บันทึกผจญภัยสีชาด ตอนที่ 5 บทเรียนมหัศจรรย์

         ณ โรงอาหาร ระดับมัธยมต้น

 บรรยากาศ ห้องโถงสี่เหลี่ยมกว้างขวาง วางโต๊ะเก้าอี้ไม้ยาวขนานกับกำแพง ไฟบนเพดานให้ความสว่าง อากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศตามแบบฉบับโรงอาหารทุกยุคทุกสมัย เว้นแต่ ตามผนังบางจุดมีป้ายดิจิตอลแสดงข้อความไปมาและคนขายอาหารนั้นเป็นตู้จักรกล  เด็กหนุ่มกำลังยืนต่อแถวอันยาวเหยียด ปล่อยลอร่านั่งจองโต๊ะเพียงลำพัง ส่วนอิวานขอไปเข้าห้องน้ำก่อน

คนในแถวมีทั้งชาย หญิง รวมถึงเพศที่ 3 ที่ออกกิริยา น้ำเสียงวี้ดว้ายอย่างชัดเจนคละเคล้ากันไป สนทนากันเองกับพรรคพวกของตน

ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มยกกำไลข้อมือประจำตัวจากครูเฟ่ยตาตี๋ตรวจยอดเงินทั้งหมด

ยอดทั้งหมด 100 มาร์สินะ คิดตรวจทานยอดทั้งหมดในใจไปด้วยเพื่อความมั่นใจ

พอถึงคิวของตนก็นำกำไลข้อมือประจำตัวไปจ่อหน้าเครื่องขายอาหาร กดสั่งอาหารชุด  2 ชุดสำหรับตัวเองและลอร่าทันที ยอดทั้งหมด 100 มาร์พอดี  เสร็จเรียบร้อย ชุดอาหารร้อนฉ่าน่ารับประทานทั้งสองชุดออกมา ลอร่ายกมันวางบนถาด หยิบช้อนส้อม เดินเบียดเสียดกลุ่มชนกลับไปยังโต๊ะที่ลอร่านั่งจองไว้อย่างรีบเร่ง

ระหว่าง ทางตามโต๊ะเก้าอี้ยาวต่างถูกจับจองจนแน่นขนัด เสียงเจี๊ยวจ๊าวโหวกเหวกของเหล่าวัยรุ่นเข้าหูตลอดเวลา บ้างกินข้าวเงียบๆเพียงลำพัง บ้างอ่านหนังสือไปกินไป บ้างควักเครื่องเกมส์มาเชื่อมสัญญาณเล่นด้วยกัน รวมทั้งกิจกรรมนานานับไม่ถ้วน ทุกกลุ่มล้วนทำกิจกรรมแตกต่างกันไป

ดีนะเนี่ยให้ลอร่าจองไว้ ไม่งั้นกว่าจะหาที่นั่งได้คงตายหยังเขียด เห็นบรรยากาศอันแออัดระหว่างเดินถือถาดอาหารพลางคิดในใจ

ถึงที่นั่งของพวกตน ลอร่ากลับไม่ได้นั่งคนเดียวดังที่คาดไว้เธอกำลังพูดคุยกับเด็กสาวคนนึงอย่างมีอรรถรส      เด็กหนุ่มมองภาพนั้นก็หยักไหล่แล้วนำถาดอาหารวางลงบนโต๊ะ

โอ๊ะ ยัยลอร่าได้เพื่อนใหม่อีกแล้วหรอ มนุษย์สัมพันธ์ดีจริง ๆ  ระหว่างคิดพลางเสิร์พจานพาสต้าและแก้วน้ำของเธอให้ จากนั้นตัวเองก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหันหน้าชนกัน  ลอร่าหันมาขอบคุณแวบเดียวแล้วหันกลับไปพูดอย่างมันปากกับสาวน้อยคนนั้นต่อ  แต่เขาไม่ได้ติดใจอะไร ไม่มีอะไรน่าสนใจนอกเหนือไปจากท้องที่ร้องจ็อกแล้วตอนนี้ ว่าแล้วก็ตักข้าวแกงกะหรี่ของตนเข้าปาก

เออ แต่ว่า เจ้าเรย์ไปไหนของมันเนี่ย หายหัวไปตั้งแต่ปฐมนิเทศเลย บ๊ะ ช่างเถอะ คงไปตีสนิทกับคนอื่นๆละมั้ง  พอ ท้องหายว่างราเอลนึกออกทันที ลองหันไปมองรอบกายดูแต่ก็ไร้วี่แว่ว ไม่เห็นกระทั่งเงา ท่ามกลางคนแน่นแออัดการจะหาใครคนนึงคงเหนื่อยเปล่ากลับไปตักข้าวเข้าปากดัง เดิม  ระหว่างที่กำลังกินอย่างมันปากนั้นเอง
หญิงสาวที่เม้ากับลอร่า สะกิดมือเขาแล้วทักเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เฮ้ นายนี่นั่งเงียบเชียวนะ ใจคอไม่คิดจะทักทายเลยหรอจ๊ะ  ”

