ยานสำรวจอวกาศซีซาร์วัน ส่งสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินเป็นระยะๆ มันค้นพบวัตถุลึกลับ ที่กำลังเดินทางตรงดิ่งมายังวงโคจรของโลกราวกับถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงมากยิ่งกว่ายานสำรวจอวกาศใดๆ ที่มนุษย์เคยส่งขึ้นไปเพื่อสำรวจจักรวาล และขณะนี้มันได้ผ่านวงโคจรของดาวอังคารมาแล้ว สถานีอวกาศนานาชาติและกระสวยอวกาศไททัน ได้รับคำสั่ง ให้ติดตามวัตถุลึกลับจากนอกระบบสุริยะอย่างไม่ให้คลาดสายตา และ แจ้งศูนย์ป้องกันภัยทางอวกาศในทันทีที่มันมีท่าทีที่อาจจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์
กล้องโทรทรรศน์ยักษ์วิลเลียม เฮอร์เซลหมายเลข 2 ซึ่งมีเลนส์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา ก็ยังมองเห็นวัตถุลึกลับได้เพียงเงาลางๆเท่านั้น ในขณะที่กล้องวิทยุดาราศาสตร์ กลับไม่สามารถจับสัญญาณคลื่นที่น่าจะสะท้อนกลับมาได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าคลื่นวิทยุที่ยิงออกไปได้ทะลุผ่านวัตถุลึกลับนั้น และเลือนหายไปในอวกาศ
“ตอนนี้มันอยู่ที่ระดับความสูง 35,800 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก”
โยชิ ฟูกูดะ กัปตันของกระสวยอวกาศไททันรายงานทันทีที่พบกับวัตถุลึกลับ เขามองมันไม่เห็นเลยเมื่อมีอวกาศอันดำมืดเป็นฉากหลัง จนกระทั่งกระสวยอวกาศปรับเปลี่ยนทิศทางให้ลอยอยู่เหนือมัน เขาจึงสามารถเห็นเงาสีดำสนิทที่มีรูปทรงคล้ายพีระลอยอยู่เหนือโลก
“หมายความว่า ตอนนี้มันได้กลายเป็นดาวเทียมของโลกไปแล้ว” ยูนัส แดนลอน เจ้าหน้าที่เทคนิคผู้เชี่ยวชาญด้านยานสำรวจอวกาศประจำศูนย์ป้องกันภัยทางอวกาศบอก เพราะที่ระดับความสูงขนาดนั้น วัตถุลึกลับจะโคจรไปรอบโลกด้วยความเร็วเท่ากับที่โลกหมุนรอบตัวเอง ซึ่งจะทำให้มันลอยนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเหนือพื้นโลกตลอดไป
“รู้สึกว่าขนาดจะไม่ใหญ่มากนัก คงจะพอๆกับรถบรรทุก” อเล็กซ์ ฮิพกิน ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการซึ่งได้รับมอบอำนาจให้ตัดสินใจสั่งการได้ในทุกกรณี แม้แต่การใช้ดาวเทียมติดเครื่องยิงลำแสงทำลายล้าง เพื่อกำจัดวัตถุแปลกปลอมทุกชนิดที่เห็นว่าอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ทันที โดยไม่ต้องขออนุมัติจากผู้บริหารสูงสุด
นักบินอวกาศนิโคไล เบเนตอฟซูมภาพของวัตถุลึกลับให้ขยายใหญ่ขึ้น “มันดูเหมือนพีระมิดของอียิปต์มากกว่าที่จะเป็นยานอวกาศหรืออุกกาบาต แต่พื้นผิวของมันแทบจะไม่สะท้อนแสงเลย ผมไม่สามารถวิเคราะห์พื้นผิวของมันได้ว่าสร้างขึ้นมาจากวัสดุชนิดไหนกันแน่”
อเล็กซ์มองดูภาพของวัตถุลึกลับที่ปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ภายในห้องบัญชาการอย่างใช้ความคิด
“มีทางเดียวที่เราจะรู้ว่ามันคืออะไร”……………….
