กุทรุสกะ มหันตภัยร้ายแห่งกาล (เวลา) : ๔ : ห้อง (นอน) ใคร?

: ห้อง (นอน) ใคร? 

กรี๊ด…!!! “นายเป็นใคร? เข้ามาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไง?”

เสียงร้องอันดังลั่น พร้อมกับคำถามที่ยิงมา ทำให้ภากรตกใจสะดุ้งตื่นลุกยืนขึ้นมาในทันที

“เอ้ย!!! เธอนั่นแหละเป็นใคร? เข้ามาอยู่ในห้องของฉันได้ยังไง?” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงตกใจไม่แพ้กัน

“หา! นายพูดบ้า เพ้อเจ้ออะไรนะ เบิ่งตาดูให้ดี ๆ นี่มันบ้านของฉันและที่สำคัญ” เธอเอานิ้วชี้ลงที่ตรงพื้น “นี่! คือ ห้อง – นอน – ของ – ฉัน” เธอเน้นทุกคำราวกับเพื่อต้องการให้ความกระจ่างแจ้งแสดงต่อหน้าของเขา ทันทีที่เธอพูดจบ ภากรเริ่มตั้งสติค่อย ๆ หันมองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วก็ต้องตกใจ รู้สึกทั้งตัวเย็นวาบ สภาพภายในห้องดูไม่คุ้นตาหรือคุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญมันยังเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย…ไม่มีอะไรจริง ๆ แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก ๆ สักชิ้นเดียว ซึ่งผิดจากห้องนอนของเขา

“เอ้ย! นี่มันอะไรกันนี่ เราฝันไปหรือเปล่าวะ!” เขาพึมพำกับตัวเอง

“หรือว่านายจะเป็น…” เธอพูดยังไม่ทันจบ ภากรรีบสวนขึ้นในทันที

“เอ้ย! มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ ฉันไมใช่โจร…  ไม่ใช่ผู้ร้าย… และที่สำคัญฉันไม่ใช่ เอ่อ…พวกบ้ากามด้วย”

“อะไรนะ! นายพูดเพ้อเจ้ออะไรอีก โจร – ผู้ร้าย – บ้ากาม” เธอถามกลับด้วยท่าทางฉงนงงงวย

“ซวยแล้วกู มาอยู่ที่นี่ได้ไงวะ! นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ววะนี่” ภากรสบถพลางยกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลาที่นาฬิกา และก็ต้องตกใจแทบช็อก หากมองเห็นสีหน้าท่าทางของตัวเองได้ในขณะนี้ คิดว่าคงฉงนงุนงงไม่แพ้เธอเมื่อสักครู่ ‘โอ…คุณพระช่วย! นี่มันอะไรกันนี่ เข็มนาฬิกาหมุนเร็วยังกับพายุทอร์นาโด เข็มสั้นบอกชั่วโมงเดินเร็วยังกับเข็มวินาที นี่มันจะรีบเดินไปไหนของมันวะ…นาฬิกาของเราคงเจ๊งแน่เลย’ ภากรนึกและเพียงฉับพลันนาฬิกาของเขาก็นิ่งสงบจบการเคลื่อนไหว หลังจากได้หมุนดั่งพายุเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เขาถอนหายใจโล่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอ

“เอ่อ… นี่เธอพอรู้ไหมว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว?”

เขาเห็นเธอยกข้อมือเปล่าที่ปราศจากเฟอร์นิเจอร์ประดับประดาขึ้นมาแล้วใช้นิ้วสัมผัสที่ข้อมือเบา ๆ

“เก้าโมง!” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความหงุดหงิดและไม่พอใจอยู่ในที

ภากรหัวเราะหึหึในลำคอ “นี่ฉันไม่ได้ต้องการดูตลกในคาเฟ่นะ ฉันกำลังซีเรียส!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเริ่มหันมองสำรวจรอบห้องอีกครั้ง…พลางถอนหายใจ “ในห้องว่างเปล่าที่เอาไว้สำหรับเก็บของนี่ไม่มีนาฬิกาเลยหรือไง ให้ตายสิ!” เขางึมงำกับตัวเองและกระแทกเสียงในประโยคสุดท้ายด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว

“นายว่าไงนะ! ห้องเอาไว้สำหรับเก็บของอย่างงั้นเหรอ? นี่มันห้องนอนของฉัน แล้วนี่ก็นาฬิกาดูซะให้เต็มตา!” เธอกระแทกเสียงกลับมาด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างไปจากเขา

พูดจบเธอก็สาวเท้าก้าวเข้ามาหาตัวเขาพร้อมยื่นแขนออกมาอย่างรวดเร็วจนเกือบจะโดนหน้าของเขา ชายหนุ่มยอมรับในบัดดลว่าแขนของเธอสวยมาก เรียวงาม ผิวเนียนสะอาดผุดผ่อง และที่สำคัญมันมีกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมาจากแขนของเธอเป็นกลิ่นหอมที่เขามีความรู้สึกได้ว่าเคยสัมผัสและคุ้นเคยมาก่อนหน้านี้ไม่นาน มันหอมสดชื่นผสมกับความเย้ายวนทำให้เลือดในตัวเขาสูบฉีดไปทั่วร่างกาย ‘ให้ตายสิ! กลิ่นหอมมันออกมาจากแขนของเธอจริง ๆ ไม่ใช่จากที่อื่นแน่ ๆ’ …ชายหนุ่มลืมตัวสูดกลิ่นเข้าปอดอย่างช้า ๆ พลางนึกถึงตอนที่ยืนอยู่ชายทะเลแล้วสูดเอาอากาศบริสุทธิ์

“นาฬิกาอยู่ตรงนี้!” เธอคำรามเสียงรอดไรฟันอันสวยงาม ทำให้เขาต้องตื่นจากภวังค์ แล้วก็แทบช็อกอีกครั้ง! มันมีตัวเลขปรากฏอยู่บนข้อมือของเธอจริง ๆ เขารีบเอามือของตัวเองถูตัวเลขนั้นทันที

“โอ้ย! ยี้ยย…ฉันเจ็บนะ” เธอร้องขึ้น “นี่นายทำบ้าอะไรของนาย!” พร้อมกับใช้มือผลักตัวเขาให้ห่างออกไปในทันที

“ฉันต้องเป็นฝ่ายถามเธอมากกว่า นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ สำหรับคนที่ชอบแกล้ง…และโดยเฉพาะแกล้งในช่วงเวลาที่คนกำลังหงุดหงิดและซีเรียส!” เขาต่อว่าเธอด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด

“ฉันไปแกล้งอะไรนาย!” เธอถามกลับอย่างเหลืออด

“ยังมาทำไขสือ ก็เธอใช้ปากกาเขียนตัวเลขที่ข้อมือเพื่อแกล้งฉันไงหละ”

“อะ…อะไรนะ แกล้งเขียนตัวเลขอย่างนั้นเหรอ? แล้วไอ้ปากกาของนายมันคืออะไร?” เธอถามขึ้นด้วยสีหน้าและแววตาที่ฉงนอีกครั้ง

ภากรคร้านจะต่อปากต่อคำด้วยเพราะกำลังหงุดหงิดและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เต็มประดา เขาลองมองดูที่นาฬิกาของตัวเองอีกครั้ง ‘ให้มันได้ยังงี้สิ…มันยังคงซื่อสัตย์ต่อความขี้เกียจของมันดังเดิม ท่าทางคงจะเหนื่อยมาจากการวิ่งไล่กวดเวลาที่ผ่านมาเมื่อสักครู่’ เขาคำรามอยู่ในใจและพยายามเคาะเพื่อปลุกให้มันตื่นจากหลับใหล แต่ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น!

