ผู้บริสุทธิ์ : รางวัลชมเชยการประกวดเรื่องสั้นไซ-ไฟ ครั้งที่ 2 หัวข้อ “ยานอวกาศ”

1
โมกราเตรียมยานสำรวจ “จาเก้น” ยานชั้นโอริโม ซึ่งสามารถจะทนพายุสุริยะขนาด 3 อิเล็กตรอนโวลต์ ได้ลำหนึ่ง จะว่าไปก็ยานลำนี้ยังเล็กไปนิดแต่นั้นก็เป็นยานลำใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในอู่ของโมกรา สัญญาณที่กีเดียตรวจจับได้นั้น ต่ำแหน่งของยานอับปางน่าจะอยู่เลยช่องว่างฟาร์เนล ซึ่งเป็นน่านอวกาศสากล ตามกฎของสมาพันธ์เอกภพใครก็ตามที่ค้นพบยานอัปปางที่มีอายุเกินกว่าสามสิบปีซีเซี่ยมเป็นคนแรกจะสามารถครอบครองยานดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์ แต่จะต้องมีหลักฐานชื่อของยานลำที่อับปางมาแสดงกับสมาพันธ์ฯ ดังนั้นจึงยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยานกู้ซากขนาดใหญ่ ใช้เพียงยานสำรวจขนาดเล็กเพื่อหาหลักฐานชื่อยานก่อน

การเดินทางในช่วงแรกราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร ลาเพิร์นนักนำทางหญิงชำนาญในเส้นทางนี้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อผ่านแถบดาวเคราะห์น้อยมาได้ ก็เข้าสู่เขตช่องว่างฟาร์เนล ที่นี้เราพบกับพายุสุริยะขนาดย่อม ลาเพิร์นใช้ความชำนาญของเธอหักเลี้ยวยานเพื่อให้ภาคตัดขวางของยานประทะกับพายุน้อยที่สุด ยานสะเทือนแต่ยังรับมือได้ ในที่สุดเราก็กลับเข้าสู่เส้นทาง

“จุ๊ๆๆๆ..ได้ยินไหม” กีเดียส่งเสียงเตือนเพื่อนร่วมยาน “สัญญาณขอความช่วยเหลือ สัญญาณใช้ระบบรหัสกามีนิ“ เสียจากเครื่องรับสัญญาณดังเป็นจังหวะแปลกๆซ้ำไปซ้ำมา “สัญญาณนี้ใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อ 800ปีซีเซี่ยมที่แล้ว” กีเดียอธิบาย “จากนี้ไปเราจะออกนอกเขตช่องว่างฟาร์เนล เราอาจเจอพายุสุริยะอีกก็ได้”

สัญญาณขอความช่วยเหลือแรงขึ้น ทั้งสี่เริ่มเห็นจุดบนเรด้าใหญ่ขึ้นๆ ในที่สุดยานอวกาศรูปทรงโบราณก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า มันเป็นยานขนาดไม่ใหญ่นักแต่ใช้วัสดุประกอบยานอย่างดี ผิวยานถูกลมสุริยะทำลายไปพอสมควรจนมองไม่เห็นสัญลักษณ์ใดๆ ยานจาเก้นค่อยๆเลื่อนตัวเข้าไปเพื่อจอดเทียบ ทางเชื่อมยานถูกยืดออกจากยานจาเก้น เมื่ออินเตอร์ล็อคเข้าล็อคได้สนิท กีเดีย โมกรา และอูเกร ในชุดอวกาศก็ลอยตัวผ่านเข้าช่องอินเตอร์ล็อคไป

2
ในยานโบราณลำนั้นชายสามคนในชุดอวกาศลอยเคว้งคว้างท่ามกลางความมืดลำแสงจากชุดอวกาศกวักไกวสลับไปมา
“!! กีเดียน เรียก กีเดีย !!”เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากระบบสื่อสาร
“นี่กีเดียพูด มีอะไรลาเพิร์น”
“!! ฉันว่าลองดูทางซ้ายของห้องนั่นใหม่ซิ !!” กีเดีย ปรับไอพ่นชุดอวกาศเล็กน้อย ร่างของเขาลอยไปทางซ้ายของห้องอย่างแผ่วเบา ลำแสงจากชุดอวกาศจับจ้องไปที่สิ่งคล้ายคันโยก
“คิดว่าเห็นแล้วลาเพิร์น” กีเดียไล่นิ้วไปตามอักขระโบราณ ในที่นี้มีเขาคนเดียวที่อ่านภาษาโบราณเหล่านี้ออก อูเกรพุ่งตัวข้ามห้องตามกีเดียมา
“มันเขียนว่าอย่างไร”อูเกรถาม
“มันอ่านว่า เปิด … วง..” อูเกรไม่รอให้กีเดียอ่านจบเขากระชากคันโยกนั้นทันที ไฟในห้องพลันสว่างขึ้นและระบบแรงโน้มถ่วงเทียมทำงานทันทีส่งผลให้มนุษย์อวกาศทั้งสามตกลงกระแทกพื้นยานโครมใหญ่
“อูย!!! ไอ้อูเกร ทำไมรีบโยกคันโยกอย่างนั้นทำไมไม่รอฉันอ่านก่อน” กีเดียตำหนิ
“ก็ในสายตาของนักโปรแกรมเมอร์มันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่ามันนั่นมันเป็นพาวเวอร์ สวิชต์” อูเกรยังทำเป็นอวดเก่งทั้งที่ตัวเองก็เจ็บ
“แต่ฉันว่าอากาศที่นี่ใช้ได้นะ” โมกรากระชากหมวกออกจากศีรษะ กีเดียลองหมวกถอดออกบ้าง
“แน่ใจนะ” ไอ้ขี้ขลาดอูเกรยังไม่ยอดถอด โมกราท่าทางรำคาญเลยช่วยกระชากหมวกออกให้
“เจ็บนะโว้ย”อูเกรโวย
“!! หนุ่มๆ เลิกเล่นแล้วช่วยกันหาชื่อยานได้แล้วก่อนพายุสุริยะจะถล่มยานจาเก้น!!” ลาเพิร์นวิทยุเข้ามา
“ได้เลยจ๊ะ สาวลาเพิร์น” อูเกรเลิกโวยหันมาแหย่ลาเพิร์นแทน กีเดียเลิกตาใส่
“ถูกต้องทุกอย่างขึ้นกับเวลา รีบไปหาชื่อยานได้แล้ว” โมกราออกคำสั่ง

