มารวิทยา: อนุภาคลี้ลับ (Phasmoparticle)

เรื่องสั้นไซไฟ-ระทึกขวัญ/สยองขวัญเรื่องนี้ เป็นเรื่องแรกที่ผู้เขียนได้เขียนในบรรยากาศไสยศาสตร์แบบไทย ๆ อย่างจริง ๆ จัง ๆ และสอดแทรกประเด็นที่จะเสียดสีด้วยค่ะ

ยังไงก็สามารถติชมได้นะคะ


ยามตะวันลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณให้สิ่งมีชีวิตยามทิวาเริ่มเข้าสู่การหลับใหล เว้นแต่สิ่งมีชีวิตยามราตรีที่ตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตท่ามกลางแสงจันทร์และมวลหมู่ดวงดารา สิ่งมีชีวิตยามราตรีเหล่านี้รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่ผู้คนต่างหวาดกลัว มาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะเกิดความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเทคโนโลยีและการศึกษา

คฤหาสน์ไม้ทรงไทยโบราณตั้งตระหง่านหลังหมู่บ้านร้างบนเนินเขาแห่งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปแม้แต่เพียงผู้เดียว เพราะเป็นที่เล่าขานกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะกับบรรดาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงว่า ทุกชีวิตที่อย่างกรายเข้าไปก็มักลงด้วยการสูญหาย…ทั้งทรัพย์สินและชีวิต…!

แสงจันทร์สาดส่องทางหน้าต่างรูปทรงไทยโบราณ เผยให้เห็นเรือนร่างของหญิงสาวในชุดไทยโบราณโทนสีแดงเข้ม ที่เข้ากับเครื่องประดับที่บ่งบอกถึงระดับชนชั้นอันสูงส่ง ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองวิวด้านนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังเสพสมบรรยากาศธรรมชาติยามค่ำคืน

อ่านเพิ่มเติม “มารวิทยา: อนุภาคลี้ลับ (Phasmoparticle)”

มารวิทยา: ไมโครชิป ชิปแล้วหาย (Brain Enhancement Microchip)

สวัสดีค่ะ

กลับมาอีกครั้งกับเรื่องสั้นไซไฟ-ระทึกขวัญ/สยองขวัญ

เรื่องสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดรวมเรื่องสั้นมารวิทยา

ถ้าท่านเป็นผู้อ่านสายหักมุม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรบกวนบอกด้วยค่ะว่า เรื่องนี้จะหักมุมมากน้อยแค่ไหน

ส่วนผู้อ่านสายฮาสายโจ๊ก ก็ขอแน่ใจนะคะว่า เรื่องนี้จะเหมาะกับท่านจริง ๆ (ฮา)

แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้อ่านไซไฟสายไหน ยังไงก็สามารถติชมได้นะคะ (เช่น เรื่องความเป็นธรรมชาติของบทสนทนา) เผื่อจะได้เป็นไอเดียในการต่อยอดเป็นนวนิยายไซไฟในอนาคตค่ะ


ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2136 ผู้คนที่นับว่าเป็นมนุษย์ชีวภาพและมนุษย์ชีวจักรกลที่มีสมองเป็นทางชีวภาพ สามารถเพิ่มขีดความสามารถของตนเองได้ด้วยการผ่าตัดฝังไมโครชิป Brain Enhancement ซึ่งไมโครชิปนี้มีประเภทที่สามารถเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ และการฟื้นฟูความทรงจำ

ไมโครชิป Brain Enhancement ประเภทเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีความสามารถในความรู้ทางด้านทฤษฎีสาขาต่าง ๆ ตามที่ต้องการ และเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ราคาของไมโครชิปประเภทนี้จะแตกต่างกันตามจำนวนสาขาของความรู้ที่ต้องการ และความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มเติมจากความรู้ในสาขานั้น ๆ ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดสำหรับไมโครชิปประเภทนี้ ส่วนใหญ่นิยมใช้กับการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่ความสามารถ (ที่มีอยู่เดิมก่อนการผ่าตัดนั้น) ไม่ควบคู่กัน

ไมโครชิป Brain Enhancement ประเภทเพิ่มศักยภาพในการจำ ช่วยให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีความจำที่ดีในเรื่องต่าง ๆ ตามที่ประสบพบเจอ และสามารถฟื้นฟูความทรงจำที่สูญเสียไปได้ ราคาของไมโครชิปประเภทนี้จะแตกต่างกันตามระดับความสามารถที่ต้องการจำและฟื้นฟู ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดสำหรับไมโครชิปประเภทนี้ ส่วนใหญ่นิยมใช้กับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และผู้ที่ใช้หรือได้รับผลข้างเคียงจากยาลบความทรงจำ

อ่านเพิ่มเติม “มารวิทยา: ไมโครชิป ชิปแล้วหาย (Brain Enhancement Microchip)”

สถาบัน SCP: ความฝันเสมือนจริง(Canon:สถาบันสยองขวัญ)

สวัสดีค่ะ

นักเขียนลงงานเขียนในเว็บนี้เป็นครั้งแรก ขออภัยด้วยค่ะถ้าดูแปลกๆ

นักเขียนคิดว่าจะลงผลงานเขียนลงในเว็บนี้ด้วยนอกจากที่ปกติแล้วจะลงใน Wikidot ไม่ว่าจะเป็นบทความของวัตถุ SCPs หรือว่านิยายก็ตาม เฉพาะเรื่องที่นักเขียนมั่นใจว่าเขียนมาในสายไซไฟนะคะ ถ้านักเขียนแต่งเรื่องสั้นไซไฟอีกเรื่อง เดี๋ยวนักเขียนจะลงหน้ารวมนิยายแล้วต่อลิงก์ไปที่ทาง Wikidot โดยตรงเพื่อไม่ให้เป็นการสแปมในเว็บนี้ค่ะ