กระสวยอวกาศไททันจุดจรวดปรับทิศทางให้หันหัวไปยังเป้าหมาย………
เครื่องยนต์จรวดท้ายทำงาน……….
มันเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้วัตถุลึกลับอย่างช้าๆ จนกระทั่งอยู่ในระยะที่ใกล้แค่เอื้อมบานประตูช่องบรรทุกเปิดอ้าออก นิโคไลบังคับแขนกลให้ยืดออก กรงเล็บโลหะที่ปลายแขนกล กางออกเต็มที่ราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่พร้อมตะครุบเหยื่อ นิโคไลบังคับให้มันจับวัตถุลึกลับแล้วดึงมันเข้ามาอย่างระมัดระวัง
“คุณคงชอบเล่นเครนเกมส์สินะ?” โยชิแซวเมื่อเห็นว่านิโคไลสามารถบังคับแขนกลและกรงเล็บได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ
“เกมส์โปรดของผมเลยละ ผมสะสมโมเดลยานอวกาศได้มากกว่าร้อยแบบแล้วนะ” นิโคไลคุยโอ้อวด เขานึกถึงเวลาที่เขาเล่นเครนเกมส์ เขาจะเล่นเฉพาะตู้ที่มีโมเดลยานอวกาศเป็นของรางวัล เขาจะบังคับกรงเล็บให้เลื่อนไปอยู่เหนือโมเดลที่เขาต้องการแล้วปล่อยมันลงไปด้วยความมั่นใจและแม่ยำ และเขาก็ไม่เคยพลาดของรางวัลเลยสักครั้ง
วัตถุลึกลับถูกดึงเข้ามาอยู่ในช่องบรรทุกอย่างเรียบร้อย โยชิมองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน เขาไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันอาจจะเป็นวัตถุที่มืดสุดในจักรวาลก็ได้เขามองเห็นแต่เพียงว่า ฐานของมันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและมีด้านทั้งสี่สอบเข้าหากันเหมือนกับพีระมิดอียิปต์
“คุณเคยเห็นอะไรแบบนี้บ้างมั้ย?”
“เป็นของรางวัลที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดของผมเลยทีเดียว” ……………..
วัตถุลึกลับถูกนำมาไว้ในโรงซ่อมกระสวยอวกาศ ซึ่งถูกดัดแปลงให้กลายเป็นห้องปฏิบัติการสำหรับค้นหาความลับของมัน มันตั้งอยู่บนแท่นทรงกระบอกเตี้ยๆภายในห้องที่อาบด้วยแสงอุลตร้าไวโอเล็ทเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจจะติดมากับมัน
“ดูสิ…..มันแทบจะไม่สะท้อนแสงเลยนะ เอ้อ!…..ที่จริงต้องบอกว่ามันดูดกลืนแสงถึงจะถูก” ยูนัสบอกด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นแสงอุลตร้าไวโอเล็ทกลายเป็นลำ และถูกดูดหายเข้าไปในพื้นผิวของวัตถุลึกลับนั่น
“รวมทั้งคลื่นอุลตร้าซาวด์ด้วย” อเล็กซ์บอก หลังจากที่เขาพยายามใช้เครื่องสแกนเนอร์ ยิงคลื่นอุลตร้าซาวด์ไปที่วัตถุลึกลับเพื่อตรวจดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน แต่คลื่นอุลตร้าซาวด์ไม่สะท้อนกลับออกมาเลย
นิโคไลบังคับให้อุปกรณ์เซ็นเซอร์สำหรับวัดอุณหภูมิยื่นไปสัมผัสกับพื้นผิวของมัน “พระเจ้าช่วย!!…..พื้นผิวของมันเย็นเฉียบอย่างกับน้ำแข็ง” นิโคไลอุทานอย่างงุนงงเมื่ออุปกรณ์เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิที่พื้นผิวของวัตถุลึกลับได้ 0 องศาเซลเซียส “เดี๋ยวก่อน รู้สึกว่าอุณหภูมิของมันกำลังสูงขยับขึ้น”
ตัวเลขอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มันขึ้นไปถึง 20 องศา…..30 องศา…..40 องศา…..50 องศา…..และยังสูงขึ้นต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ
“90 องศา…..120 องศา…..150 องศา…..200 องศา” โยชิอ่านค่าอุณหภูมิด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก
ทันใดนั้น ประกายแสงสีฟ้าได้ปรากฏขึ้นที่พื้นผิวของวัตถุลึกลับคล้ายกับว่ามันส่องทะลุออกมาจากภายใน และแล้วภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นบนทั้ง 4 ด้านของมันเป็นเส้นแสงสีฟ้าที่งดงามตระการตาอย่างยิ่ง มันเป็นภาพที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นถึงตกตะลึงอ้าปากค้าง ภาพแรกที่ปรากฏขึ้น เป็นภาพวาดลายเส้นของมนุษย์ชายและหญิงคู่หนึ่งกับภาพที่คล้ายกับดวงดาวต่างๆในระบบสุริยะจักรวาล
“พระเจ้า!!…..นั่นมันภาพที่เราส่งไปกับยานไพโอเนียร์ 10 เมื่อปี่ 1972 นี่นา” อเล็กซ์อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อได้เห็นภาพที่มนุษย์ได้ส่งไปกับยานสำรวจอวกาศไพโอเนียร์ 10 โดยหวังว่าสักวันหนึ่ง หากมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่บนดวงดาวดวงใดดวงหนึ่งนอกระบบสุริยะจักรวาลอยู่จริง พวกเขาอาจจะได้รู้ว่า ได้มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์กำลังพยายามที่จะติดต่อกับพวกเขาอยู่ และรอคอยการติดต่อกลับมาจากพวกเขาเช่นเดียวกัน
“แล้วนั่นก็เป็นภาพวาดร่างกายมนุษย์ของลีโอนาโด ดาวินซีซึ่งจารึกอยู่บนแผ่นทองคำที่ส่งไปกับยานวอยาเจอร์ทั้งสองลำ” ยูนัสบอกด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้เห็นภาพซึ่งอยู่บนอีกด้านหนึ่งของวัตถุลึกลับเมื่อแท่นที่ยึดมันไว้หมุนมาอย่าช้าๆ เพราะมันหมายถึงว่า นอกระบบสุริยะจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาล้ำเลิศอยู่จริงๆ พวกเขาค้นพบยานไพโอเนียร์ 10 กับยานวอยาเจอร์และได้รู้แล้วว่า มนุษย์ต้องการติดต่อกับพวกเขาและพวกเขาก็ได้ตอบกลับมาเช่นเดียวกัน
นิโคไลชี้ให้ทุกคนดูภาพที่ปรากฏอยู่บนด้านที่ 3 มันเป็นภาพของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่มีใบหน้าเรียวยาว ดวงตาเป็นรูปรีขนาดใหญ่มีจมูกที่เล็กมากและริมฝีปากบางเฉียบ แขนและขายาวผิดปรกติและมีภาพคล้ายกับแกแล็คซีๆหนึ่งซึ่งมีแขนยาวโค้ง 5 แขนที่คล้ายกังหันกำลังหมุนอยู่ด้านข้าง
“พวกเขาส่งรูปมาให้ดูด้วย ผมเดาว่าภาพกังหันที่มีแขน 5 แขนนั่นน่าจะเป็นภาพของแกแล็คซีทางช้างเผือกที่เราอยู่ เพราะยานที่เราส่งไปคงยังเดินทางไปไม่พ้นขอบของจักรวาลนี้แน่ พวกเขาน่าจะอยู่ในแกแล็คซีเดียวกับเรา และวงกลมเล็กๆ 2 วงบนแขนข้างหนึ่งของแกแล็คซีนั่น วงที่อยู่ใกล้ใจกลางแกแล็คซี่นั่นน่าจะเป็นตำแหน่งของโลก ส่วนอีกวงหนึ่งที่อยู่บนแขนถัดไปก็น่าจะเป็นตำแหน่งของดวงดาวที่พวกเขาอาศัยอยู่”
