กุทรุสกะ มหันตภัยร้ายแห่งกาล (เวลา) : ๙ : เทศกาลกุทรุสกะ (๒)

: เทศกาลกุทรุสกะ (๒) 

ความกลัวและความสับสนเริ่มเข้ามามีอิทธิพลเหนือภากรอีกครั้งเราจะมีชีวิตรอดไปถึง ๑๐ วันนั้นหรือเปล่า? แต่ละวัน ไม่ใช่สิ แต่ละวินาทีที่ผ่านไปมันช่างแสนทรมานซะเหลือเกิน และถ้าหากว่าพบคุณปู่ของเธอแล้วท่านจะช่วยเราได้หรือเปล่า???…คำถามแห่งอนาคตมากมายถาโถมเข้ามาภายในหัวสมองของเขา

“กร! นายกร ถึงแล้ว” รสุร้องบอกเขาเมื่อพาหนะลงจอดสนิทดีแล้ว และตามมาด้วยคำสั่ง

“มา! ยื่นมือของนายออกมา”

ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ทางความคิดอีกครั้งและถามขึ้นด้วยความงุนงง “ยื่นมือไปทำไม?”

“เหอะน่า” เธอตัดบทด้วยท่าทีที่เร่งรีบและต้องการความร่วมมือจากเขาในขณะนี้ ภากรจึงยื่นมือออกไปให้เธออย่างเสียไม่ได้ แล้วเธอก็ฉีดคล้าย ๆ สเปรย์ลงบนฝ่ามือของเขาพร้อมกับอธิบาย

“มันจะช่วยในระบบการหายใจของนาย…ไปลงไปได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเวลา”

กระจกครอบเจ้ายานพาหนะที่นำทั้งคู่มาเปิดออก เขาก้าวเท้าลงสัมผัสกับพื้นดินแห่งกุทรุสกะ…ใช่! มันเป็นก้าวแรกที่ได้สัมผัสนับตั้งแต่เขามาโผล่ที่นี่ เสี้ยววินาทีชายหนุ่มรู้สึกแน่นหน้าอก หน้ามืด ตาลาย หายใจไม่ออก ‘เอ๊ะ เราเป็นอะไรไปหรือนี่?’

“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ สูดลมหายใจ รอแป๊บนึงเดี๋ยวพอละอองสเปรย์ซึมเข้าผิวหนังนายจะรู้สึกดีขึ้น ตอนนี้ร่างกายนายกำลังค่อย ๆ ปรับสภาพอยู่ อากาศที่นี่จะมีสัดส่วนความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซค์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูงกว่าปกติ!” เธอให้ความกระจ่าง

จริงอย่างที่เธอว่า ในไม่ช้าชายหนุ่มค่อย ๆ หายใจโล่งขึ้นตามลำดับ แต่มันก็ยังคงเหมือนกับคนที่หายใจได้ไม่เต็มปอดมากนัก ยังคงคล้ายกับคนที่เดินทางไกลไม่ได้พักและเหนื่อยหอบ

“สถานที่ใช้จัดงานเทศกาล ‘กุทรุสกะ’ มีอาณาบริเวณพื้นที่โดยรอบทั้งหมดประมาณ ๑๐ ตารางกิโลเมตร เลยขึ้นไปอีก ๕๐๐ กิโลเมตรจากที่นี่ ก็จะเป็น ‘เทือกเขาเทพารักษ์’ ที่มีความสูงประมาณ ๓๙,๐๐๐ ฟุต และมีแนวเทือกเขาที่ทอดยาว ๑,๙๐๐ กิโลเมตร บนยอดเขาจะมีแหล่งน้ำจืดธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดเพียงแห่งเดียวที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในศูนย์กลางแห่งราชอาณาจักร” เธอหยุดเว้นระยะในขณะที่ยังก้าวเท้าเดินนำเขาต่อไป

“เทือกเขาเทพารักษ์ถือได้ว่าเป็นเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของพวกเราและที่สำคัญที่สุดก็คือ กุทรุสกะเกิดขึ้นที่นั่นเพียงแห่งเดียว!” เธอทำหน้าที่อธิบายเสมือนหนึ่งเป็นไกด์ที่พานักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมสถานที่สำคัญแห่งราชอาณาจักร

“แล้วที่นี่ห่างจากบ้านของเธอเท่าไหร่?” ชายหนุ่มถามขึ้นในขณะที่ก้าวเท้าตามเธอไปยังประตูทางออกของบริเวณลานจอดยานที่มองเห็นอยู่ไกล ๆ