ส่วนเรื่องที่นักเขียนจะใช้ในเชิงพาณิชย์ด้วย(โดยเฉพาะหน้าที่นักเขียนตั้งค่าให้ว่าต้องจ่ายเงินก่อน) นักเขียนจะลงแยกต่างหากไว้ที่ ReadAWrite และแน่นอนว่าต้องมีเครดิตที่มาของแหล่งอ้างอิงตามนโยบายของลิขสิทธิ์สถาบัน SCP กำกับไว้ด้วย

จุดประสงค์ที่นักเขียนอยากลงผลงานเขียนในนี้ด้วยก็คือ
1. นักเขียนอยากทราบว่างานเขียนเรื่องนี้ถือว่าเป็น Hard-Scifi หรือ Soft-Scifi
(สำหรับเรื่องนี้นักเขียนรู้ในใจแล้วว่าต้องเป็น Hard-Scifi แน่ๆ แต่เพื่อความแน่ใจค่ะ)
2. นักเขียนอยากทราบว่ามีตรงไหนที่นักเขียนดึงศัพท์วิทย์มาใช้ในแบบที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ ถ้ามีก็ขอรบกวนอธิบายพร้อมยกตัวอย่างที่ถูกต้องด้วยนะคะ

นอกเหนือจากนี้ เช่น ลักษณะการบรรยายเนื้อเรื่องของนักเขียน ก็สามารถวิจารณ์ได้เช่นกันค่ะ

เดี๋ยวคราวหน้านักเขียนจะลงหน้าที่รวมลิงก์บทความวัตถุ SCPs เฉพาะที่นักเขียนแต่งมาในสายไซไฟนะคะ

———————————————————————————————–

สถาบัน SCP
ที่มา: http://scp-th.wikidot.com/

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากสถาบัน SCP ในเรื่องนี้ได้เผยแพร่อย่างถูกต้องภายใต้ลิขสิทธิ์แบบ CC-BY-SA (Attribution-ShareAlike 3.0)(แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน)

อ่านเพิ่มเติม “สถาบัน SCP: ความฝันเสมือนจริง(Canon:สถาบันสยองขวัญ)”

รอยวิบัติ (trace)

จักรกฤษณ์ยืนอย่างสงบนิ่งอยู่บนรถไฟฟ้าที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เขากำลังเดินทางไปพบผู้ว่าจ้างของเขาโดยเลือกที่จะใช้เส้นทางซ่อมบำรุงที่ปราศจากแสงสี เพราะการใช้เส้นทางหลักในเมืองทำให้เขามีอาการเวียนศรีษะอยู่เสมอด้วยภาพทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลาในระหว่างการเดินทาง เดี๋ยวก็เป็นทิวทัศน์ชายหาด เดี๋ยวก็เป็นภาพจากตึกสูง เดี๋ยวกลางวัน เดี๋ยวกลางคืน คงเนื่องจากความโหยหาธรรมชาติในตัวทุกผู้คน แต่เนื่องจากขนาดของอาคารที่ใหญ่โตกินบริเวณหลายพัันตารางกิโลเมตร ย่อมไม่สามารถให้พื้นที่สำหรับมุมมองภายนอกได้อีกแล้ว ทุกคนจึงต่างปรุงแต่ง ทิวทัศน์ มุมมอง ตามแต่ใจปรารถนา แต่นั่นคื่อสิ่งที่ทำให้คนที่ต้องเดินทางผ่านหลายๆสถานที่เกิดอาการหลงทิศ หลงทาง และคลื่นเหียนได้อย่างน่ารำคาญ มันเป็นอาการสามัญจนมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อาการเมาตึก และ จักรกฤษณ์ก็ไม่อยากให้เกิดอาการแบบนั้นในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขาต้องการใช้ความคิด

รถไฟฟ้าเคลื่อนผ่านผนังสีทึบไปตลอดเส้นทาง ระหว่างที่จักรกฤษณ์หวนรำลึกถึงตอนที่พบเจ้าของงานนี้เป็นครั้งแรก

“สามีของฉันหายตัวไป” หล่อนกล่าว…มีน้ำเสีงแหบพร่าเล็กๆในเสียงนั้น จักรกฤษณ์รู้สึกได้ถึงความไม่แน่ใจบางอย่าง หลังจากการทักทายกับหล่อนตามมารยาทของนักสืบทั่วไป “ทั้งหมดนี่คือข้อมูลของเขา” หล่อนยื่นแผ่นข้อมูลบางขนาดนามบัตร

จักรกฤษณ์วางมันลงบนโต๊ะ แล้วภาพแฟ้มข้อมูลทั้งหมด ก็แสดงขึ้นบนผนังห้องเบื้องหน้า
บุคคลที่หายตัวไป คือ ดร.วัชรพล เคฟเค่น ศารตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ควอนตัมฟิสิกส์(quantum physic) ที่มีชื่อเสียง

“มีอะไรที่ผมควรรู้เป็นพิเศษไหม” จักรกฤษณ์เอ่ยถามขณะเคลื่อนมือไปบนโต๊ะ พลิกแฟ้มประวัติบนผนังไปมา “งานวิจัยที่กำลังทำอยู่, คู่แข่ง ศัตรู หรือ” เขาหยุดเล็กน้อยเหลือบมองหล่อน “ชู้รัก”

