๑๐ : ขอเวลา ๑ เดือน!
ห่างจากเทือกเขา ‘เทพารักษ์’ ขึ้นไปทางตอนเหนือประมาณ ๑,๕๐๐ กม.วันนี้บรรยากาศโดยรอบปราสาทที่ประทับของจักรพรรดิจามาคะที่ ๑๙ ดูสดใสกว่าในรอบหลาย ๆ วันที่ผ่านมา แต่ทว่าบรรยากาศภายในห้องรับรอง ‘จามาคะที่สิบสอง’ กลับดูอึมครึม เสมือนหนึ่งพายุลูกใหญ่กำลังตั้งเค้ารอพัดถล่มอยู่ก็ไม่ปาน
“ดร.อนุ ผลการทดลองเป็นยังไงบ้าง มีความคืบหน้าไปถึงไหน?” จักรพรรดิจามาคะทรงถามขึ้นระหว่างการประชุมภายในห้องรับรองของปราสาทหลังงาม
“ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควรเลยพะยะค่ะ” ดร.อนุถวายรายงานไปตามความเป็นจริง
“กระหม่อมทูลพระองค์แล้วไงพะยะยค่ะ ว่าให้ใช้วิธีของกระหม่อม พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อ” ท่านนายพลวชิกล่าวแทรกขึ้น
“กระหม่อมขอเวลาอีกสักระยะพะยะค่ะ รับรองว่าต้องมีความคืบหน้ามาถวายรายงานพระองค์อย่างแน่นอน” ดร.อนุพูดขึ้นด้วยความมั่นใจแม้ว่าภายในความคิดยังมีความสับสนและขัดแย้งกันอยู่ก็ตามที
“เวลา! เวลาอย่างงั้นรึ” นายพลวชิกระแทกด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน
“ท่านอนุก็รู้ดีนี่ ก็เพราะเวลานี่ยังไง ที่ทำให้พวกเราต้องปวดหัวกับเกมไล่ล่าของมันอยู่ แต่ท่านก็ยังดึงดันที่จะใช้วิธีการของท่าน แล้วเป็นยังไงเหลวทุกที” นายพลวชิพูดขึ้นด้วยนำเสียงเย้ยหยันและทับถมอยู่ในที
“เราตัดสินใจแล้ว เราให้เวลาดร.อนุอีก ๑ เดือน หวังว่าทุกอย่างคงมีความคืบหน้าและชัดเจน” จักรพรรดิจามาคะตัดบทด้วยพระสุรเสียงที่เคร่งเครียดแต่ทว่ายังคงมอบความไว้วางใจในภาระกิจที่สำคัญดังกล่าวให้กับดร.อนุ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะแห่งราชอาณาจักร
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ กระหม่อมจะไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวังอย่างเด็ดขาด!” ดร.อนุรับสนองอย่างหนักแน่น
“แต่ฝ่าพระบาทพะยะค่ะ! พระองค์ก็ทรงรู้ดีว่าเราจะมัวมานั่งรอเวลาที่ผ่านไปอย่างลมๆ แล้งๆ ไม่ได้อีกแล้ว” นายพลวชิแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจในขณะที่สายตาจิกไปยังดร.อนุ
จักรพรรดิจามาคะโบกพระหัตถ์เป็นเชิงห้าม “ถ้าไม่มีอะไรแล้ววันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน…เลิกประชุม!”