3
กีเดียใช้เวลาค่อนข้างนานในการแกะอักขระโบราณทีละตัว อูเกรกับโมกราใช้เวลาระหว่างนี้หาสมบัติมีค่าไปด้วย
“กีเดีย หาชื่อยานเจอหรือยัง ยานห่านี้ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ไม่มีอะไรมีค่าเลยซักอย่าง รูปถ่ายซักใบก็ไม่มี ไม่มีแม้แต่ศพของลูกเรือ พวกลูกเรือคงขนสมบัติหนีไปหมดแล้วแน่ๆ หรือไม่ก็มีพวกโจรขโมยสุสานมาตัดหน้าเราไปก่อน” โมกรากล่าวฉุนๆ
“ใจเย็นก่อนโมกรา” เจ้าอ้วนอูเกรปลอบ “อย่างน้อยถ้าหากเราลากซากยานลำนี้กลับไปได้ พิพิธภัณฑ์โดมิแตคงให้เราไม่ต่ำกว่า เก้าหมื่นเครดิตกาแล็กเซียนนา” ขณะนั้นกีเดียก็พบอะไรบางอย่าง
“ได้แล้วเพื่อนฉันเจอชื่อยานแล้ว ติดแต่คำสุดท้ายมันอ่านว่ายาน ไมแพร…ตัวสุดท้ายไม่แน่ใจ ขอถ่ายภาพไว้ก่อน” กีเดียถ่ายภาพจากกล้องในชุดอวกาศ กะว่าเมื่อกลับไปจะไปค้นหาคำนี้อีกที
“!!ดี เราจะได้กลับ…..!!” ลาเพิร์นวิทยุเข้ามาแต่สัญญาณขาดหายไป ยานอวกาศเริ่มสั่นโคลงจากนั้นไฟก็ดับลง
—-*—-
มนุษย์อวกาศทั้งสามลอยเคว้งคว้างท่ามกลางความมือและแรงสั้นสะเทือน 4 นาที เมื่อไฟสว่างและระบบแรงโน้มถ่วงเทียมทำงานอีกครั้งพวกเขาก็พบว่าไม่สามารถติดต่อกับลาเพิร์นได้อีกต่อไป กีเดียกลับไปตามลาเพิร์นที่ยานจาเก้นแต่เมื่อเปิดอินเตอร์ล็อคก็พบว่าลาเพิร์นกำลังเดินลอยสวนทางมา
“สรุปว่า ยานจาเก้น โดนพายุสุริยะ ระบบสำรองพลังงานเหลือแค่ระบบยังชีพเท่านั้นไม่เพียงพอที่จะพายานกลับได้ ระบบสื่อสารเสียหายคืนนี้เราต้องนอนที่ยานโบราณนี้กันทั้งหมด”ลาเพิร์นสรุปให้ฟัง
“อูเกร แล้วยานลำนี้ละเสียหายแค่ไหน” กีเดียให้อูเกรลองสำรวจความเสียหายของยานโบราณ
“ฉันไปสำรวจมาแล้ว รู้ไหม! แม้ฉันว่าไอ้คนออกแบบยานลำนี้จะขี้เท่อไปหน่อยแต่ฉันยอมรับว่าพวกเขาออกแบบระบบป้องกันได้ดีทีเดียว ความเสียหายของยานมีระดับต่ำ พลังงานเหลือไม่มากแต่ยังไม่เสียหาย เราน่าจะสามารถถ่ายพลังจากยานลำนี้ไปให้ยานจาเก้นได้ว่ะ กีเดียอ่านปุ่มนี้ให้ฟังหน่อย เดี๋ยวฉันจะแสดงให้ดู”
กีเดียตั้งท่าจะอ่านแต่ไม่ทันใจ อูเกรกดปุ่มทันทีจากนั้นเอามือมาถูกันตั้งหน้ารออย่างมั่นใจ โมกราถลึงตาใส่ ผนังยานด้านหนึ่งสว่างจ้าจากนั้นมันก็ค่อยๆแยกออก “อะไรว่ะนั่น ห้องลับ” อูเกรอุทานอย่างผิดคาด
ทั้งสี่เดินเข้าไปดู ต่างตกตะลึงไปตามกัน