เธอเป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมทรงก้างปลาดำยาว  ถักเปียข้างซ้ายอย่างเรียบร้อย ผิวขาวเหลือง มีดั้งจมูกบาง หน้าตาจิ้มลิ้ม คิ้ว ขนตาเข้มเด่นชัดกว่าคนเอเชียทั่วไป  ริมฝีปากสีชมพูนัยตาน์โตสีน้ำตาล สวมสเวตเตอร์ลายสลับสียาวคลุมถึงเข่า สวมรองเท้าผ้าใบธรรมดา

“ เอ่อ เปล่าหรอกเห็นกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลยไม่อยากขัดน่ะ ” ราเอลเงยหน้ามาตอบตามมารยาท ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อ

“ ราเอลอย่ามัวแต่กินสิ มันเสียมารยาทนะ  ” ลอร่าสะกิดมือเตือนเขา

เด็กสาวคนนั้นแสดงไมตรีต่อ ยิ้มแย้มให้อย่างเป็นมิตร

“เอ่อ เธอชื่ออะไรหรอ  ”
เด็กหนุ่มเงยหน้าตอบห้วนก้มหน้าก้มตากินต่อ

“  ราเอล  ”
ลอร่าตะโกนใส่เขาทำท่าจะเตือนต่อ แต่เด็กสาวคนนั้นยกแขนมากัน พร้อมทั้งหยิบตาให้ลอร่าจากนั้นเธอก็พูดกับราเอลต่อ

“  ราเอล !!  ”
เด็กสาวไม่ถือสายิ้มแย้มแนะนำตัว

“เหรอชื่อเพราะดีนะ เราชื่อชิออน มินาโตะ ( Sion  Minato )  นะ ยินดีที่ได้รู้จักจ้าจากนี้ก็ฝากตัวด้วย”  ชิออนยื่นมือให้ ราเอลก็วางส้อม ยื่นมือซ้ายตอบไปแบบพอเป็นมารยาท
ชิออนยิ้มแย้มกล่าวอย่างอ่อนโยน

“อายุเท่านี้เอง ทำตัวให้มีชีวิตชีวาหน่อยสิ อายุไม่ถึง 15 แต่ทำตัวเป็นคุณลุงซะละ ”

เด็กหนุ่มเร่งเคี้ยวอาหารในปาก พอกลืนเข้าคอ จึงเงยหน้ามาพูดกับชิออน

“ ฉันแค่หิวจนแสบไส้แค่นั้นแหละ ขอหม่ำเสร็จก่อนค่อยคุยได้ไหม  ”

ลอร่าได้แต่หนักใจ ถอนหายใจออกมา ทำหน้าหน่ายใจ ก้มหน้าก้มตาตักพาสต้าของตนเข้าปาก
ทางชิออนยังคงยื่นไมตรีอันดีงามยิ้มแย้มกล่าวอย่างอ่อนหวาน
“ จ้าๆ  พ่อเห็นแก่กิน ว่าแต่เธอมาจากดาวดวงไหนหรอ ราเอลคุง ”
เด็กหนุ่มตอบห้วน ด้วยอารมณ์เซ็งที่มีมารมาขัดขวางการกินแสนโอชะ ตอนนี้เขาไม่อยากเสวนากับเธอคนนี้มากนัก

“ ธรา….   ”
ชิออนพูดแล้วพลางหัวเราะ เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเอง
“ บังเอิญนะเนี่ยฉันเองก็มาจากดาวดวงนั้นเหมือนกัน แต่ว่าพวกเธออยู่ส่วนไหนของดาวหรอ ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาพวกเธอเลย ”

“  ไม่แปลกหรอก ฉันกับลอร่าอาศัยที่ค่ายทหารเขตกลางนินานๆทีจะได้ออกมาร่อนในเมือง   ”  เด็กหนุ่มพูดจบก็ก้มลงกินต่อ

ระหว่างนั้นเองชิออนมองเขา สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  โน้มตัวเข้ามาแปะฝ่ามือลงบนกลางอกของเขา
ราเอลรีบปัดมือของชิออนออก เธอได้สัมผัสตราลึกลับกลางอกแต่เกิดความลับของตัวเขาทำให้เขาตกใจมากตวาดออกไป

