๐…
“ในวันศุกร์ที่ 13 เมษายน 2572 อะโพฟิส จะเฉียดเข้าใกล้โลกด้วยระยะห่างประมาณ 40,000 กิโลเมตร ซึ่งใกล้พอที่จะมองเห็นเป็นจุดแสงเหมือนดาวที่สว่างพอ ๆ กับดาวที่มีอันดับความสว่าง 3 ได้”
๑…
“สวัสดี เซเรเน่ คุณได้ยินผมหรือไม่” โอไรออน ส่งสัญญาณวิทยุถาม
“ให้ตายเถอะ นั่นคุณจริงๆ หรือ นายพราน” เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นดีใจ
“จะมีใครกันล่ะ ที่จะขันอาสามารับคุณกลับบ้าน” โอไรออนตอบ
“ฉันคิดว่าฉันคงจะแก่ตายอยู่ที่นี่ ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงของใครอีกแล้ว แต่นี่เป็นคุณ เป็นเสียงของคุณ…” เธอพูดก่อนที่น้ำตาจะหลั่งไหลออกมา
๒…
“มันไม่ใช่แบบนั้น คุณเข้าใจผิดแล้ว” ผมเถียงกลับไปในขณะที่สายตากำลังจับจ้องลงไปยังถนนสีลมเบื้องล่าง ถนนที่ถูกเรียกขานกันเป็นการเฉพาะว่า ถนนเปลือยอก เฝ้ามองดูเด็กหนุ่มสาวที่พากันเปลือยอกเต้นรำท่ามกลางสายน้ำที่เย็นฉ่ำแห่งเทศกาล การเปลือยอกที่ครั้งหนึ่งในอดีต เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและเป็นสิ่งต้องห้าม ก่อนที่จะค่อยๆ กลับกลายมาเป็นวัฒนธรรมรุ่นใหม่ที่แตกแถวบนถนนสายนี้โดยเฉพาะ “เมื่อมันเข้ามาใกล้โลก ประกอบกับที่มันมีการหมุนรอบตัวเองด้วย มันจึงเกิดการเบี่ยงเบนทิศทาง”
“ผมหมายความอย่างที่ผมพูดจริงๆ คุณ จัตวาลักษณ์” ศาสตราจารย์ อีเมอร์สัน พูดโต้ตอบมาทางโทรศัพท์ เขามีตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองควบคุมกล้องส่องอวกาศของนาซ่า นั่นหมายความว่า กล้องทุกตัวที่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า อยู่ภายใต้การดูแลของเขา “มันชะลอความเร็วลง ไม่ใช่เบี่ยงเบน แต่ชะลอลง”
แก้วกาแฟที่ถืออยู่ในอีกมือหนึ่งของผมถูกวางลงช้าๆ เสียงหัวเราะและกรีดร้องอย่างมีความสุขของเด็กสาวเปลือยอก ที่โยกย้ายส่ายสะโพกอยู่บนหลังคาสถานีรถไฟฟ้าดังลอดผ่านบานหน้าต่างกระจกแว่วเข้ามาเบาๆ ในขณะที่ผมนึกหาคำพูดอะไรไม่ออก
๓…
“แผนของผมคือ เราจะออกป่าล่าสัตว์ไปด้วยกัน ฟังดูดีไหม”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เซเรเน่หัวเราะออกมาในที่สุด “ฟังดูดีจังเลย”
“มันอาจจะมีการสั่นสะเทือนบ้าง แต่ผมคิดว่าคุณรับมือไหว” โอไรออนพูดต่อ
“ฉันคิดว่าไหว” เซเรเน่พูดพร้อมกับพยักหน้า “แล้วหลังจากที่แรงดึงดูดสมดุล พวกเราก็จะตีคู่ไปด้วยกัน ราวกับว่าเรากำลังขี่ม้าล่าสัตว์เคียงข้างกันไป เป็นอย่างนั้นใช่ไหม”
“คุณจำมันได้จริงๆ” โอไรออนพูดพร้อมกับยิ้มออกมา
๔…
มันไม่ง่ายเลยที่ผมจะต้องเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่อีเมอร์สันในภาพที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่า ในฐานะที่ผมเป็นนักข่าวสายวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้าของโลก เป็นคนที่มี สัญชาติญาณแห่งความถูกต้อง ดังที่ใครต่อใครเขาเชื่อถือกัน แต่นี่คือสิ่งที่ผมไม่เคยมีความรู้มาก่อน ไม่เคยมีข้อมูลใดๆ ในอดีตมาช่วยผมคิดหรือตัดสินใจได้เลย ข้อสำคัญ ผมไม่เคยเชื่อเลยว่า ผมเป็นผู้ที่มีสัญชาติญาณแห่งความถูกต้อง ตามที่ทุกๆ คนคิดกัน
