บทที่ 1
เซราฟ
ปี E.A ที่ 0015
ยานโดยสารอวกาศ
สถานที่เป้าหมาย : วัลฮัลลา
“อีก 30 นาที ยานของเราจะไปถึงวัลฮัลลา ขอให้ผู้โดยสารทุกคนประจำที่และรัดเข็มขัดให้เรียบร้อยค่ะ”
เสียงแจ้งจากคอมพิวเตอร์ดังขึ้นทั่วภายในยานโดยสาร
ในฐานะผู้โดยสารคนหนึ่ง อนาสตาเซียทำตามอย่างไร้อารมณ์ พลางทอดสายตาผ่านกระจกกั้นยานออกไปยังห้วงอวกาศอันดำมืด
เธอถอนใจเบาๆ พลางม้วนผมสีแดงยาวของตนเล่น ผิวของเธอขาวราวปุยเมฆ แม้จะมีอายุเพียง 14 ปี แต่ลักษณะภายนอกของเธอนั้นดูสง่าและเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ
เธอก้มมองอุปกรณ์สวมที่สวมอยู่ที่ข้อมือ มันเป็นเครื่องมือที่ถูกเรียกว่าลิ๊งค์ (Link) ซึ่งใช้ในการบันทึกข้อมูลต่างๆที่สำคัญสำหรับคนผู้นั้น เช่นประวัติโดยทั่วไปเพื่อยืนยันสถานะในการเป็นพลเรือนหรือนายทหาร นอกจากนี้มันยังเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายต่างๆที่กระจายอยู่ทั่วไปเพื่อให้สามารถอัพเดทข้อมูลข่าวสารต่างๆได้ทันที
เธอเปิดใช้งานลิ๊งค์ของตน มันฉายภาพสามมิติแสดงข้อมูลส่วนตัวของเธอขึ้นมา จากนั้นจึงเลือกดูแฟ้มข้อมูลที่เก็บไว้ในส่วนของหนังสือรับรอง เมื่อเข้าไปแล้วมันจึงแสดงเอกสารฉบับหนึ่งขึ้นมา ด้านบนของเอกสารนั้นมีเครื่องหมายรูปปีกคู่ อันเป็นสัญลักษณ์ของวัลฮัลลาประทับอยู่ เลื่อนลงมาด้านล่างนั้นคือรูปถ่ายและประวัติโดยคร่าวๆของตัวเธอเอง นั่นคือเอกสารรับรองการเข้าร่วมในหน่วยรบของวัลฮัลลา
กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็กหนุ่มสาวจากดารันดร์และอาณานิคมที่อยู่ใกล้เคียงเพียงไม่กี่แห่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้น จำต้องเข้ารับการทดสอบความสามารถมากมายไม่ว่าด้านร่างกายและสติปัญญาเพื่อที่จะคัดเลือกให้เข้าร่วมในกองทัพ และผู้มีคุณสมบัติสูงสุดจำนวนหนึ่งก็จะถูกส่งเพื่อเข้าร่วมในหน่วยรบที่ประจำอยู่บนวัลฮัลลา
ยานลำนี้ออกเดินทางจากอาณานิคมโรเซียได้ราว 3ชั่วโมงเมื่อเทียบจากเวลาสากลของดารันดร์ ทั่วทั้งยานมีผู้โดยสารรวมเธอด้วยเป็น 4 คน จะว่าไปนี่เป็นเพียงยานโดยสารระดับกลางที่ใช้สำหรับการเดินทางข้ามดวงดาวที่มีระยะทางไม่ไกลเกินไปนัก
อนาสตาเซียสังเกตว่าผู้โดยสารทั้งหมดเป็นเด็กหนุ่มสาวที่ดูแล้วอายุไล่เลี่ยกับเธอ พวกเขา 3 คนนั้นเป็นเด็กหญิง 1 คน ซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ อีก 2 คนเป็นชาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็นั่งหลับอยู่เช่นกัน ส่วนอีกคนกำลังนั่งมองอวกาศด้านนอกอยู่
อนาสตาเซียรู้สึกคุ้นหน้าชายหนุ่มคนที่นั่งมองอวกาศ แต่เธอก็ไม่คิดจะทักหรือชวนคุยอะไร เธอรู้ดีว่าแต่ละคนไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกันเท่าไรนัก เพราะอีกไม่ช้าทุกคนที่อยู่ในยานโดยสารลำนี้ก็จะได้รับการบรรจุเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของวัลฮัลลาไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง
เนื่องจากวัลฮัลลาเป็นศูนย์รวมของวิทยาการทั้งมวล จึงไม่ได้มีเพียงนายทหารหรือนักบินที่ต้องออกรบ แต่ยังประกอบไปด้วยบุคลากรระดับสุดยอดจากทุกแขนงเพื่อสนับสนุนในสงครามทุกวิถีทาง และการเพาะสร้างบุคลากรเหล่านั้นก็จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นในแต่ละปีจึงมีการส่งเยาวชนที่ได้รับการเสนอชื่อและผ่านการคัดเลือกเป็นอย่างดีจากอาณานิคมต่างๆไปยังวัลฮัลลา ในฐานะของเจ้าหน้าที่ฝึกหัด
อนาสตาเซียจึงไม่รู้ว่าทั้ง 3 คนนั้นจะกลายเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัดของหน่วยงานหรือแผนกใด อาจจะมีหนึ่งในนี้เป็นนักบินฝึกหัดเหมือนเธอก็ได้ แต่เธอก็ไม่คิดสนใจ เธอไม่ใช่เด็กน้อยที่กำลังนั่งรถโรงเรียนเพื่อเข้าโรงเรียนประถมในวันแรก ไม่มีความจำเป็นต้องหาเพื่อนหรือแสร้งทำตัวเป็นมิตร เธอสำนึกเสมอว่าการมายังวัลฮัลลาก็เพื่อที่จะเป็นทหารและเข้าร่วมในสงครามชี้ชะตาของมวลมนุษย์เท่านั้น
ขณะนั้น ตัวยานเกิดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พร้อมการแจ้งออกมาจากห้องนักบินว่ายานกำลังเข้าสู่เขตที่มีสะเก็ดดาวและอุกกาบาตชุกชุม จึงมีการสั่นสะเทือนบ้าง แต่ตัวยานนั้นมีความแข็งแรงทนทาน จึงไม่มีอะไรต้องกังวล
“อะไรเนี่ย กำลังหลับสบายเลย”
แรงกระแทกของยานทำให้เด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังของอนาสตาเซียตื่นขึ้น
“…อะไรกัน ยังไม่ถึงสักหน่อยนี่นา” เด็กสาวคนนั้นเริ่มพูดเสียงใส พลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจ จากนั้นก็ส่งเสียงร้อง “ว้าว สะเก็ตอุกกาบาตเต็มเลย”
อนาสตาเซียไม่คิดจะหันไปมอง แต่ฟังก็เดาได้ไม่ยากว่าเด็กคนนั้นกำลังส่องดูด้านนอกของกระจกยาน
คนอื่นๆเห็นท่าทางของเด็กสาวแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร อนาสตาเซียเองก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย เธอบรรยากาศเงียบๆอย่างก่อนหน้านี้มากกว่า แต่คงยากแล้ว เพราะเด็กสาวคนนั้นเอาแต่ส่งเสียงร้อง ว้าว สวยจัง อุกกาบาตดูแข็งจัง ถ้ายานชนสงสัยพังแน่
“นี่เธอ ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม”
ความอดทนของอนาสตาเซียถึงขีดจำกัด เธอพูดออกไปโดยที่ตัวเองก็ไม่ทันคิด
“พูดกับฉันอยู่หรือเปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับ
“ก็ใช่น่ะสิ”
“อะไรกัน ทำหน้าบึ้งตึงขนาดนั้นเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก” จู่ๆเด็กสาวคนที่ว่าก็ยื่นใบหน้ามาจากด้านหลัง
“…อะไรของเธอน่ะ” อนาสตาเซียทำตาขวางใส่
“แน่ะ พูดแล้วยังจะทำตาขวางใส่อีก แบบนั้นมันทำให้คิ้วย่นแล้วจะยิ่งแก่เร็วนะ”