“ ทำอะไรของเธอเนี่ย !!!  ”

ลอร่าถึงกับอึ้งกับภาพตรงหน้า ทำส้อมหลุดจากมือหล่นบนจาน คาบช้อนโดเด่คาปาก จ้องภาพนั้นตาค้าง

ชิออนยิ้มด้วยสีหน้ามีเลศนัย

“  ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกนะที่ต้องแบกภาระอันหนักอึ้งบนบ่า  ”
เหมือน แทงใจดำ ราเอลตกตะลึงชั่วครู่ก่อนจะสังเกตเห็นกำไลที่คล้องมือชิออน มันเป็นสัญลักษณ์ ดาวห้าแฉกล้อมกรอบตัวอักษรประหลาด บวกกับการกระทำของเธอแล้วชวนให้สงสัยเป็นอย่างยิ่ง รีบคว้ามือเธอคนนั้นแล้วเพื่อดูกำไลนั่นให้ชัดเจน

ยิ่งมองมันยิ่งชวนให้พิศวงเหมือนตราอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะดาวห้าแฉกนั้นดูคล้ายตราสัญลักษณ์ของพวกลัทธิโบราราณตามหนัง นิยาย เกมส์แฟนตาซีโบราณ
เด็กหนุ่มอดสงสัยไม่ได้กำข้อมือเธอแน่น จ้องตาเขม็งถามหล่อน

“ สัญลักษณ์นี่ คืออะไรกัน ชิออน  !? ”

พริบตานั้นชิออนบิดข้อมือสบัดออกจากเงื้อมมือของราเอลอย่างพลิ้วไหว อ่อนช้อย งดงามราวกับระบำมิใช่ใช้แรงสะบัดออก  ก่อนที่เธอจะเอาหน้ามาจ่อเด็กหนุ่ม จนสันจมูกทั้งสองแทบจะสัมผัสกันแล้วกระซิบบอกว่า

“ ความลับของเด็กสาวจ๊ะ !   รา เอลคุง ฉันจะบอกเคล็ดลับการใช้ชีวิตหนึ่งข้อนะ ต่อให้เธอลำบากยังไงก็ไม่น่าซังกะตายแบบนั้น  ไม่เช่นนั้นวันนึงเธอจะ ตกเป็นเบี้ยล่างกับความรู้สึกตัวเองนะ  ” พอพูดจบเธอหยิบตาให้ราเอล ก่อนจะผละตัวออกมา

ลอร่ามองภาพสองคนสนทนากันอย่างตกตะลึง รู้สึกหงุดหงิดใจโดยพลันอย่างไม่ทราบสาเหตุ

เด็กหนุ่มเริ่มตระหนักว่าชิออนเด็กสาวท่าทางน่ารักเป็นมิตรคนนี้ คงไม่ใช่เด็กสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน

“ นี่เธอเป็นใครกันแน่เนี่ย  ”

ชิออนเดินจากไป สวนทางกับอิวานที่กำลังถือข้าวผัดอเมริกันและน้ำส้มมา
“ วันนึงเธอจะเข้าใจเอง ราเอล หวังว่าถ้ามีโอกาสเราคงได้พบกันอีก บายจ๊ะ กินข้าวให้อร่อยล่ะ  ”

เธอแตะไหล่อิวานเบามือ มืออีกข้างโบกมือลาราเอล หายลับไปกับฝูงชน ทิ้งราเอลในห้วงภวังค์ ทั้งความน่ารัก และ แปลกสุดขั้วในตัว  ความแปลกใจกลบความรู้สึกเบื่อหน่ายของวันวานแสนธรรมดาได้อย่างหมดจด

พออิวานวางจานของตนบนโต๊ะ ขยับตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้ เด็กหนุ่มถามไถ่เขาอย่างใคร่รู้ทันทีว่าทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อนแต่อิวานตอบเพียงว่ารู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเอง เด็กหนุ่มได้ยินคำตอบ ก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก ตักอาหารในส่วนที่เหลือบนจานเข้าปากต่อไป พลางครุ่นคิดในใจ

ไอ้ตราดาวห้าแฉกนั่น ยัยนั่นคงติดตามหนัง  นิยาย  ไม่ก็เกมส์ที่ตัวเองชอบละมั้ง คงไม่ใช่ลัทธิอะไรอย่างว่าหรอก รีบกินข้าวให้หมดก่อนดีกว่า   ระหว่างที่เคี้ยวข้าวราเอลมาครุ่นคิดดูอีกที ตัวเขาคงตื่นตูมไปหน่อยเลยจับมือชิออนแบบนั้น