4
ภายในห้องลับ ทั้งสี่เดินเข้าไปดูก็พบเด็กทารกเพศชายในภาวะจำศีลอยู่ในหลอดแก้ว ด้วยระบบยังชีพเขาน่าจะอยู่มาหลายพันปีแล้ว
“ตายหรือยัง” โมกรากล่าวสีหน้าเคร่งเครียด
“เขายังไม่ตายแค่จำศีล” ลาเพิร์น จ้องมองทารกอย่างเอ็นดูพลางอมยิ้ม
“อย่างน้อยเราก็พบของมีค่าบ้างแล้ว” อูเกรกล่าว
“แต่เขาเป็นคนนะไม่ใช่สมบัติ”ลาเพิร์นแย้ง
กีเดียมีสีหน้าเคร่งเครียก่อนจะกล่าวว่า “เรากำลังมีปัญหา”
“ปัญหาอะไร”
“ปัญหาที่ว่า เด็กคนนี้เป็นเจ้าของยานที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราเป็นเพียงผู้บุกรุก” ทั้งอรูเกรและโมกราหน้าถอดสี แต่ลาเพิร์นยังยิ้มให้เด็กทารกอยู่
“แต่…. แต่ เขายังเป็นแค่ทารก”
“ตามกฎของสมาพันธ์ฯผู้ที่มีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้ายย่อมได้ครอบครองยานโดยสมบูรณ์ และทารกนี้ยังมีชีวิตอยู่แม้ในภาวะจำศีล” ความนิ่งเข้าครอบคลุมทั่วทั้งยานโบราณ
“ฉันคิดอะไรออกแล้ว เราควรโยนเจ้าเด็กน้อยนี้ทิ้งไปซะ ถ่ายพลังงานเข้ายานจาเก้นและรีบเผ่นก่อนพายุสุริยะจะทำยานจาเก้นเสียหายอย่างถาวร” อูเกรร้อนรน
“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เราทิ้งเด็กนี่ไว้อย่างเดิมจากนั้นเราจะถ่ายพลังงานและกลับไปแจ้งตำรวจของสมาพันธ์ฯมาจัดการต่อ”
“กีเดียพูดถูก หน้าที่เราสิ้นสุดแล้ว โมกราเตรียมถ่ายพลังเข้ายานจาเก้นกันเถอะ” ลาเพิร์นเสริม โมกรามีท่าทีไม่ยอม
“ไม่! เรายังไม่ทำอะไรจนกว่าจะตกลงเรื่องนี้ให้จบ ฉันต้องทิ้งงานลูกค้ามา ยานฉันพังเพียงเพราะแกสองคนพาเรามาดูยานโบราณที่ว่างเปล่ากับเด็กหลอดแก้ว” น้ำเสียงโมกราเด็ดขาด
“โมกรา อย่าพึ่งโกรธไปเลย เราสองคนขอโทษพวกนายสองคน เรื่องเด็กพวกฉันไม่รู้จริงๆไว้หลังจากกลับไปฉันจะจ่ายค่าเสียหายให้ครึ่งหนึ่ง”
โมกรายังมีท่าทีแข็งกร้าวแม้ลาเพิร์นพยายามหว่านล้อม โมกราไม่ฟังเสียงฉวยท่อนเหล็กได้ท่อนหนึ่งเงื้อมือเตรียมฟาดใส่ทารกในหลอดแก้วเต็มแรง กีเดียและลาเพิร์น ร้องตะโกนขึ้นพร้อมกัน แต่ไม่ทันการณ์ ทั้งห้องสว่างด้วยแสงขาวโพลน เกิดเสียงเปรี๊ยะ ๆ พร้อมกลิ่นเหม็นไหม้ สิ้นแสงสว่าง ร่างของโมกราแดงสว่างจ้าคล้ายเหล็กถูกเผาไฟ ลาเพิร์นร้องเสียงหลง เมื่อร่างที่เหลือของโมกราเย็นลงจึงสามารถเห็นชิ้นส่วนโลหะและสายไฟต่างๆปะปนอยู่กับโครงกระดูก และเนื้อไหม้เกรียม อูเกรตื่นตระหนกไม่แพ้กัน “โมกราตายแล้ว เขาเป็นแอนดรอยหรือนี่”
เสียงๆหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงสังเคราะห์เลียนแบบเสียงผู้หญิง อูเกรผวาเฮือก เสียงสังเคราะห์ดังจากลำโพงเพดาน มันเป็นเสียงสองกลของยาน ยานลำนี้มันเป็นยานอัตโนมัติ มิน่าถึงไม่มีลูกเรือแม้แต่คนเดียว เสียงนั้นดังซ้ำอีกครั้งแต่ไม่มีใครฟังมันออก ยกเว้นกีเดีย
“มันบอกว่า โมกราเป็นแอนดรอย เป็นผู้บุกรุก” กีเดียแปล
“กฎข้อที่ 1 หุ่นยนต์มิอาจกระทำการอันตรายต่อผู้ที่เป็นมนุษย์ หรือนิ่งเฉยปล่อยให้ผู้ที่เป็นมนุษย์ตกอยู่ในอันตรายได้” กีเดียพูดต่อ
“ฉันรู้จักกฎนั้นกีเดีย มันเป็นกฎเก่าแก่ของหุ่นยนต์ ข้อที่สองมีอยู่ว่าหุ่นยนต์ต้องเชื่อฟังคำสั่งที่ได้รับจากผู้ที่เป็นมนุษย์ เว้นแต่คำสั่งนั้นๆ ขัดแย้งกับกฎข้อแรก และข้อที่สามคือหุ่นยนต์ต้องปกป้องสถานะความมีตัวตนของตนไว้ ตราบเท่าที่การกระทำนั้นมิได้ขัดแย้งต่อกฎข้อแรกหรือกฎข้อที่สอง โมกราเป็นแอนดรอย มันจึงทำตามกฎข้อที่ 1 และ 3” อูเกรเอ่ยถึงกฎอีกสองข้อให้ กีเดียและลาเพิร์นฟัง ความเครียดเข้ากดดันยานอวกาศทั้งลำ

