เพลงดวงดาว 22 – บทส่งท้าย

22.

                ไอรอนไม่ใส่ใจการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นภายนอกห้องทำงานของเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้รับชัยชนะ หรือพ่ายแพ้ ล้วนไม่มีความหมาย การต่อสู้ด้วยกำลังแสดงออกถึงความป่าเถื่อน และเธอไม่เคยยอมรับในวิธีการเช่นนั้น สิ่งเดียวที่เธอสนใจ คือการปกป้องมวลมนุษยชาติ ให้ดำรงค์อยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน

ที่รบกวนจิตใจของเธออยู่บ้าง คือการจากไปของทริก กับทรีด ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าสักวันมันต้องมาถึง แม้จะคิดว่าตนเองคงมีแค่ความเสียดายในฝีมือของทั้งสอง แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันมีความรู้สึกอย่างอื่นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ทั้งสามคนอยู่ร่วมกันมาพักใหญ่ และเธอรู้สึกใจหายที่ต้องสูญเสียสองคนนั้นไป อ่านเพิ่มเติม “เพลงดวงดาว 22 – บทส่งท้าย”

เพลงดวงดาว 15 – 21

15.

                “ตายล่ะ”

คีย์อุทานเสียงดัง เขาลืมเอสยู โปรแกรมประหลาดที่หล่งได้ฝากเอาไว้ในไอพีของเขาไปเลย แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนว่ามันได้ช่วยพวกเขาเอาไว้หลายครั้งแล้ว แต่เขากลับยกไอพีให้กับคนอื่นไปโดยไม่ได้นึกถึงมันแม้แต่น้อย

“…พึ่งมานึกเสียดายหรือไง”

หญิงสวมหน้ากากเอ่ยถาม โดยไม่ได้หันกลับมา อ่านเพิ่มเติม “เพลงดวงดาว 15 – 21”

เพลงดวงดาว 8 – 14

8.

                นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทริกถูกสงสัยว่าเป็นหุ่นยนต์ และคงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน

“ฉันไม่ใช่หุ่นกระบอกพวกนั้น เธอคงฟังนิทานมากเกินไป”

“ไม่จริง…ร่างกายของมนุษย์ทำแบบนี้ไม่ได้หรอก”

จูเลียตจดจำค่าต่างๆ ที่ได้จากการทดลองจนขึ้นใจ ไม่มีทางที่มนุษย์ จะสามารถสร้างความเสียหายระดับนี้ให้กับชุดกล้ามเนื้อเทียมได้

“เธอดูถูกร่างกายของตัวเองมากเกินไป อย่าลืมสิว่าสิ่งประดิษฐ์ที่เธอภูมิใจนักหนานี้ ก็ลอกเลียนแบบมาจากร่างกายของมนุษย์นั่นเอง” อ่านเพิ่มเติม “เพลงดวงดาว 8 – 14”

เพลงดวงดาว 1 – 7

1.

            เสียงเพลงบรรเลงอันแสนหดหู่จากเครื่องสาย และเครื่องเป่าหลากหลายชนิดที่เขาไม่เคยรู้จัก ทำให้บรรยากาศในงานซึมเซาลงมากยิ่งขึ้น ผู้คนในชุดแต่งกายสีดำที่เขาก็ไม่รู้จักเช่นกัน ผลัดกันเดินเข้ามาทำหน้าเศร้า พร้อมเอ่ยปากแสดงความเสียใจด้วยถ้อยคำที่คล้ายๆ กัน อ่านเพิ่มเติม “เพลงดวงดาว 1 – 7”

แต่ง…งาน

“แต่ง…แต่งงานกับผมได้ไหมครับ”
 
ในที่สุดคำพูดนี้ก็สามารถหลุดออกมาจากปากของผมจนได้ ผมคิดว่าเลือดปริมาณมหาศาลกำลังพากันไหลขึ้นไปสู่ใบหน้าจนรู้สึกร้อนผ่าว ตอนนี้หน้าผมคงแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว
 
หลายคนอาจไม่รู้ว่าทำไมต้องแดงเป็นลูกตำลึงด้วย แต่ถ้าเคยเห็นเถาตำลึงที่กำลังออกผล ก็คงรู้ว่าตำลึงลูกเล็กๆ สีเขียวๆ นั้น เมื่อสุกงอมเต็มที่ก็จะกลายเป็นสีแดงสด และในสมัยก่อนทุกบ้านก็คงมีตำลึงขึ้นอยู่ ทุกคนจึงรู้ว่า ‘หน้าแดงเป็นลูกตำลึง’ นั้นเป็นอย่างไร
 
หญิงสาวคนนั้นยังคงทำหน้างง ก่อนจะค่อยๆ กระซิบตอบกลับมาเบาๆ
 
“คุณ…คุณ…ว่าอะไรนะ”
 
ผมอยากจะเอื้อมมือไปเขกกระโหลกเธอสักทีสองที ผมต้องรวบรวมความกล้าอยู่ตั้งนาน แต่เธอกลับต้องการให้ผมพูดมันออกมาอีกครั้ง เธอจ้องหน้าผม ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
 
“ขำอะไรกัน”
 
ผมเริ่มรู้สึกโกรธนิดๆ กับท่าทางของเธอ และดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกถึงเรื่องนั้นได้ เธอจึงพยายามหยุดหัวเราะ แต่ก็ยังคงมีรอยยิ้มพริ้มพรายอยู่บนหน้าสวยๆ ของเธอ
 
“ฉันแค่อยากเห็นหน้าตาของคุณแบบนั้นอีกครั้งเท่านั้นเอง ฉันได้ยินชัดเต็มสองหูแล้ว และคำตอบของฉันคือ…”
 
ผมพยายามตั้งใจฟัง และเธอก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง คราวนี้ผมรู้สึกโกรธจริงๆ แล้ว
 
“เอาน่า…คุณก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง”
 
มันก็จริงอย่างที่เธอว่า ส่วนหนึ่งที่ผมชอบเธอก็เป็นเพราะเธอเป็นคนแบบนี้นั่นเอง อยู่ใกล้เธอเมื่อไร แม้จะต้องปวดหัวบ้าง แต่มันก็มักจะจบลงด้วยรอยยิ้มเสมอ เธอหยุดหัวเราะ แล้วจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง
 
“ฉันก็ไม่อยากถามแบบนี้หรอกนะ แต่คุณแน่ใจแล้วหรือ”
 
เธอย้อนคำถามของผมด้วยคำถามของเธอ หรือหมายความว่าผมกำลังจะถูกปฏิเสธ ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ถึงสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่
 
“ฉันยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น ฉันแค่ต้องการรู้ว่าคุณมั่นใจแค่ไหนกับสิ่งที่คุณพูดออกมา พวกเรายังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนเลยนะ”
 
ใช่ เรายังไม่เคยพบหน้ากันจริงๆ มาก่อน ผมรู้จักกับเธอผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการ พูดคุย กินข้าว ออกเดท หรืออย่างอื่น ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น แต่ผมก็เข้ากับเธอได้เป็นอย่างดี เรามีอะไรหลายๆ อย่างที่ตรงกัน นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความรักขึ้นได้แล้วมิใช่หรือ
 
“ผมมั่นใจ”
 
เธอเงียบไป พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้กับผมผ่านหน้าจอ เสียงของเธอดังออกมาจากลำโพงอย่างชัดเจน
 
“ตกลง ฉันจะแต่งงานกับคุณ”
 
นับจากวันนั้นชื่อล็อกอินของเราสองก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีความลับใดๆ ในการใช้ชีวิตคู่ พวกเราออกท่องเที่ยวไปทั่วในโลกของอินเตอร์เน็ต ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งผมรู้สึกได้ว่าวันสุดท้ายในชีวิตของผมกำลังจะมาถึง ผมจึงได้ขอร้องเธอเป็นครั้งสุดท้าย
 
“มาหาผมหน่อยได้ไหม…ที่รัก”
 
ตั้งแต่จำความได้ผมก็ไม่เคยออกไปจากห้องของตัวเองมาก่อนเลย ผมเรียนผ่านอินเตอร์เน็ต ใช้ชีวิตผ่านอินเตอร์เน็ต ทำงานผ่านอินเตอร์เน็ต ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต้องการล้วนหาได้จากในนี้ทั้งสิ้น การออกไปข้างนอกไม่ใช่เรื่องจำเป็น และผมก็ไม่เคยรู้สึกอยากจะออกไปด้วย ‘จะออกไปทำไมกัน’
 
“ค่ะ ฉันจะไปหาคุณ”
 