“ไม่มี” โดยปราศจากการลังเลหรือชะงักงัน ไม่แม้เพียงหนึ่งส่วนล้านของวินาที … อาจจะเร็วเกินไปเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนหล่อนเองก็จะจับอาการสงสัยนั้นได้ด้วยเช่นกัน “ถ้าคุณดูภาพที่ถูกบันทึกแล้วคุณจะเข้าใจ”

ภาพที่เขาเห็นยิ่งทำให้เขามึนงงยิ่งขึ้นไปอีก
มันเป็นภาพที่ถูกบันทึกโดยระบบ MAIDS ซึ่งแสดงภาพของ ดร.วัชรพลในห้องของเขา ขณะกำลังสาละวนกับงานเอกสารบนโต๊ะ ภาพแตกพร่าไปสักเสี้ยววินาทีเห็นจะได้ และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็กลับคืนมา …
ทุกอย่าง ยกเว้น ดร.วัชรพล

ประเด็นแรกจึงไม่ใช่ว่า ใคร ทำไม หรือ จะเป็นตายร้ายดีประการได
ประเด็นแรกคือ “อย่างไร”

อ่านเพิ่มเติม “รอยวิบัติ (trace)”

การจุดระเบิดครั้งที่สอง

ลุงชัยนั่งมองสมุดเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นอยู่เป็นชั่วโมง พลิกกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้ากระดาษเหลืองกรอบเหมือนจะสลายเป็นผงได้ทุกเวลาถูกแกหยิบจับอย่างทะนุถนอม คัดลอกบางข้อความลงไปในสมุดเล่มเล็ก สุดท้ายแกก็ปิดมันแล้วนั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามผมว่าได้มาจากไหน ผมตอบไปตามจริงว่าซื้อมาจากร้านหนังสือมือสอง

“ครั้งแรกว่ายากแล้ว ครั้งนี้ดีไม่ดีจะทำไม่สำเร็จเอา แต่ลุงว่ามันคุ้มค่าว่ะ”

ถัดไปไม่กี่วินาที อาคารรัฐสภาลอยผ่านไป เงาดำทอดบังหน้าต่างทำให้ห้องสลัวลง ด้วยขนาดที่ใหญ่เกินบรรยายเราจึงตกอยู่ในความมืดหลายนาที ลุงชัยถูกกลืนหายไปในจุดอับแสง และเมื่อตึกประหลาดหลังนั้นเคลื่อนผ่านไปผมถึงได้สังเกตเห็นว่าแววตาของแกส่องประกายระยับสุกสว่างเหมือนกับไอพ่นยานอวกาศ และผมก็หมายถึงไอพ่นยานอวกาศจริง ๆ

เวลาเจ็ดสิบกว่าปีทำให้ความจริงเรื่องหนึ่งขยายเป็นตำนานได้ไม่ยากเย็น คนที่เคยเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นบางคนไม่เชื่อจนวันตายว่ามันเคยเกิดขึ้น ที่ไปไกลกว่านั้นคือหลายคนกลับบอกว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ก็มีไม่น้อยที่ยืนยันว่าไม่ได้โกหก หลายคนยังเอาไปเล่าต่อแบบเพิ่มตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อยจนไม่รู้ว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนโม้จนทุกวันนี้

สมุดเล่มนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรื่องเมื่อค่อนศตวรรษก่อนไม่ใช่แค่คำโกหกของพวกต่อต้าน อันที่จริงพวกต่อต้านส่วนหนึ่งยังเคลมว่าขบวนการของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นจากเหตุนั้นด้วยซ้ำ

โดรนฝูงใหญ่บินตามอาคารรัฐสภาไปช้า ๆ ว่ากันว่ามันคอยตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สัญญาณดิจิตอล คลื่นวิทยุ ไปจนถึงเสียงกระซิบแผ่วเบา ‘สักวันมันจะเจาะเข้าไปในความคิดของเรา’ ลุงชัยเคยบอก ผมได้แต่หวังว่าวันนี้มันคงจะยังทำไม่ได้ เพราะถ้ามันทำได้ อีกไม่ถึงห้านาทีจะมีทีมติดอาวุธมาถีบประตูหน้าแล้วจับเราทั้งคู่ไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิด

ปิดท้ายด้วยโดรนประชาสัมพันธ์ประกาศเสียงดังก้อง “วรรณกรรมต้องห้ามของลัทธิฮิปสเตอร์ หนึ่งเก้าแปดสี่ ฟาเรนต์ไฮต์สี่ห้าหนึ่ง ฮังเกอร์เกม ผู้ดาวน์โหลดจะมีความผิดตามกฎหมาย”

สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือลุงชัยกำลังนั่งยิ้มโบกมือให้ฝูงโดรนพวกนั้น …พวกมันจะมาจับเราเพราะโบกมือให้พวกมันนี่แหละ

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากขบวนแห่ของอากาศยานพวกนั้นลับตาไปคือเกลี้ยกล่อมให้ลุงเปลี่ยนใจ พยายามมองหาช่องโหว่ในแผนการสุดระห่ำของแกเพื่อโต้แย้ง หาทางขยายช่องเหล่านั้นให้กว้างขึ้นแล้วผลักแกลงไป

“อ่านจบแล้วใช่ไหม” ลุงชัยยกสมุดเล่มนั้นขึ้นโบก ผมพยักหน้าตอบ
“ถ้าไม่สู้เราก็แพ้มันตั้งแต่ตอนนี้ แต่ถ้ายังสู้อยู่ ก็แปลว่ายังไม่แพ้”