5
อูเกรตบมือฉาดใหญ่เหมือนพึ่งนึกอะไรได้ “ถ้าเราถ่ายพลังงานจากยานลำนี้ไปสู่ยานจาเก้น เด็กในหลอดแก้วจะตายเพราะขาดพลังงานมาเลี้ยงระบบจำศีล และเราก็ไม่สามารถย้ายเด็กไปไว้ในยานของเราได้เพราะยานเราไม่มีระบบจำศีล เจ้าสมองกลของยานจะต้องทำตามกฎข้อที่สอง นั่นคือมันจะไม่ยอมทำตามคำสั่งเราเพราะเป็นคำสั่งที่ขัดกับกฎข้อที่ 1 แต่มันก็จะไม่ทำอันตรายต่อเราด้วย เราต้องหาทางหลอกอะไรมันซักอย่างแล้ว” สิ้นคำอูเกรยานอวกาศโบราณก็สั่นไหวอีกครั้ง แสงไฟ กระพริบติดๆดับๆ “เราอาจเจอพายุเมื่อไหร่ก็ได้ต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว”
กีเดียดึงร่างอ้วนของอูเกรเข้ามาพูด “อูเกร ฟังฉันนะฉันไม่คิดว่าเราควรจะไปยุ่งกับยานลำนี้ มันเป็นหุ่นยนต์อันตราย เราควรกลับยานไปซ่อมระบบสื่อสารที่ยานจาเก้นเพื่อขอความช่วยเหลือจะดีกว่า”
“กีเดีย อย่าโง่ซิใครเขาจะได้รับสัญญาณเรา เราออกนอกเส้นทางมาไกลมาก และกว่าจะมีคนมาช่วยพายุสุริยะคงเล่นงานเราไม่เหลือแล้ว เราต้องกำจัดทารกนั่นซะแล้วถ่ายพลังงานลงยานจาเก้น” กีเดียยอมปล่อยมือออกจากตัวอูเกร
“อูเกร ไปช่วยฉันซ่อมวิทยุเถอะ ถ้าทำอย่างแกว่าเด็กนั่นจะตาย ไปขอความช่วยเหลือแล้วปล่อยยานกับเด็กให้อยู่ในความอนุเคราะห์ของสมาพันธ์ซะ” อูเกรไม่ฟังเสียง วิ่งออกไปทางกาบเรือพร้อมตะโกนว่า “ฉันรู้จักกฎเหล่านั้นดี มันจะไม่ทำอันตรายมนุษย์ ยังไงเด็กนั้นก็ไม่มีวันได้ตืนหรอก” แล้วอูเกรก็วิ่งลับตาไป

6
กีเดียตัดสินใจกลับไปที่ยานจาเก้นเพียงลำพัง เขาพยายามซ่อมระบบสื่อสารด้วยตนเองทั้งๆที่ควรเป็นหน้าที่ของอูเกร ขณะเขากำลังพยายามซ่อมระบบสื่อสารนั้นลาเพิร์นได้เรียกวิทยุเข้ามา
“!! เกียเดีย ๆ ทราบแล้วเปลี่ยน!!”
“นี่กีเดียพูด”
“!! กีเดีย อูเกรพยายามทำอะไรโง่ๆ!!” มีเสียงสะอื้นของลาเพิร์นแทรกมาด้วย “!!ตอนนี้เขาตายแล้ว..!!”
“ไอ้บ้า อูเกรเอ๊ย”

7
กีเดียกลับมาที่ยานโบราณอีกครั้ง เขาต้องกลับมาเผชิญหน้ากับสมองกลของยานโบราณ อูเกรพยายามส่งไวรัสหลอกสมองกลว่า ทารกในภาวะจำศีลนั้นตายไปนานแล้วแต่ไม่สำเร็จเขามั่นใจว่ายานโบราณจะไม่ทำอันตรายต่อเขาเหมือนโมกราที่เป็นแอนดรอยแต่เขาคิดผิด ยานหุ่นยนต์โบราณทำตัวประดุจว่าทารกในหลอดแก้วคือลูกน้อยในครรภ์ที่มันต้องปกป้องด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่
[ ตามกฎข้อที่หนึ่ง หุ่นยนต์ห้ามทำร้ายมนุษย์หรือปล่อยให้มนุษย์ได้รับอันตราย ที่เจ้าทำกับโมกราสามารถเข้าใจได้ว่าเขาเป็นแอนดรอย แต่กับอูเกรทำไมถึงต้องฆ่าเขาด้วยตามกฎข้อที่ 1 หุ่นยนต์ต้องไม่ทำร้ายมนุษย์] กีเดียถามสมองกลด้วยภาษาโบราณ
[ตามกฎข้อที่ 0 หุ่นยนต์มิอาจกระทำการอันตรายต่อชาติพันธุ์มนุษย์ หรือนิ่งเฉยปล่อยให้ชาติพันธุ์มนุษย์ตกอยู่ในอันตรายได้ เขาเป็นตัวอันตราย] เสียงสังเคราะห์ตอบโต้
[หมายความว่าอย่างไร มีกฎข้อที่ 0 ด้วยเหรอ แล้วทำไมไม่ห้ามเขาถึงขนาดต้องฆ่าเขาด้วเหรอ] กีเดียแย้ง
[เพราะเขาเป็นตัวอันตราย อย่างไรเขาต้องหาทางถ่ายพลังงานออกจากยานแน่ และระบบจำศีลจะหมดพลังงาน ชาติพันธุ์มนุษย์จะสูญสิ้น] เสียงสังเคราะห์ตอบ
[งั้นหมายความว่าเรา 3 คนไม่ใช่มนุษย์มีเพียงทารกในหลอดแก้วเท่านั้นหรือที่เป็นมนุษย์]
[ท่านทั้งสามคนไม่ใช่มนุษย์ ทารกในหลอดแก้วคือมนุษย์]
[แต่เราสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์]
[ฉันได้ตรวจสอบดีเอ็นเอของท่านทั้งสามแล้วไม่ใช่ดีเอ็นเอของมนุษย์] มีเครื่องตรวจวัดดีเอ็นเอติดตั้งไว้ในยานด้วย กีเดียคิด ตามประวัติศาสตร์จักรวาลใหม่ มนุษย์ในยุคปัจจุบันได้กระจัดกระจ่ายไปทั่วเอกภพ จำเป็นต้องดำรงชีวิตในอวกาศท่ามกลางรังสีต่าง มนุษย์ในยุคนี้แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนมนุษย์ยุคก่อนมาแต่จริงๆแล้วล้วนถูกดัดแปลงพันธุกรรมไปมาก ถ้านั้นเป็นเด็กทารกจากยุคเก่า ทารกก็คงเป็นพวก DNA บริสุทธิ์ สมองกลโบราณถูกตั้งขึ้นมาเพียงแค่แยก DNA บริสุทธิ์กับไม่บริสุทธิ์เท่านั้น กีเดียคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป ยานโบราณเริ่มสั่นโคลงจากลมสุริยะอีกครั้ง
“กีเดีย ท่าทางพายุสุริยะลูกใหญ่จะมาแล้วนะ คุยกันรู้เรื่องหรือยัง” ลาเพิร์นเร่งเร้าด้วยกลัวว่ายานจาเก้นจะเสียหายจนไม่สามารถเดินทางกลับได้
“มันไม่ยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์”