“ไม่เท่าไหร่หรอก…แค่ ๑,๐๐๐ กิโลเมตร มาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้นเอง”

“๑,๐๐๐ กิโลเมตร!” ภากรพูดขึ้นอย่างตกใจ…ทำไมในความรู้สึกของเขาเหมือนมันไม่ไกล หรือว่าจะเป็นเพราะความเร็วของเจ้ายานนั่น

เธอสังเกตเห็นเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่หล่อคมเข้มของเขา “นี่ฉันยังขับยานช้านะ ปกติจากบ้านฉันมาที่นี่ใช้เวลาแค่ประมาณชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง”

ภากรพูดขึ้นอย่างตกใจอีกครั้ง “โอ้…งั้นเจ้ายานนี่คงมีความเร็วไม่ต่ำกว่า ๖๐๐ กม.ต่อชั่วโมงแน่ ๆ”

รสุพยักหน้า “แต่…ถ้าหากเป็นยานรุ่นสปอร์ตใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง” เธออธิบาย

ชายหนุ่มมองสำรวจรอบ ๆ บริเวณลานจอดรถ ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าลานจอดยาน มันเงียบสงัด เงียบจนน่ากลัว มียานที่เหมือนกับของเธอจอดอยู่ไม่กี่สิบลำ ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนกับงานเทศกาลอย่างที่เขารู้จักและสัมผัสมา แต่ก็ได้ยินเสียงอื้ออึงคลุกเคล้าเข้ากับเสียงหวีดร้องโหยหวนผสมกับเสียงปรบมือดังกึกก้องเข้ามากระทบที่โสตประสาทของเขาเป็นระยะ ๆ เธอพาเขาเดินออกมาลัดเลาะไปตามช่องทางเล็ก ๆ ที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงสีอันตระการตา เธอหยุดอยู่ที่ประตูบานใหญ่ เขาเห็นเธอทาบฝ่ามือลงไปที่เครื่องสแกนและประตูก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ เธอยังคงพาเขาเดินต่อไป สักพักเจอประตูคล้าย ๆ ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ เธอทำเหมือนเดิมอีก

‘ทำยังกับเข้ามาในห้องทดลองหรือไม่ก็ห้องลึกลับพิเศษยังไงยังงั้น’ ชายหนุ่มนึกในใจ

เธอยังคงไม่พูดอะไรในขณะที่เดินนำทางเขาต่อไป พอถึงประตูที่สามสังเกตได้ว่ามันใหญ่และดูแน่นหนากว่าสองอันแรกมาก ทั้ง ๆ ที่สองอันแรกก็ดูแน่นหนามากแล้ว และที่แตกต่างอีกอย่างคือเธอไม่ได้ใช้ฝ่ามือสแกนเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา เขาเห็นเธอกดรหัสอะไรบางอย่างที่ข้อมือของตัวเอง แล้วประตูก็เปิดออก ซึ่งมีคนเฝ้าอยู่ที่ประตูนี้ ๑๐ คน

‘น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็ทหารหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจ?’ ชายหนุ่มสังเกตเห็นมีบางอย่างอยู่ในมือของคนเหล่านั้น…โดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร?…‘แต่น่าจะเป็นอาวุธ!’ เขาคิด

คนพวกนั้นทำความเคารพเธอแล้วมองมาที่เขา ภากรได้ยินเธอพูดอะไรบางอย่างกับคนเหล่านั้น แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็หันมาทำความเคารพชายหนุ่มด้วย ซึ่งภากรคาดเดาเอา…เธอน่าจะบอกว่า ‘เขาเป็นญาติของเธอ’ ภากรยิ้มให้กับคนเหล่านั้น เพื่อต้องการที่จะผูกมิตรเอาไว้มากกว่าจะเป็นการทักทาย

“ฉันบอกไปว่านายเป็นญาติของฉัน” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเดินพ้นออกมาจากตรงที่กลุ่มคนเหล่านั้นยืนอยู่

“เธอเป็นใครกันแน่? แม่มด เอ่อ…ไม่ใช่สิ ฉันหมายถึง ผู้ทรงอิทธิพล คุณหนูไฮโซ หรือว่าเจ้าหญิงกันแน่?” เขาถามเธอด้วยความสงสัยที่สุดจะระงับเอาไว้ได้ ก่อนที่เธอจะตอบ…

“ทางนี้รสุ!” วาชุตะโกนเรียกและโบกมือให้พร้อมกับส่งยิ้มกว้างเผยให้เห็นสุขภาพฟันที่ดี

“ทางนี้โอเคไหมวาชุ” รสุถามขึ้นเมื่อสาวเท้าก้าวไปยังต้นเสียง

“โอเค ฉันปูทางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่…” วาชุเหลือบมองมาทางภากรแวบนึง “แต่ควรระวัง!… โน่นมาทางโน่นแล้ว” วาชุโบ้ยหน้าไปทางด้านหลังของเธอและเขา

“หวัดดีรสุ วาชุ!” ผู้ชายหน้าดุและคมเข้มกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่หวานในตอนต้นแต่เข้มในตอนท้าย “และนี่คือ… ?”