หลังจากทั้งสามกินข้าวหมด นำภาชนะไปเก็บในที่ที่โรงเรียนกำหนดไว้
“ อ๊อด !!! อีก 10 นาที จะหมดเวลาของพักของนักเรียนชั้น มัธยมต้นแล้ว กรุณาเข้าชั้นเรียนตามแผนที่ในกำไลข้อมือระบุไว้ หากเข้าชั้นเรียนช้ากว่า 15 นาที จะถือว่าขาดเรียน ” เสียงโอเปอร์เรเตอร์ป่าวประกาศ ผ่านลำโพงใน โรงอาหาร

เฮ้ย !  รา เอลทุลักทุเล กดดูแผนที่ 3 มิติ จากกำไลข้อมือที่ได้รับมาตอนแรก มันแสดงโครงสร้างภายในทั้งหมด พร้อมระบุเส้นทางสู่จุดหมายที่ใกล้ที่สุด พร้อมทั้งเวลาเฉลี่ยที่ใช้ดินทางด้วยการเดินไปอีกด้วย

ทั้ง สามต่างบึ่งยังจุดหมายทันที ด้วยฝีเท้าอันรวดเร็วไม่ถึง 3 นาทีจากที่เครื่องได้ระบุเวลาเฉลี่ยไว้ถึง 10 นาที เขาก็ถึงหน้าห้องเรียนแล้ว   รา เอลจับมือลอร่าวิ่งคู่กับอิวาน  พอถึงที่หมาย ลอร่าเหนื่อยหอบจนแทบเป็นล้ม ยืนก้มตัวโซเซทำท่าจะล้มจะยืน  ผิดกับราเอลและอิวานที่เหงื่อไม่ออกซักหยด สองหนุ่มต้องปล่อยให้สาวน้อยพักหายใจจนสีหน้าดีขึ้น พากันเข้าห้องเรียน

ทันที ที่ก้าวเข้าไป ประตูก็เลื่อนไปด้านข้างอัตโนมัติ ภายในเป็นห้องโถงกลมขนาดใหญ่ มีที่นั่งหลายขั้นบันได ถูกแบ่งแยกด้วยทางเดิน 8 ทิศ หากมองจากข้างบนแล้วมีลักษณะคล้ายดอกจัน ห้อมรอบแท่นยืนของครูผู้สอนสี่เหลี่ยม ณ จุดกึ่งกลางของห้อง   คล้ายที่นั่งในรัฐสภา  จุคนได้นับหลายร้อยคน มีทางออก 4 ทิศ

พวกเขาเป็นสามคนแรกที่ถึงห้องเรียนก่อนเพื่อน  สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบแน่นอนว่าคงไม่เสนอหน้า ไปนั่งสลอนข้างหน้าสุดแน่   ครั้น จะนั่งหลังสุด อาจจะเรียนไม่รู้เรื่องอีก เลยถือสายกลางนั่งระหว่างกึ่งกลางระหว่างหน้าสุดกับหลังสุด หันหลังให้ประตูทางออกฝั่งทิศใต้
ถึงที่ทั้งสามก็วางข้าวของของตนกับโต๊ะ ราเอลนั่งคั่นระหว่างลอร่ากับอิวาน พอก้นแตะเก้าอี้ก็ฟุบลงไปนอนกับโต๊ะทันที  อิวานนั้นควักนิยายภาพมาอ่าน ส่วนลอร่าควักดินสอและสมุดวาดภาพมาร่างภาพ

เวลา ผ่านไปนักเรียนคนอื่นได้ทยอยตามมา จนที่นั่งทุกที่ถูกจับจองจนหมด เมื่อถึงเวลาเริ่มคาบเรียน เสียงประกาศเตือนย้ำเป็นครั้งสุดท้ายว่าให้เข้าห้องเรียนก่อนที่ ประตูทางเข้าทุกทิศจะล็อคอัตโนมัติ หากใครเข้าไม่ทันจะถือว่าขาดเรียนคาบนั้นทันทีอย่างไม่มีข้อแม้

สิ้นเสียงประกาศ ใครบางคนเข้ามาวางของบนโต๊ะ นั่งข้างอิวาน  พอ ราเอลหันไปมอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เรย์นั่นเอง ทว่าเขาไมได้มาคนเดียว เขามา กับเด็กสาวอายุไล่เลี่ยกัน  เธอไว้ผมทวินเทลสีแดง ยาวประมาณคอ ผิวคล้ำนิดหน่อยเหมือนชนชาติละตินอเมริกา จมูกเรียวรูปชมพู่ได้รูป ริมฝีปากบางน่ารัก คิ้วบาง นัยต์ตาสีดำ

