ณ กระท่อมหวายหลังเล็กๆ ในป่าหิมพานต์
ท่ามกลางป่าเขาอันเงียบสงัด แว่วเสียงบรรยากาศรอบข้าง ทั้งสายชลไหลริน สายลมพัดผ่าน แม้กระทั่งนกแห่งขุนเขา แมลงเรไรนับไม่ถ้วนประสานเสียงเป็นเสียงบรรเลงแห่งธรรมชาติ
ภายในกระท่อมอันโกโรโกโส ชายชราท่านนึงผิวเหี่ยวย่น ผมขาวหงอก สวมเสื้อผ้าไหมเก่าคร่ำครึเต็มไปด้วยรอยปะกำลังนอนบนเตียงไม้ไผ่ที่ปูด้วย ผ้าไหม รองหัวด้วยหมอนขวานสีน้ำเงินลวดลายทองวิจิตรไทยกับสตรีนางหนึ่งผิวขาวนวลผด ผ่อง เรียบเนียนปราศจากริ้วรอยใดๆ ผมดำเงางามเรียบมัน รวบมัดเป็นจุกตามแบบฉบับสตรีไทยโบราณ สวมผ้าแพรพันรอบอก ผ้าถุงลายไทย นั่งพับเพียบปรนนิบัติข้างเตียง
เธอกำลังบดสมุนไพรด้วยครกยา เบื้องหลังของเธอมีหม้อกระเบื้องสีดำห้อยบนกิ่งไม้ กำลังต้มน้ำให้เดือดด้วยไฟจากกองฟืน
“รอก่อนนะเพคะ ประเดี๋ยวน้ำเดือด ข้าจะชงยาให้ท่านเสวย ” สตรีนางนั้นเห็นน้ำเดือดได้ที่ และ ผงสมุนไพรในครกละเอียดดีแล้ว
“ พอก่อนเถิด มโนราห์ ข้าไม่อยากทานอีกต่อไปแล้ว” ชายชรายกมือขึ้นมาห้าม
สตรีนางนั้นเมื่อถูกเรียกชื่อก็หยุดกิริยาที่ตั้งใจไว้ ค่อยๆ เดินเข่ากลับมานั่งพับเพียบข้างๆเตียงเช่นเดิม
“ ท้าวสุธนเจ้าค่ะ หากเป็นเฉกเช่นนี้ พระวรกายของท่านรังแต่ทรุดลงเรื่อยๆนะเพคะ ” นโนราห์มองหน้าชายชรา กล่าวโนมน้าวใจด้วยเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ท้าวสุธนผู้เคยเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามแห่งปัญจาลนคร ผู้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและพระปรีชาสามารถทั้งด้านการรบและความรู้หลาก แขนง ได้เอื้อมหัตถ์อันเหี่ยวย่นตามวัยจับมือนางมโนราห์รวบพระอัสสาสะ(ลมหายใจ เข้า)ตรัสกับนางผู้เป็นที่รัก
“วันของข้ามามันถึงแล้ว หากแต่ตอนนี้ข้าอยากจะขอร้องเจ้าผู้เป็นดั่งดวงใจเป็นครั้งสุดท้าย ”
“ เรื่องอันใดหรือเพคะ หากไม่เกินความสามารถข้าจะทำให้ท่านทุกอย่าง ” มโนราห์นำมืออีกข้างมากุมแขนของท้าวสุธน
“ ช่วยคลายมนต์จำแลงกายมนุษย์ของเจ้าเถิด ข้าอยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าเป็นคราสุดท้ายในชีวิต”
ท้าวสุธนทอดพระเนตรอ้อนวอนจนนางมโนราห์ใจอ่อน
นางหลับตาลงพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นผมของนางค่อยๆแปรเปลี่ยนจากสีดำเงางามเป็นสีเงินปนขาวนวล นัยต์ตาสีดำมุกแปรเป็นตาเหยี่ยวสีเทามุก ผิวสีขาวของหล่อนนั้นเปล่องออร่าแสงอ่อนๆออกมา