จนปัญญาจะโต้ตอบคำพูดโบราณที่ผ่านวันเวลามาหลายร้อยปี รูปประโยคอาจมีผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ใจความสำคัญไม่เคยเปลี่ยนไป เหมือนกับทุกตำนานที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งให้ยิ่งใหญ่เกินจริงไปเรื่อย ๆ เรื่องเล่าของคำพูดนี้ที่คนเชื่อกันมากที่สุดคือมีมนุษย์ห้าคนจากดาวที่ผืนดินแห้งระแหงยืนหยัดต่อสู้ทั้งกองทัพอย่างไม่กลัวตาย คำพูดนี้มาจากหนึ่งในอัศวินห้าคนนั้น

“ที่ลุงจะทำนี่มันเหมือนหนีมากกว่าสู้นะลุง”
“เขาเรียกว่าการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์โว้ย”
“ว่าไงก็ว่าตามกัน” เวลานี้แววตาของผมคงเฉิดฉายเหมือนไอพ่นจรวดของลุงไปแล้ว

ภารกิจยิ่งใหญ่ของลุงชัยคือการจุดระเบิด “ครั้งที่สอง” ตอนที่มีคนทำครั้งแรกสำเร็จนั้นเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครทำมันครั้งที่สองหรอก นี่อาจเป็นเพียงเรื่องฝันเฟื่องของชายชราผู้ป่วยไข้ด้วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือคนขับแท๊กซี่ปากเสียคนหนึ่งที่อยากประชดประชันใครสักคน บันทึกเล่มที่ลุงชัยถืออยู่บอกผมแค่ว่าเขาไม่ได้บ้า

ตำนานเรื่องนี้คือเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ในวันที่ดวงดาวตกอยู่ในทุรยุค อำนาจถูกเปลี่ยนมือไปสู่ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จและตามมาด้วยการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามขนานใหญ่ อีกฝ่ายหากไม่ถูกจับไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดก็ถูกขับไล่ออกไปจากดวงดาว ทั้งที่รู้ว่าการหาตั๋วสักใบบินออกไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในสภาวะเศรษฐกิจกลับหลังหันแล้วเดินหน้าลงคลองแบบนี้

‘จะแยกอำนาจออกเป็นส่วน ๆ ไปทำไม ในเมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จสามารถเนรมิตรถนนทองคำให้ดาวทั้งดวงได้’ ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จเคยประกาศเอาไว้ แต่ทุกวันนี้ขออย่าได้ถามท่านเชียว ‘หากใครไม่พอใจก็เชิญออกไปอาศัยอยู่ในอวกาศโน่น!’

‘ท่านก็ซื้อตั๋วเรือบินอวกาศให้ผมสักใบสิ’ ตาเฒ่าผู้กำลังจะกลายเป็นตำนานเคยบอกเอาไว้ ก่อนที่อยู่มาวันหนึ่งหลังคาบ้านของแกจะเปิดออกแล้วจรวดลำจิ๋วก็พุ่งทะยานออกไปสู่ความมืดมิดเบื้องบน ทิ้งควันพวยพุ่งเป็นสายเอาไว้เบื้องหลัง เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อเจ็ดสิบสองปีก่อน

นั่นล่ะ ที่มาของเรื่องทั้งหมด

บางคนบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องแหกตา แต่พอหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาอีก ฝ่ายต่อต้านที่รวมตัวหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มนับวันนั้นเป็นวันที่หนึ่งของศักราชใหม่ปีที่หนึ่ง แต่ฝ่ายต่อต้านก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแหกตาไม่แพ้กัน ของจริงเพียงอย่างเดียวคือท่านผู้นำเบ็ดเสร็จยังมีชีวิตยืนยาวมาจนทุกวันนี้ ว่ากันว่าอวัยวะในร่างกายเกินครึ่งถูกเปลี่ยนเป็นของเทียม สมองถูกฉีดพ่นด้วยสเต็มเซลล์ให้คงความคิดสดใหม่ไว้ตลอดเวลา ดวงตาทั้งสองข้างถูกเปลี่ยนเป็นเลนส์พิเศษที่ว่ากันว่าสามารถมองทะลุลงไปถึงความกลัวในจิตใจคนอื่นได้

ลุงชัยจะทำเรื่องที่ว่าเป็นครั้งที่สองด้วยเทคโนโลยีที่ย้อนหลังไปเกือบศตวรรษ และผมกำลังจะกลายมาเป็นลูกมือของแก เหมือนขาแหย่เข้าไปในค่ายกักกันข้างหนึ่งไปแล้ว

“ข้อแรก ต้องไม่ให้โดนจับได้” ลุงชัยยกนิ้วชี้
แน่นอนครับลุง

“ข้อสอง ต้องทำให้สำเร็จ” แน่นอนอีกเช่นกันครับลุง ถ้าทำไม่สำเร็จก็จะโดนจับได้ ไม่ต้องมีข้อสองก็ได้ครับ

“ครั้งหนึ่งที่ดาวแม่ เมืองเจอมาเนียมถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นดินแดนอนุรักษ์นิยม ฝั่งตะวันตกเป็นฮิปสเตอร์ สองผัวเมียพยายามหนีจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกด้วยบอลลูนลมร้อน พวกนั้นค่อย ๆ ทยอยซื้อของที่จำเป็นทีละน้อยจากหลายแห่งมาประกอบเป็นยานบิน เราจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ทีนี้ก็เริ่มจากทำบัญชีรายการของที่ต้องใช้ก่อน”

“แล้วเขาทำสำเร็จไหมลุง”
“น่าจะทำได้ ถ้าจำไม่ผิดนะ”