เรย์แนะนำราเอลให้เด็กสาวผมแดง แต่ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มผมขาวคือใคร
“เฮ้ จิน นี่ราเอลและลอร่านะ แล้วคนข้างๆนี่ละ เพื่อนใหม่พวกนายหรอ  !?  ”
อิวานยิ้มตอบกลับไป

“ อิวานครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ”
เรย์ใช้มือซ้ายแตะไหล่จิน ส่วนอีกข้างยื่นไปหาพวกราเอล

“ เช่นกันครับ ผมชื่อเรย์ครับ ส่วนเด็กสาวคนนี้ชื่อจิน จินทักทายเพื่อนหน่อยสิ  ”
จินท่าทางเหนียมอาย คั้นเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา

“สะ สวัสดีค่ะ ”
เด็กหนุ่มเห็นสาวน้อยผมแดงจินท่าทางเช่นนั้น นึกสงสารขึ้นมาแต่ไม่อยากท้าวความอะไรมาก จึงปล่อยตามเลยไป

เจ้าเรย์ไปตื้อ ตีซี้แล้วคุณเธอไม่กล้าปฏิเสธเลยโดนลากมาป่ะวะ

ราเอลไม่เห็นเรย์นานจึงหันไปถามไถ่กันตามประสาคนรู้จักว่าเขาหายไปไหนมาตั้งนาน เรย์ตอบเขากลับทั้งรอยยิ้มว่า ไปปฐมนิเทศสายหาที่นั่งไม่เจอ ตอนพักพยายามหาพวกราเอลแล้วแล้วแต่หาไม่เจอ

พอถึงเวลาเริ่มคาบเรียนไฟในห้องค่อยๆหรี่ลงจนบรรยากาศสลัว ภาพโฮโลแกรม 3 มิติ ของศาสตราจารย์วัยกลางคนท่านนึง อายุราว 50 – 60 ปี ใบหน้ากลมบ๊อก จมูกค่อนข้างโด่ง ผิวขาว ตาสีฟ้า ริมฝีปากหนา  ผม หงอกยุ่งเซอสวมแว่นสายตาโครงบิดเบี้ยว   สวมใส่ชุดกราวน์สีขาวแขนยาว รูปร่างค่อนข้างท้วม พุงยื่นเล็กน้อย สีสันของภาพจำลองเหมือนของจริงทุกประการ ราวกับว่าเขายืนอยู่ตรงนั้น ปรากฏขึ้นบริเวณแท่นกลางห้อง เขามองซ้าย ขวา ก่อนแล้วทำสมาธิชั่วครู่  กระแอมเอาฤกษ์จึงกล่าวเกริ่นเปิดคาบเรียน

“ ฮะ แฮ่ม !เอาละเด็กๆที่น่ารักแห่งราชอาณาจักรทุกคน ยินดีต้อนรับสู่คาบเรียนประวัติศาสตร์อันแสนสนุก คงจะเบื่อหน่ายกับการปฐมนิเทศมากพอแล้วสินะ

แต่ไม่ต้องกังวลไป ครูรับรองเลยว่าบทเรียนของครูนั้นไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอน  เอาละ เกริ่นมาพอเพียงแล้ว  วันนี้เราจะมาเริ่มกันที่ประวัติการกำเนิดมวลมนุษย์ทั้งปวงกันดีกว่า”

 

สิ้น เสียงคำเกริ่น ร่าง 3 มิติ ของศาสตราจารย์ได้หายวับไป ปรากฏเป็นวัตถุทรงกลม ขนาดใหญ่ ณ ใจกลางห้อง  เส้นกราฟฟิกหลากสีนับไม่ถ้วนวิ่งประสานกัน จนกลายเป็นเป็นภาพดาวเคราะห์สีฟ้าอันงดงาม ปรากฏร่องรอยสีเขียวแทนสัญลักษณ์ของแผ่นดินแล้วท่านก็อธิบายว่ามันคือพระแม่ เทร่า(โลก) ไล่เลียงตั้งแต่การกำเนิดสัตว์เซลเดียว ยุคไดโนเสาร์แบบคร่าวจนถึงจุดจบของพวกมันที่โดนภัยพิบัติถาโถมจนสูญพันธุ์ ยุคน้ำแข็งแลเห็นช้างแมมมอส เสือเขี้ยวดาบ มนุุษย์ยุคหิน
นักเรียนทุกคนต่างฮือฮากับภาพที่เห็น ตื่นตาตื่นใจกับฉากไล่ล่าระหว่างไดโนเสาร์ ฉากอุกกาบาตถล่มโลกา ฉากมนุษย์ยุคหินล่าช้างแมมมอส