“ผมไม่รู้” ผมพูดออกไปในที่สุด “ผมนึกไม่ออกจริงๆ”
“ช่วยผมหน่อยคุณ จัตวาลักษณ์” ศาสตราจารย์อีเมอร์สันวิงวอน “เราทุกคนต้องการความเห็นจากคุณ ว่านี่มันคือเรื่องบ้าอะไร”
“ผมไม่รู้จริงๆ ท่านศาสตราจารย์” ผมพูดพร้อมกับส่ายหน้าไปมาช้าๆ “มันชัดเจนอยู่แล้วว่า อะโพฟิส เป็นเพียงดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง ยานสำรวจของทั้งรัสเซีย อเมริกา และจีน ต่างก็ลงจอดไปสำรวจกันมาหมดแล้ว เศษดินเศษหินก็ยังเก็บกันอยู่ที่นี่ แต่ทำไมจู่ๆ มันถึงชะลอความเร็วลง ผมนึกไม่ออกจริงๆ”
“มีแรงอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า แรงจากดวงจันทร์ของเราที่ทำให้เกิดผลกับความเร็วของมัน” อีเมอร์สันเสนอความเห็น
“ไม่มีทาง เท่าที่ผมเห็น อะโพฟิส ชะลอความเร็วลงด้วยตัวของมันเองก่อนที่จะเข้าชนกับดวงจันทร์ ซึ่งจนถึงตอนนี้ ผมเชื่อว่ามันจะไม่ชน”
“คุณคิดว่ามันจะไม่ชนดวงจันทร์อย่างนั้นหรือ”
“ครับ แค่เฉี่ยว แต่ไม่ชน” ผมพยักหน้ารับรอง
๕…
“ยอดเยี่ยมไปเลย” เซเรเน่ร้องลั่นอย่างดีใจ “มันยอดเยี่ยมจริงๆ”
“อย่าลืมสิว่า ผมคือใคร” โอไรออนพูดพลางหัวเราะ “เอาล่ะนะ เราจะรักษาสมดุล ระยะ ความเร็ว และวงโคจรนี้ไปสักสองรอบ เมื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างปกติดีแล้ว ผมจะเริ่มถ่ายทอดพลังงานให้แก่ยานของคุณ”
“และฉันจะได้บินกลับบ้านเสียที” หญิงสาวพูดพลางเป่าปากออกมาเบาๆ “รู้ไหม นายพรานของฉัน ฉันสงสัยจริงๆ ว่า พวก เผ่าพันธุ์ที่เกือบจะมีสติปัญญา พวกนี้ จะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เราสองคนทำ”
“คุณไม่สามารถสำรวจพวกเขาได้แล้วใช่ไหม” โอไรออนถาม
“ฉันหมดพลังงานไปนานมากแล้ว เหลือก็แค่ประคองชีวิตเอาไว้แล้วรอจนกระทั่งคุณมาทำ ภารกิจกู้ชีพ ให้ฉันนี่แหละ”
“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ คุณทำอะไรกับพวกเขาบ้าง”
“หลังจากเพาะพันธุ์สัตว์และพืช แล้วสอนภาษาซึ่งถือเป็นรากฐานแห่งการสร้างอารยธรรมให้แก่พวกเขาแล้ว ฉันก็เฝ้าดูผลของมันแต่เพียงอย่างเดียว คุณเชื่อไหม นายพราน ว่าเท่าที่ฉันเห็นก็คือ คนเผ่าพันธุ์นี้ ไม่ได้ทำอะไรให้เจริญงอกงามขึ้นมาอย่างเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย แถมยังเพียรแต่ทำให้ภาษาวิบัติอีกต่างหาก”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นผมก็เดาว่า นอกจากน้ำทะเลจะปั่นป่วน เกิดพายุใหญ่และคลื่นยักษ์ รวมถึงแผ่นดินไหวอีกเล็กน้อย นอกนั้น พวกเขาก็คงยืนมองพวกเราอย่างตาเหลือกตาปลิ้นก็เท่านั้น” พูดจบ โอไรออน ก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
๖…
แล้วหลังจากที่ อะโพฟิส โคจรตีคู่ไปกับดวงจันทร์อยู่สองรอบโลก ลำแสงสว่างเรืองๆ ก็ปรากฏขึ้นระหว่างดวงดาวทั้งสอง ก่อนที่จะเข้มขึ้นและจ้าขึ้น จนกระทั่งแสบตาแม้จะมองผ่านเลนส์กรองแสง