“หวัดดีฆายุ พึ่งมาถึงเหมือนกันเหรอ” รสุไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นฝ่ายถามกลับ

“มาถึงนานแล้ว แต่เห็นเธอยังไม่มาเลยเป็นห่วง” ฆายุส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้เธอก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่เย็นชาและแข็งกระด้างเมื่อจ้องมองมาทางภากร ซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นแววตาที่มองมายังเขานั้นเจือไปด้วยการคุกคามและข่มขู่อยู่ในที

“เอ่อ…ฉันขอแนะนำให้รู้จักญาติของฉันชื่อ กร เอ้ย! กุระ” รสุพูดตัดบทขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่มีทีท่าว่าจะตรึงเครียดนั้นให้ผ่อนคลายลง

“กุระ” หญิงสาวเรียกและสะกิดเขาเบา ๆ “นี่วาชุและนี่ฆายุ เพื่อนของฉันเอง” เธอแนะนำเป็นทางการ

ภากรยื่นมือไปสัมผัสกับวาชุ เพื่อเป็นการทักทาย ในขณะที่ฆายุกลับปัดมือของเขาออกอย่างไม่แยแส พลางสบถถ้อยคำบางอย่างออกมาด้วยภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง

“เขาว่าอะไรเหรอ?” ภากรกระซิบถามรสุเบา ๆ

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก เขาชมนายว่า…เอ่อ…” เธอพูดพร้อมกับทำมือเหมือนคนพยายามหาคำมาอธิบาย

“เขาพูดว่ารสุมีญาติเป็นพวกคนชั้นต่ำ!” วาชุแทรกขึ้นในขณะที่รสุกำลังพยายามสรรหาถ้อยคำมาอธิบาย

ภากรขบกรามแน่น ‘หนอย! คนชั้นต่ำงั้นเหรอ’ เขาคิดในใจพร้อมกับกำหมัดแน่น

‘อายุแค่ ๑ ปี ๘ เดือน ยังมาปาก…’ เมื่อนึกถึงเรื่องอายุนี้ทีไรทำให้อารมณ์ของเขาผ่อนคลายลงไปทุกที

“นี่นายอย่าสนใจในคำพูดของฆายุเลย เขาก็เป็นอย่างนี้แหละปากเสียกับทุก ๆ คน” รสุพูดขึ้น

“ใช่ แล้วหละกุระ นายอย่าใส่ใจเลย!” วาชุช่วยเสริมอีกคนด้วยน้ำเสียงที่ภากรเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร?…ช่างแตกต่างจากน้ำเสียงของรสุเหลือเกิน ‘เอ…หรือว่าเราคิดมากไปเอง’

ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้กับวาชุ “ขอบคุณมาก ผมไม่เป็นไรหรอก”

แล้ววาชุก็พาเขากับรสุเดินไปตามทางที่ฆายุเดินล่วงหน้าไปก่อนเมื่อสักพัก

เสียงโห่ร้องดังกึกก้องพร้อมเสียงปรบมือและเสียงโหยหวนดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ… มันใกล้มาก ใกล้ซะจนภากรคิดว่ามันดังก้องอยู่ข้างในหูของเขาซะด้วยซ้ำ เมื่อก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย ที่โล่งกว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขา มันถูกประดับประดาไปด้วยไฟแสงสีที่สวยงามตระการตา แต่ไม่มีเสาไฟและไม่มีสายไฟให้ระเกะระกะ มีเพียงหลอดไฟขนาดใหญ่หลายดวงที่มันลอยอยู่ในอากาศได้เอง!