โว้ว เปิดตัวได้น่าสนใจแฮะ คิดซะวะคาบดูหนังละกัน ราเอลเอามือพาดหลังหัวพิงเก้าอี้ รับชมสื่อการสอนอย่างเพลิดเพลิน
ทว่าเรย์กลับอดไม่ได้ดีจะแสดงความรู้สึกออกมา

“ โว้ว อลังการณ์งานสร้างขิงๆ ”    ลุกขึ้นพรวดตะโกนโหวกเหวกออกมา ทำเอาคนรอบข้างสะดุ้ง  แอบเหลียวมามามองด้วยหางตาแวบนึง  บางคนซุบซิบ นินทากับเพื่อนของตัวเองจนราเอลถอนหายใจ เอามือก่ายหน้าผาก อยากเอาปิ๊บครอบหัวเต็มทน ว่าแล้วก็เขวี้ยงดินสอเข้าหัวเรย์อย่างแรง

เรย์นั้นพอโดนโยนใส่ก็หันมามองราเอลอย่างงุนงงมือข้างนึงเกาหัว

เด็กหนุ่มบอกเรย์ให้เงียบปากด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาไม่ให้รบกวนคนอื่น โดยเฉพาะลอร่า อิวาน จิน ที่กำลังสายตาทั้งคู่โฟกัสไปที่ภาพ 3 มิติตรงหน้าอย่างใจดใจจ่อ

เรย์ ได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าหงอย ผงักหน้าให้ กลับไปนั่งดูโดยไม่ปริปาก เด็กหนุ่มถอนหายใจหันไปดูสื่อการสอนตรงหน้าฟังอาจารย์เลคเชอร์ต่อ

         สื่อการสอนทันสมัยกว่าโรงเรียนประถมแหะ ถ้าทุกคาบเป็นอย่างนี้คงไม่น่าเบื่อเท่าไรหรอก  ระหว่างที่ดูได้คิดในใจ ฟังอาจารย์กล่าวต่อไปจนถึงบทเรียนประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษย์

“ ยุคประวัติมนุษย์ ตอนนี้เราแบ่งเกณฑ์เป็นสามยุคใหญ่ๆด้วยกัน คือ ยุคก่อนประวัติศาสตร์  ยุคประวัติศาสตร์ และ ยุคอวกาศ
แต่ตอนนี้ เราจะข้ามมายังยุคอวกาศกันเลย วันนี้ไม่ต้องมีซีเรียสมากครูอยากให้พวกเธอเรียนวิชานี้ด้วยความสนุกสนานไม่ ต้องท่องจำเหมือนวิชาอื่นๆ  ”

สิ้นคำภาพโฮโลแกรมสารคดีแปรเปลี่ยนเป็นโลกดังเดิมทว่ามันไม่ได้สวยสดงดงาม เช่นเคย กลับเต็มไปด้วยหมอกสีดำ ฝุ่นควัน แผ่นดินก็เต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอม  ทะเลสีฟ้าได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแปลกประหลาด

“  นี่คือพระแม่เทร่า (โลก) ในศตวรรษที่ 30 หลังจากทนแบกรับความผิดพลาดของมวลมนุษย์ทั้งปวงด้วยการทำลายธรรมชาติจนเสียสมดุล

พระแม่เทร่ามิอาจจะนิ่งดูดายปล่อยให้บุตรอย่างพวกเราก้าวผิดทาง เลยสั่งสอนพวกเราด้วยภัยวิบัตินับไม่ถ้วน  ใน ที่สุดบรรพบุรุษของเราค้นพบว่าโลกกำลังสิ้นสุดโลกด้วย แผ่นดินไหวครั้ง ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่จะกลืนกินทุกทวีปให้จมลงทะเลเกิดความโกลาหล ไปทุกหย่อมหญ้า

แม้นว่าตอนนั้นจะมีแผนการอพยพมนุษย์ไปยังดาวอังคารเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ให้ดำรงต่อไปได้แต่ก็มิอาจจะรองรับมนุษย์ทุกคนบนโลกได้

พวกคนรวยที่เห็นแก่ตัวได้ละทิ้งเพื่อนมนุษย์ไปตั้งรกรากบนดาวอังคารก่อน ปล่อยให้เกิดกลียุคบนโลก (The  Dark  Age ) มีแต่การฆ่าฟัน พวกเรากลับไปใช้ชีวิตแบบบ้านป่าเมืองเถื่อนท่ามกลางซากปรักหักพังแห่งอารยธรรมดั้งเดิม  หาอาหารเพื่อดำรงชีพให้พ้นวันดังสมัยยุคหิน เว้นแต่มีอาวุธไว้ฆ่าเพื่อนมนุษย์ที่ล้ำสมัยขึ้นเท่านั้นเอง “