“นี่คิดจะกวนประสาทกันหรือไง แล้วเธอถือวิสาสะอะไรมายุ่งกับฉัน” อนาสตาเซียจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง ดวงตาสีแดงของเธอยิ่งขับเน้นอารมณ์อันพลุ่งพล่านให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยแม้แต่น้อย
คู่กรณีของอนาสตาเซียเป็นเด็กสาวอายุประมาณ 13-14 ปี ดวงตากลมโตสีดำสนิท ผมยาวสีดำขลับมัดรวบเป็นเปียสองข้าง ใบหน้าของเด็กคนนี้ขาวผ่องและดูสดใสราวกับเด็กเล็กๆ
“นี่ๆ เธอก็จะไปที่วัลฮัลลาเหมือนกันเหรอ” เด็กหญิงยิ้มกว้างให้อย่างไร้เดียงสา ทั้งที่เมื่อครู่ยังพูดจากวนประสาทอยู่แท้ๆ
อนาสตาเซียไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเด็กที่ท่าทางไม่ประสีประสาเช่นนี้ จึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“ฉันเองก็จะไปที่วัลฮัลลาเหมือนกันนะ” เด็กหญิงยังคงพูดไม่หยุด
รู้แล้วน่า…ก็ยานโดยสารลำนี้มีจุดหมายอยู่ที่วัลฮัลลาอยู่แล้ว ถามออกมาได้ไง โง่ชะมัด
เด็กหญิงผมดำร้องต่อ “นี่ๆ แล้วเธอชื่ออะไร”
หากไม่ยอมบอก คงไม่ยอมเลิกราแน่
“…อนาสตาเซีย แอ็คเซล”
อนาสตาเซียไม่ได้พูดเสียงดังก็จริง แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนได้ยินบทสนทนานั้ทั้งทั้งหมด โดยเฉพาะนามสกุลแอ็คเซลนั้น ทำให้ทุกคนต้องสนใจเป็นพิเศษ เหตุเพราะประวัติศาสตร์จักรวาลได้บันทึกไว้ว่า ซีโร่ แอ็คเซล คือวีรบุรุษผู้มีบทบาทสำคัญในการนำพามวลมนุษย์ออกสู่ระบบสุริยะจักรวาลเมื่อกว่าห้าร้อยปีก่อน และยังเป็นผู้มีส่วนอย่างยิ่งต่อการทำให้วิทยาการแขนงต่างๆพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจอวกาศ จนกระทั่งมวลมนุษย์สามารถก่อตั้งอาณานิคมนับร้อยแห่งขึ้นจนทั่วกาแล็คซี่ทางช้างเผือกได้ในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี
แต่ผู้สืบสายสกุลแอ็คเซลกลับมีจำนวนน้อยนิด นอกจากนี้ลูกหลานของตระกูลนี้ก็มักเป็นผู้มีความสามารถสูงในด้านใดด้านหนึ่ง จึงมักเข้ามามีบทบาทต่อการปกครองอาณานิคมต่างๆ บางคนถึงกับเป็นผู้นำที่มีความสำคัญในสหพันธ์มนุษย์ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อปกครองทางช้างเผือก แต่ในยุคหลังผู้สืบสายสกุลนี้กลับหายหน้าไปจากประวัติศาสตร์และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสหพันธ์เท่าไรนัก
“ชื่อแปลกชะมัดเลยแฮะ” มาน่าตีหน้าตาย
อนาสตาเซียประหลาดใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ทุกครั้งที่พูดชื่อสกุลแอ็คเซล ผู้คนมักให้การตอบรับที่แสดงออกว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดา เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่ทำราวกับไม่เคยรู้จักนามสกุลนี้มาก่อน
“แต่ชื่อก็เพราะดีนะ ฟังแล้วเหมือนกับเป็นเจ้าหญิงในนิทานเลย”
อนาสตาเซียเริ่มหน้าแดงก่ำ “ยุ่งน่า แล้วเธอล่ะ การแนะนำตัวเองกลับเมื่อคนอื่นแนะนำตัวไปแล้วถือเป็นมารยาทที่สำคัญนะ!!”