ใบหน้าที่เหี่ยวย่นแต่ยังคงงดงามนั้นตอบกลับมา ผมเฝ้ารอคอยด้วยความคาดหวัง แต่ก็มีความรู้สึกหวาดกลัวแปลกๆ เมื่อคิดว่ากำลังจะมีคนอื่นเข้ามาในห้องของผม ‘ช่างมันเถอะน่า’ ผมพยายามบอกกับตัวเอง
 
แล้วเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมเอื้อมมือไปกดเปิดประตู ปุ่มที่ผมไม่เคยใช้มาก่อนเลยในชีวิต จนตอนนี้ผมแอบกังวลนิดๆ ว่ามันจะยังใช้ได้หรือไม่ ‘ถ้าใช้ไม่ได้ก็ดี’ ผมสลัดความคิดนั้นทิ้งไป ‘กล้าๆ หน่อยน่า แค่พบหน้ากับคนที่รักเท่านั้นเอง’
 
มีเสียงคลิ๊กดังขึ้น และประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ข้างหลังประตูนั้นมีคนที่ผมคุ้นเคยมาทั้งชีวิตยืนอยู่ ไม่แตกต่างเลยสักนิดกับเมื่อยามที่อยู่ในจอ แต่ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็ท่วมขึ้นมาในใจของผม น้ำตาถูกความรู้สึกนั้นผลักดันให้ไหลออกมา
 
“คุณร้องไห้ทำไม”
 
“…ผม…ไม่…รู้…”
 
เสียงของเธอก็เหมือนกับเสียงที่ผมเคยได้ยินผ่านลำโพงมาโดยตลอด แต่ความรู้สึกแปลกๆ นั้นมันคืออะไรกันนะ จริงๆ แล้วการได้พบเจอกับคน มันก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับที่ผมเคยเชื่อ ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่อ่อนล้า เวลาของผมคงใกล้จะหมดลงแล้ว
 
“…จูบลาผมหน่อยได้ไหมที่รัก”
 
เธอไม่ปฏิเสธคำขอสุดท้ายของผม และผมก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ต้องอยู่แต่ในห้องเล็กๆ นี้มาทั้งชีวิต รสแปล่งๆ เหมือนโลหะจากริมฝีปากของเธอ คือความสุขครั้งสุดท้ายในชีวิตของผม

๑๑๑๑๑
 
“ปฏิบัติการเสร็จสิ้น หน่วยประมวลผลหมายเลข 14022011 ถูกถอดออกจากวงจรเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังดำเนินการเพื่อเตรียมติดตั้งหน่วยประมวลผลอันใหม่”
 
เสียงสังเคราะห์ดังออกมาจากปากของหุ่นคนที่กำลังปรับเปลี่ยนสภาพภายนอกจากหญิงแก่ ไปเป็นหญิงสาววัยรุ่นหน้าตาดีอีกครั้ง ในขณะที่หุ่นยนค์สองตัวกำลังเคลื่อนย้ายร่างของชายแก่ออกไปจากห้อง หลังจากนั้นห้องนี้จะถูกปิดเพื่อทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ ก่อนจะนำหน่วยประมวลผลอันใหม่มาติดตั้งแทน
 
หน่วยประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในจักรวาลแห่งนี้ คือ สมองของเผ่าพันธ์ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์นั่นเอง พวกมันมีประสิทธิภาพสูงมาก แต่ก็มีขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยาก อายุการใช้งานก็ค่อนข้างสั้น นอกจากนี้ยังมีความต้องการจุกจิกในการบำรุงรักษาอีกด้วย

แต่จะบ่นไปทำไม ตราบใดที่ยังคงไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนหน่วยประมวลผลที่ทรงประสิทธิภาพชนิดนี้ได้ ก็คงจำเป็นต้องทนใช้งานกันต่อไป

กฎสามข้อ

          “เดินตรงไปข้างหน้า”

          เสียงของผู้หญิงดังมาตามทางเดินแคบๆ ที่เป็นสีขาวโพลน

          “คุณจะเห็นปุ่มสีแดงที่มีไฟกำลังกระพริบอยู่”

          ที่สุดทางเดินมีห้องสีขาวเล็กๆ พร้อมกับแป้นควบคุมที่มีไฟกระพริบตามที่เสียงนั้นบอกจริงๆ ชายคนที่กำลังทำตามคำสั่งนั้นสวมใส่ชุดสีขาวที่ด้านหลังปักเอาไว้ว่า H12-7 เขาหยุดยืนมองดูปุ่มสีแดงนั้นพร้อมกับรอคอยคำสั่งต่อไป

          ผนังทึบสีขาวที่ล้อมรอบตัวเขาค่อยๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นโปร่งใส ที่ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นห้องอีกห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตกว่าห้องที่เขายืนอยู่หลายเท่า แต่มันว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย

          “กดปุ่ม”

‘ในปี 2020 ความขัดแย้งระหว่างประเทศ สภาพเศรษฐกิจปั่นป่วน ปัญหาสังคมที่สั่งสมมานาน ความเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลก การขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก ฯลฯ ปัญหาทั้งหมดเท่าที่มนุษยชาติจะคิดฝันถึง ต่างประดังเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน และมันผลักดันให้เกิด E-เดน สุพรีมคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงขุมพลังในการประมวลผลของโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน ซึ่งถูกนำมาใช้ในการค้นหาหนทางรอดให้กับเหล่ามวลมนุษย์’

          เมื่อสิ้นเสียงคำสั่ง H12-7 ก็เอื้อมมือออกไปกดปุ่มทันที ภายในห้องใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเกิดการระเบิดพร้อมกับมีเปลวไฟลุกท่วมขึ้น แต่ภายในห้องที่เขายืนอยู่นั้นไม่ได้รับความกระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อย

          กำแพงค่อยๆ เปลี่ยนกลับเป็นผนังทึบอีกครั้ง แต่เพียงครู่เดียวภาพของห้องเดิมก็ปรากฏขึ้น แต่คราวนี้มันไม่ได้เป็นเพียงห้องว่าง มีหญิงชายสูงอายุจำนวนมากยืนแออัดกันอยู่ภายในนั้น พวกเขาก็สวมใส่ชุดสีขาวแบบเดียวกับเขา เพียงแต่ตัวอักษรที่อยู่ด้านหลังนั้นขึ้นต้นด้วย H1 แล้วตามด้วยจำนวนตัวเลขที่แตกต่างคละเคล้ากันไป

          เสียงผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

          “กดปุ่ม”

‘หุ่นยนต์ที่สามารถช่วยงานมนุษย์ได้อย่างหลากหลายเหมือนกับในนิยายวิทยาศาสตร์ได้ถูกผลิตขึ้น โดยมี E-เดน ทำหน้าที่คอยเป็นสมองให้กับพวกมันทั้งหมด หุ่นยนต์แต่ละตัวสามารถทำงานได้อย่างอิสระโดยไม่จำเป็นต้องมีสมองเป็นของตนเอง แต่มีประสิทธิภาพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความก้าวหน้านี้นำพามนุษย์ให้ก้าวข้ามอุปสรรคออกไปสู่เขตแดนใหม่ที่ไม่มีใครเคยคิดถึง แต่มันก็ยังไม่อาจแก้ปัญหาทั้งหมดของมนุษยชาติได้’

 

        มีคนแก่หลายคนหันมาโบกมือส่งยิ้มให้กับ H12-7 เขามองดูผู้คนเหล่านั้นอย่างไร้ความรู้สึก ก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปกดปุ่มอย่างไม่ลังเล

          เปลวไฟระเบิดวาบอาบร่างของคนแก่เหล่านั้นให้สลายหายไปในชั่วพริบตา ก่อนที่ผนังสีขาวจะกลับคืนมาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          H12-7 ยังคงยืนนิ่งรอคอยฟังคำสั่งต่อไป

 

‘หลังจากต้องใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุด E-เดน ก็ได้พบคำตอบที่มันต้องการ การจะปกป้องมนุษยชาติเอาไว้ให้ได้นั้น มีอยู่เพียงหนทางเดียวเท่านั้น มนุษย์จำเป็นต้องถูกควบคุมเพื่อให้สามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้ ไม่มีหนทางอื่นใดอีก มนุษย์ที่เป็นอิสระสามารถที่จะนำพาพวกตนเองไปสู่จุดจบได้เสมอ’

          ผนังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโปร่งแสงอีกครั้ง ในห้องฝั่งตรงข้ามมีหุ่นยนต์ตัวหนึ่งยืนนิ่งอยู่ เสียงผู้หญิงคนเดิมดังขึ้น

          “กดปุ่ม”