ลุงชัยให้จดทุกอย่างลงกระดาษ หลังจากทำเสร็จแต่ละขั้นตอนแล้วก็ให้เผาข้อมูลส่วนนั้นทิ้งในเตาขยะหลังบ้าน ไม่มีการค้นข้อมูลออนไลน์ ไม่ีการเก็บข้อมูลดิจิตอล ไม่มีการซื้อของทางเน็ต ทั้งหมดนั้นทำให้เสียเวลามากขึ้น แต่ลุงยืนยันว่ามันเป็นมาตรการความปลอดภัยที่จำเป็น

ทยอยถอนเงินจากธนาคาร ซื้อทุกอย่างด้วยเงินสด เปลี่ยนร้านซื้อของไปเรื่อย ลุงชัยทำงานโครงสร้าง ส่วนผมรับผิดชอบซอฟท์แวร์ มันเหมือนมีอะไรสะกิดใจผมมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่ได้เอะใจ ด้วยคิดว่ามันเป็นความเครียดจากงานใต้ดินที่พร้อมจะถูกจับได้ทุกเวลา ไอ้เรื่องเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ตอนกลับออกมานี่สิ บางคนตักข้าวใส่ปากยังไม่ตรงเลย มันน่ากลัวตรงนี้นี่แหละ

กำหนดการปล่อยยานใกล้เข้ามา ลุงชัยเลือกวันกลางอากาศหนาวที่คิดว่าท้องฟ้าจะโล่งโปร่งที่สุด จังหวะเหมาะคือตอนที่อาคารรัฐสภาลอยผ่านมาตามรอบ ปกติแล้วท่านผู้นำอาศัยอยู่ในนั้นเพื่อการรักษาความปลอดภัย หวังว่าคงจะมีใครสักคนชี้ให้เขาดูว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่จรวดของเราพุ่งผ่านหน้าไป

สุดท้ายเราได้จรวดทรงกระสวยป้อม ๆ มาลำหนึ่งในที่สุด ห้องโดยสารเล็กจนตอนที่เข้าไปสอนลุงแกบังคับเครื่องนั้นต้องนั่งเบียดกันจนแทบหายใจไม่ออก ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่มันเป็นยานอวกาศที่นั่งเดี่ยวนี่หว่า

“ก็ต้นแบบมันเขียนไว้แบบนี้” ลุงชัยตอบ หน้านิ่งเหมือนเพิ่งแย่งหลานกินขนมแล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะหาให้ใหม่อีกลำ

หันกลับไปดูรอบตัว บ้านสองชั้นหลังเล็กตอนนี้มีแต่โครงข้างนอกเท่านั้นที่เป็นบ้านอยู่ ส่วนข้างในกลายเป็นแท่นปล่อยจรวดอัดแน่นจนบ้านแทบปริ ไม่ต้องคิดจะสร้างลำที่สองเลย

ลุงพาผมเข้าไปในห้องโดยสารแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง

“อันนี้เป็นเครื่องส่งสัญญาณ ใส่เพิ่มเข้ามาจากแปลนเดิม หลังจากพ้นชั้นบรรยากาศแล้วเราจะเปิดเครื่องนี้ ถ้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยรับสัญญาณได้ เขาจะส่งยานมาช่วยพาไปที่ปลอดภัย แท้งค์ข้างหลังคือไครโอแช่แข็ง เราจะอยู่ในนั้นได้หลายปีระหว่างรอความช่วยเหลือ ไอ้เครื่องนี้ก็ติดตั้งเพิ่มเหมือนกัน รอบที่แล้วตาเฒ่าแกตั้งใจบินออกไปตาย ไม่มีไครโอติดไปด้วย”

ปัญหาคือไครโอก็มีอยู่เครื่องเดียว

“เลือกเอาว่าจะอยู่หรือจะไป”
เฮ้ย เล่นกันอย่างนี้เลยเหรอลุง

“ใครอยู่ก็ไปเข้าค่าย คนไปก็เสี่ยงดวงเอา พระเจ้ากำเนิดเรามาเสรีโว้ยไอ้หลานรัก”

ให้มันได้อย่างนี้สิลุง
อาคารรัฐสภาลอยมาให้เห็นลิบ ๆ และผมต้องตัดสินใจ

เทพเจ้าจากบรรพกาล (เรื่องสั้นไซไฟ-แฟนตาซี)

ผมเขียนเรื่องนี้ไว้สักพักแล้วครับ เอาวางลงที่นี่ให้อ่านกัน อ่านแล้วคิดว่ามันดีหรือมีจุดที่ต้องปรับปรุงตรงไหนผมรบกวนขอคำวิจารณ์ด้วยครับ ไม่ต้องเกรงใจหรืออึดอัดที่จะแนะนำ ผมยินดีรับฟังทุกคำวิจารณ์แนะนำ

ขอบคุณครับ

0gravity

เทพเจ้าจากบรรพกาล

เสียงคำรามอย่างดุร้ายจนทำให้ผู้ที่ได้ยินหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก ดังออกมาทางลำโพงตรงผนังห้องกระจกในตัวอาคารวิศวกรรมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของศูนย์พันธุวิศวกรรมศาสตร์แห่งโลก เสียงอันน่าสะพรึงกลัวนี้เป็นเสียงที่มาจากสิ่งมีชีวิต รูปร่างงดงาม ปราศจากอาภรณ์ใดๆ ซึ่งบัดนี้พวกมันนับพันตัวกำลังยืนแออัดยัดเยียด อลหม่านตรงลานกว้างด้านล่าง