“พะยะค่ะ!” ทุกคนในห้องขานรับโดยพร้อมเพรียงกัน
“ฝ่าพระบาท เราไม่มีเวลาแล้วนะพะยะค่ะ เราจะมัวมานั่งรออีกต่อไปไม่ได้แล้วไม่อย่างนั้นทุกอย่างอาจจะสายเกินไปก็ได้นะพะยะค่ะ” นายพลวชิกราบทูลขึ้นหลังจากที่ ดร.อนุและคนอื่นๆ ทยอยเดินออกนอกห้องรับรองไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่…
“ฝ่าพระบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับดร.อนุพะยะค่ะ” นายพลสุตะกราบทูลหลังจากที่นิ่งเงียบมานานในระหว่างที่ประชุม
‘หึ…จะไม่เห็นด้วยได้ยังไง ก็ท่านมันพวกเดียวกันนี่’ นายพลวชิคิดในใจขณะที่หันไปมองนายพลสุตะด้วยแววตาเหยียด ๆ
“เอาไว้หลังจาก ๑ เดือนผ่านพ้นไปแล้ว หากไม่ได้ผลจริง ๆ เราค่อยมาคิดกันใหม่ว่าจะดำเนินการต่อไปยังไง” จักรพรรดิจามาคะกล่าวด้วยพระพักตร์ที่เคร่งเครียดและวิตกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งขัดกับบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ที่ปกติจะไม่มีผู้ใดได้เห็นพระพักตร์และสายพระเนตรเยี่ยงนี้อย่างเด็ดขาด! ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่วิกฤติสักเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้มหาบุรุษเยี่ยงพระองค์ทรงหวั่นไหวได้ ยกเว้น การเผชิญหน้ากับการไล่ล่าแห่งกาลเวลาที่มีเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเดิมพัน ณ ตอนนี้เท่านั้น!
“โธ่โว้ย! ทำไมต้องเชื่อและฟังแต่ไอ้อนุมันด้วยวะ” นายพลวชิสบถออกมาด้วยอารมณ์ที่โมโหและฉุนเฉียว ใบหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยเพลิงแห่งโทสะ
“เพล้ง !!!.” เสียงแก้วที่กระทบกับพื้น บ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้พูดได้เป็นอย่างดี
“เกิดอะไรขึ้นครับพ่อ!” วาชุวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องทำงานของบิดาหลังจากได้ยินเสียงแก้วแตก
“หน้าตาท่าทางอย่างนี้ คงมีปัญหากับคุณลุงอนุมาอีกแล้วใช่ไหมครับ” วาชุพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของผู้เป็นบิดา
“เออ ก็จักรพรรดิจามาคะนะสิ เอะอะอะไรก็เชื่อแต่ไอ้อนุ มันน่าโมโหชะมัด พ่ออุตส่าห์เสนอแนะวิธีที่ดีที่สุดให้ กลับไม่สนใจ พูดแล้วมันน่าโมโหนัก” นายพลวชิพูดด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดและหัวเสียเป็นอย่างมาก หลังกลับมาจากการประชุม
“ว่าแต่แกเถอะ วันนี้ไม่มีธุระออกไปไหนเหรอ?” นายพลวชิถามด้วยความแปลกใจที่เห็นวาชุอยู่ที่บ้านในวันนี้ เพราะนับตั้งแต่ที่แม่ตาย วาชุก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่เคยใจร้อนเหมือนเขาก็เปลี่ยนเป็นใจเย็นและสุขุมมากขึ้น จนเขาเองก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ และก็ไม่เคยอยู่ติดบ้านหายไปทีนานนับสัปดาห์หรือเกือบเดือน เขาไม่รู้ว่าวาชุไปทำอะไร? ที่ไหน? อย่างไร? แต่ก็เข้าใจว่าอาจจะเป็นการไปเที่ยวตามประสาวัยรุ่น นาน ๆ จะโผล่มาให้เขาเห็นหน้าสักที จนบางครั้งในระยะหลังมานี่เขาเองยังรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับลูก
“เออ จริงด้วยสิ” วาชุเหมือนนึกขึ้นได้ “ขอบคุณมากครับพ่อที่เตือน ผมไปก่อนนะครับ” ว่าแล้ววาชุก็รีบเดินออกไปจากห้องในทันที
“จักรพรรดิจามาคะ แล้วพระองค์จะทรงเสียพระหทัยที่ไม่เชื่อคนอย่างกระหม่อม!” นายพลวชิสบถเสียงรอดไรฟันพร้อมกับบีบแก้วที่ถืออยู่ในมือจนแตกละเอียดไปอีกใบ
“จักรพรรดิจามาคะว่ายังไงบ้างคะด็อกเตอร์” ดร.สุณีผู้ช่วยของดร.อนุถามขึ้นทันทีที่เห็นเขากลับมายังห้องวิจัยและทดลองของศูนย์วิทยาศาสตร์แห่งราชอาณาจักร