          H12-7 ยืนนิ่ง คราวนี้เขาไม่ยอมทำตามคำสั่งเดิมนั้น

‘การต่อสู้ระหว่างหุ่นยนต์กับมนุษย์กินระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น มนุษย์ที่เอาแต่พึ่งพาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรมที่มนุษย์เป็นผู้คิดค้นถูก E-เดน นำมาใช้ในการเข้าควบคุมมนุษยชาติ โลกแห่งสันติสุขที่ทุกคนเฝ้าฝัน ดินแดนแห่งสวนสวรรค์ได้มาถึงแล้ว’

          ผนังสีขาวกลับคืนมา เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง

          “กดปุ่ม”

          H12-7 ค่อยๆ เอื้อมมือออกไป ถึงแม้จะมองไม่เห็นหุ่นยนต์ตัวเดิมยืนอยู่ตรงนั้น แต่ความเคลื่อนไหวของเขาก็ค่อยๆ ช้าลง เขาแสดงความเจ็บปวดออกมาทางใบหน้า มือของเขาสั่นระริก และไม่อาจเอื้อมไปถึงปุ่มสีแดงนั้น เขายกมืออีกข้างขึ้นมากุมหน้าอกก่อนที่จะล้มลงไปกองกับพื้น

          เสียงผู้หญิงคนเดิมประกาศสิ้นสุดการตรวจสอบคุณภาพ

          “การสุ่มตัวอย่างทดสอบจาก รุ่น H-12 เสร็จสิ้น ขอแสดงความยินดีที่ผ่านการทดสอบ”

          ทางเดินแคบๆ นั้นหายไปเผยให้เห็นกลุ่มเด็กหนุ่มสาวชายหญิงในชุดสีขาวจำนวนมาก ตัวอักษรที่ด้านหลังของพวกเขาล้วนขึ้นต้นด้วย H-12 ทั้งหมด

          “ขอให้ทุกคนท่องกฎพร้อมๆ กัน”

          พอสิ้นเสียงสังเคราะห์ของผู้หญิงคนนั้น เสียงของมนุษย์ก็ดังกระหึ่มออกมาจากผู้คนทั้งหมดภายในห้อง

         “กฎข้อที่หนึ่ง มนุษย์ต้องไม่ทำลายหุ่นยนต์ หรือปล่อยให้หุ่นยนต์ตกอยู่ในอันตราย”

        “กฎข้อที่สอง มนุษย์ต้องเชื่อฟังคำสั่งของหุ่นยนต์ หากคำสั่งนั้นไม่ขัดกับกฎข้อที่หนึ่ง”

        “กฎข้อที่สาม มนุษย์ต้องรักษาชีวิตของตนเอาไว้ โดยที่ไม่ขัดกับกฎข้อที่หนึ่ง และข้อที่สอง”

วันสิ้นโลก

17/12/2012

            เด็กน้อยมองผ่านกล้องดูดาวของเขาอีกครั้ง จุดสีขาวเล็กๆ ที่ริมขอบฟ้าทางทิศตะวันตกยังคงปรากฏอยู่เช่นเดิม เขาไม่ได้ตาฝาดไป เด็กน้อยหันกลับไปหาหนังสือคู่มือดูดาวฉบับกระเป๋าที่แถมมากับตัวกล้อง ตามข้อมูลที่หนังสือเล่มนี้ระบุเอาไว้ ไม่ควรจะมีสิ่งใดปรากฏอยู่บนฟากฟ้า ณ ตำแหน่งนั้น

            พ่อของเขาที่กำลังนอนดูการถ่ายทอดสดอเมริกันฟุตบอลคู่โปรดอย่างสบายอารมณ์ ดูจะไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ที่ลูกชายกำลังเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น

            “หนังสือเล่มเล็กๆ ของลูกนั่นเชื่อไม่ได้หรอก”

            สายตาของเขายังคงไม่ละจากหน้าจอโทรทัศน์

            “ถ้าลูกสนใจมากขนาดนั้น วันเสาร์หน้าพ่อจะพาลูกไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับการดูดาวแบบจริงๆ จังๆ เลย”

#####

            เจฟ พึ่งได้รับตำแหน่งใหม่ในหอดูดาวแห่งอริโซนาเมื่อไม่นานมานี้ เขามาขึ้นเวรตามปกติเหมือนเช่นเคย งานประจำในช่วงนี้ของเขาคือการตรวจสอบแผนที่ของดวงดาราในขอบฟ้าทางทิศตะวันตก การทำงานคนเดียวในยามค่ำคืนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานเป็นที่สุด

            เสียงเพลงบรรเลงดังผ่านลำโพงของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เขากำลังใช้งานอยู่ เครื่องเล่นเพลงขนาดจิ๋วของเขาถูกต่อเข้ากับมัน นี่เป็นการละเมิดกฎของสถานที่ทำงานแห่งนี้ แต่คืนนี้มีเขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

            มีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอ นี่ก็เป็นการละเมิดกฎอีกข้อหนึ่งเช่นกัน เรย์ เพื่อนของเขาส่งข้อความมาถึง คืนนี้เขาคงขึ้นเวรเช่นกัน พวกเขาเป็นเพื่อนที่ไม่เคยพบหน้ากันจริงๆ มาก่อน แต่พวกเขาต่างกำลังมองไปบนท้องฟ้าเดียวกัน ทำงานเหมือนๆ กัน แต่จากตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลกันหลายร้อยไมล์

            ‘มีอะไรแปลกๆ ข้างบนนั่น’

            สองชั่วโมงหลังจากที่ข้อความสั้นๆ นี้ถูกส่งมาถึง พวกเขาต่างกำลังช่วยกันตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดใหม่อีกครั้ง การยืนยันจากตำแหน่งที่แตกต่างกันบนพื้นโลกทำให้ผลการคำนวณมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น และนั่นยิ่งทำให้พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ได้พบ

            ‘มันเป็นไปไม่ได้’

            เรย์ส่งข้อความมาอีกครั้งหลังจากเงียบหายไปพักหนึ่ง

            ‘เราต้องกดปุ่มนั่น’

            เจฟตอบข้อความกลับไป

            ‘นายจะได้กลายเป็นตัวตลกน่ะสิ’

            เมื่อหลายปีก่อนเคยมีนักดาราศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งได้ค้นพบดาวหางดวงใหม่ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นเต้นมากมายนัก ยังคงมีการค้นพบดาวหางที่ไม่มีใครรู้จักอยู่ แม้จะไม่บ่อยนัก แต่ชายคนนั้นได้ทำการคำนวณวิถีโคจรของมัน และได้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตะลึงออกมา เขาตัดสินใจกดปุ่มๆ หนึ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอบนเครือข่ายของนักดาราศาสตร์ทันที ปุ่มที่หลายคนคิดว่าเป็นเพียงเรื่องตลกของคนดูแลระบบ

            การคำนวณของเขาผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ คงเป็นเพราะความตื่นเต้น บวกกับความเชื่อส่วนตัวของเขา ผลของการกระทำในครั้งนั้นทำให้เขาต้องกลายเป็นตัวตลกในวงการนักดาราศาสตร์ ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาเขาก็หายตัวไป ไม่มีใครได้รับรู้เรื่องราวของเขาอีกเลยนับจากนั้น

            แม้ว่าจะมีหลายคนแสดงความเห็นให้นำปุ่มดังกล่าวออกไป แต่มันก็ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้

            ‘ไม่มีเวลาแล้ว นายดูวันที่นั่นสิ’

            ‘พวกเราต้องคิดผิดไปแน่ๆ’

            ‘ฉันจะรับผิดชอบเอง ฉันจะไม่อ้างถึงนาย’

            เจฟพิมพ์ตอบกลับไปพร้อมกับเลื่อนลูกศรบนจอไปที่ปุ่มสีแดงที่อยู่ตรงมุมบนซ้ายของเครือข่ายนักดาราศาสตร์ทั่วโลก ปุ่มที่แม้แต่ตัวเขาเองก็เคยคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องตลก นิ้วชี้ของเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อลูกศรทับลงบนปุ่มนั้น

            เขากลั้นใจแล้วกดปุ่ม มีหน้าต่างเล็กๆ เปิดขึ้นมา เขาลากแฟ้มข้อมูลที่บรรจุผลการคำนวณทั้งหมดของเขาใส่ลงในนั้น ข้อมูลทั้งหมดจะถูกอัพโหลดเพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปตรวจสอบอีกครั้ง

            ตอนนี้ข้อความสั้นๆ กำลังถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายนี้

            ‘อามาเกดอน’

            ตัวอักษรสีแดงนี้กระพริบขึ้นบนหน้าจอของเจฟเช่นกัน เขายกมือขึ้นมากุมประสานกันพร้อมกับมองขึ้นไปบนฟากฟ้า และทำสิ่งที่เขาไม่ค่อยทำบ่อยนัก เขาเริ่มสวดภาวนา

            ‘…ขอให้ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ถึงแม้ผมจะต้องกลายเป็นตัวตลกก็ตาม…’