พ่อพร่ำสอนเสมอว่า ยามมนุษย์มีอำนาจสูงสุด หรือ ตกอยู่ในสถานการณ์ขับคัน จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา

           ถ้าพระแม่เทร่าสมัยนั้นโหดร้ายถึงขนาด ข้าว 1 จานมีค่ายิ่งกว่าเพชรนิล มนุษย์คงไม่ต่างอะไรกับสัตว์ป่าหิวโหย พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อมีชีวิตรอด แม้แต่กินมนุษย์ด้วยกันเอง สัตชาตญาณดิบจะปรากฏมากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่คุณธรรมที่แต่ละคนพึงมี

ความ คิดเหล่านี้วนเวียนในหัวราเอลเมื่ออาจารย์อธิบายพลางฟังอาจารย์อธิบายต่อ ลอร่าทำหน้าเสียนิดนึงพอได้ยินเรื่องสลดหดหู่ตามประสาเด็กผู้หญิง อิวานดูอย่างเงียบขรึม จินนั้นหน้านิ่งดังคนไร้อารมณ์ ส่วนเจ้าเรย์ดูท่าจะไม่สนใจอะไรเลย นอนเล่นนับนิ้วกับโต๊ะเรียน

“ ทว่า ท่ามกลางความมืดมิด ก็ยังมีแสงแห่งความหวังเสมอ ท่านเกรทเซียร์ได้รวมรวบผู้ที่ชีวิตรอดบางส่วนให้เป็นปึกแผ่น ออกเดินทาง และ ประกาศคำทำนายแห่งอนาคต บอกหนทางอพยพออกจากพระแม่เทร่าทันก่อนที่แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะอุบัติขึ้น

มุ่ง หน้ายึดดาวอังคารจากเหล่านายทุนรัฐบาลที่เห็นแก่ตัว จากนั้นประชาชน และ ทหารบางส่วนบนดาวอังคารที่ทนกับระบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์ในคราบ ประชาธิปไตยมานาน ต่างลุกฮือขึ้นมาล้มรัฐบาล เป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรมนุษย์จนเจริญรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้  ”

ตัวละครสามมิติที่แสดงบทบาทในส่วนนี้ ล้วนเป็นตัวละครสมมุติไม่แสดงหน้าตา เพราะไม่มีข้อมูลรูปถ่ายที่แน่ชัด หลงเหลือจากยุคนั้นเลย

พออาจารย์อธิบายฉากนี้จบเสียงอ๊อดหมดคาบเรียนดังขึ้นทันที นักเรียนทุกคนต่างแสดงอาการดีอกดีใจเมื่อได้ยินเสียงกริ่งแห่งอิสระภาพ

“   เอา ล่ะทุกคนวันนี้คาบเรียนจบลงแล้ว ไว้คราวหน้าครูจะจบประวัติศาสตร์ยุคอวกาศเลย เอาละทุกคนออกจากห้องได้ กลับบ้านโดยสวัสดิภาพและ กรุณาอย่าลืมของทิ้งไว้ ครูขี้เกียจมาหาเจ้าของ  โอเค !?  ลาก่อนเจอกันคาบหน้าทุกคน  ”
อาจารย์โบกมือบอกลานักเรียนทุกคน พอพูดจบภาพโฮโลแกรมได้หายวับไปกับตา  ไฟในห้องสว่างขึ้นจนเห็นรอบข้างได้อย่างชัดเจนขณะที่ทุกคนในกลุ่มกำลังยืด เส้นยืดสายหลังจากนั่งมานาน ไม่มีใครสังเกตสาวน้อยจินที่ก้มหน้าก้มตา เธอกำหมัดแน่นเกร็งกล้ามเนื้อ กัดฟันอย่างทุกทรมาน นัยต์ตาเบิ่งกว้างเพียงไม่กี่วินาทีก็กลับมาหน้านิ่งดังปกติ
“เฮ้ จินกลับบ้านกันเถอะ ” เรย์เดินเข้ามาบอกเธอด้วยสีหน้าเป็นมิตร
จินพยักหน้าให้พลางไปเหลือบมองราเอลและลอร่าที่กำลังเก็บข้าวของเข้ากระเป๋าตนเองอย่างมีเลศนัย
“อื้ม ได้เวลากลับบ้านแล้วสิ..”