‘มันลอยได้เองจริง ๆ’ ภากรคิดขณะที่เหลือบมองขึ้นไปด้านบนก่อนที่จะค่อย ๆ มองลงไปเบื้องล่างตามเสียงที่ได้ยิน แล้วต้องตกใจอย่างสุดขีดแทบทรุดกองลงกับพื้น โอ…นี่มันอะไรกันนี่? เขารู้ที่มาของแหล่งกำเนิดเสียงเหล่านั้นแล้ว จำนวนผู้คน…หรือว่าไม่ใช่…หรือว่าเป็นอมนุษย์!!! จำนวนมากมายกำลังต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งและป่าเถื่อนที่สุด มีทั้งเสียงโห่ร้องกึกก้อง เสียงปรบมือและเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด กลิ่นคาวเลือดสด ๆ คละคลุ้งฟุ้งขจายไปทั่วอาณาบริเวณ

โอ…นี่มันอะไรกันนี่เราอยู่ในโรงภาพยนตร์หรือโรงละครกันแน่? เขาอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าของเขาเป็นเพียงฉากหนึ่งของภาพยนตร์หรือละครเท่านั้น แต่…กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งตะลบอบอวนอยู่นี่หละมันคืออะไร? เอฟเฟกซ์อย่างงั้นหรือ? หัวสมองเขาหมุนเคว้งตัวเบาหวิว…รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีมือมาจับที่แขนของเขาแล้วจูงเดินไป

ใช่! รสุนั่นเอง ขอบคุณมากนะ ขอบคุณมากที่ช่วยปลุกฉันให้ตื่นจากฝันร้าย…ชายหนุ่มเดินตามรสุไปเหมือนคนเหม่อลอยและไร้สติ ‘ใช่ เราต้องฝัน ฝันไปแน่ ๆ’ ขณะนี้เขาหูอื้อ ตาลาย ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นในชั่วขณะ

“กร! กร กร” รสุตะโกนเรียกเขาที่ข้างหูด้วยเสียงอันดังแข่งกับเสียงต่าง ๆ ที่ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ พร้อมกับเขย่าแขนของเขาแรง ๆ

ภากรสะดุ้งเหมือนคนตกใจตื่น…เรามานั่งอยู่ที่เก้าอี้นี้ได้ยังไง?

“เป็นอะไรไปหรือเปล่า? ทำไมหน้านายซีดจัง?” เธอถามเขาด้วยความเป็นห่วง

“ปะ ปะ…เปล่า” ชายหนุ่มระล่ำระลักบอกออกไป เขาพยามหลับตาเพื่อตั้งสติอีกครั้งคิดว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดเมื่อสักครู่เป็นเพียงภาพลวงตาหรือไม่ก็ภาพหลอนอะไรสักอย่าง เขาพยายามจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ แต่ก็แทบจะสำลักและอาเจียนออกมาเพราะมันมีแต่กลิ่นคาวเลือดทั้งนั้น เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก…พลัน

เหตุการณ์ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน เสียงที่คลุกเคล้าผสมกันทั้งหลายเมื่อสักครู่สงบลง และที่สำคัญกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่ก่อนหน้านั้นค่อย ๆ จางหายไป…

“ใช่… ใช่…ใช่ บอกแล้วไงว่าเป็นภาพหลอนเฉย ๆ” เขางึมงำกับตัวเองพร้อมกับรู้สึกได้ถึงสภาพของจิตใจที่ดูดีขึ้นมานิดนึง…นิดนึงจริง ๆ เสียงทั้งหลายเงียบไปชั่วครู่และจู่ ๆ ก็มีเสียงประกาศขึ้นมาทำลายบรรยากาศแห่งความเงียบดังกล่าวลง เป็นเสียงที่ทรงพลังดังก้องไปรอบทิศทาง เมื่อเสียงดังกล่าวพูดจบ ทุกคนลุกขึ้นปรบมือโห่ร้อง กึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณเป็นเวลายาวนานก่อนที่จะสงบลงอีกครั้ง พลัน…

สปอร์ตไลน์ฉายไปจับที่บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นบุคคลสำคัญหรือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของงานในค่ำคืนนี้ แต่ให้ตายสิ! บุรุษผู้นั้นกำลังเดินมาตามทางที่มุ่งตรงมายังที่ ๆ เขากับรสุยืนอยู่ ในความรู้สึกสายตาที่คมกริบนั้นเหมือนจ้องเขม็งอยู่ที่เขา ภากรตกตลึงงุนงงลนลานจนทำอะไรไม่ถูก อ้าปากค้าง ตาค้างไปหมด ใกล้เข้ามาแล้ว…ใกล้เข้ามาแล้ว… เขาตัดสินใจหลับตาลง