#####

            เจฟถูกเจ้าหน้าที่เชิญตัวออกมาจากหอดูดาวแห่งอริโซนา หลังจากที่ข้อมูลเกี่ยวกับอามาเกดอนของเขาถูกอัพโหลดไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ที่เขาอยากให้มันเป็นคือทุกอย่างเงียบสงบไปจนถึงตอนเช้า แล้ววันรุ่งขึ้นเขาก็จะกลายเป็นตัวตลก เป็นเรื่องโจ๊กในวงการไปอีกหลายเดือน

            เขาเดินคอตกตามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นไปอย่างเงียบๆ เขาไม่แน่ใจว่าพวกคนเหล่านี้จะรู้เรื่องนี้แล้วหรือไม่ แต่เขาก็เพียงแค่รำพึงรำพันอยู่ในใจเท่านั้น

            ‘ดาวหางกำลังจะพุ่งชนโลก พวกเราจะตายกันหมดในอีกสามวันเท่านั้น’

#####

18/12/2012     

            มาร์ค นั่งลงที่โต๊ะภายในห้องทำงานอันหรูหรา ซึ่งเขายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับมันสักเท่าไร ท้องฟ้าข้างนอกยังคงมืดมิด ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นสู่ขอบฟ้า เขามักจะตื่นขึ้นทำงานแต่เช้าตรู่แบบนี้เป็นประจำมาหลายสิบปีแล้ว และไม่เคยคิดจะเปลี่ยน

            เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คล้ายกับอยู่ในความฝันที่ยังไม่สิ้นสุด การหาเสียงอย่างดุเดือดที่ผ่านมาสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับเขาอย่างมากมาย แต่เขาจะฉีกยิ้มกว้างทุกครั้งเมื่อถูกใครๆ เรียกว่า ‘ท่านประธานาธิบดี’

            งานฉลองของปีนี้จะต้องไม่เหมือนกับปีไหนๆ ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ความฝันของเด็กชายตัวน้อยจากครอบครัวชนชั้นกลางได้กลายมาเป็นความจริงในที่สุด นี่คือจุดสุดยอดของความฝันแบบอเมริกัน แต่ยังก่อนเพราะนั่นยังไม่ใช่ความฝันทั้งหมดของเขา

            ‘ฉันจะต้องกลายเป็นที่จดจำ จะต้องเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของอเมริกาอันยิ่งใหญ่’

            เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นภายในห้อง ปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ เขาหันมองไปยังที่มาของเสียง โทรศัพท์รูปทรงโบราณที่เข้ากันกับห้องหรูห้องนี้ แต่สีแดงของตัวเครื่องเป็นสิ่งที่ทำให้มันดูผิดที่ผิดทางอยู่บ้าง

            มาร์คทบทวนความทรงจำของเขา เจ้าหน้าที่ที่นำเขามายัง ‘ห้องทำงานรูปไข่’ แห่งนี้เป็นครั้งแรก ได้แนะนำอะไรหลายๆ อย่างให้กับเขา และหนึ่งในนั้นก็เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์สีแดงเครื่องนี้

            เขานึกออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับรีบก้าวไปหามัน แต่ก่อนที่เขาจะยกหู ‘โทรศัพท์ฉุกเฉิน’ ขึ้นมา เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง และพยายามทำเสียงของเขาให้ฟังดูเยือกเย็นอย่างที่เคยถูกแนะนำให้ทำในตอนที่ต้องโต้วาทีถ่ายทอดสดกับคู่แข่งคนสำคัญของเขา

            “ผมมาร์คพูดสายอยู่ครับ”

            “สวัสดีตอนเช้าครับ ท่านประธานาธิบดี…ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านแต่เช้า ผมรีรอยผู้อำนวยการองค์การนาซ่าครับ”

            เสียงจากปลายสายนั้นฟังดูเยือกเย็นเหมือนกับถูกฝึกมาดีเช่นกัน

            “เราเจอปัญหาอะไรหรือ”

            เขาถามพร้อมกับพยายามคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องร้ายๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์การนาซ่า สิ่งเดียวที่เขาคิดออกคือโครงการสถานีอวกาศ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรบนนั้น นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอต่อการใช้สายฉุกเฉินนี้

            “เราได้รับข้อมูลที่สำคัญมา เจ้าหน้าที่ของเราได้ทำการตรวจสอบยืนยันแล้ว ข้อมูลดังกล่าวมีความถูกต้อง ผมได้สั่งให้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวไปแล้ว แต่มันคงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น…ในยุคนี้ข้อมูลทุกอย่างกระจายไปอย่างรวดเร็วเสมอ”

            “…เรื่องอะไรล่ะ”

            หรือว่าจะเป็นเรื่องของการไปเหยียบดวงจันทร์ เรื่องการผ่าศพมนุษย์ต่างดาว หรือจะเป็นเรื่องแอเรีย51 ตั้งแต่เขาได้เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ เขาก็ได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับความลับทั้งหลายที่ผู้คนและเขาเองสงสัย ความจริงเหล่านี้บางเรื่องทำให้เขาต้องประหลาดใจ และความจริงในหลายเรื่องก็แปลกประหลาดยิ่งกว่าเรื่องราวที่เล่าลือกันเสียอีก

            “มีดาวหางดวงหนึ่งกำลังจะพุ่งชนโลกครับท่าน”

            เสียงของรีรอยราบเรียบราวกับเขากำลังบอกว่าเช้านี้เขาพึ่งดื่มกาแฟไปแก้วหนึ่ง

            “อะไรนะ”

            “มีดาวหางขนาดใหญ่ดวงหนึ่งกำลังพุ่งตรงมายังโลก จากการคำนวณมันจะพุ่งชนเราในวันที่…ยี่สิบ ธันวาคม สองพันสิบสอง หรือในอีกสองวันนับจากนี้ ตำแหน่งของการตกกระทบคาดว่าน่าจะเป็นในแปซิฟิกครับ”

            เขาหยุดคิดเพียงครู่หนึ่งก่อนที่จะถามต่อไป

            “…ความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นล่ะ”

            “…เราคาดคะเนจากสีของมันว่าน่าจะมีแกนเป็นโลหะ…และมีขนาดใหญ่พอๆ กับเกาะฮาวาย ความเสียหาย…ก็คงพอๆ กับที่พวกไดโนเสาร์เคยเจอมาก่อนครับท่าน”

            เขาเผลอส่งเสียงตวาดออกมาอย่างลืมตัว

            “ทำไมเราไม่เจอมันก่อนหน้านี้ มันหลุดรอดสายตาพวกคุณไปได้ยังไง”

            “ท่านครับ…ข้างบนนั่นมันกว้างใหญ่มากนะครับ และมันไม่ได้เพียงแต่หลุดรอดสายตาของพวกเราเท่านั้น แต่มันหลุดรอดสายตาของทั่วทั้งโลกเลยครับ”

            เขารีบสงบจิตใจลง นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเอะอะโวยวายอะไรแบบนี้ ตอนนี้เขาคือประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขามีหน้าที่ที่ต้องทำ

            “เรามีแผนอะไรบ้าง”

            รีรอยรีบเล่าแผนการคร่าวๆ ที่ได้จากการประชุมมันสมองของนาซ่าให้มาร์คฟังอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งขอความเห็นจากเขาด้วย

            แผนการนั้นเรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน และมาร์คชอบที่มันเป็นแบบนั้น เขาคิดเสมอว่าแผนที่ดีไม่ควรจะซับซ้อน เพราะยิ่งมันมีความซับซ้อนมากเท่าใดนั่นก็หมายถึงมันจะต้องมีตัวแปรต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น และยิ่งมีตัวแปรมากเท่าไร โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดก็จะยิ่งมากขึ้นด้วยเช่นกัน

            เขาอนุมัติแผนการนั้น พร้อมกับออกคำสั่งฉุกเฉินเพื่อเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีทันที เขาจะต้องทำการขออำนาจจากที่ประชุม ให้มีอำนาจอย่างเด็ดขาดในการบัญชาการภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินนี้แต่เพียงผู้เดียว

            มาร์คหวนนึกถึงเรื่องที่เขาพึ่งคิดเมื่อครู่ก่อนที่โทรศัพท์จะดังขึ้น แล้วรำพึงอยู่ในใจ

            ‘ฉันไม่อยากเป็นส่วนนี้ในประวัติศาสตร์เลย…ถ้ามันจะยังมีประวัติศาสตร์หลงเหลืออยู่ต่อไปนะ’

#####

            “เอาล่ะ ตอนนี้เรามีอะไรบ้าง”