[เจ้าตัดสินความเป็นมนุษย์ด้วยดีเอ็นเอเท่านั้นหรือ มนุษย์โลกได้ละทิ้งโลกและออกเดินทางในห้วงอวกาศมาหลายพันปี ระหว่างนี้มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงกับมนุษย์มากมาย หากแต่รากเหง้าของเรายังเป็นมนุษย์เดินดินเหมือนเด็กในหลอดแก้วนั้น หากเราไม่ได้พลังงานจากเจ้าเราจะตายกันทั้งหมด แม้ว่าเจ้าจะรักษาทารกน้อยในภาวะจำศีลได้แต่อีกนานแค่ไหนที่จะมีคนมาช่วยทารกน้อยนั้นได้ แล้วเจ้าจะไว้ใจให้พวกเขาช่วย มนุษย์ไหม ถ้าเจ้ายอมรับว่าเราคือมนุษย์เจ้าจะปกป้องพวกเราไม่ให้ตกอยู่ในอันตรายใช่ไหม แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมรับพวกเราว่าเป็นมนุษย์ ก็คงไม่เหลือมนุษย์ให้เจ้าปกป้องได้อีก แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรกับพวกเรา] ไม่มีคำตอบจากสมองกลของยานโบราณ ยานสั่นไหวอีกครั้งเหมือนเร่งเร้าในคำตอบ ลาเพิร์นไม่กล้าจะเอ่ยปากถามอีก แล้วก็มีเสียงตอบมาจากลำโพง
[จากการตรวจดีเอ็นเออย่างไรพวกท่านไม่ใช่มนุษย์ แต่ในตรรกะข้ายอมรับว่าพฤติกรรมของท่านทั้งสองเปรียบเสมือนด้วยมนุษย์ผู้ประเสริฐ ข้ายอมรับแล้วและจำดำเนินการเชื่อมถ่ายพลังงานเข้าสู่ยานของเจ้า]
“ตกลงคุยกันอย่างไรบ้างกีเดีย” ในที่สุดลาเพิร์นก็ตาม
“มันยอมแล้ว มันยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์ มันกำลังจะถ่ายพลังงานสู่ยานของเรา”
ยานโบราณเชื่อมถ่ายพลังงานสู่ยานจาเก้น แสงไฟภายในยานโบราณเริ่มดับไปทีละโซนเพื่อสงวนพลังงานไว้
ลาเพิร์นลุกขึ้นยืนหันหลังให้กีเดียจ้องมองไปที่หลอดแก้วในผนัง ตัวเริ่มสั่นมือยกขึ้นปาดแก้ม กีเดียสังเกตเห็นจึงเดินไปสมทบ “กีเดีย เอาเด็กไปกับเราเถอะถ้าถ่ายพลังงานเสร็จยานโบราณนี้คงอยู่ต่อได้ไม่นานก็คงหมดพลังและเด็กคนนี้ก็คง…”
“ถ้าเอาเด็กไปกับเราด้วยเด็กก็คงจะต้องตายกับเราอยู่ดี แล้วเราจะอธิบายกับตำรวจอย่างไร”
“กีเดีย ได้โปรดเชื่อฉันซักอย่าง เด็กจะปลอดภัย เด็กจะไม่ตายเราใช้เวลาเดินทางกลับไม่เกินสามวัน เด็กอยู่ได้สามวันโดยไม่ได้กินนมเลย”
กีเดียพยักหน้าเหมือนเข้าใจ เขาหันไปคุยกับสมองกลนั้นอีก ซักครู่ไฟแสดงการทำงานของหลอดแก้วจำศีลก็เปลี่ยนสี ระบบเริ่มปลุกทารกน้อยจากการจำศีล ทารกเริ่มดิ้นเล็กน้อย
“กีเดีย!! ยังมีเด็กอีก 1 คน บอกสมองกลด้วยว่าขอเด็กอีกคนด้วย”
“เด็กไหนอีกคน มีอีกเหรอ” กีเดียหันไปคุยกับสมองกลอีกครั้ง ผนังอีกด้านของห้องก็เปิดออก ในนั้นมีหลอดแก้วและเด็กผู้หญิงอีกคน ลาเพิร์นยิ้มอย่างดีใจ
“คุณรู้ได้อย่างไรลาเพิร์น”
“รู้ซิ!! เลขสองคือการเริ่มต้นที่แท้จริง ไม่ใช่เลขหนึ่ง” ลาเพิร์นยิ้ม
อากาศภายในห้องเริ่มเย็นลง ลาเพิร์นกับกีเดียหาผ้ามาคลุมร่างเด็กน้อยทั้งสองคนไว้ ไฟเกือบทุกโซนดับลงหมดแล้ว ระบบแรงโน้มถ่วงเทียมหยุดทำงาน ทั้งสี่ลอยขึ้นกลางห้อง การถ่ายเทพลังงานจนจะสิ้นสุด กีเดียและลาเพิร์นจึงต้องย้ายกลับไปสู่ยานจาเก้น ลมสุริยะเริ่มพัดแรงอีกครั้ง
[ลาก่อนโมกรา ลาก่อนอูเกร และลาก่อน…แล้วฉันจะกลับมารับพวกแก] กีเดียกล่าวคำไว้อาลัยเป็นภาษาโบราณ ยานจาเก้นทะยานเข้าสู่ห้วงอวกาศ ก่อนที่พายุสุริยะลูกใหญ่จะโหมกระหน่ำมา