ดร.อนุสูดลมหายใจเข้าปอดช้า ๆ “พระองค์ทรงให้เวลาอีก ๑ เดือนต้องมีข้อมูล เอ่อ…ผมหมายถึงข้อสรุปที่ชัดเจนให้กับพระองค์” เขาผ่อนลมหายใจก่อนพูดต่อ
“ว่าแต่เครื่องเทียบเวลาเป็นยังไงบ้างดร.สุณี” เขาถามขึ้นเพราะเมื่อเช้าต้องรีบเดินทางไปประชุมกับจักรพรรดิจามาคะ ก็เลยยังไม่ได้ดูข้อมูลของเมื่อคืนและเช้านี้เลย
“เมื่อคืนมีการเปลี่ยนแปลงมากคะ!” ผู้ช่วยสาวสวยวัย ๓ ปี ๔ เดือน รายงานด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นขึ้นมาจนจับสังเกตได้ ก่อนที่จะอธิบายต่อ
“เมื่อเทียบกับมาตรฐานการเปลี่ยนแปลงของทุก ๆ วันที่ผ่านมาในรอบ ๑ เดือน เมื่อคืนนี้เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยแล้วปรากฏว่าเวลาเร็วขึ้นเกือบร้อยละ ๓๐! ทั้ง ๆ ที่โดยปกติจะเปลี่ยนแปลงอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยร้อยละ ๓ – ๕ เท่านั้นคะ”
ดร.อนุดูมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็สามารถปรับได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นนิสัยโดยส่วนตัวของเขาที่ไม่อยากให้คนรอบข้างเครียดหรือวิตกกังวลไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานก็ตามที
“อืม… แล้วตอนนี้หละ?” ดร.อนุพยักหน้าและถามต่อ
“เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติของความเอ่อ…ไม่ปกติแล้วคะ ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงก็อยู่ที่ระดับร้อยละ ๓” ผู้ช่วยสาวรายงานเพิ่มเติม
ดร.อนุอมยิ้มเล็กน้อยกับคำตอบที่เจือไปด้วยมุขตลกในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยไปในทิศทางนั้นของผู้ช่วยท่าน ก่อนที่จะลอบถอนหายใจเหมือนคนที่เหนื่อยหนักและเหนื่อยหน่ายในภาระอันหนักอึ้งที่แบกรับไว้บนบ่าทั้งสองข้างนี้ โดยที่ผู้ช่วยสาวสวยมองไม่เห็นเพราะมัวยุ่งวุ่นวายอยู่กับเอกสารกองโตตรงหน้า
“มีอีกเรื่องหนึ่งคะ ศูนย์ดูแลและควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศเพิ่งส่งรายงานมาให้เมื่อสักครู่โดยในรายงานระบุว่า น่าจะมีพายุรุนแรงและฝนตกอย่างหนักในอีก ๑ หรือ ๒ เดือนข้างหน้า” เธอหยุดเว้นระยะ…
“ขึ้นอยู่กับว่าทางเราจะสามารถควบคุมตัวแปรทางด้านเวลาได้ดีขนาดไหน นี่คะรายละเอียด” ดร.สุณีรายงานพร้อมกับยื่นเอกสารดังกล่าวให้กับเขา
“ขอบคุณมาก คุณก็ควรพักผ่อนบ้างนะ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้วไม่ใช่เหรอ” ดร.อนุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความห่วงใย อันเป็นนิสัยที่เอาใจใส่และเห็นใจผู้ร่วมงานเสมอ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นลูกน้องในระดับใดก็ตามที
“ขอบคุณมากคะที่เป็นห่วง” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกถึงการขอบคุณในความมีน้ำใจของเขา “ด็อกเตอร์ก็เช่นกันนะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวก่อนคะ”
ดร.อนุยิ้มให้เล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้า แต่เมื่อก้มดูข้อมูลและรายละเอียดที่ผู้ช่วยสาวส่งให้เมื่อสักครู่อย่างพินิจพิจารณา ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเล็กน้อยเมื่อสักครู่ก็หุบลงโดยอัตโนมัติแปรเปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียดที่เบียดบังเข้ามาขอคืนพื้นที่ในหัวสมองของเขาแทน
“พ่อครับ แล้วตกลงไอ้เจ้าญาติของรสุมันคือใครกันแน่ครับ?” ฆายุถามขึ้นทันทีเมื่อท่านนายพลสุตะกลับมาถึงบ้านในตอนบ่าย
“พ่อยังไม่ได้ถามลุงอนุเลยลูก” ผู้เป็นบิดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงอาการที่เหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
“อ้าว วันนี้ลุงอนุไม่ได้มาประชุมกับจักรพรรดิจามาคะเหรอครับ?”