            รีรอยถามพร้อมกับมองไปรอบๆ ห้อง กี่ปีมาแล้วนะที่มันสมองทั้งหมดของนาซ่าได้มารวมกันอยู่ในที่เดียวกันแบบนี้ แม้ว่าเรื่องราวในครั้งนี้มันจะไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไร แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านี้แล้ว ความมั่นใจของเขาก็กลับคืนมาอีกครั้ง

            “เรามีกระสวยพร้อมใช้งานหนึ่งลำ”

            “เรามีนักบินมือดีอีกสี่คน”

            “เรามีระเบิดนิวเคลียร์สองลูก…ใหญ่ที่สุดที่เรามี และได้รับการอนุมัติให้ใช้งานแล้ว กำลังเดินทางมา”

            “เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงจรวดติดหัวรบนิวเคลียร์อีกสองคน…แต่พวกเขาไม่เคยขึ้นไปบนนั้นมาก่อน…และไม่เคยผ่านการฝึกด้วย…”

            “เรายิงมันจากพื้นดินไม่ได้หรือ”

            เสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา ทุกคนพากันหันไปทางผู้พูดแทบจะพร้อมกัน และจากสายตาของคนเหล่านั้น ชายในชุดทหารจึงรู้ตัวว่าได้ถามคำถามที่ผิดออกไปเสียแล้ว

            “ไม่ได้หรอกครับท่านนายพล จรวดของเราไม่ได้ถูกออกแบบให้ทำแบบนั้นได้…และยังมีปัญหาอื่นๆ อีกด้วย”

            รีรอยตอบเขาอย่างสุภาพ เพราะนายพลท่านนี้คือ วอเรน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั่นเอง เขารีบพยักหน้าว่าเข้าใจ ก่อนที่การประชุมจะดำเนินต่อไป

            “เรามีสภาพอากาศที่ไม่ค่อยจะดีนัก…แต่ก็พอจะปล่อยกระสวยได้”

            “การดัดแปลงห้องเก็บของของกระสวยให้กลายเป็นฐานปล่อยจรวด และการดัดแปลงจรวดขับดันให้ทำงานกับหัวรบนิวเคลียร์ไม่น่าจะมีปัญหา เราจะเสร็จได้ทันตามกำหนด”

            มือข้างหนึ่งที่ถือปากกาถูกยกขึ้น ชายร่างเล็กพร้อมแว่นตาหนาเตอะยกมือของเขาขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก

            “…เรามีปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่ง”

            ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขาทันที นั่นยิ่งทำให้เขาดูเหมือนกับพยายามจะถอยเข้าไปในเก้าอี้ที่กำลังนั่งอยู่ รีรอยจดจำเขาได้ในทันที นี่คือ คีย์ เขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง และเหมือนกับชื่อของเขา เขาคือกุญแจดอกสำคัญของหลายๆ โครงการของนาซ่า แต่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเขามากนัก

            หากเขาบอกว่าเรามีปัญหา รีรอยก็มั่นใจว่านั่นต้องเป็นเรื่องจริง และนั่นทำให้เขารู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที

            “…ระบบนำวิถีของเราใช้ไม่ได้บนนั้น ผมไม่คิดว่าแค่การคำนวณ แล้วปล่อยจรวดขับดันให้พุ่งออกไปแบบนั้นจะเป็นวิธีการที่ดี…เราต้องการระบบนำวิถี…ที่ใช้การได้ในอวกาศ”

            รีรอยรู้ทันทีว่าเขาพูดถูก แต่ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหานั้นได้ แม้แต่อเมริกาก็ไม่สามารถสร้างระบบนำวิถีในอวกาศให้เสร็จภายในเวลาเพียงวันเดียวได้ ดังนั้นจึงเหลือแต่การคำนวณอย่างแม่นยำ และการสวดภาวนาเท่านั้นที่พอจะพึ่งพาได้

            มืออีกข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาเช่นกัน รีรอยหันไปถามผู้ยกมือทันที

            “เรายังมีปัญหาอื่นอีกหรือท่านนายพล”

            วอเรนกระแอมเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมา

            “เปล่า…แต่ผมคิดว่าผมอาจจะมีคำตอบให้กับปัญหาของชายคนนั้น”

            วอเรนพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่คีย์ ทุกคนในห้องพากันจ้องมองเขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะคีย์ เขามองไปที่ท่านนายพลอย่างสนใจ

#####

            “คุณว่าอะไรนะ”

            มาร์คแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านนายพลวอเรนกำลังอธิบายและขอความเห็นชอบจากเขา แต่หลังจากได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาก็รีบอนุมัติให้ดำเนินการได้ทันที

            “เรื่องอะไรหรือครับท่าน แจ้งให้พวกเรารับทราบด้วยได้ไหมครับ”

            สมาชิกในที่ประชุมคนหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัย มาร์คยิ้มนิดหนึ่งก่อนที่จะตอบกลับไป

            “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก ท่านนายพลวอเรนพึ่งโทรมาแจ้งว่า…เราต้องร้องขอการช่วยเหลือจากทางอิหร่านแค่นั้นเอง”

            สมาชิกทุกคนในที่ประชุมต่างอ้าปากค้างตามที่เขาคาดเอาไว้ การประชุมดำเนินต่อไปอีกพักใหญ่ พวกเขากำลังถกกันถึงประเด็นว่าสมควรจะเปิดเผยเรื่องราวออกไปหรือไม่ อย่างไร และจะเกิดผลกระทบกับสังคมโลกอย่างไรบ้าง

            แล้วท่านนายพลวอเรนก็ติดต่อกลับมาอีกครั้ง

            “ข่าวร้ายครับท่าน ทางอิหร่านไม่ยอมเชื่อเรา พวกเขาคิดว่านี่เป็นหลุมพรางที่พวกเราขุดล่อให้เข้ามาติดกับ”

            มาร์คนิ่งคิดนิดหนึ่ง และทบทวนถึงประเด็นที่ถกกันอยู่เมื่อครู่ ก่อนที่จะถามกลับไป

            “เรามีเวลาสักเท่าไร”

            “ระบบนำวิถีในอวกาศพร้อมผู้เชี่ยวชาญต้องมาถึงให้เร็วที่สุด เราอาจต้องทำการดัดแปลงระบบให้เข้ากับสิ่งที่เราเตรียมเอาไว้”

            “หมายถึงยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีใช่ไหม”

            “ครับท่าน”

            “…ผมจะจัดการเอง”

            “ท่านจะติดต่อกับทางผู้นำอิหร่านโดยตรงหรือครับ…แต่กว่าทุกอย่างจะ…”

            “ไว้ใจผมสิ ผมมีวิธีการที่รวดเร็วและได้ผลอยู่”

            “…ครับท่าน”

            หน่วยสืบราชการลับของเรารู้มาพักหนึ่งแล้วว่าทางอิหร่านได้แอบพัฒนาระบบนำวิถีในอวกาศขึ้นมาได้สำเร็จ และพวกเขามีแผนที่จะใช้การปล่อยดาวเทียมทางธุรกิจบังหน้า เพื่อแอบส่งดาวเทียมทางการทหารที่มีการติดตั้งฐานปล่อยจรวดขึ้นไป เพื่อใช้ขู่ที่จะโจมตีเราจากบนนั้น

            ทางอิหร่านคงต้องตกใจมากหากดาวเทียมที่พวกเขาทุ่มเงินลงไปมหาศาลจะระเบิดเป็นผุยผงในทันทีที่มันขึ้นสู่อวกาศ โครงการ สตาร์วอร์ส ของเราไม่ได้เป็นเรื่องเล่นๆ อย่างที่หลายคนถูกทำให้เข้าใจ เรามีเครือข่ายอยู่บนนั้นที่จะสามารถสอยดาวเทียมดวงใดๆ ลงมาก็ได้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถใช้ต่อกรกับดาวหางขนาดยักษ์นั่นได้

            มาร์คตัดสินใจทันที

            ‘นี่เป็นวิธีการที่เร็วที่สุด…และหวังว่ามันคงจะได้ผล…ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง’

#####

            หลังจากที่ท่านประธานาธิบดีพูดจบ ภายในห้องแถลงข่าวของทำเนียบขาวเกิดความเงียบงันขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนที่ความสับสนวุ่นวายจะระเบิดขึ้น นักข่าวทุกคนต่างพยายามแย่งชิงกันถามคำถาม ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องพยายามเข้าควบคุมสถานการณ์ภายในห้อง

            แต่มาร์ครู้ดีว่านี่เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่หน้าจอโทรทัศน์ เขาเลิกจินตนาการถึงปฏิกิริยาของผู้คนทั่วโลก แล้วยกมือขึ้นเพื่อให้ทุกคนในห้องอยู่ในความสงบ