————————
ปิยะ วีระไวทยะ

9 ความเห็นบน “ผู้บริสุทธิ์ : รางวัลชมเชยการประกวดเรื่องสั้นไซ-ไฟ ครั้งที่ 2 หัวข้อ “ยานอวกาศ””

  1. เรื่องนี้ชอบมากครับ

    ไม่ได้อ่าน “กฎสามข้อของหุ่นยนต์” มาหลายปีแล้วนับตั้งแต่ได้อ่านเรื่องสั้น(แปล)ของอาซิมอฟ เจ้าของกฎเองก็เล่นกับคำและความหมายของกฎสามข้อในอยู่หลายเรื่อง เช่นให้หุ่นยนต์หนึ่งตัวไปอยู่ในสถานีอวกาศกับนักบินแล้วก็มีเหตุให้ต้องตัดสินใจเรื่องความปลอดภัย หรือกระทั่งออกมาตั้งคำถาม(ในงานเขียน)ด้วยว่าถ้าหุ่นยนต์จำเป็นต้องเลือกระหว่างคนแก่(หลายคน)กับศิลปินเลื่องชื่อหนึ่งคน หุ่นยนต์จะตัดสินใจโดยใช้ตรรกะข้อใด หรือแม้กระทั่งให้หุ่นยนต์จำลองลักษณะของความเป็นแม่แล้วสร้างสถานการณ์ให้ตัดสินใจเลือกก็มี

    หุ่นยนต์ที่ผูกติดกับกฎสามข้อนั้นในช่วงหนึ่งก็เลยต้องเป็นหุ่นยนต์โดดเดี่ยว ไม่ค่อยจะได้สุงสิงกับคนทั่วไปนัก เพราะความที่ไม่ต้องการให้หุ่นยนต์ต้องมาตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยของมนุษย์ และนั่นก็คงเป็นเหตุให้ต้องมีกฎข้อที่ 0 เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้งานเขียนทำได้หลากหลายมากขึ้น

    ผมชอบการดำเนินเรื่อง อ่านแล้วลื่นไหลดี ติดอยู่ตรงที่สำนวนออกจะวัยรุ่นไปสักนิดแต่ก็ไม่ได้เป็นข้อเสียร้ายแรงแต่ประการใดครับ

    *** แผ่นดินไหวที่ Mexico ปี 1985 เด็กแรกเกิดถูกฝังอยู่ใต้อาคาร 7 วันโดยไม่ได้รับอาหาร(นม)และยังมีชีวิตรอดอยู่ได้
    แผ่นดินไหวที่เฮติเมื่อปีกลาย (2010) เด็กอายุ 15 วันได้รับการช่วยเหลือหลังถูกฝังใต้อาคารหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ได้รับอาหารเช่นกัน
    ดังนั้น 3 วันตามเนื้อเรื่องที่เด็กไม่ได้รับอาหารแล้วยังมีชีวิตรอด เป็นเรื่องเป็นไปได้จริงครับ

  2. เรื่องของคุณ HooNo2000 ติดไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้วันอาทิตย์จะมาอ่านและcomment ให้

    ถามคุณ HooNo2000เล่นๆนะครับ 🙂 ไม่ซีเรียส …อยากได้ comment แบบฮาร์ดคอหรือsoft soft ครับ ^^

  3. ชื่อเรื่อง ช่วย clear อะไรหลายๆอย่างให้ชัดขึ้นได้จริงๆครับ

    เป็นเรื่องที่ดีครับ
    โครงเรื่องดี
    “ผู้บริสุทธิ์” ถูกตีความได้ในหลายๆระดับ
    ทั้ง “ทีมกู้ยาน” “เด็กทารก” หรือแม้แต่ ตัว”ยานอวกาศเอง”
    หรืออาจจะ ตีความในระดับ DNA
    แต่โครงสร้างที่ซับซ้อนยากที่จะเขียนในงานเรื่องสั้น ครับ