7 ความเห็นบน “บันทึกผจญภัยสีชาด ตอนที่ 5 บทเรียนมหัศจรรย์”

  1. คือผมอ่านคอมเม้นตอนก่อนหน้าของพี่แล้ว ไอ้พวกยืดเรื่องเกินไปผมจะแก้ไขครับ แต่ที่ผมจะพูดต่อไปผมไม่ได้จะเถียงนะครับ คือ ลอร่าเป็นตัวละครที่สำคัญมากของเรื่อง หนึ่งในกุญแจสำคัญครับ คือตอนแรกผมกะเขียนให้เธอไม่เด่นแล้วให้เซอร์ไพรทีหลัง แต่ถ้ามันไม่ไหวจริงๆผมจะลองคิดแก้ดูครับ

  2. ประเด็นที่ผมเขียน comment ก่อนหน้าคือ ไปเปิดตัวในฉากอื่น หรือ บทอื่น จะดีกว่าไหม?

    ความเด่น หรือ ไม่เด่น อยู่ที่ไหน?
    ๑. พื้นที่ในเรื่อง(ปรากฎตัวบ่อยมากไหม?) หรือ
    ๒. ความสำคัญต่อเรื่อง(การปรากฎตัวทุกครั้งสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อเรื่องไหม?) หรือ
    ๓. ทั้งสองอย่าง

    โดยมุมมองผม ทั้งสองส่วนสร้างความเด่นของตัวละครได้ ยิ่งทั้ง ปรากฎตัวบ่อย และ สร้างผลกระทบต่อเรื่องทุกครั้ง ยิ่งเด่น (เห็นได้ชัดคือ ตัวดำเนินเรื่อง)

    ฉะนั้น การลดความเด่น โดยลดผลกระทบต่อเรื่อง จึงไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีนัก
    เพราะถ้าปรากฎตัวแต่ไม่มีผลต่อเนื้อเรื่อง คนอ่านก็จะถามว่า ฉากนี้มีเจ้านี่ทำไม

    ในมุมมองผม การลดความสำคัญ คือการลดพื้นที่ตัวละครตัวนั้นในเรื่อง ครับ
    (โผล่มาไม่มาก อยู่บ้านหุ่งหาอาหาร แล้วค่อยๆเพิ่มบทบาทขึ้นเรื่อยๆตามที่เห็นสมควร ครับ)
    แต่ที่คุณmagicofpunch เขียน เน้นลอร่า มากเลย แต่บทไม่ไปไหน นะครับ

    อย่างที่ผมบอกในเรื่อง “ตัวกินยูเรเนียม” ที่ผมชอบการ surprise(ประหลาดใจ) แบบมี clue(การบอกใบ้) มากกว่า สำหรับผม ถ้าไม่มีการบอกใบ้ มันคือการ ต๊กกะใจ ครับ ไม่ใช่การ ประหลาดใจ
    งง ไหมครับ?

    สิ่งหนึ่งที่อยากฝากคือ ให้ลองถามตัวเองดูว่า
    ๑. ฉากนี้ มีเป้าหมายอะไร (อยากจะบอกอะไร)
    ๒. มีเป้าหมายมากเกินไปหรือไม่ (ในหนึ่งบท หรือ ฉาก ก็เหมือน ๑เรื่องสั้น น่าจะมีแค่เป้าหมายเดียว เป้าหมายอื่น สามารถย้ายไปอยู่บทอื่น(หรือฉากอื่น)ได้)
    ๓. มีวิธีการอื่น(ที่ดีกว่า)ที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นหรือไม่ (เช่น เล่าด้วยคำพูด, เล่าด้วยเหตุการณ์, ฯลฯ)
    ๔. มีสิ่งใด ที่ไม่สัมพันธ์กับเป้าหมาย หรือไม่ (ถ้ามีควรตัดออก หรือย้ายไปอยู่บทอื่น หรือ ฉากอื่น)

    ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ ไม่ใช่การเถียง (แต่ ถกเถียง ได้ นะครับ)
    เพราะผมไม่รู้โครงสร้างทั้งหมดของเรื่อง และไม่รู้เป้าหมายของผู้เขียน
    ครับ
    ลองแยกโครงสร้างดู หรือส่งโครงสร้างมาให้ดูก็ได้ครับ

  3. ได้ ครับ
    ฝากใส่ tag more ด้วยนะครับ (รูป icon จะคล้ายๆ line break)

    ในแต่ละบท ลองพิจารณาแยก
    เกริ่นนำ (แย๊บ หลอกล่อ สร้างความน่าสนใจ)
    เนื้อเรื่อง (แลกหมัด)
    สรุป (หมัดน๊อค แล้วรอลุ้นยกต่อไป)
    ดูนะครับ

ใส่ความเห็น