ปีกแห่งแสงลักษณะเป็นเส้นไหมสีขาวนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน ทุกเส้นล้วนเปล่งประกายแสงออก งอกออกจากแผ่นหลังทีละนิดจนแผ่สยายออกมาเต็มใบ
พอเห็นโฉมที่แท้จริงของมโนราห์ ท้าวสุธนแย้มพระสวรวลด้วยความสำราญพระราชหฤทัย(สบายใจ)ไม่มีอะไรให้ทรงค้างคาอีกต่อไปแล้ว
“ อันตัวข้าเคยคิดว่า ดาราบนนภานั้นจะมีไว้สำหรับศึกษาโหรศาสตร์เท่านั้น กระทั่งข้าได้ ฝ่าฟันป่าหิมพานต์ ข้ามสองหุบเขามรณาที่กระแทกกันเอง กระทั่งเจอประตูยังเขาไกรลาสในตำนานหรือที่พวกเจ้าเรียกว่าดาวเคราะห์ของพวก เจ้า จนได้ตัวเจ้ามาครองสมใจ ”
นางมโนราห์ ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ แสร้งยิ้มแย้มปกปิดความโศกเศร้า เธอรู้ดีว่าสวามีอันเป็นที่รักกำลังพร่ำเพ้อเรื่องคาใจตามประสาคนชราที่ อายุขัยกำลังจะมาเยือน
“ ถามหน่อยเจ้าเคยนึกเสียใจบ้างไหมที่ต้องมา ตกระกำลำบากในปฐพีที่ไม่ใช่บ้านเกิดของเจ้า ” ท้าวสุธนถามนางอันเป็นที่รักด้วยอย่างแผ่วเบา ลมหายใจเริ่มติดขัด
“ไม่เลยเพค่ะ ข้ากลับดีใจที่ท่านยอมสละบัลลังก์แห่งนครปัญจาลนครของท่าน ออกตามหาข้าที่บินหนีจากกองฟอนในวันนั้นจนตามข้าเจอ ” นางมโนราห์ยังคงใบหน้ายิ้มแย้มสบตาท้าวสุธน กุมมือที่ไออุ่นแผ่วเบาลงทุกขณะของท่านอย่างแนบแน่น
“แม้ว่าชะตาจะพลัดพรากบุตรทั้งสองให้ห่างไกล แต่อย่างน้อยข้าก็ได้สิ้นลมในอ้อมแขนของนางกินรีแห่งเขาไกรลาสอันเป็นที่รัก ของข้า…….ข้าช่างสุขใจ ละ เหลือ กะ เกินนนน …….” ลมหายใจของท่านค่อยๆแผ่วเบาลงเรื่อยๆ กระทั่งรับสั่งจบ พระปัสสาสะ(ลมหายใจออก)ได้ดับลงโดยสมบูรณ์ หัตถ์ที่กุมนางอันเป็นที่รักหมดกำลังโดยสิ้นเชิง ท่านแย้มสรวลอย่างสุขใจกระทั่งวาระสุดท้าย
หยาดน้ำตาหยดเล็ก พรั่งพรูออกจากนัยต์ตาเหยี่ยวสีเทานางกินรีมโนราห์ ด้วยอายุขัยที่แตกต่างกันระหว่างเผ่าพันธุ์พรากคู่ชีวิตไปทิ้งหล่อนให้อยู่ เพียงลำพังอีกนานเท่านาน
เมื่อหยาดน้ำตาไหลผ่านแก้ม มันได้สลายเป็นสายลมไป ไม่ตกลงพื้นดังหยาดน้ำตาของมนุษย์ หล่อนสะอึ้กสะอื้น นอนซบท้องคู่ชีวิตที่กัดก้อนเกลือกินเคียงข้างกันมา