“กร! ทำความเคารพ” เสียงของรสุปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์อีกครั้งพร้อมกับฉุดให้นั่งลงคุกเข่า เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ อีกครั้ง สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือ เท้าของบุรุษผู้นั้นอยู่ตรงหน้าเขาพอดี เสียงผู้คนในที่นั้นพูดขึ้นพร้อมกันและเป็นประโยคเดียวกัน ซึ่งน่าจะเป็นพิธีการถวายความเคารพของพวกเขา เมื่อเสียงเงียบลง ก็มีเสียงของบุรุษที่สง่าผู้นั้นดังขึ้น เป็นเสียงที่มีอำนาจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตกใจกลัวในพลังแห่งอำนาจของเสียงนั้น เมื่อบุรุษผู้นั้นกล่าวจบรสุก็ฉุดเขาลุกขึ้นพร้อมกับคนอื่น ๆ

บุรุษรูปร่างสูงเด่นเป็นสง่าผู้นั้นนั่งอยู่เหนือที่นั่งของรสุกับภากร ซึ่งใกล้กันมาก ๆ ห่างกันประมาณราวสองเมตรเห็นจะได้ เขาได้ยินบุรุษผู้นั้นทักทายกับบุคคลต่าง ๆ เป็นภาษาที่เขาฟังไม่ออกเรื่อยมาจนถึงฆายุ…วาชุ…และก็รสุ บุรุษผู้นั้นจ้องมองมาที่…‘ตาย!’ ผุดขึ้นมาในความคิดของภากรในทันที

เมื่อรสุเอ่ยขึ้นซึ่งภากรคิดเอาเองว่าคงเป็นการแนะนำตัวเขา ภากรทรุดลงนั่งคุกเข่าก้มหน้าทำความเคารพเหมือนกับเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ในทันใดเขาได้ยินเสียงหัวเราะของบุรุษผู้นั้น เป็นเสียงหัวเราะที่ทรงไปด้วยอำนาจแต่ก็เจือไปด้วยอารมณ์ที่ดีมีความพอใจอยูในที ภากรภาวนาให้เป็นไปอย่างนั้น บุรุษผู้สง่าพูดจากับรสุอีกสองสามประโยคแล้วเงียบไป รสุสะกิดเขาให้ลุกขึ้น เขารีบลุกขึ้นแล้วกลับมานั่งที่อย่างรวดเร็ว

ภากรสังเกตเห็นรสุเองก็ถอนหายใจเหมือนโล่งอก

“นายก็ฉลาดดีเหมือนกันนะเนี่ย รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนจนทำให้องค์จักรพรรดิจามาคะ รู้สึกพอพระหทัยเป็นอย่างมาก” รสุกระซิบที่ข้างหูเมื่อเขานั่งลงตรงข้างเธอเรียบร้อยแล้ว

ภากรไม่ได้พูดอะไรออกไป เขากลืนก้อนกลม ๆ ลงคออย่างยากลำบาก มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้ดีว่า เขาไม่ได้ทำไปด้วยความรู้สึกที่อ่อนน้อมถ่อมตนเลยในความคิดแวบแรกที่เขามี แต่ที่เขาทำความเคารพนั้นก็เพราะว่า สัญชาตญาณแห่งความกลัว! เขากลัว! กลัวสายพระเนตรของจักรพรรดิจามาคะ กลัวว่าถ้าหากยืนอยู่เฉย ๆ หรือหากโดนจ้องหน้าแล้วเขาอาจลนลานจนออกอาการทำอะไรไม่ถูก สู้คุกเข่าถวายความเคารพถือว่าเป็นการหลบหน้าไปด้วยในทีจะดีกว่า ภากรคิดเท่านั้นจริง ๆ ‘ความผิดพลาดจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้น!’ แว่วขึ้นมาภายในหัวสมองของเขาอีกครั้ง

 

เมื่อพิธีการในการถวายความเคารพจักรพรรดิจามาคะในฐานะทรงเป็นองค์ประธานของงานเทศกาลเฉลิมฉลองกุทรุสกะผ่านพ้นไป สปอร์ตไลน์ของงานก็สาดแสงลงไปในอาณาบริเวณลานกว้างสุดลูกหูลูกตาที่อุดมไปด้วยคลื่นของเหล่ามนุษย์จำนวนมากอีกครั้ง…

โอ คุณพระช่วย! ภากรตกตลึงอีกครา…นี่เป็นมนุษย์? หรือว่าอมนุษย์เผ่าพันธุ์ไหนกันแน่?…ช่างแตกต่างกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ข้างบนนี่เหลือเกิน มนุษย์ข้างบนดูภายนอกทั่วไปไม่แตกต่างอะไรกับเขามากนัก แต่เหล่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่ด้านล่างนั้น มันช่างแตกต่างกับเขามากเหลือเกินไม่ว่าจะเป็นรูปร่างที่ค่อนข้างไปในทางแคระแกรนความสูงโดยเฉลี่ยไม่น่าจะเกิน ๑๒๐ เซ็นติเมตร! หน้าตาผิวพรรณทราม มีเกร็ดคล้าย…สัตว์เดรัจฉาน!