“มา แต่ว่าพ่อไม่ได้ถาม เพราะลุงอนุมีเรื่องที่ต้องรีบกลับไปทำ เลยไม่มีเวลาได้คุยกัน”
“พ่อ! พ่อลืมได้ยังไงครับ มันสำคัญกับผมมากนะครับ” ฆายุพูดขึ้นด้วยอารมณ์ที่ผิดหวัง
“แกมันก็ชอบให้ความสำคัญกับไอ้เรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญอยู่ตลอดเวลา แกเคยแยกแยะออกไหมว่าเรื่องไหนสำคัญจริง ๆ หรือว่าเรื่องไหนมันสำคัญที่เกิดจากความชอบของแกแต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เกิดจากเหตุผล” นายพลสุตะบ่นลูกชายแต่ก็เจือไปด้วยความรักและความห่วงใย
“ผมไม่รูหละ รู้แต่ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับรสุทุกเรื่องคือเรื่องที่สำคัญสำหรับผม นอกนั้นผมถือว่าไม่ใช่!” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพูดขึ้น แล้วก็รีบเดินออกไปอย่างหัวเสียที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าญาติที่รสุแนะนำให้รู้จักเมื่อคืนนั้นมันเป็นใคร? มาจากไหนกันแน่? และที่สำคัญมันโผล่มาตอนนี้ได้ยังไง?
นายพลสุตะส่ายหน้าช้า ๆ แบบเหนื่อยหน่ายในความใจร้อน โผงผางและไม่มีเหตุผลของลูกชาย ทำไมท่านจะไม่รู้ว่าฆายุหลงรักรสุมานานแค่ไหน ทว่าแต่ก่อนแต่ไรเจ้าลูกชายตัวแสบของท่านคนนี้ ก็ไม่มีนิสัยที่ใจร้อนหรือขาดเหตุผลมากมายขนาดนี้
ท่านนายพลสุตะบุรุษวัย ๕ ปี รูปร่างสูงใหญ่ จิตใจดี สุขุมเยือกเย็น เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับนายพลวชิและดร.อนุ ตระกูลของท่านเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่เก่าแก่และรับใช้ราชอาณาจักรมานาน ท่านมีลูกสองคนคือ ฆายุกับยุพา ส่วนภรรยาของท่านชอบออกงานทางด้านสังคมและชอบเดินทางท่องเที่ยวจึงไม่ค่อยได้อยู่บ้าน นาน ๆ จะกลับมาที
ฆายุหน้าตาคมเข้มเหมือนเขาแต่มีนิสัยที่ใจร้อนเหมือนแม่ ส่วนยุพารูปหน้าเรียวสวยเหมือนแม่แต่มีนิสัยใจเย็น ขี้สงสารเหมือนเขา
‘หรือว่าเจ้าฆายุกำลังโดนพายุแห่งความรักพัดปกคลุมเข้าครอบงำจนทำให้อารมณ์แปรปรวน? นี่แหละน๊าความรักของหนุ่มสาวสมัยใหม่ ช่างเข้าใจได้ยากจริง ๆ’ ท่านนายพลนั่งคิดอยู่คนเดียวอย่างเงียบ ๆ เมื่อไร้เงาของลูกชาย