ขณะที่หล่อนกำลังคร่ำครวญ ฝูงปักษาน้อยใหญ่จำนวนมากต่างโบยบินมาเกาะหลังคากระท่อม บ้างบินมายืนบนพื้น ก่อนทั้งหมดจะสงบนิ่ง ก้มหัวไปมาราวกับไว้อาลัยกับการจากไปของท้าวสุธน คร่ำครวญได้พักนึง รู้แก่ใจดีว่าชีวิตของนางมิได้จบลงแค่นี้ ตอนนี้ทำได้เพียงจดจำเรื่องราวระหว่างทั้งสองไว้ในใจที่แหลกสลายตราบจนลม หายใจสุดท้าย
พอเริ่มทำใจได้หล่อนเช็ดน้ำตาของตน ลุกขึ้นเดินไปยังหีบไม้ผุๆ ขนาดใหญ่อันนึงที่วางอยู่ในมุมเล็กๆของกระท่อม
หล่อนเปิดมันขึ้นมา โหยหวนเสียงไม้ผุเก่าๆ
ภายในมีเกราะตัว สนับแขน ขา เกราะเท้า และ เกราะศีรษะ คันธนูลายอักษรรูนโบราณ ทว่าทั้งหมดนั้นล้วนทำมาจากวัตถุแวววาวดุจแก้วมณีที่ดูยังไงไม่ใช่แร่บนโลก มนุษย์แน่นอน
หล่อนเปลื้องผ้าอาภรณ์แห่งโลกมนุษย์ทั้งหมดกองไว้กับพื้น หยิบเกราะแวววาวในหีบมาสวมใส่จนครบเครื่ององค์ หยิบคันธนูขึ้นมาเหน็บไว้ทีหลังของตน ก่อนที่จะเดินไปอุ้มร่างไร้วิญญาณของคู่ชีวิตออกจากกระท่อมไป
ทันทีที่ย่างเท้าออกมาพญาอินทรีขนาดตัวใกล้เคียงกับมนุษย์โบยบินมาข้างกายนาง พญาอินทรีย์ทั้งสองสบตากันเองแล้วพยักหน้าให้
นางวางร่างสวามีไว้ที่พื้นแล้วยกมือแตะหัวพญาอินทรีย์ทั้งสอง
ปรากฏนิมิตภาพแฝดเด็กชายอายุราวสิบสี่ สิบห้า สองคน ณ คนละภูมิภาคของโลกคนนึงอยู่ ณ ดินแดนขวานทองที่จะเป็นกรุงอโยธยาในภายภาคหน้า ส่วนอีกคนอยู่แถบยุโรปที่จะเป็นราชอาณาจักรโรมันในอนาคต
ทั้งคู่ล้วนมีความเป็นอยู่ที่ดี ได้ขึ้นเป็นผู้นำเผ่า เป็นที่เคารพของผู้คน แต่ละคนล้วนมีอักขระลึกลับบนอกคนละแบบ
พอเห็นภาพโอรสทั้งสองมีความเป็นอยู่ที่ดี นางมโนราห์ผู้เป็นมารดารู้สึกปิติยิ่มทั้งน้ำตาอย่างสุขใจ ปนกับความคิดถึงลูก
“ลูกแม่ แม่ต้องขอโทษด้วยที่เลี้ยงพวกเจ้าสองคนดังแม่ลูกทั่วๆไปไม่ได้ แม่นั้นรักพวกเจ้าสุดหัวใจ เพราะชะตากำหนดให้ลูกหลานของพวกเจ้า เป็นผู้ปกป้องผลึกสีแดงมรดกแห่งพระเจ้า ณ ดาวเคราะห์สีแดงถัดจากชมพูทวีป(โลก)นี้ ”
นางยิ้มอย่างเศร้าสร้อย ยกมือมาเช็ดน้ำตาก่อนจะกล่าวความในใจต่อ
“ ตัวแม่เองมิใช่เทวดา นางฟ้าผู้วิเศษดังที่มนุษย์ล่ำรือกัน เป็นเพียงเผ่าองครักษ์แห่งพระเจ้าแห่งสายลมและแสงสว่างวิกโตริว (vytoril) ผู้พิชิตพี่ชายเทพบุตรดินเพลิงอิกฟรีด(Ifris) ที่จำนนต่อกิเลสดึงความมืดมิดให้เข้ามากลืนกินเขาพระสุเมรุ (กาแล๊กซี่ในพระไตรปิฏก ) ลูกนี้ แม้เทพเจ้าที่ให้กำเนิดเผ่าแม่จะสละชีพผนึกความมืดออกไปได้แต่มันก็ไม่ใช่ ตลอดกาล