และเมื่อทุกอย่างจบลง ผมก็มองเห็นดวงจันทร์ ลอยตีคู่ไปกับอะโพฟิส จากโลกไปอย่างช้าๆ
๗…
หลังจากแผ่นดินไหวทั่วโลกสงบลง พร้อมกับ ภารกิจกู้ชีพ ให้กับประชาชนที่ถูกคลื่นยักษ์เข้าถาโถม โลกของเราก็ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีกต่อไป ในยามค่ำคืน ผมยังคงพยายามเงยหน้ามองหาดวงจันทร์ ทั้งๆ ที่ผมรู้ดีว่า ผมจะไม่มีวันมองเห็นมันได้อีก…ตลอดกาล
“ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ศาสตราจารย์อีเมอร์สันเอ่ยถามผม ในคืนที่ผมเลี้ยงอำลาให้แก่เขา กับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่ศาสตราจารย์วัยใกล้เกษียณผู้นี้ ก็ยังทำใจที่จะรับดูแลงานให้นาซ่าต่อไปอีกไม่ได้
“คุณคิดว่าดวงจันทร์มาจากไหน” ผมเอ่ยถามกลับไปแทนคำตอบ
“หลายทฤษฏี” อีเมอร์สันตอบ “แต่ตอนนี้ ผมนึกไม่ออกแม้แต่ทฤษฏีเดียว”
“มันโคจรมายังโลกของเรา แล้วปักหลักอยู่ตรงนั้น นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วอย่างเนิ่นนาน” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง เหม่อมองหามัน “ผมเชื่อว่ามันคงเกิดความผิดพลาดสักอย่าง พลังงานของมันคงหมด มันก็เลยต้องลอยเป็นดาวบริวารของโลกอยู่อย่างนั้น”
“คุณหมายความว่า ดวงจันทร์ก็คือ…”
“ยานอวกาศ” ผมพยักหน้าตอบ “และเมื่ออะโพฟิสถ่ายทอดพลังงานให้แก่มัน ยานอวกาศทั้งสองลำ ก็สามารถบินกลับบ้านไปด้วยกันได้ อย่างที่พวกเรารู้นั่นแหละครับ ท่านศาสตราจารย์ ดวงจันทร์และอะโพฟิสต่างลอยไปสู่กลุ่มดาวนายพราน”
“ยานอวกาศในรูปแบบของดาวเคราะห์ ผมไม่อยากเชื่อเลย” เขาส่ายหน้าไปมา
“รู้ไหมผมกำลังคิดถึงอะไร”
เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เซเรเน่ครับ” ผมตอบคำถามของตนเอง “หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ เทพีอาร์เทอมีส เทพีแห่งดวงจันทร์ที่หลงรักนายพราน สหายรักของเธอ และตอนนี้เธอก็ได้บินกลับไปสู่อ้อมกอดของโอไรออนแล้ว สมดังตั้งใจ”
……
จบ
จัตวาลักษณ์
ชอบสำนวนครับ เขียนได้ดีมาก
ชอบการ “ขบกัด” เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น “ถนนเปลือยอก” หรือมุมมองของเทพเจ้าที่มีต่อมนุษย์ผู้เกือบจะมีสติปัญญา
ชอบจังหวะของการดำเนินเรื่องที่ทำออกมาได้ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง
การเอาเนื้อเรื่องไปผูกกับปกรนัมกรีกก็ทำได้ลงตัวด้วยเช่นกันครับ
ปล. Selene น่าจะเรียกเป็น “เซเลเน่” มากกว่าจะเป็น “เซเรเน่” นะครับ
ในชุดการประกวดนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมอ่าน ที่พูดถึง ดวงดาว ในฐานะ ยานพาหนะ
ซึ่งผมชอบมาก
ถึงแม้ การมองดวงจันทร์เป็นยานอวกาศไม่ใช่เรื่องใหม่
แต่การมองเป็น “สิ่งมีชีวิต” สร้างความน่าสนใจขึ้นไปอีก
ภาษาดี
วิธีการเล่าเรื่องดี ครับ
(จังหวะการเล่าเรื่อง การตัดฉาก ผมชอบมากเลยครับ)
อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าฉากเหตุการณ์เป็นวันลอยกระทง จะเป็นอย่างไร
(หรือเป็นวันอื่นที่ตรงกับตำนานกรีก)