“ถ้าวงกลมวงแรกนี่เป็นตำแหน่งของโลก แขนนี้ก็ต้องเป็นแขนออไรน์ ส่วนดวงดาวของพวกเขาก็ต้องอยู่บนแขนซิกนุสเกือบสุดขอบของแกแล็คซี” โยชิอธิบายเสริมขึ้น
ยูนัสรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เพราะนี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนชิ้นแรกซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆอยู่ร่วมกับมนุษย์ในจักรวาลนี้จริงๆ
แต่แล้ว ภาพบนด้านที่ 4 ของวัตถุลึกลับกลับทำให้ทุกคนตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นภาพคล้ายกับตัวอักษรที่เรียงเป็นข้อความสั้นๆ 3 แถว “พวกเขาส่งจดหมายมาถึงเรา” นิโคไลบอก
อเล็กซ์บันทึกภาพอักษรจากต่างดาวเอาไว้ เขาจะต้องนำมันไปถอดรหัสดูว่า พวกเขาต้องการพูดอะไรกับเพื่อนมนุษย์ “ดูคล้ายกับอักขระโบราณ”
ทันใดนั้น เสียงแปร่งๆได้ดังออกมาจากวัตถุลึกลับนั่น มันฟังดูคล้ายกับเสียงพูดที่รัวและเร็วมาก มันไม่เหมือนกับภาษาพูดใดๆที่มนุษย์รู้จักเลย อเล็กซ์รีบบันทึกเสียงนั้นไว้ก่อนที่มันจะหายไป
โยชิหันไปมองอเล็กซ์ด้วยแววตาที่แสดงถึงความตื่นเต้น เพราะนี่คือเสียงของมนุษย์ต่างดาวเสียงแรกที่สื่อสารถึงมนุษย์ “เขากำลังพูดกับเรา”
“ใช่ แต่เราไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร”
“อาจจะเป็นการติดต่อทางการทูตก็ได้” ยูนัสบอก เขาพยายามที่จะมองโลกในแง่ดี เขาคิดว่าบางทีพวกมนุษย์ต่างดาวอาจจะอยากแสดงความเป็นมิตร แต่อเล็กซ์กับนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังใช้ความคิดบางอย่างอยู่
“หรืออาจจะเป็นคำเตือน”…………………….วัตถุลึกลับกลับคืนสู่สภาพเดิม เหมือนตอนที่มันเพิ่งถูกนำมาไว้ที่โรงซ่อมกระสวยอวกาศ ประกายแสงสีฟ้าหายไปแล้ว อุณหภูมิที่พื้นผิวลดลงเหลือ 0 องศา และภาพกับข้อความบนด้านทั้ง 4 ด้านของมันก็หายไปด้วย มันกลายเป็นวัตถุทรงพีระมิดที่ดำมืดอีกครั้ง และไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองการกระตุ้นด้วยวิธีการต่างๆอีกเลย บางทีผู้ที่สร้างมันขึ้นมาอาจจะต้องการให้มันเป็นเพียงผู้นำสารเท่านั้นก็ได้
อเล็กซ์ป้อนข้อนมูลอักขระประหลาดที่เขาบันทึกไว้เข้าเครื่องถอดรหัสภาษา และพบว่า มันเป็นตัวอักษรที่คล้ายกับภาษาฮินดู หรือสันสกฤตผสมกับอักษรขอมโบราณ ส่วนเสียงพูดนั่นคล้ายกับภาษา “ดูโบ๊ส” ซึ่งเป็นภาษาที่พวกลัทธิซึ่งเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวอ้างว่า เป็นภาษาของมนุษย์ต่างดาวที่มักจะเดินทางมาแวะเยี่ยมโลกอยู่เสมอในอดีตที่ผ่านมา
“เขาต้องการบอกอะไรกับเรา?” นิโคไลถามอเล็กซ์
“มันเป็นคำเตือน”
ยูนัสไม่ได้สนใจรายละเอียดของตัวอักษรจากต่างดาวเท่าไรนัก เขาต้องการรู้แค่ความหมายของมันเท่านั้น “คำเตือนเรื่องอะไร อเล็กซ์” เขาถามด้วยความอยากรู้ อเล็กซ์นิ่งเงียบ เขาส่งคำข้อความกับเสียงพูดที่ส่งมาจากห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น “…..วาระสุดท้ายของโลก…..”