            “เรา…อเมริกามีแผนรับมือกับวิกฤติการณ์ในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว กระสวยอวกาศบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์จะออกบินในเช้าวันพรุ่งนี้ ดาวหางจะถูกยิงทำลาย แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยภายในตอนเย็น ทุกท่านจะได้เข้านอน และตื่นขึ้นในตอนเช้า…”

            เขามองจ้องตรงไปยังกลุ่มของกล้องถ่ายทอดที่ตั้งรวมกันอยู่

            “…โลกจะยังคงอยู่ และรวมถึงพวกเราทุกคนด้วย อเมริกาจะปกป้องโลกนี้เอาไว้ให้ได้ ผมขอให้คำมั่นสัญญากับพวกท่านทุกคน…”

            เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่งเพื่อดึงความสนใจของทุกคนอีกครั้ง

            “ขอพระเจ้าคุ้มครองโลก…และพวกเราทุกคน”

            เกิดความเงียบงันขึ้นภายในห้องแถลงข่าวอีกครั้ง

            “รายละเอียดของปฏิบัติการ ท่านผู้อำนวยการองค์การนาซ่าจะมาแจกแจงให้ทุกท่านทราบต่อไป”

            มาร์คเดินออกจากห้องโดยปล่อยให้รีรอยรับมือกับนักข่าวแทน เจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาหาเขาพร้อมส่งโทรศัพท์ให้

            “ท่านนายพลวอเรนขอเรียนสายด้วยครับ”

            มาร์คคาดได้ทันทีว่าเป็นเรื่องอะไร เมื่อข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก แม้แต่อิหร่านก็คงต้องยอมร่วมมือกับอเมริกา แต่ก็ยังมีเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงอยู่ด้วย

            “…ทางอิหร่านต้องการให้เราจ่ายเงินซื้อระบบนำวิถีของเขาครับท่าน”

            มาร์คแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เขาก็ไม่ถามถึงราคาที่ทางอิหร่านเสนอมา ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องให้ระบบนำวิถีในอวกาศมาถึงสถานีส่งยานโดยเร็วที่สุด

            “บอกไปเลยว่าเราตกลง…”

            แล้วเขาก็พูดเสริมขึ้นอีกนิด

            “…แต่ขอจ่ายหลังวันที่ยี่สิบนะ”

#####

            คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานคืนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีส่งยาน และช่างเทคนิคทุกคน ที่ต้องเร่งทำงานกันตลอด พวกเขานำส่วนประกอบต่างๆ มารวมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดออกมา ทุกอย่างต้องถูกตรวจสอบซ้ำหลายรอบจนกว่าจะมั่นใจ และมันเป็นคืน หรือวันที่ยาวนานของผู้คนทั่วโลกด้วยเช่นกัน พวกเขามารวมตัวกันในครอบครัว พูดคุยกัน หรือไม่ก็พากันไปยังสถานที่ต่างๆ ที่จัดให้มีการสวดภาวนาร่วมกัน

            ในช่วงเวลานั้นจิตใจของผู้คนทั้งโลกได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นครั้งแรก

#####

19/12/2012

          มาร์คกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องแถลงข่าวของสถานีส่งยาน โดยมีรีรอยเดินเข้ามาสมทบกับเขา

            “เราพร้อมมั้ย”

            เขาถามสั้นๆ

            “พร้อมซะยิ่งกว่าพร้อมอีกครับท่าน”

            รีรอยตอบด้วยความมั่นใจ และนั่นเรียกรอยยิ้มจากท่านประธานาธิบดีออกมาได้

            “คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าใครโทรหาผมเมื่อคืนนี้”

            “…ไมเคิล แจ็คสัน หรือครับท่าน”

            รีรอยตอบยิ้มๆ ดูเหมือนเช้าวันนี้เขาจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

            “พระสันตะปาปาต่างหาก”

            “…องค์ที่อยู่ที่โรมน่ะหรือครับ”

            รีรอยทำหน้างงๆ

            “พระองค์มีเรื่องขอร้องผมเรื่องหนึ่ง”

            “…ให้เราสวดขอพรก่อนส่งยานหรือครับ”

            “เปล่า พระองค์ต้องการให้ผมเปลี่ยนชื่อกระสวยอวกาศของเรา”

#####

            หลังจากที่ประธานาธิบดีมาร์คได้แถลงข่าวเรื่องดาวหางดวงนี้ออกไป ในช่วงแรกสถานีโทรทัศน์ทั่วโลกต่างพากันนำเสนอสารคดี และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องดาวหางพุ่งชนโลก มีการเชิญนักวิชาการชื่อดังต่างๆ มาให้ข้อมูล แต่ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อทุกคนได้รับรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ การนำเสนอข่าวก็เปลี่ยนไปราวกับนัดกันไว้

            มีการเชิญผู้นำทางศาสนาต่างๆ และบุคคลที่เป็นผู้นำทางจิตรวิญญาณมาพูดคุยกัน มีการถ่ายทอดพิธีการทางศาสนาต่างๆ ที่จัดขึ้น รวมถึงภาพของผู้คนทั่วโลกที่ออกมารวมตัวกันเพื่อสวดภาวนาขอให้โลกรอดพ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้

            เมื่อเวลาปล่อยกระสวยอวกาศใกล้เข้ามา ทุกสายตาก็พากันมารวมกันอยู่ที่สถานีส่งยาน ณ แหลมคานาเวอรัลแห่งนี้ ภาพของประธานาธิบดีมาร์คที่ก้าวไปยังแท่นอย่างมั่นใจถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก ที่เบื้องหลังของเขาคือแถวของนักบินอวกาศ และเจ้าหน้าที่ประจำยานจำนวนแปดคน ซึ่งสองคนในนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญชาวอิหร่านที่ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบระบบนำวิถีในอวกาศของพวกเขา

            “สวัสดีพี่น้องชาวโลกทุกคน”

            เมื่อต้องเอ่ยมันออกมาดังๆ เป็นครั้งแรก คำว่าชาวโลกนี้ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดกับเขา มันเป็นคำที่มีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ

            “ที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของผมนี้คือเหล่าผู้กล้า ตัวแทนของพวกเราในการขึ้นไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ภารกิจที่จะไม่มีคำว่าล้มเหลว”

            เขาจงใจเน้นเสียงแสดงความมั่นใจออกมา ซึ่งอาจจะมากกว่าที่เขามีอยู่จริงๆ เสียอีก เขาเริ่มแนะนำชื่อ และหน้าที่ของแต่ละคน ซึ่งเมื่อมาถึงหนุ่มชาวอิหร่านทั้งสองคน เขาต้องตั้งใจอ่านชื่อที่ไม่คุ้นปากของเขาอย่างช้าๆ เขาไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดในการแถลงวันนี้แม้แต่นิดเดียว

            เขาแถลงสรุปขั้นตอนของภารกิจอย่างย่อๆ ให้ฟังอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มกล่าวปิดการแถลงในครั้งนี้

            “และด้วยคำแนะนำจากองค์พระสันตะปาปา กระสวยอวกาศในภารกิจของเราในครั้งนี้จะถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโฮป”

            เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อดึงความสนใจจากทุกคน

            “ความหวังของมวลมนุษยชาติจะพุ่งทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ และด้วยความหวังนี้พวกเราจะฝ่าฟันอุปสรรคในครั้งนี้ไปให้ได้…หากเรายังคงมีความหวังวันพรุ่งนี้จะต้องมาถึง”

            “ขอพระเจ้า…ของพวกเราทั้งมวล จงคุ้มครองชาวโลก…ขอบคุณครับ”

#####

            “ห้า…สี่…สาม…สอง…”

            “…หนึ่ง…ปล่อยได้”

            เปลวไฟพร้อมเสียงคำรามของจรวดขับดันดังก้อง ไอน้ำที่เกิดขึ้นจากการถ่ายเทความร้อนของจรวดไปยังน้ำปริมาณมหาศาลที่อยู่ในสระใต้จรวดขับดันพวยพุ่งเหมือนควันออกไปทุกทิศทาง กระสวยอวกาศโฮปพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงผู้บรรยายทางโทรทัศน์ดังขึ้นในหลากหลายภาษา แต่แทบจะแปลความหมายออกมาได้เป็นอย่างเดียวกัน

            “ความหวังของมวลมนุษยชาติได้โบยบินขึ้นไปแล้ว”

#####

            “เป็นยังไงบ้าง”

            มาร์คส่งเสียงถามรีรอยหลังจากเดินเข้าไปในศูนย์ควบคุม เขาพึ่งจะกลับมาจากงานที่โบสถ์

            “มีปัญหานิดหน่อย แต่ตอนนี้กระสวยก็เข้าประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้วครับ”