    ไม่ได้บอกว่า ทำไม่ได้นะครับ เพียงแต่มันจะเป็นโจทย์ที่ยาก(มากขึ้น)เท่านั้นเองครับ
    (คือถ้าทำได้ก็จะเก่งมากๆ)
    ผมว่านี่คือปัญหาที่ผู้เขียนพบตอนพยายามจะตัดจบตอนท้ายของเรื่อง โดยการรวบรัดคำอธิบายต่างๆ
    แต่จริงๆ ผมว่า พอมีทางแก้นะครับ
    โดยการลดตัวละคร แล้วเปิดเรื่องตอนที่ พยายามจะย้ายทารกข้ามยานเลย
    (ลดเหลือแต่ฉากถกเถียงกันระหว่าง ลาเพิร์น และ สมองกล ส่วนเหตุการณ์ก่อนหน้าใช้วิธีเล่าย้อนหลังแทน)
    ซึ่งน่าจะได้ฉาก dialogue ของการโต้แย้งเชิงปรัญชาและ logic หนักๆ ฉากหนึ่งเลย
    (ความเห็นส่วนตัว … อีกแล้ว)

    โดยส่วนตัวผมมีปัญหากับตัวละครครับ เพราะผมจำชื่อกับ character ไม่ได้ นั่นเอง 😛

    ประเด็นน่าสนใจครับ
    เพียงแต่ว่าอาจจะยังไม่ชัดเจน (คือผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ประเด็นที่ผมเข้าใจ เป็นประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ จริงๆหรือเปล่า)

    ภาษาดีครับ
    การเดินเรื่องตื่นเต้นเร้าใจ แต่กลับ เกิดผลขัดแย้งกับพื้นที่ที่จำกัด

    โดยรวม ดี ครับ

  4. อ่า ให้ผมเล่าของผมก่อนแล้วผมจะยอมให้ท่านๆสับโขกครับ

    1. ถืกต้องตรงเผงครับ NiRaj (กรรมการอีกหรือเปล่าเนี่ย ชักหลอนๆตัวเอง) เรื่องนี้เหมาะสมกับเรื่องสั้นขนาดยาวเลยทีเดียว ต้นฉบับจริงยาวกว่านี้มากพอควร จนต้องหั่นให้สั้นลง เพื่อจะได้ประกวดได้ แต่กระนั้นก็ยังยาวเกินอยู่ดี ดีนะไม่กรรมการไม่ตัดทิ้งไปเลยเนื่องจากผิดเงื่อนไข หลายคนก็คงเจอปัญหาเหมือนกันครับเลยทำให้งานเขียนไม่ดีพอ
    2. แม้จะมีเนื้อที่กระดาษให้มากกว่านี้ ผมก็หวังแค่ชมเชยครับเพราะว่า เป็นเรื่องแรกในชีวิตจริงๆที่เขียนประกวด แม้เขียนลงนิตยสารก็ไม่เคย มีแต่เขียนเล่นๆครับ
    3. จากข้อ 2. ครับ คิดพล็อตอะไรก็ไม่ออกแถมมีลูกเล็ก ซนยังกะลิง ขยันตีกันแทบจะทุกสองนาที คิดได้แต่หุ่นยนต์ครับ เอาเลยละหว่า จับมันรวบเป็นอันเดียวกันเสียเลย ว่าแล้วก็ดำเนินการจับยานอวกาศแปลงเป็นยานหุ่นยนต์ ดูไปดูมาเหมือน ฮัล 2001 ขึ้นมาจับใจ แถมด้วย i robot อีกต่างหาก
    4. จากข้อ 3 . ไม่ชอบเรื่องที่ไม่หลุดจากสองเรื่องข้างต้นครับ แต่ชอบตรรกะของเรื่องที่ต้องขบคิด ชอบความลับที่ค่อยๆเผยทีละอย่าง ใส่ไว้สองสามอัน จริงๆตรรกะก็ยังไม่สมบูรณ์ แต่ติดปัญหาจากข้อ 1. และต้องทำงานอื่นๆอีก ก็เลยส่งไปเลยครับ ไม่ไหวแล้วปวดหัวไม่อยากแก้แล้ว
    5. เรื่อง พายุสุริยะ โมเมเองว่ามันจะสั่นสะเทือน แต่จริงๆคงไม่สั่น แต่อยากให้สนุกเร้าจาย
    6. 800 ปีซีเซียม จริงๆมันก็นาฬิกาอะตอมนั่นแหละ เพราะคิดว่าในอวกาศคงไม่นับเป็นวันโลกแล้วละ
    7. ตอนจบก็รวบรัดตัดห้วน (ตัดฉับจากต้นฉบับเดิมเลย ที่จริงๆจะต้องจบยาวกว่านี้ครับ)
    8. จากข้อ 4 ที่อยากจะเผยความลับทีละเปราะ จึงไม่อยากเอาตอนจบขึ้นก่อนครับ (ที่บอกว่า 1 ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดเริ่มต้น แต่ 2 หมายถึงความเป็นคู่ เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริง) แต่เห็นด้วยกับNiRaj ครับว่าเอาตอนจบขึ้นก่อนก็ได้ถ้าผู้เขียนมีฝีมือจริง
    9. ประเด็นที่จะสื่อจริงๆคือ เอาอะไรมาตัดสินความเป็นมนุษย์ครับ dna บริสุทธิ์ dna ดัดแปลง แอนดรอยด์ สำหรับผมน่าจะอยู่ที่ความคิดและการกระทำนะครับ ทุกคนต่างบริสุทธิ์ทั้งนั้นรวมทั้งยานหุ่นยนต์ด้วยครับ แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายอยู่ที่หุ่นยนต์ ว่าจะเอามาตรฐานเก่าที่ผู้โปรแกรมตั้งไว้ให้ หรือจะว่ากันตามเหตุผลตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป จะว่าไปก็คล้ายกับพระพุทธศาสนา ที่แยกเป็นหินยานและมหายาน นะครับ
    10. ได้แรงบันดาลใจในฉากหลังของเรื่องมาจากการสำรวจเรือโบราณเก่าๆ นะครับ จึงดำเนินเรื่องราวที่ไกลออกไปอีกหลายๆปีมากๆเพื่อจะได้ย้อนกลัีบมาสำรวจยานโบราณเก่าๆได้ และอยากให้ได้บรรยากาศของเรื่องที่สนุกดูเร้าใจแบบนักสำรวจ บวกบรรยากาศที่แตกต่างจากยานอวกาศตรงๆ พวก 2001 2010 alian ก็เลยคิดว่าภาษาน่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ชื่อคนต่างๆ คงไม่ใช่ สมพงษ์ นวรัตน์ หรือโรเบิร์ต แล้วละ มันก็เลยกลายเป็น ลำเพลิน กระเดียด อูอา ไปก็เท่านั้นนะครับ
    ได้ชมเชยก็ดีใจมากมายแล้ว คนอื่นจิตนาการบรรเจิดล้ำลึกดีครับ อ้า เห็นเขียงทำความสะอาดรอไว้แล้ว อุ๊ยดาบคมกริบเลย ชักเสียว