โอ…นี่เรานั่งอยู่ในสถานที่ที่เดียวกันและในเวลาเดียวกันจริงหรือนี่?…เสียงอันทรงพลังของพิธีกรดังขึ้นอีกครั้งทำลายความสับสนทางความคิดของเขาชั่วขณะ เมื่อประกาศจบเสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องเริ่มดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณอีกครั้ง ตามมาด้วยการต่อสู้ที่ดุเดือด ป่าเถื่อนและบ้าคลั่งอย่างสัตว์ร้ายก็ไม่ปานของเหล่ามนุษย์ข้างล่าง ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเหล่ามนุษย์ที่อยู่ข้างบน เสียงกรีดร้องโหยหวนอันบ่งชี้ถึงความเจ็บปวด ทรมานได้เป็นอย่างดี และตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นคาวคละคลุ้งของเลือดสด ๆ ทำให้เขารู้สึกสลดใจและวิงเวียนจนนึกอยากจะอาเจียนเป็นที่สุด! นานเท่าไหร่ไม่รู้ได้? แต่สำหรับเขามันเหมือนยาวนานนับชั่วโมง แล้วเสียงกรีดร้องโหยหวนที่แหลมยาวค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะของเขาที่ค่อย ๆ เลือนรางลงไปอย่างช้า ๆ และทุกอย่างก็เงียบลงพร้อมกับอายตนะทั้งหกของชายหนุ่มที่หยุดการทำงานลงชั่วขณะเช่นเดียวกัน…

ภากรตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ เสียงกรีดร้องโหยหวนและกลิ่นคาวของเลือดที่ตลบอบอวนเหมือนยังติดอยู่ที่หูและก็จมูกของเขา เขารู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องรีบวิ่งเข้าไปอาเจียนที่ห้องน้ำ ภากรมองตัวเองในกระจกพยายามทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ไม่…ไม่จริงเราต้องฝันไป…ใช่! ฝันไปแน่ๆ

“กร! นายอยู่ไหน?” เสียงรสุตะโกนขึ้นเมื่อไม่เห็นเขาปรากฏกายอยู่ภายในห้อง

ภากรก้าวเท้าออกมาจากห้องน้ำ คิดจะถามเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อคืนนี้ แต่กลิ่นหอมของเจ้าข้าวต้มที่เขาเคยลิ้มรสในเมื่อวาน ก็พลันวิ่งเข้าเตะจมูกเขาอย่างจัง

“ฉันคิดว่านายคงจะหิว ก็เลยทำกุทรุสกะร้อน ๆ มาให้” เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นเขาปรากฏกาย

ใช่สิ! ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเราเลยนอกจากเจ้ากุทรุสกะนิดหน่อย นิดเดียวจริง ๆ ที่เราฝืนกินเจ้ารสชาติบรมห่วยแตกนี้

“ขอบใจเธอมากนะ กำลังหิวอยู่พอดี” ชายหนุ่มตอบออกไปตามตรง…เออ วันนี้รู้สึกกลิ่นของมันจะหอมกว่าเมื่อวานอีก รสชาติคงน่าจะดีกว่าเมื่อวานนี้มั๊ง หรือว่า…เป็นเพราะเราหิวจนหูอื้อตาลายกันแน่? เขาคิด

“ก็เมื่อวานนายกินกุทรุสกะแค่นิดหน่อยเอง ไม่หิวก็คงจะแปลก” รสุเอ่ยขึ้นในขณะที่ยื่นชามให้

ภากรรับชามมาจากเธอแล้วก้มหน้าก้มตากินด้วยความหิว แต่ให้ตายเถอะเขาอยากจะตะปบเอาความคิดที่ว่า ‘รสชาติคงจะดีกว่าเมื่อวาน’ กลับคืนซะจริงๆ รสชาติของมันในวันนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อวานเลยแม้แต่นิดเดียว! แต่จะต่างกันตรงที่เขากินเพราะความหิว พลังอำนาจแห่งความหิวที่เข้าครอบงำเขาในตอนนี้มันมีอิทธิพลเหนือรสชาติอย่างมากมาย เขาฝืนกินรวดเดียวหมดทั้ง ๆ ที่มันสุดแสนจะพะอืดพะอมก็ตามที