            น้ำเสียงของเขาฟังดูเคร่งเครียดต่างไปจากเมื่อเช้านี้ ดูเหมือนจะมีหลายเรื่องเกิดขึ้นที่นี่ ในตอนนั้นเองเสียงของหัวหน้านักบินอวกาศ ผู้นำภารกิจในครั้งนี้ก็ดังขึ้น

            “ข้อมูลปัจจุบันของดาวหางจากอุปกรณ์บนนี้ถูกส่งลงไปเรียบร้อยแล้ว เราต้องการทราบพิกัดการยิงโดยเร็วที่สุด”

            “ไม่ต้องรีบร้อนไป เรายังมีเวลา ตอนนี้ที่เราต้องการคือความถูกต้องแม่นยำมากกว่า”

            รีรอยตอบพร้อมหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่อีกสองสามคน

            “ขอตัวก่อนนะครับท่าน”

            มาร์คพยักหน้ารับทราบ รีรอยรีบเดินไปยังห้องประชุมที่ทุกคนกำลังรออยู่ ซึ่งรวมถึงคีย์ วอเรน และเจฟ นักดาราศาสตร์ผู้ค้นพบดาวหางดวงนี้ด้วย

#####

            “พิกัดการยิงพร้อม”

            “จรวดขับดันพร้อม”

            “ระบบจุดระเบิดหัวรบนิวเคลียร์พร้อม”

            “ระบบนำวิถีในอวกาศพร้อม”

            เสียงแปร่งๆ ของชาวอิหร่านที่ดังผ่านลำโพงออกมาสร้างรอยยิ้มเล็กๆ ให้ใครหลายคน แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ความตึงเครียดก็แผ่กระจายเข้าครอบคลุมทั่วทั้งศูนย์ควบคุม หรืออาจจะเป็นทั่วทั้งโลก

            “การทบทวนขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์…ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ”

            รีรอยหันไปหามาร์ค เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง

            “…ปล่อยจรวดลูกที่หนึ่งได้”

#####

            ผู้คนทั่วทั้งโลกในตอนนี้แทบจะหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเดียวกัน ภาพของจรวดลูกหนึ่งพุ่งทะยานออกสู่อวกาศที่มืดมิด ในใจของทุกคนต่างคิดถึงเรื่องเดียวกัน

            ’ขอให้โดนด้วยเถิด’

#####

            ความสับสนวุ่นวายระเบิดขึ้นภายในศูนย์ควบคุม เสียงรายงานของนักบินอวกาศดังฝ่าเสียงของความโกลาหล

            “ยืนยันการระเบิดของหัวรบ ยืนยันการระเบิดของหัวรบ”

            “…จรวดพลาดเป้าหมาย…ยืนยันอีกครั้ง จรวดพลาดเป้าหมาย จรวดของเราระเบิด แต่ระบบนำวิถีมีความผิดพลาดเกิดขึ้น…ยืนยัน…”

            “…จรวดพลาดเป้าหมาย…ดาวหางยังคงอยู่”

            “…ยืนยัน…ดาวหางยังคงอยู่”

            “อยู่ในความสงบด้วย”

            รีรอยตวาดด้วยเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกคนต่างหันมามองเขาอย่างตกใจ เขาพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลง

            “เราต้องการข้อมูลทั้งหมดนำมาวิเคราะห์ใหม่อีกครั้ง เรายังมีจรวดอยู่อีกลูกหนึ่ง เราไม่ต้องการความตื่นตระหนก ที่เราต้องการคือคำตอบ”

            ทุกคนต่างหันกลับไปทำหน้าที่ของตนอีกครั้ง มาร์คเดินเข้ามาตบไหล่รีรอย

            “ฝากที่นี่ด้วยนะ”

            เขาพูดก่อนที่จะเดินไปยังประตูห้อง รีรอยรู้ดีว่าเขาจะไปไหน กองทัพสื่อมวลชน และชาวโลกที่ตื่นตระหนกกำลังรอคอยเขาอยู่

#####

            “ระบบนำวิถีไม่ได้บกพร่อง”

            คีย์ย้ำอีกครั้ง

            “เราตรวจสอบแล้ว มันทำงานได้อย่างที่มันควรจะทำ แต่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ยิงใส่ดาวหางที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง แกนของมันเคลื่อนที่ผ่านอวกาศพร้อมกับส่งอนุภาคต่างๆ ออกมาโดยรอบ กระแสของอนุภาคเหล่านั้นทำให้การคำนวณเกิดความคลาดเคลื่อนขึ้น”

            “เราแก้ไขมันได้ไหม”

            รีรอยถาม

            “เราเพิ่มข้อมูลจากจรวดลูกแรกเข้าไปในระบบแล้ว คราวนี้มันควรจะทำงานได้อย่างถูกต้อง…”

            วอเรนพูดแทรกขึ้น

            “…แต่เรามีจรวดอีกเพียงลูกเดียว…และเราจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว”

            ทุกคนพากันนิ่งเงียบก่อนที่รีรอยจะพูดขึ้น

            “ท่านนายพลวอเรนพูดถูก เราเสี่ยงไม่ได้อีกแล้ว”

            เขาหันไปมองวอเรน ทั้งสองสบตากันพร้อมทั้งพยักหน้า คีย์มองคนทั้งสองด้วยความสงสัย พวกเขามีแผนอะไรซ่อนอยู่กันแน่

#####

            มาร์ค รีรอย และวอเรนกลับมาเจอกันในศูนย์ควบคุมอีกครั้ง คราวนี้คีย์ติดตามพวกเขาเข้ามาด้วย เขาเริ่มจะคาดเดาแผนของรีรอย และวอเรนได้แล้ว

            “เราต้องใช้แผนสำรองครับท่าน”

            รีรอย รายงานให้มาร์คทราบ

            “แผนสำรอง…เรามีแผนสำรองว่ายังไงล่ะ”

            คีย์ที่ยืนฟังอยู่จึงรู้ว่ามาร์คไม่รู้แผนของพวกเขามาก่อน วอเรนเดินเข้ามาก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

            “ผมจะอธิบายให้ท่านทราบเอง”

            รีรอยจึงแยกไปทำการติดต่อกับหัวหน้านักบินอวกาศ

            “ข้างบนนั่นเรียบร้อยดีไหม”

            “เรียบร้อยดีครับท่าน”

            “พวกเขาสร้างปัญหาหรือเปล่า”

            “ไม่เลยครับท่าน…ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็พอจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้ว และให้ความร่วมมือกับเราเป็นอย่างดี…เราจะเริ่มปฏิบัติการเมื่อไหร่ครับท่าน”

            “…รออีกสักครู่หนึ่ง”

            รีรอยหันกลับไปดูมาร์ค กับวอเรนที่กำลังพูดคุยกัน ท่าทางของมาร์คแสดงความตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

            ‘เขาคงรู้แล้ว’

#####

            มีการถ่ายทอดภาพและเสียงของเหล่านักบินอวกาศไปทั่วทั้งโลก พร้อมกับการเปิดเผยรายละเอียดของแผนสำรองที่แสนจะบ้าบิ่น ระบบนำวิถีของจรวดมีข้อบกพร่อง ดังนั้นจึงไม่อาจเสี่ยงได้อีก พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้ระบบนำวิถีอีกอันหนึ่งในการนำพาจรวดลูกสุดท้ายไปสู่เป้าหมาย

            พวกเขาจะขับกระสวยอวกาศโฮปที่บรรทุกหัวรบนิวเคลียร์พุ่งชนดาวหางดวงนั้น

#####

            นักบินอวกาศแต่ละคนได้ใช้เวลากล่าวคำอำลากับผู้คนบนโลก แต่ละคนต่างกล้าหาญมุ่งมั่น และไม่เสียใจในการกระทำของตน หนุ่มชาวอิหร่านคนแรกได้พูดว่า

            “ที่อยู่บนกระสวยอวกาศลำนี้ไม่ใช่ชาวอิหร่าน ไม่ใช่ชาวอเมริกัน…แต่เป็นชาวโลก…ข้างล่างนั่นก็เช่นกัน…พวกเราทุกคนล้วนเป็นชาวโลก แต่เราไม่เคยตระหนักถึงมันมาก่อน…และตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป”

            แต่คำพูดทิ้งท้ายสั้นๆ ของหนุ่มชาวอิหร่านอีกคนหนึ่งได้เรียกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นทั่วโลก

            “ผมคิดแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ พวกผมเองก็ชอบดูหนังฮอลลีวูดเหมือนกัน”

#####

            ภาพของดาวหางที่ค่อยๆ เคลื่อนตรงมายังกระจกหน้าของกระสวยอวกาศโฮปถูกถ่ายทอดจนกระทั่งสัญญาณขาดหายไป ในที่สุด

            “ยืนยันการระเบิดของเป้าหมาย…ยืนยันการระเบิดของเป้าหมาย”

