ผมเริ่มพูดคุยกับสิ่งนั้น ซึ่งบางครั้งมันก็ตอบ หลายๆครั้งมันก็ไม่ตอบ ส่วนใหญ่เป็นเสียงครวญครางที่ผมยังแปลไม่ออก
น่าประหลาดที่ผมรู้สึกสบายใจอย่างมากต่อเสียงที่ผมได้ยิน ถึงแม้อนุชิตจะบ่นว่าเสียงนั้นโหยหวนและน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง

อนุชิต นั่นคือผมเอง และผมก็อ่านบันทึกการทดลองต่อ

วันที่ห้า
เงาดำใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สูงประมาณ 170เซนติเมตร และมีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงมนุษย์วัยโตเต็มวัย
ผมเริ่มแปลคำพูดได้มากขึ้น และพบว่ามันคือสมการทางคณิตศาสตร์
เป็นไปได้ว่าเขาหาคำที่เป็นคำพูดในการสื่อสารสิ่งที่ผมถามไม่ได้
พระเจ้าช่วย นี่ผมกำลังมองเขาเป็นมนุษย์หรือนี่

วันที่หก
ผมพบความจริงว่าเราไม่เคยจับอะไรได้เลย

บันทึกจบลงแค่นั้น ซึ่งนั่นทำให้ผมมึนงงหนักขึ้นไปอีก
แล้วตอนนั้นเองที่ผมเห็นเงาดำจางๆปรากฎขึ้นบนจอภาพ
ซึ่งไม่น่าจะเป็นวัตถุเดิมเนื่องจากมันมีขนาดที่เล็กกว่ามาก เทียบได้กับวัตถุที่ถูกจับได้ในวันแรกๆ
ผมน่าจะจับวัตถุ ปฎิสสาร ของผมเองได้แล้วมั้ง
ผมยิ้มก่อนเริ่มค้นแฟ้มภาพย้อนหลัง

เงาดำมีขนาดเกือบเท่ามนุษย์จริงๆนั่นแหล่ะ และรูปร่างของมันก็เกือบจะเรียกได้ว่ามนุษย์เช่นกัน มันมีแขน ขา และศีรษะ
อีกประโยคที่ดร.ปราโมทย์แปลได้ถูกบันทึกอยู่ในแฟ้มภาพไม่ใช่เอกสารการบันทึกของเขาและมันคือ
“ปล่อยฉัน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ปราโมทย์”
ผมแทบจะหลุดหัวเราะออกมา
นี่มันบ้าสิ้นดีและเป็นสิ่งที่แสดงว่าสมมุติฐานของผมน่าจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นดร.ปราโมทย์ก็คงเป็นบ้าไปแล้ว
“เราจับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากตัวเราเอง”
คำแปลนี้มันแปลกๆแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าเงาดำตัวใหม่นั้นคงเริ่มส่งเสียงร้องแล้ว

รูปในแฟ้มภาพนั้นทำให้ผมตกใจยิ่งกว่า
ผมสาบานได้ว่าผมเห็นโครงหน้าของเงาดำนั้น และมันเหมือนใบหน้าของดร.ปราโมทย์ไม่มีผิด
ผมได้ยินเสียงบ่นพึมพัมของดร.ปราโมทย์ผ่านการบันทึกภาพ
แล้วทันใดนั้น ทั้งเงาดำและดร.ปราโมทย์ก็หายวับไปจากจอภาพโดยพร้อมกัน

ผมอุทานเสียงหลง!

ถ้าเป็นอย่างที่ผมสังหรณ์ แสดงว่าดร.ปราโมทย์จับปฎิสสารได้จริงๆแต่เป็นปฎิสสารของตัวเขาเอง
และเมื่อปฎิสสารอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
สสาร และ ปฎิสสาร เมื่ออยู่ในสถานที่เดียวกันก็จะสลายไปเป็นความว่างเปล่า

เสียงโหยหวนดังปวดแก้วหู

“เราจับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากตัวเราเอง”
ไม่ใช่สิ
“เราติดกับดักก็เพราะตัวเราเองเท่านั้น”

ผมหันมองเครื่องกักปฎิสสาร เงาดำก่อตัวในทรงกลมพลังงานอย่างรวดเร็ว และมีรูปร่างใกล้เคียงมนุษย์ แต่เป็นไปได้อย่างไร นี่มันเร็วเกินไป

ปุ่มสีแดงฉุกเฉินอยู่เบื้องหน้าและผมไม่เสียเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาทีที่จะคิด

เสียง ฟุ่บ เบาๆตอนที่ทรงกลมพลังงานยุบตัวลงหลังจากที่ปุ่มหยุดทำงานฉุกเฉินโดนกดลงเต็มแรงก่อนเกิดแสงสว่างวาบสร้างแรงดันอากาศดันผมหงายหลังไปไกลเกือบสองเมตร

ผมไม่เข้าใจหรอกว่าการสลายตัวของสสารและปฎิสสารในกรณีของดร.ปราโมทย์เกิดขึ้นได้อย่างไรโดยที่ไม่มีการสัมผัสกันโดยตรง
แต่ก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องของการเหนี่ยวนำ

และจริงๆแล้วการดักจับตอนแรก ปฎิสสารของดร.ปราโมทย์ยังคงเป็นเพียงชิ้นเล็กๆเท่านั้น ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของเขาซึ่งเสมือนกับเซลที่ตายไปทุกๆวัน
ถ้าเป็นเช่นนั้น ในช่วงเวลาที่การดักจับปฎิสสารของดร.ปราโมทย์เกิดขึ้น ก็เป็นไปได้ว่าไม่มีการสลายตัวของเซลใดๆเกิดขึ้นกับตัวดร.ปราโมทย์เลยแม้แต่เซลเดียว
แต่เรื่องเหล่านี้ผมคงไม่มีทางที่จะรู้ได้

สัญชาติญาณความกลัวตายของมนุษย์นั้นกล้าแข็งเหลือเกิน
จนทำให้ผมไม่สนใจหรอกว่าสิ่งที่อยู่ในเครื่องดักจับปฎิสสารนั้นคืออะไร? เป็นปฎิสสารของผมจริงหรือไม่?

หรือผม”ติดกับ”สัญชาติญาณของตนเองอยู่

จบ

ใส่ความเห็น