“…..อย่างน่าสยดสยอง…..”………………
พนักงานเสริฟถือถาดกาแฟมาเสริฟให้กับทุกคนซึ่งกำลังนั่งคุยกันเกี่ยวกับวัตถุลึกลับนั่น
“สายน้ำจะเหือดแห้ง อากาศร้อนระอุดังไฟ นี่คือจุดจบของมนุษยชาติ” ยูนัสอ่านคำแปลข้อความที่แปลจากอักษรซึ่งปรากฏบนพีระมิดสีดำจากอวกาศซ้ำอีกครั้ง เขานึกถึงเสียงของมนุษย์ต่างดาวที่เตือนให้ชาวโลกได้รู้ถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลก
โยชิยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม เขารู้สึกประหลาดใจกับข่าวสารที่ได้รับจากเพื่อนร่วมจักรวาล
“อย่างน้อยพวกเขาก็มีท่าทีที่เป็นมิตรและห่วงไยพวกเรา”
“ตอนแรกผมกลัวว่ามันอาจจะระเบิดตอนที่เราบรรทุกมันกลับมา” นิโคไลเล่าถึงความรู้สึกในตอนนั้น ยูนัสเติมน้ำตาลลงในถ้วยกาแฟอีกช้อนแล้วหันไปถามความเห็นของอเล็กซ์
“คุณคิดยังไงกับคำเตือนนี่?”
อเล็กซ์นิ่งเงียบ เขามองออกไปนอกหน้าต่างและทอดสายตาไปยังดาวเคราะห์โลกซึ่งลอยเด่นอยู่เหนือเส้นขอบฟ้า ซึ่งบัดนี้ มันได้กลายเป็นดาวเคราะห์สีน้ำตาลแดงอันแห้งแล้งและมีแต่พายุฝุ่น ไม่มีปุยเมฆสีขาวสะอาดบนชั้นบรรยากาศของมันอีกต่อไป เขาจินตนาการถึงไอร้อนระอุที่กรุ่นอยู่บนแผ่นดิน เขานึกถึงวันที่น้ำหยดสุดท้ายระเหยหายไปในบรรยากาศที่เบาบาง และทิ้งซากของสัตว์ทะเลไว้เกลื่อนผืนดินที่แตกระแหง ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันเคยเป็นท้องมหาสมุทรอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย เขาเหลือบมองดูภาพถ่ายแห่งความทรงจำของโลกที่ประดับอยู่บนฝาผนัง มันเป็นภาพของโลกซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเคยมีสีน้ำเงินสดใส แซมด้วยก้อนเมฆสีขาวอย่างสวยงาม เขาจินตนาการถึงวันที่บรรพบุรุษของมนุษย์ซึ่งเหลือรอดจากความหายนะ พากันอพยพมาอยู่ที่อาณานิคมใต้โดมแก้วบนที่ราบแมร์เซเรนิเตติสกับที่ราบอื่นๆ บนดวงจันทร์แห่งนี้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์สามารถแก้ปัญหาเรื่องอากาศสำหรับหายใจกับน้ำและการเพาะปลูกได้สำเร็จ อเล็กซ์จิบกาแฟด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“มันก็น่าสนใจดีอยู่หรอก แต่มันมาช้าไปตั้ง 200 ปี”………………..
ชอบครับ
รู้สึก สะใจตอนท้าย อย่างไร บอกไม่ถูก
(สงสัย ซาดิส ชอบเห็นความ หายนะ ของผู้อื่น)
ในกรณีนี้ โชคดี ที่ปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที
ก็หวังว่า ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้น
ซึ่งขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการมองเห็นปัญหา ได้ทันการณ์
ก็คงต้อง ภวนา กันไปครับ
ขอบคุณ สำหรับ เรื่อง ดีๆ ครับผ้ม