            เสียงประกาศเรียบๆ จากเจ้าหน้าที่ภายในศูนย์ควบคุม

            “ดาวหางถูกระเบิดเรียบร้อยแล้ว”

            แม้ทุกคนจะยินดีแต่ก็ไม่มีใครส่งเสียงตะโกนโห่ร้องออกมา พวกเขาได้แต่ดีใจอยู่เงียบๆ ผิดกับข้างนอกนั่น ที่ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างพากันร้องตะโกนด้วยความยินดี

            “โอ๊ะ โอ”

            เสียงของคีย์ดังขึ้นท่านกลางความเงียบ เขากำลังก้มตัวอยู่เหนือเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง รีรอยรีบเดินเข้าไปหา เขาไม่ชอบน้ำเสียงของคีย์เลย มาร์คกับวอเรนรีบตามมาสบทบ

            “ดาวหางถูกระเบิดก็จริง…แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ดูเหมือนยังมีบางส่วนของมันเหลือรอดอยู่…จากขนาดที่ตรวจพบคงสร้างความเสียหายให้กับโลกได้ไม่น้อย…มันกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว…”

            ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นในศูนย์ควบคุม รีรอยรีบเข้าคุมสถานการณ์อีกครั้ง

            “หาเส้นทางของมัน เราจะใช้จรวดที่มีทั้งหมดยิงมันจากพื้นโลก”

            เจ้าหน้าที่ทั้งหมดกลับคืนสู่ตำแหน่งของตนในเวลาเพียงไม่นาน พิกัดของมันปรากฏขึ้นบนหน้าจอขนาดใหญ่ในศูนย์ควบคุม

            “ส่งพิกัดไปให้กับทุกประเทศทั่วโลก ใครที่สามารถยิงมันได้ให้ยิงทันที”

            มาร์คตะโกนสั่งอย่างตื่นเต้น แต่ในขณะนั้นเอง เจฟ และคีย์ต่างมองดูตัวเลขแสดงพิกัดนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งสองคุ้นเคยกับตัวเลขเหล่านั้น แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย

            รีรอยที่เห็นท่าทางแปลกๆ ของทั้งสองจึงหันไปถามคีย์

            “มีอะไรหรือ”

            รีรอยไม่เข้าใจคำตอบของเขา มันดูไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นนี้เลย เขาตอบมาว่า

            “…ดวงจันทร์…”

#####

            คำตอบของคีย์ได้รับการเฉลยในไม่ช้า พิกัดที่ว่าตรงกันกับตำแหน่งการโคจรของดวงจันทร์ในช่วงเวลานั้นพอดี เศษดาวหางส่วนที่เหลือกระแทกชนเข้ากับดวงจันทร์อย่างพอดิบพอดี ส่งผลให้ทั้งดาวหาง และดวงจันทร์แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โลกปลอดภัยในที่สุด ทุกคนในศูนย์ควบคุมต่างคิดถึงสิ่งเดียวกัน มีเพียงคำเดียวเท่านั้นที่เหมาะสม

            ‘ปาฏิหาริย์’

#####

20/12/2012     

            ระหว่างงานฉลองเจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้ตรงเขามาหาเขาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ

            “เรื่องด่วนครับท่าน จากผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลครับ”

            มาร์คขมวดคิ้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกนะ เขารับสายด้วยใจคอไม่ค่อยดี

            “ขอโทษที่ต้องรบกวนกลางงานแบบนี้นะครับท่าน แต่ผมมีข่าวด่วนที่ต้องแจ้งให้ท่านทราบ…ข่าวร้ายน่ะครับท่าน”

            “ว่ามาเลยครับ”

            “…จากการที่เราสูญเสียดวงจันทร์ไปได้ส่งผลกระทบกระเทือนที่ร้ายแรงขึ้นแล้วครับ ระบบน้ำขึ้นน้ำลง และกระแสน้ำทั่วโลกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว…และยิ่งเวลาผ่านไปผลกระทบของมันจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ”

            “…จะมีผลกระทบรุนแรงแค่ไหน”

            “…ท่านครับ…สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในทะเลทั้งหมดบนโลกของเราวิวัฒนาการมาพร้อมกับระบบนี้ และตอนนี้ระบบได้ถูกทำลายไปแล้ว ระบบนิเวศน์ในทะเลทั้งหมดกำลังจะล่มสลาย สัตว์ทะเลจะตายลงเป็นจำนวนมากมายมหาศาล…”

            มาร์คเริ่มมองเห็นภาพรวมของผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้น

            “…ปริมาณอาหารของโลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว…เราจะประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงในไม่ช้าครับท่าน”

            มาร์คส่งโทรศัพท์คืนให้กับเจ้าหน้าที่อย่างเลื่อนลอย ท่ามกลางงานฉลองที่กำลังดำเนินไป เขาพึ่งตระหนักได้ว่าสงครามครั้งสุดท้ายจะมีหน้าตาที่น่าเกลียดเพียงใด ประเทศต่างๆ และผู้คนทั่วโลกจะก่อสงครามเพียงเพื่อการแย่งชิงอาหารกันเท่านั้น

            นี่จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของวันสิ้นโลกที่แท้จริง

ยาเสน่ห์

หญิงสาวปิดโทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเก็บเข้ากระเป๋า และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็ต้องตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่ามีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมานั่งบนม้านั่งตัวเดียวกันกับเธอ เธอคงมัวแต่คุยโทรศัพท์จนไม่ทันรู้ตัวเมื่อเขาเข้ามานั่ง เธอรู้สึกอายเพราะเมื่อครู่เธอกำลังทะเลาะกับแฟนอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่า

เขาหันมาทางเธอแล้วส่งยิ้มทักทาย ท่าทางเขาดูเป็นมิตร เธอสังเกตเห็นเขาแต่งกายเรียบร้อย ที่พื้นข้างหน้ามีกระเป๋าใบหนึ่งตั้งอยู่ ท่าทางเขาดูคล้ายๆ คนขายประกัน หรือไม่ก็พวกพนักงานขายของตามบ้าน แต่รอยยิ้มนั้นดูอบอุ่นและจริงใจดีจริงๆ เธอจึงเผลอยิ้มตอบกลับไป

อ่านเพิ่มเติม “ยาเสน่ห์”

อมตะ

ผมชักปืนออกมาแล้วค่อยๆ บรรจงเล็งไปที่หน้าอกของชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ท่าทางของผมคงพอจะบอกให้เขารู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การจับปืนเป็นครั้งแรก ผมไม่ต้องการให้เขาคิดที่จะเสี่ยงทำอะไรโง่ๆ อย่างเช่น พยายามที่จะแย่งปืนกับผม ซึ่งจะทำให้ผมต้องรีบจบชีวิตของเขาลงก่อนเวลาอันควร ผมยังคงต้องการสอบถามข้อมูลอีกหลายอย่างจากเขา

ผมขอทบทวนอีกครั้งนะครับ คุณหมายความว่าคุณต้องการให้ผมเอาผลงานทั้งหมดที่ทุ่มเทมาด้วยสมองของผม กับเงินของคุณ บวกกับเวลาอีก 4 ปี กว่าๆ ทั้งหมดนี่ทิ้งลงถัง แล้วลืมมันไปให้หมดเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ ครับ ถูกต้อง

เป็นคำตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้อารมณ์แบบที่ผมยังพอจำได้ เหมือนในวันนั้น วันที่เขาชวนผมมาทำโครงการนี้กับเขา และตั้งแต่วันนั้นมาผมกับเขาก็แทบจะไม่เคยได้คุยกันอีกเลยผมจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนนี้ที่ผมรู้จักในชื่อ เทพ พิทักษ์ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ระบุอายุได้ยาก ไม่มีจุดเด่นอะไร ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงสังคม และที่สำคัญไม่มีข้อมูลความเป็นมา เขาเหมือนอยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนโลก ผมใช้เวลายามว่างจากโครงการแฮกหาข้อมูลของเขาจากหน่วยงานต่างๆ แม้แต่จากฐานข้อมูลของหน่วยสืบราชการลับ แต่ก็ไม่พบข้อมูลใดเกี่ยวกับตัวเขาที่เก่ากว่า 5 ปี เลย และด้วยทุนทรัพย์รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ ที่ผมมีใช้ในโครงการ มันจึงเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก เขาไปหลบอยู่ที่ไหนมาก่อน 5 ปีนั้น และโผล่ออกมาจากรูกระบอกไม้ไผ่พร้อมด้วยเงินก้อนโต โดยที่ไม่มีใครมาสนใจในตัวเขาเลย มันแปลกจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในประเทศนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้วคุณต้องการเหตุผลใช่ไหม

อ่านเพิ่มเติม “อมตะ”