“ก็นี่ยังไง นาฬิกา!” เธอยื่นแขนมาตรงหน้าของเขาอีกครั้ง หลังจากเห็นเขาหงุดหงิดใส่เจ้านาฬิกาที่ขี้เกียจ (เดิน) ของตัวเอง พลางจ้องมองดูที่นาฬิกาของชายหนุ่มอย่างสนใจ

‘ให้ตายสิ! ทุกอย่างบนข้อมือของเธอยังคงเหมือนเดิม’ ภากรสบถในใจอีกครั้ง แต่ต่างกันตรงที่ ณ ช่วงเวลานี้เขาดูอย่างตั้งสติมากขึ้น

“ไม่ใช่รอยปากกาจริง ๆ ด้วย” เขางึมงำกับตัวเองเบา ๆ มันเป็นตัวเลขที่เหมือนนาฬิกาจริง ๆ ชายหนุ่มนึกและเริ่มมีสีหน้าและแววตาตื่นตระหนกขึ้นมาในตอนนั้น พลันเธอก็ใช้นิ้วสัมผัสเบา ๆ ที่ข้อมืออีกครั้งเหมือนจงใจต้องการจะแกล้งเขา ปรากฏว่าตัวเลขเปลี่ยนจากเวลาเป็นอุณหภูมิแทน ภากรกระโดดถอยหลังโดยอัตโนมัติ

“เอ้ย! นี่เธอเป็นนักมายากลหรือยังไง?”

“อะไรของนายอีก นายนี่ชักจะพูดจาไม่รู้เรื่อง ทั้งโจร บ้ากาม ปากกา แล้วก็มายากลอีก ถามจริง ๆ เถอะนายเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย?”

ภากรไม่ได้สนใจในคำถามเหล่านั้นของเธอเลยแม้แต่น้อย “ถ้าไม่ใช่นักมายากล งั้นก็เป็นแม่มดหรือไม่ก็พวกปีศาจ…บรื๊อ…” เขาพูดพร้อมกับทำท่าทางสยองพองขน

ดูท่าทางเธอคงเริ่มจะรำคาญและรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง จึงเดินไปยังผนังอันว่างเปล่าภายในห้องที่เธอเรียกมันว่าเป็นห้องนอน แล้วใช้นิ้วสัมผัสเบา ๆ พลันนาฬิกาบนผนังก็ปรากฏขึ้นราวกับปาฏิหาริย์! ภากรตกใจแทบช็อกอีกครั้ง เข่าอ่อนจนแทบจะทรุดนั่งลงตรงพื้นให้ได้

‘นี่มันอะไรกัน!’ เขาร่ำร้องภายในใจ และที่สำคัญเขาไล่ดูตัวเลขต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่บนผนังห้องอย่างตะลึงงงงัน เขาค่อย ๆ อ่านตามประดุจดั่งคนต้องมนตร์ของแม่มดจอมขมังเวทย์ก็ไม่ปาน

“เก้าโมงสิบเก้านาที วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ตุลาคม กุสกะ ๔๕๕๕” เสียงของเขาสั่นและตะกุกตะกัก…ชายหนุ่มทวนประโยคสุดท้ายอย่างช้า ๆ อีกครั้ง “กุ – สะ – กะ – สี่ – พัน – ห้า – ร้อย – ห้า – สิบ – ห้า” เสียงของเขาแตกพร่าเหมือนคนที่เกิดสุญญากาศทางสติชั่วคราว เขาค่อย ๆ เอามือขยี้ที่ตาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในวันเวลาที่ปรากฏอยู่ เขาคิดอยากให้เธอแกล้งโดยการเปลี่ยนตัวเลขอะไรก็ได้ให้มันดูสับสนหรือวุ่นวายคล้าย ๆ มายากล แต่ก็จนด้วยปัญญา อนิจจา…วันเวลาบนผนังช่างเหมือนจริงซะเหลือเกิน ‘ไม่นะ… ไม่ใช่… มันไม่จริง…’ ความสับสนลูกใหญ่เริ่มถาโถมเข้าจู่โจมภายในหัวสมองของเขาอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เชื้อเชิญ

“เอ้ย! อ ะ… อะ… อะไรกันนี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เธอแกล้งฉันอีกแล้วใช่ไหม?” เขาหันมองกลับมาที่เธออีกครั้งและได้แต่ภาวนาอยากให้เธอตอบกลับมาว่า ‘ใช่ ฉันล้อนายเล่นเฉย ๆ’ แต่…

“ฉันควรจะเป็นฝ่ายถามนายมากกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น? นายเป็นใคร? มาอยู่ในห้องนอนของฉันได้ยังไง? นายประสาทเสียไปแล้วใช่ไหม? นาย…???” และ…ก็ตามมาด้วยคำถามอีกมากมาย…