เสียงดังกล่าวทำให้ด็อกเตอร์กัลลิเวอร์ รู้สึกขนหัวลุก เขากำลังยืนที่ตรงหน้าหน้ากระจกใสบานใหญ่ จ้องมองสิ่งมีชีวิตที่มีรยางค์สี่ชิ้นงอกจากลำตัว เขาคือคนที่ปลุกชีพพวกมันขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าของโลก พวกมันถูกหมายมั่นให้เป็นความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ เพื่อการดำรงอยู่และสืบเผ่าพันธุ์

ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆด็อกเตอร์นักวิทยาศาสตร์พันธุวิศวกรรมคือชายร่างใหญ่ผู้มีอำนาจที่สุดในโลก เขาคือผู้ปกครองโลกที่มีหน้าควบคุมดูแลสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้ในยุคสมัยหลังจากสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์

“ท่านจะให้เวลาผมอีกนานแค่ไหน” ด็อกเตอร์กัลลิเวอร์หันไปถามชายผู้เป็นผู้ปกครองโลก

“จนถึงอาทิตย์หน้า” ชายรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ตอบเสียงเข้ม ด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เราเสียเวลามามากพอแล้ว บางทีสิ่งที่คุณสร้างขึ้นมามันอาจจะเป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆที่ผลาญเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ จริงๆแล้วเราสมควรยอมรับชะตากรรมของเราซะด้วยซ้ำ”

ด็อกเตอร์กัลลิเวอร์ไม่ต่อปากต่อคำ ดวงตายังคงมองทะลุกระจกใสไปยังภาพสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องล่าง เขาเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดออกมา “ผมอยากจะลองดูอีกสักหน่อย ถ้าเราล้มเหลวจริงๆ ผมจะทำลายพวกมันทิ้งทั้งหมด”

นักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกาจไม่เคยคิดยอมแพ้ต่อชะตากรรม เขาเชื่อว่าเรื่องของเทพเจ้าที่มีเรือนร่างงดงามไม่ใช่เรื่องตำนานเล่าขานเฉยๆ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในอดีตกาลบนโลกเรามีเทพเจ้าเดินดินอยู่จริงๆ

            ผู้ปกครองแห่งโลกพยักหน้าตอบรับสั้นๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง

————————-

อ่านเพิ่มเติม “เทพเจ้าจากบรรพกาล (เรื่องสั้นไซไฟ-แฟนตาซี)”

แดรก, มนุษย์ล่องหน

  • ไม่มีใครเคยใส่ใจแดรก เลย แม้แต่ตอนที่เขาสวมรองเท้าใหม่ที่ขัดซะวาววับ ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
    ไม่มีใครเคยเลือกให้เขาเป็นผู้นำขบวนดุริยางค์เดินรอบสนามเด็กเล่นเลยสักครั้ง
  • ทุกๆ วัน เด็กทั้งห้องจะจัดขบวนดุริยางค์เดินเล่นรอบสนามเด็กเล่น   เด็กทุกคนต่างก็จะเล่นเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้นยกเว้นผู้นำขบวน   ผู้นำขบวนจะควงคฑา อยู่ด้านหน้า
  • แดรก มักจะอยู่ด้านหลังสุดเสมอ เขาต้องเล่น ไตรแองเกิล[1]  มีอยู่วันหนึ่ง แดรกหกล้ม   เด็กคนอื่นๆ ก็ยังคงเดินตามขบวนกันต่อไป  ไม่มีใครใส่ใจที่จะสังเกตเห็นเขา  แดรก อยากที่จะหายตัวไปจากตรงนั้นซะเลย อ่านเพิ่มเติม “แดรก, มนุษย์ล่องหน”

คำตอบ

ดวาร์ อีฟ กำลังดำเนินพิธีการเชื่อมต่อในขั้นสุดท้ายด้วยทองคำ มีสายตามากมายไม่รู้กี่คู่ที่เฝ้ามองเขาอยู่ผ่านกล้องโทรทัศนานับโหลและผ่านทางเครือข่ายซับอีเธอร์ทั่วทั้งจักรวาล เพื่อจับจ้องในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

เขายืนตรงและหันไปพยักหน้าให้กับ ดวาร์ เรย์น แล้วเคลื่อนตัวไปยืนด้านข้างสวิทช์ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้สนธิสัญญานั้นสมบูรณ์หากว่าเขาโยกมันขึ้น เจ้าสวิทช์นี้ก็จะทำการเชื่อมโยง และในทันใดนั้น มหาเครื่องจักรคอมพิวติ้งที่มีอยู่ทั้งมวลในทุกพิภพทั่วทั้งจักรวาลเก้าสิบหกพันล้านดาวเคราะห์จะเชื่อมต่อกันผ่านอภิมหาวงจรซึ่งจะโยงพวกมันเข้าด้วยกันเป็นอภิมหาเครื่องคำนวณหนึ่งเดียว เป็นเครื่องจักรไซเบอร์เนติคเพียงหนึ่งเดียวที่จะผสมผสานทุกองค์ความรู้ที่มีอยู่ในทุกกาแลคซี
อ่านเพิ่มเติม “คำตอบ”

ปัญหาปู่

บรรยากาศในห้องบรรยายดูอบอุ่นและเงียบสงบ ขณะที่ ศจ.เธดเดออุส ฟิท์ช
กำลังง่วนอยู่กับการเขียนบนกระดานดำ บรรดานักศึกษาด้านหลังของเขาก็ง่วนอยู่กับการจดบันทึกตามเช่นกัน ท่ามกลางเสียงขีดของดินสอลงบนสมุด เสียงเขย่าเท้า เสียงสั่นของหลอดฟลูออเรสเซนท์ และเสียงเพลงของ เดอะบีชบอยส์ แว่วมาจากทางหน้าต่างที่เปิดอยู่