“จริงด้วยสิ…” เด็กสาวเกาศีรษะเบาๆ พลางแลบลิ้นใส่ จากนั้นจึงยื่นมือออกมาให้จับ
“ฉันชื่อมาน่า แองเจิล ยินดีที่ได้รู้จัก”
อนาสตาเซียยื่นมือออกมาจับตอบอย่างไม่เต็มใจนัก พลางคิดไปว่าทำไมเด็กกะโปโลอย่างนี้ถึงถูกส่งมาที่วัลฮัลลาได้นะ เพราะดูแล้วเด็กคนนี้ไม่น่าจะผ่านเกณฑ์การทดสอบคุณสมบัติและความสามารถได้เลย
“นี่ๆ แล้วเธอมาจากที่ไหนเหรอ” มาน่ายิงคำถามต่อ
อนาสตาเซียได้แต่คิดว่าคำถามถูกยิงมาอีกแล้ว แต่เธอก็ไม่วายตอบกลับไป “ดารันดร์”
“จริงหรือ ฉันเคยไปที่ดารันดร์แค่ครั้งเดียวเอง”
“แล้วเธอมาจากอาณานิคมไหน”
“ฉันหรือ” มาน่ายิ้มกว้าง “อวกาศไง”
“หมายความว่าไง” อนาสตาเซียเลิกคิ้ว
“ก็หมายความแบบนั้นแหละ ก่อนจะมาที่นี่ฉันเดินทางไปมาทั่วอวกาศเลยไงละ”
อนาสตาเซียนิ่งไปเล็กน้อย “เธอเป็นพวกเร่ร่อนหรือ”
“อืม คนอื่นๆก็เรียกแบบนั้นเหมือนกัน”
“เป็นไปไม่ได้ พวกเร่ร่อนจะถูกส่งมาที่วัลฮัลลาได้ยังไงกัน”
“ไม่รู้สิ แต่มีคนๆหนึ่งบอกให้ฉันมาที่นี่ให้ได้น่ะ และฉันก็คิดว่ามันน่าสนใจดีออก”
อนาสตาเซียขึ้นเสียงใส่ “นี่เธอ สถานที่เราจะไปมันไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ วัลฮัลลาคือปราการอันเป็นแนวหน้าสุดของสนามรบ ทุกคนที่ถูกส่งไปที่นั่นย่อมต้องถูกทดสอบมากมายและผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีแล้วว่าเป็นบุคลากรชั้นยอดที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นผู้แบกรับอนาคตของมนุษยชาติได้ เธอพูดแบบนี้ราวกับจะบอกว่าตัวเองนึกจะไปก็ไปได้อย่างนั้นแหละ”
“พูดถึงเรื่องทดสอบเหรอ ฉันก็เข้าร่วมนะ แล้วก็มีการแจ้งกลับมาว่าฉันผ่านน่ะ อันนา” มาน่าตอบกลับ
“…ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อเลย…เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ”
“อันนาไง…ก็แหม เรียกชื่ออนาสตาเซียเต็มๆน่ะยากออก เรียกเป็นชื่อเล่นแบบนี้สะดวกกว่า” มาน่ายิ้มกว้างราวกับเด็กไร้เดียงสา
อนาสตาเซียถึงกับหน้าหงิก “…นี่เธออย่ามาเที่ยวตั้งชื่อเล่นให้คนอื่นตามใจชอบได้ไหม!!!”
“แต่ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแล้วก็ต้องเรียกชื่อเล่นกันสิ ไม่ใช่เหรอ”
“เป็นเพื่อน…”
“ใช่แล้ว”
“อย่าเหมาเอาง่ายๆสิ เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เราจับมือกันแล้ว ก็เท่ากับเป็นเพื่อนกันแล้วไงละ”
อนาสตาเซียถึงกับอึ้ง “…นั่นฉันแค่จับมือตามมารยาทนะ”
มาน่ายักไหล่ “แหม แต่นี่เป็นธรรมเนียมของที่ฉันจากมานะ”
“…ธรรมเนียมบ้าอะไรกัน!!!”