ตอนนี้ภากรรู้สึกหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลมห้องทั้งห้องหมุนเคว้งไปหมด โสตประสาทเหมือนเป็นอัมพาต ‘ไม่จริง…ไม่ใช่…เราต้องฝันไป ใช่สิเราต้องฝันไปแน่ ๆ’ เขาหยิกที่แขนตัวเอง “โอ้ย! นี่เราไม่ได้ฝันไปหรือนี่”

“นายเป็นอะไร อยู่ดี ๆ ก็ร้องขึ้นมา นายบ้าไปแล้วจริง ๆ หรือนี่” เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเขาเมื่อสักครู่

“ใช่…ฉันคงจะบ้าไปแล้วจริง ๆ” เขายอมรับกับเธอไปเหมือนคนไร้สติและเลื่อนลอย ชายหนุ่มค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกสติที่มีเหลืออยู่น้อยนิดให้กลับคืนมา ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่ามันแอบอยู่ตรงไหน ‘สติ – สมาธิ ได้โปรด ได้โปรดกลับคืนมาด้วยเถิด’

“ได้โปรด…ได้โปรด…กลับคืนมาสักทีสิ!” เขาสบถกับตัวเองอีกครั้งเพียงเพื่อต้องการระบายความอัดอั้นตันใจที่มันอัดแน่นอยู่เต็มอกที่แทบจะระเบิด หากว่าไม่ได้ระบายมันออกมา

เมื่อความสับสนวุ่นวายภายในใจเริ่มค่อย ๆ จางลงไป ความกลัวที่ตั้งเค้าเป็นเงาทะมึนเหมือนรอจังหวะและโอกาสอยู่ก็จู่โจมถาโถมเข้ามาต่อเนื่องเป็นกระแสสายธารอย่างไม่ขาดตอน ประหนึ่งเหมือนต้องการทำลายล้างตัดรากถอนโคลนสติสัมปชัญญะไม่ให้มีเวลากลับเข้ามาประจำการเพื่อช่วยเหลือเขาได้

‘ใช่! เรากลัวตาย เราต้องตายแน่ๆ’ เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถึงแม้ว่าภายในใจส่วนลึกยังมีความหวังน้อยนิดที่คิดอยากจะโกงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาต่อหน้าต่อตาของเขาเองก็ตามที เขามีความรู้สึกว่าขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาเริ่มคิดถึง…

‘พ่อกับแม่…ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่ท่านทั้งสองรักและเป็นห่วงดั่งแก้วตาดวงใจ แต่ก็ใช่ว่าท่านจะเลี้ยงอย่างทนุถนอมชนิดที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม กลับตรงกันข้าม ท่านทั้งสองเน้นย้ำและฝึกให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองรวมถึงให้ช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังและความสามารถที่พึงทำได้ และก็อีกอย่างใช่ว่าเขาไม่เคยห่างท่านทั้งสองไปไหนมาไหนไกล ๆ หรือนาน ๆ เลย เขาเคยเดินทางโดยลำพังไปเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ โดยห่างจากปิตุภูมิมาตุคามกว่าสัปดาห์หรือสองสัปดาห์หรือแม้กระทั่งกว่าหนึ่งเดือนของการออกค่ายอาสากับเพื่อน ๆ แต่นั่นมันเป็นการเดินทางที่มีจุดมุ่งหมายปลายทางที่ชัดเจนทั้งวันไปและกลับเป็นอย่างดี แต่ ณ เวลานี้…ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างต่างกันเหลือนเกิน เขาไม่รู้เลยแม้กระทั่งจุดเริ่มต้น!’

ความคิดของเขาเคว้งไปอีกโลกหนึ่งที่พึงสัมผัสได้ในอ้อมกอดของท่านทั้งสองที่มีความอบอุ่นอย่างจาง ๆ เพียงเพื่อมาบรรเทาเบาบางความเหน็บหนาวที่เกิดจากความกลัวสุดขั้วของหัวใจในขณะนี้ ชายหนุ่มรวบรวมสติและความคิดที่มันกระจัดกระจายอีกครั้งพยายามนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งสุดท้ายก่อนที่จะ…