ตอนนี้แม่ต้องทำภารกิจสุดท้าย เตรียมทุกอย่างไว้สำหรับลูกหลานของพวกเจ้าเมื่อวันที่ความมืดหวนกลับมาอีก ครา ขอให้ลูกแม่มีความสุขละ ”
สิ้นคำพูด หล่อนอุ้มสวามีขึ้นมาสยายปีกไหมแสง กระโจนขึ้นฟ้า ออกโบยบินขึ้นนภาดังปักษา หลังจากนำพระสวามีกลับไปฝังยังบ้านเกิดของท่าน หล่อนจะสะสางภารกิจสุดท้ายในชีวิตจะได้หมดห่วง ตายตาหลับไปพบกับเหล่าบุคคลอันเป็นที่รักในโลกหน้า
…………………………………………………………………………………………………………
ภาพได้ขยายออกไปนอกอวกาศ นอกระบบสุริยะ นอกกาแล๊กซี่ทางช้างเผือก ออกมาในพื้นที่แห่งเอกภพ แลเห็นกาแล๊กซี่แอนโดรมิดาถัดจากทางช้างเผือก ภาพขยายออกห่างออกไปถึงใจกลางเอกภพกระทั่งเห็นกาแล๊กซี่ทั้งปวงเล็กเหมือน เมล็ดถั่วส่องแส่งมากมายอนันต์นับไม่ถ้วนท่ามกลางเอกภพอันมืดมิด
กิเลสกลุ่มพลังงานสีดำทมิฬยักษ์ใหญ่ ปราศจากอวัยวะใดใด ไร้ซึ่งรูปร่างที่แน่นอนได้ยื่น สายออกจากตัวมากมาย แต่ละสายเชื่อมกับกาแล๊กซี่ที่ใกล้ตัวที่สุดที่ห่างออกไปหลายล้านปีแสง
ตามสายพลังงานนั้นดูดพลังวิญญาณและธาตุต่างๆที่สร้างดาวเคราะห์จากกาแล๊กซี่ ที่ถูกมันพิชิตแล้ว ส่วนที่ยังไม่สามารถพิชิตได้ก็ปรากฏภาพของเหล่าสิ่งมีชีวิตประจำกาแล๊กซี่ หลากเผ่าพันธุ์ เข้าต่อสู้ดิ้นรนกับปีศาจนับไม่ถ้วนด้วยอาวุธไฮเทค เวทมนต์ พลังปราณ พลังจิตเท่าที่เผ่าตนเองมี
จงดิ้นรนซะพวกแมลงน้อยทั้งหลาย ข้านั้นอยู่ในตัวพวกเจ้าทุกตัว ไม่ช้าก็เร็วข้าจะกลืนกินเจ้าทุกคน กระทั่งไม่เหลือดาราส่องสว่างจะมีแค่เพียงความมืดมิด ……………
http://thaiscifi.izzisoft.com/?p=1982 – ลิ้งตอนที่ 1
ขออนุญาต แปะโป้งไว้ก่อนนะครับ
ยังไม่มีเวลาอ่านเลยครับผม
ชวนติดตามดีครับ โดยรวมถือว่าดี แต่บทนำอ่านแล้วยังรู้สึกขัด ๆ เล็กน้อย
เช่น;- ตามประสาคนชราที่ อายุขัยกำลังจะมาเยือน; น่าจะเป็นสิ้นอายุขัยนะครับ
บางจุดยังมีเว้นวรรคผิดอยู่
เช่น;- ไม่ใช่แร่บนโลก มนุษย์แน่นอน; ตรงนี้ไม่น่ามีเว้นวรรค
(อาจเป็นปัญหาของ software แต่ก็น่าจะตรวจสอบก่อน post ด้วยนะครับ)
ชักชวนให้อ่านต่อด้วยการทิ้งท้ายบทนำได้ดีครับ
แล้วจะติดตามอ่านเรื่อย ๆ นะครับ
เข้าต่อสู้ดิ้นรนกับปีศาจนับไม่ถ้วนด้วยอาวุธไฮเทค เวทมนต์ พลังปราณ พลังจิตเท่าที่เผ่าตนเองมี
“อาวุธไฮเทค” คำลูกครึ่งคำนี้ อ่านแล้วไม่ค่อยเข้ากับภาษาที่หรูหราฟุ่มเฟือยในเรื่อง น่าจะลองใช้คำว่า อาวุธจากวิทยาการขั้นสูง หรือ อาวุธวิทยาศาสตร์ชั้นสูง