“โอ้โห! หมดเลย หมดจริง ๆ ด้วย โธ่…ไอ้เราก็คิดว่าจะเป็นแบบเมื่อวานซะอีก เซ็งชะมัด” เธอพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่สุดแสนจะเสียดาย ด้วยอะไร ๆ ไม่เป็นไปดังที่หวัง เมื่อเห็นเขาจัดการกับเจ้ากุทรุสกะซะเกลี้ยงชาม

“ดูเธอจะพิศวาสในรสชาติของมันซะเหลือเกินนะ” ภากรถามขึ้นด้วยความอยากรู้

“ก็แหงหล่ะ นายคงไม่รู้หรอกว่า หากใครที่ได้กินกุทรุสกะ มันมีความหมายและความสำคัญแค่ไหน?”

           ‘กะอีแค่ข้าวต้มรสชาติห่วย ๆ อย่างนี้นี่นะ’ เขานึกค้านในใจอย่างไม่เห็นด้วย

“กุทรุสกะ!” เธอเน้นเสียงเพื่อบ่งบอกถึงความสำคัญของมันอยู่ในที

“เป็นพืชที่จะมีเมล็ดให้รับประทานเพียงเดือนละครั้ง! และที่สำคัญเป็นของที่หายากมากๆ!” เธอเน้นเสียงและหน้าตาท่าทางของเธอก็บ่งบอกอย่างนั้นจริง ๆ

“ฉันถึงบอกนายไงว่าให้มีเงินหรือทองกองท่วมหัวก็เปรียบเทียบหรือประมาณค่ากับกุทรุสกะไม่ได้!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ไม่เห็นจะยากอะไร ก็แค่เอามาปลูกไว้กินเองซะก็สิ้นเรื่อง” ชายหนุ่มเอ่ยออกไปทั้ง ๆ ที่ในใจอยากจะพูดอะไร อะไรไปมากกว่านั้น

“กุทรุสกะ! จะขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่พรั่งพร้อมไปด้วยสภาพอากาศและพื้นดินที่เหมาะสมเท่านั้น! ที่สำคัญไม่ใช่พื้นที่ที่นี่หรือที่ไหน ๆ จะปลูกได้ มันจะเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มันมีอยู่เพียงที่เดียวในราชอาณาจักรนี้ ซึ่งที่นั่นก็คือบน เทือกเขาเทพารักษ์ ฉันเคยบอกนายไปแล้วไง” เธอหยุดเว้นระยะ

“ฉันถึงบอกนายไงว่าเป็นสิ่งที่หายาก…ยากมาก พูดไปในเวลานี้ นายก็คงยังไม่เข้าใจหรอก” เธอตัดบท

‘เออ…ใช่ เธอเคยบอกชื่อเทือกเขานั้นกับเขาเมื่อคืนนี้แล้ว เขาจำได้คับคล้ายคับครา’ ภากรพึ่งนึกออก

เขาเองก็คร้านที่จะต่อปากต่อคำในความสำคัญของมัน “กุทรุสกะ มันคือพืชอะไร?” ชายหนุ่มถามไปงั้น ๆ ไม่ได้สนใจใคร่รู้เท่าไหร่หรอกเพียงแค่…แต่เขาไม่คิดเลยว่า…

“ข้าวหญ้ากับแก้! เป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง…แต่ที่นีพวกเราถือว่ามันเป็นพืช” เธอตอบกลับมา

“อะไรนะ! ยะ ยะ หญ้า! วัชพืช! อย่างนั้นเหรอ?” ?” ภากรถามออกไปในทันทีก่อนที่รสุจะพูดประโยคสุดท้ายจบซะด้วยซ้ำ…เธอพยักหน้ารับในขณะที่เขามีสีหน้าตกใจและตามมาด้วยความพะอืดพะอม ชายหนุ่มรู้สึกมวนที่ท้องเป็นอย่างมาก…เหมือนมีอะไรบางอย่างที่กำลังพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เขาไม่รอให้เธออธิบายขยายความไปมากกว่านี้ รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งเพื่อชำระสะสางกับเจ้ากุทรุสกะที่ซัดเข้าไปซะหมดชาม เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เขาอาเจียนหมดใส้หมดพุงจนไม่มีอะไรจะออกมาอีก

“เอ้ย! นายอาเจียนกุทรุสกะออกมาทำไม นายรู้ไหมกว่าจะได้มามันลำบากแค่ไหน นาย…”สารพัดคำบ่นที่พร่างพรูออกมาจากปากของเธอเพราะเสียดายมัน

ภากรรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้อีก จนต้องรีบยกมือเป็นเชิงขอร้องเธอว่าอย่าพึ่งพูดถึงไอ้เจ้าชื่อนี้อีกได้ไหม เขาจะตายอยู่แล้ว ถ้าหากว่าต้องอาเจียนออกมาอีกคงได้ตายแน่ ๆ

“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายก็เลยอาเจียนนะ” ชายหนุ่มพูดกลบเกลื่อนเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้น

“อ้าว! นายไม่สบายหรอกเหรอ? ฉันนึกว่าเป็นเพราะกิน…” ก่อนที่เธอจะพูดชื่อมันออกมาเขารีบยกมือห้ามไว้ก่อน ในขณะที่รสุทำท่านึก…

“เออ…น่าจะใช่ นายคงไม่สบายจริง ๆ เพราะเมื่อคืนนายก็หมดสติที่งานนั่น”

“อะไรนะ! เมื่อคืน…งั้นก็แสดงว่า…” ภากรกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากอีกครั้ง

“ก็ใช่นะสิ เมื่อคืนนี้นายหมดสติไปแล้วก็พึมพำอะไรบางอย่าง…ออกมา” เธอหยุดเว้นระยะพร้อมกับจ้องตาเขาก่อนที่จะโบกมือ

“แต่ก็ช่างเถอะ นี่ดีนะที่ได้วาชุช่วยพามาส่ง ไม่งั้นฉันคงแย่แน่เลย” รสุพูดแค่นั้นก่อนที่จะตัดบทเพราะเห็นอาการของภากรไม่ค่อยจะดีสักเท่าไร

“เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้ก็แล้วกัน” เธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

‘เมื่อคืนนี้…เรื่องจริงหรือนี่?…ไม่…ไม่จริงเป็นไปไม่ได้’ ในความคิดของภากรยังคงค้านและไม่ยอมรับกับสิ่งที่รสุพูดเมื่อสักครู่ เขายังคงยืนยันว่ามันเป็นเพียงความฝันมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่…อีกใจหนึ่งก็หวั่น ๆ และไม่มั่นใจในความคิดจนทำให้เขารู้สึกสับสนและปวดหัวมากขึ้น

สักพักเธอก็กลับมาพร้อมกับยาและแคปซูลที่เขาเห็นเมื่อวาน

“ทำไมเอายามาเยอะจัง ฉันแค่ปวดหัวนิดหน่อยขอแค่พารา เอ่อ… แค่ยาแก้ปวดหัวเท่านั้นก็พอ”

เธอชูเม็ดคล้ายเม็ดถั่วให้เขาดู “นี่ยาแก้ปวด ใช้อม ส่วนนี่เป็นแคปซูลอาหาร มีหมู ไก่ เนื้อ กุ้ง ปลาหมึก เลือกเอาแล้วกัน” เธออธิบายถึงเจ้าแคปซูลนั่น

เขามองแคปซูลด้วยท่าทางงง ๆ พลางคิด ‘นึกว่าเป็นยาเสียอีก’

“กินได้…ไม่ตายหรอกฉันรับรอง” เธอพูดติดตลกเมื่อเห็นท่าทีที่ลังเลของเขา

ภากรหยิบแคปซูลไก่เข้าปาก มันไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาด แต่เมื่อกลืนลงท้องแล้วรู้สึกตื้อ ๆ เหมือนได้กินอาหารลงไปจริง ๆ รู้สึกเหมือนมีกำลังขึ้นมาเล็กน้อยในทันที

“นี่กินยาตามไปด้วย” เธอยื่นยาแก้ปวดให้กับเขา

ภากรอมเจ้าเม็ดที่คล้าย ๆ เม็ดถั่วที่เธอเรียกว่า ‘ยา’ เอาไว้ในปาก รู้สึกมันเย็นสดชื่นขึ้นไปที่หัว ทำให้สมองรู้สึกโล่งโปร่งสบายขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์!

“นายพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน ฉันจะออกไปธุระสักหน่อย แล้วจะกลับมาตอนบ่าย ๆ เพื่อรับนายออกไปเปิดหูเปิดตา แต่ตอนนี้อย่าออกไปไหนเป็นอันขาด!” จบคำสั่งเธอก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว เขาได้แต่มองตามหลังเธอและทำตาปริบ ๆ

‘เอากับเธอสิ! สาวน้อยวัย ๑ ปี ๘ เดือน…ทำยังกับเป็นผู้ปกครองของฉันงั้นแหละ’…แต่ เมื่อนึกถึงเรื่องอายุตรงนี้ทีไรเขาก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ทุกครั้ง

 

ใส่ความเห็น