‘เพื่อน!…ใช่สิ เราจำได้ในความรู้สึกครั้งสุดท้ายเหมือนว่า เรากำลังล่องแก่งกับเพื่อน ๆ อยู่นี่นา…แล้ว…แล้วเราก็มาโผล่ที่นี่ ถ้างั้น…เพื่อนของเราก็อาจจะ…อาจจะ…’ เขาเริ่มมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ความคิดของเขาจะจมดิ่งลงไปในภวังค์มากกว่านี้

“นี่นาย! นาย! นายเป็นอะไรไปหรือเปล่า?” เสียงของเธอช่วยกระตุกสติสัมปชัญญะของเขาให้ค่อย ๆ กลับมาอีกครั้งยังปัจจุบันขณะ ก่อนที่มันจะหลุดลอยออกนอกวงโคจรไปไกล ริมฝีปากของเขาแห้งผาก หนักอึ้งไปหมดราวกับถูกกดทับด้วยแผ่นหินศิลาก็ไม่ปาน

“ปะ… ปะ… เปล่า” เสียงของเขาแผ่วเบาราวกระซิบ

“ตกลงนายเป็นใครกันแน่?” เธอถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัยที่ยังไม่ได้รับการเจือจาง

“ที่นี่…ที่ไหน?” แทนคำตอบที่เธอได้รับกลับกลายเป็นว่าเขายิงคำถามใส่เธอแทน

“นี่คือคำตอบที่ฉันควรได้รับจากผู้บุกรุกอย่างงั้นเหรอ” เธอหัวเราะหึหึ

“นายนี่มันท่าทางจะเพี้ยนจริง ๆ จนกู่ไม่กลับ ไป…ออกไปจากห้องของฉันได้แล้ว ตอนนี้ฉันยังอารมณ์ดีอยู่นะจะบอกให้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงออกจะรำคาญมากกว่าโกรธ

“ที่นี่ที่ไหน!?” เขาถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังขึ้นกว่าเดิม หากไม่ใช่การคุกคามแต่แฝงไปด้วยการขอร้อง…ได้โปรด

“ที่นี่!” เธอชี้ลงที่พื้น “ก็บอกแล้วไงว่าบ้านของฉันและนี่ก็ห้องนอนของฉัน” คำตอบของเธอเหมือนคล้ายจะแกล้งยั่วและปั่นหัวเขาเล่น แต่ตอนนี้หัวสมองของเขาอยู่ในภาวะสุญญากาศที่ปราศจากโทสะชั่วคราว เขาจึงไม่ได้ใส่ใจในคำพูดที่ยียวนกวนประสาทของเธอ ชายหนุ่มเอามือลูบหน้าช้า ๆ พร้อมกับสูดลมหายใจลึกเข้าปอดราวกับว่าเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้

“เอาหละ… เอาหละ” เขายกมือขึ้นมาประกอบเหมือนกับต้องการจะบอกว่าให้ตัวของเธอรวมทั้งของเขาเองใจเย็น ๆ และหยุดสงครามน้ำลายไว้ชั่วคราวก่อน

“ฟังนะ…ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของฉันหรือมันเกิดอะไรขึ้นบนพื้นพิภพนี้ และที่ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง… ก็เอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวที่ฉันต้องการรู้มากที่สุดก็คือ…” เขาเว้นระยะและสูดลมหายใจเข้าปอดลึกอีกครั้ง

“ที่นี่ที่ไหน? เอ่อ…คือหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ โลก” ชายหนุ่มหยุดเว้นระยะอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของเธอที่จ้องมองเขาไม่กระพริบก่อนที่เขาจะกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ

“เอ่อ…หรือว่าดาวอะไร? ได้โปรดบอกฉันที ได้โปรดเถอะ” น้ำเสียงของเขาเจือไปด้วยการขอร้องและวิงวอนอย่างจริงใจ

เธอเดินวนรอบตัวเขาราวกลับสำรวจวัตถุแปลกประหลาดก็ไม่ปาน ในขณะที่ชายหนุ่มยืนนิ่งกลั้นใจรอลุ้นคำตอบราวกับนักโทษที่รอฟังคำพิพากษา…เพราะว่าคำตอบจากปากของเธอมันมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาทั้งชีวิตในเวลานี้และอาจจะ…ตลอดกาล

“ฉันเพิ่งสังเกต…ดู ๆ ไปนายก็ไม่ค่อยเหมือนพวกเราเลย” เธอพูดขึ้นมาลอย ๆ

เพียงแค่นี้ก็ทำให้ใจของภากรหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่ขนาดไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจนตรงตัวแต่มันก็มีอิทธิพลทำให้เขาแทบคลั่ง! ขึ้นมาอีกครั้ง

“กุทรุสกะ!” 