  5. เห็นด้วยกับคุณ NiRaj ครับ ตรงที่ว่าตัดเอาตอนที่กำลังจะย้ายเด็กจากยานอวกาศ หรือไม่ก็ตอนกำลังจะเข้ายานอวกาศก็ได้ แล้วค่อย flashback เอา จำรวบรัดมากขึ้น (แต่ก็จะยากขึ้นเพราะต้องบรรยายย้อนหลัง ดีไม่ไดีจะงงเอาได้)

    แต่อย่างที่คุณ HooNo2000 บอกก็ดีครับ เขียนเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว มีพื้นที่เพิ่มขึ้นให้บรรยรายหรือใส่ลูกเล่้นได้

    อยู่ที่ว่าจะเลือกแนวไหน

    ปล. เพิ่งนึกถึง “ฮัล” ขึ้นได้เหมือนกัน

  6. หุ หุ
    ขนาด “สับโขก” กันเลยฤา
    ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ

    ปัญหาเรื่อง โครงเรื่องที่ซับซ้อน กับการเขียนเรื่องสั้น ก็คงจะเหมือนกับกรณี ผู้มาเยือนของคุณ uranus ล่ะครับ
    http://thaiscifi.izzisoft.com/?p=1056&cpage=1#comment-457
    คือ หาโครงเรื่องใหม่ ไม่ก็ เน้นเฉพาะ subplot บางส่วนไปเลย น่าจะดีกว่านะครับ (ผมว่า)
    แต่กรณีนี้ผมว่า การพยายามจับประเด็นและ main plot ให้แม่นๆแน่นๆ น่าจะพอทำได้นะครับ
    (น่าจะ … นะครับ ผมเองก็คงไม่สามารถไปสรุป ฟันธงแบบนั้นได้)

    เรื่อง”ชื่อ”คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ แต่ล่ะคนเป็นอย่างไร, แต่ละคนทำอะไร,
    ใครขี้ขลาด, ใครบ้าระห่ำ, ใคร logic เยอะ, ใคร logic น้อย, ฯลฯ
    จริงๆแล้ว เรื่องตัวละคร ใน เรื่องสั้น อาจจะ ไม่มีผลมากนัก เพราะพื้นที่ที่จำกัด ตัวละคร จึงไม่สามารถจะมีได้มากตัว หรือ เน้นได้มากอยู่แล้ว
    แต่พอถูกใส่มา ก็เลยกลายเป็นว่าความสนใจถูกดึงออกไป ครับ(หรือเป็นเฉพาะผมคนเดียว)
    และรายละเอียดอื่นๆ
    ผลคือ แก่นที่น่าสนใจ เลยไม่มีพื้นที่เหลือ ให้จัดการให้เรียบร้อย
    น่าเสียดาย ครับ

    เหมือน กุ้งตัวใหญ่ๆ ปลาเนื้อแน่นๆ หมูเนื้อชมพูกับไขมันลายขาวละเอียด
    ของสดๆ ผักสดๆ เตรียมพร้อมแล้ว
    เครื่องปรุงพร้อมแล้ว อุปกรณ์พร้อมแล้ว ทุกอย่างเตรียมเสร็จหมด
    หมดเวลาแล้ว
    ไม่มีเวลาจะปรุงและทำให้สุก
    อดกิน ไม่ก็ต้องกินดิบๆ ยังไม่ได้คลุกรวมกัน เนื้อยังปรุงรสไม่ได้ที่ ยังหมักไม่ถึงเวลา
    จานก็เล็กเกินไป จัดวางได้ไม่ครบ
    ขอเวลาอีกนิด ขอจานใหญ่อีกหน่อย
    จะได้กินอาหารรสเลิส ที่จะได้จำไปจนวันตาย
    อีกนิดเดียว
    เสียดายยยยยยย

    ประมาณนั้นล่ะครับ
    555

    ส่วนเป็นกรรมการหรือเปล่า
    ปล่อยให้หลอนต่อไปดีกว่า
    😀

  7. เดี๋ยรอคอมเมนท์ท่านอื่นก่อน แล้วนายหูโน่จะเอาคอมเมนท์ทั้งหมดเอาไปปรับปรุงใหม่ครับผม

    วันก่อนเห็นท่าน NiRaj ไปหลอนอยู่แถวสวนหลวง ควงสาวสะพายกล้องไปด้วย 555+

ใส่ความเห็น