“…และดังนั้น” เขาบรรยายต่อ “การเดินทางย้อนเวลาจะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหตุและผล ด้วยเหตุนี้มันจึงดูราวกับว่าเป็นไปไม่ได้” เขาหันหน้ากลับมาทางด้านชั้นเรียน “ปัญหาดังกล่าวนี้ มักถูกเรียกว่า ‘ปัญหาปู่

ลองคิดตามดูนะ หากว่าผมมีเทคโนโลยีที่สามารถย้อนเวลากลับไปเยี่ยมเยือนปู่ของตัวเอง ซึ่งกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม แล้วอะไรกันล่ะ ที่จะมาหยุดไม่ให้ผมฆ่าปู่ ก่อนที่เขาจะมีโอกาสที่จะมีลูก แล้วถ้าผมทำสำเร็จละ ใครเล่า ใครกันที่จะเป็นผู้เดินทางย้อนเวลา…
อ่านเพิ่มเติม “ปัญหาปู่”

1-800-บริการ-โคลน


  • ขอบคุณค่ะ ที่เรียกใช้บริการโคลนไลน์ เราภูมิใจที่จะนำเสนอบริการโคลนนิ่งที่สมบูรณ์แบบในราคาที่เหมาะสม กรุณาเลือกสิ่งที่ท่านต้องการตามตัวเลือกต่อไปนี้ค่ะ
  • ถ้าท่านต้องการสั่งโคลนนิ่งใหม่ กรุณาสั่งว่า “สร้างใหม่
  • ถ้าท่านได้รับตัวโคลนแล้ว กรุณาสั่งว่า “บริการ” เพื่อสอบถามข้อมูลด้านการบริการและการชำระเงิน
  • หากท่านต้องการทราบระยะเวลาในการส่งของแต่ละ คำสั่งโคลนที่สั่งไว้แล้ว กรุณาสั่งว่า “จัดส่ง”
  • เข้ามาใช้บริการทำสำเนาฝาแฝดของเรา เพียงแค่สิบดอลลาร์ คุณอาจจะเป็นคนต่อไปที่เป็นผู้ชนะรางวัลใหญ่ ผู้โชคดีมากกว่าหนึ่งร้อยคนได้รับรางวัลบริการโคลนนิ่งชั้นพิเศษของเรา อย่าพลาดโอกาสที่คุณจะมีฝาแผด เพียงแค่สั่งว่า “ฝาแฝด” เท่านั้น
  • หากท่านต้องการทวนตัวเลือกอีกครั้ง กรุณาสั่งว่า “ทวนซ้ำ
  • สร้างใหม่
  • ขอบคุณที่ท่านไว้วางใจสั่งผลิตภัณฑ์ของโคลนไลน์ เราปรารถนาที่จะช่วยท่านมากเกินกว่าที่ท่านจะคาดฝันไว้ กรุณาเลือกตามตัวเลือกต่อไปนี้ค่ะ

อ่านเพิ่มเติม “1-800-บริการ-โคลน”

ผู้ชาญฉลาด

าลครั้งหนึ่งในอดีตนานมาแล้ว นานก่อนที่ผมจะถือกำเนิด เป็นช่วงเวลาที่ปราศจากคอมพิวเตอร์แม้แต่เครื่องเดียว ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ในการคำนวณ ไม่มีสมองกลที่จะออกแบบผังเมืองหรือยานอวกาศใหม่ๆ ไม่มีหุ่นยนต์สถาปนิก ไม่มีหุ่นยนต์คนงาน ไม่มีหุ่นยนต์แม้ว่าจะในแบบใดๆ ก็ตาม

ผู้คนผู้ดำรงอยู่โดยปราศจากคอมพิวเตอร์นั้นต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง พวกเขาต้องทำอาหารเอง พวกเขาต้องตัดเย็บเสื้อผ้าเอง และพวกเขาต้องสร้างบ้านด้วยตนเอง พวกเขาต้องคอยกำหนดเวลาที่ต้องตื่นในตอนเช้า ต้องคิดว่าจะทำอะไรบ้างในแต่ละวัน และต้องใคร่ครวญว่าจะสนทนาเรื่องอะไรกัน

ผู้คนเหล่านั้นต่างก็มีความชาญฉลาด พวกเขาต้องอ่าน ต้องเขียน และต้องทำสิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขาบางคนต้องทำในหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะชาญฉลาด แต่พวกเขามักจะเศร้าโศกอยู่เสมอ พวกเขาคิดว่าตนน่าจะมีความสุขมากกว่านี่ถ้าหากว่าสิ่งที่ต้องทำมากมายนั้น ลดน้อยลง ดังนั้นพวกเขาก็เริ่มสร้างรถลากเพื่อใช้บรรทุกของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้เร็วขึ้น สร้างเครื่องทอผ้าเพื่อทอผ้า และสร้างเครื่องโม่เอาไว้โม่แป้งแทนพวกเขา

แต่พวกเขาก็ยังคงทุกข์ยาก พวกเขาสร้างเครื่องจักรต่างๆ อีกมากมาย พวกเขาสร้างรถไฟ สร้างสถานีพลังงานเพื่อผลิตไฟฟ้า และสร้างรถเพื่อที่จะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวกรวดเร็ว เครื่องจักรกลที่ใช้ตัดหญ้าในสนามแทนพวกเขา ที่ใช้ล้างจานชามแทนพวกเขา ใช้เล่นเพลงให้พวกเขาฟัง และแสดงภาพยนตร์ให้พวกเขาชมและแล้วพวกเขาก็สร้างคอมพิวเตอร์รุ่นแรกขึ้นมา