“อะ…อะไรนะ! เธอพูดภาษาอะไรของเธอ” เขาถามขึ้นทันควันด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ

“ไม่ใช่ภาษา ก็นายถามถึงอะไรหละ?”

“ก็ฉันถามว่าที่นี่…เอ้ย! อย่าบอกนะว่าชื่อนั้นคือ…”

“ใช่! อาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาลแผ่ปกคลุมสุดลูกหูลูกตารวมถึงที่ ๆ นายยืนอยู่ ณ ตรงนี้ เรียกว่า กุทรุสกะ!” เธอเน้นคำสุดท้ายอีกครั้ง

“กุ – ทรุ – สะ – กะ ยังงั้นเหรอ?” ภากรทวนชื่อนั้นช้า ๆ ด้วยเสียงที่สั่นและแตกพร่า พลันเมฆหมอกแห่งอวิชชาก็คืบคลานเข้ามาเบียดบังปัญญาอันน้อยนิดที่มีอยู่ของเขาให้จมดิ่งหายไปยิ่งกว่ามืดแปดด้าน

คราวนี้ภากรทรุดลงนั่งกับพื้นจริง ๆ อยากจะคิดว่าที่ผ่านมาทั้งหมดคือฝันไปหรือไม่ก็เป็นเพียงโรงละครหรือมายากลอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง ถึงแม้มันจะเป็นไปได้ยากก็ตามทีแต่ก็… ‘ขอให้มีปาฏิหาริย์ผ่านเข้ามาสักครั้งเถอะ ครั้งเดียวจริง ๆ แล้วจะไม่วิงวอนร้องขออะไรอีกเลย’

“แล้วนายหละ ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเป็นใครมาจากไหน?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่เหม่อลอยของเขาในเวลานี้

“กรุงเทพ… เอ่อ… ประเทศไทย เอ่อ…”

“อะไรนะ! นายพูดว่าอะไรนะ?”

“เอ่อ… เปล่าหรอก มัน…มันก็แค่คำใบ้ไขปริศนา” ภากรไม่รู้จะบอกหรืออธิบายให้เธอเข้าใจยังไงจริง ๆ เพราะลำพังตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่ที่ไหน? มันอยู่ส่วนไหนของโลกหรือของจักรวาลนี้ และที่สำคัญเขาจะเอายังไงกับชีวิตของตัวเองดี?

“ถ้าหากว่านายยังไม่หายบ้า เอ้ย! ไม่ใช่ ฉันหมายถึงยังจำอะไรเกี่ยวกับตัวของนายเองไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่านายก็พักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ฉันอนุญาต” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรและดูจริงใจ

ภากรพยักหน้ารับเสมือนประหนึ่งที่เด็กเชื่อฟังผู้ใหญ่ เพราะในหัวสมองของเขามันเหมือนยังไม่อยากรับรู้หรือคิดอะไรไปไกลเกินกว่าที่จะกลั่นกรองให้คำพูดหลุดออกมาจากปากได้ในขณะนี้

“นายหิวหรือยัง?” เธอถามขึ้นเมื่อเห็นแววตาที่ดูเศร้าสร้อยและหมดหวังของเขา

ภากรพยักหน้าส่งเดชไปอย่างนั้นอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เขาไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียงหรือแม้กระทั่งสัมผัสใด ๆ

“นายจะกินอะไร?”

“อะไร…ก็ได้” นับเป็นคำพูดแรกของเขาหลังจากทำได้แค่เพียงพยักหน้าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

*******************************************************************************

กุทรุสกะ ในพระไตรปิฎก ไทยแปลกันว่าข้าวหญ้ากับแก้ ซึ่งจะเป็นโภชนะอันเลิศในสมัยที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปี

ใส่ความเห็น