แต่พวกเขาก็ยังคงไม่มีความสุข พวกเขาจึงออกแบบคอมพิวเตอร์ให้ทำงานแทนพวกเขา เพื่อเลือกเพื่อนให้กับพวกเขา จำลองเหตุการณ์เทียมเพื่อความสนุกสนานของพวกเขา ทำงานเล็กๆน้อยๆ ต่างๆ แทนพวกเขา

พวกเขาสร้างเครื่องจักรที่จะทำให้ผลิตของได้มากกว่าเดิม, ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า, และเร็วกว่า แต่ในที่สุดก็ไม่เหลือสิ่งใดที่พวกเขาต้องการอีก เวลาผ่านไปพวกเขาสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาพอใจ แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะพึงพอใจอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุด พวกเขาก็ป้อนคำถามให้คอมพิวเตอร์ช่วย

อ่านเพิ่มเติม “ผู้ชาญฉลาด”

สิ้นสุดแห่งกาลเวลา (The End of All Days) – มิเชล เค. อีโวลิท

สิ้นสุดแห่งกาลเวลา(The End of All Days)
แต่งโดย มิเชล เค. อีโวลิท
แปลโดย Chaya Yaowarattanaprasert

เมื่อกาเบรียลหวนกลับมาจากการเดินทางของเขา ก็เหลือเวลาน้อยเต็มทีแล้วสำหรับทั้งเขาและโลกใบนี้ สิ่งหนึ่งซึ่งเดินทางพาดผ่านระบบสุริยะมาพร้อมการทำลายล้างทุกสิ่งบนเส้นทางที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงของมัน ในขณะนี้มันอยู่ห่างจากโลกไม่ถึง 2 หน่วยดาราศาสตร์แล้ว กว่าหลายเดือนแล้วที่ริ้วลายสีแดงสดแผ่ขยายย้อมผ่านสรวงสวรรค์ และวังวนแรงโน้มถ่วงขนาดมหึมาซึ่งฉีกกระชากดาวพฤหัสมาแล้วปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ทว่าในตอนนี้ ฟากฟ้ากลับเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนอันงดงามดุจดั่งฤดูใบไม้ผลินับครั้งไม่ถ้วนในอดีต ราวกับจะลวงหลอกให้คิดว่าโลกยังคงมีเวลาเหลืออยู่อีกยาวนาน อ่านเพิ่มเติม “สิ้นสุดแห่งกาลเวลา (The End of All Days) – มิเชล เค. อีโวลิท”

นักล่าหน้าหยกกับสาวน้อยจอมจุ้น (ตอนที่ 4 ลั้นลาใต้เมืองน้ำแข็ง)

ตอนที่ 4 ลั้นลาใต้เมืองน้ำแข็ง

ที่รับรองแขกของเมืองน้ำแข็งคือข้างล่างหรือใต้เมืองน้ำแข็ง!!!  ลึกลงไปประมาณห้าพันเมตร  ยังมีที่พักผ่อนลานกว้างส่วนรวมสำหรับการใช้ชีวิต  ของเจ้าหน้าที่ในเมืองน้ำแข็งเองและแขกผู้มาเยือน   ที่แปลกตาและหาดูได้ยากคือปลาที่ปรับสายพันธุ์เพื่อการมีชีวิตอยู่ตามสภาพแวดล้อม  มีหลายชนิด  แต่ที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจะมีอยู่ 2 ชนิด นั่นคือ  ปลาโลมา  กับ  เพนกวิน – -‘  ที่อาศัยอยู่แถวโพรงถ้ำใต้น้ำ  ใต้เมืองน้ำแข็ง!!! อ่านเพิ่มเติม “นักล่าหน้าหยกกับสาวน้อยจอมจุ้น (ตอนที่ 4 ลั้นลาใต้เมืองน้ำแข็ง)”

นักล่าหน้าหยกกับสาวน้อยจอมจุ้น (ตอนที่ 3 ตามหาพ่อ)

ตอนที่ 3 ตามหาพ่อ

ณ.สำนักงานกลาง  เช้าวันถัดมา  เจ้าหน้าที่กลุ่มใหญ่เตรียมพาหนะสำหรับพา  ผู้เสียหายไป  ปลายทางวาร์ป  เมืองน้ำแข็ง ไอคุปต์

ไอด้า  มาคอยตั้งแต่เช้าพร้อม  เอกสารแนะนำระบบโฟดีทัศน์  บริเวณลานจัดงานเมื่อวานนี้  หลังจากเธอเจาะระบบแล้วพบจุดบกพร่อง อ่านเพิ่มเติม “นักล่าหน้าหยกกับสาวน้อยจอมจุ้น (ตอนที่ 3 ตามหาพ่อ)”

นักล่าหน้าหยกกับสาวน้อยจอมจุ้น (ตอนที่ 2 เรียกร้อง)

ตอนที่ 2  เรียกร้อง

 ทันทีที่ได้ยินคำถาม  ดอย  ดึงภาพความทรงจำตอนเจอ  ไอด้า  ครั้งแรก  เธอเป็นสาวน้อยน่ารักสดใส  ที่ได้รับอนุญาตให้พกพา  ปืนไฟฟ้าติดตัว  แต่ติดที่เธอมีความแค้นส่วนตัวกับกลุ่มเป้าหมาย  ดอย  จึงได้แต่บอกปัดคำตอบ  ที่สาวน้อยกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบอยู่ อ่านเพิ่มเติม “นักล่าหน้าหยกกับสาวน้อยจอมจุ้น (ตอนที่ 2 เรียกร้อง)”