“พวกเธอสองคนเงียบหน่อยได้ไหม” ทันใดนั้นเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่นั่งมองดูอวกาศด้านนอกอยู่ก็หันมาขึ้นเสียงใส่ด้วยสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเหลืออดเต็มที “นี่ไม่ใช่รถโรงเรียนนะ ฟังแล้วน่ารำคาญชะมัด”
“อย่าเหมารวมกันสิ ฉันไม่เกี่ยวนะ” อนาสตาเซียแย้ง พลางมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา
อนาสตาเซียรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่าย ใช้เวลานึกอยู่ชั่วขณะจึงนึกออก เธอและชายคนนี้เคยเข้าทดสอบที่หน่วยฝึกเดียวกัน และเมื่อมีการแจ้งผลออกมาให้ผู้เข้ารับการทดสอบทุกคนรับทราบนั้น ใบหน้าของชายผู้นี้ก็ขึ้นมาเป็นลำดับหนึ่ง
ชื่อของเขาคือ ซิกมันด์ วาเลเรียน อายุ 15 ปี มีจุดเด่นที่หน้าผากกว้าง ใบหน้าคมเข้มและหล่อเหลาไม่น้อย รูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าท่าทางแลดูหยิ่งทระนงอย่างชัดเจน
“ก็น่ารำคาญพอกันทั้งคู่นั่นแหละ คนหนึ่งก็พวกเร่ร่อน ส่วนอีกคน…” ซิกมันด์จ้องอนาสตาเซียเขม็ง “ถึงจะลูกหลานของวีรบุรุษในยุคโบราณ แต่มีเยอะไปที่ลูกหลานกลายเป็นพวกไม่ได้เรื่อง แล้วสนามรบมันก็ไม่มีที่ให้คนไร้ความสามารถหรอกนะ”
“พูดแบบนี้คิดจะหาเรื่องหรือไง” อนาสตาเซียเริ่มเดือด ในขณะที่มาน่าดูจะไม่แยแสคำดูหมิ่นของอีกฝ่าย เธอกลับเดินตรงไปหาชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ยิ้มอะไรของเธอ” ซิกมันด์แค่นเสียง
มาน่าจ้องหน้าเขาเล็กน้อย “…กำลังคิดอยู่”
“คิดอะไร”
“รู้แล้ว!!!” แล้วเธอก็ดีดนิ้วดังเผาะ “เรียกนายว่าผากกว้างก็แล้วกัน”
“อะไรนะ!!!”
“ก็ฉายาของนายไง”
อนาสตาเซียถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น สร้างความอับอายให้ซิกมันด์อย่างมาก คนซึ่งมีความหยิ่งทระนงและเชื่อมั่นในตัวเองสูงนั้น เมื่อถูกล้อเลียนอย่างหน้าซื่อเช่นนี้จึงโกรธจัดจนแทบทำอะไรไม่ถูก
“เธอรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” ซิกมันด์ขึ้นเสียง ใบหน้าแดงก่ำ
“ก็พูดกับนายผากกว้างอยู่ไง ถามแปลกๆ” มาน่าตอบหน้าซื่อ
“ฮ่าๆๆ ก็จริงนะ ผากกว้างจริงๆด้วย” อนาสตาเซียหัวเราะจนตัวงอ
“เลิกยุ่งกับหน้าผากฉันเสียทีได้ไหม” ซิกมันด์ขึ้นเสียง “แล้วก็ฟังไว้ ชื่อของฉันคือ ซิกมันด์ วาเลเรียน ทายาทของตระกูลวาเลเรียน ผู้ปกครองแห่งอาณานิคมอาณานิคมชวาเบ้น รู้เอาไว้ซะ!!!”
“ฟังดูยิ่งใหญ่จัง” อนาสตาเซียทำหน้าเหรอหรา “แต่เมื่อกี้นายบอกเองนะว่ามีเยอะที่ไปลูกหลานของคนเก่งๆกลายเป็นพวกไม่ได้เรื่องน่ะ นายจะเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
ซิกมันด์เลือกขึ้นหน้าถึงขีดสุด “พูดแบบนี้ก็สวยสิ มาเจอกันหน่อยดีกว่าไหม”
“ขอโทษที แต่ฉันไม่ขอเสียแรงไปกับเรื่องไร้สาระหรอก ฉันมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสนามรบ ไม่ได้จะมาวิวาทไร้สาระเหมือนเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้”
“ปากดีนักนะ ก็แค่ลูกหลานของคนดังเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่ทำตัวเย่อหยิ่งเสียจริง ครอบครัวของเธอคงสั่นสอนกันมาแบบนี้สินะ”
คำว่าครอบครัวนั้น ทำให้อนาสตาเซียฉุนขาด เธอลุกพรวดขึ้นแล้วกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย “ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!!!”
“แบบนี้แสดงว่าจะมีเรื่องกันใช่ไหม!!!” ซิกมันด์ตวาดกลับ เขาเงื้อหมัดขึ้นเตรียมจะชกใส่
แต่พริบตานั้น หมัดของซิกมันด์กลับถูกหยุดไว้ด้วยฝ่ามือของใครบางคนที่แทรกเข้ามา
“อย่ามีเรื่องกันเลยน่า” ผู้ที่ขวางไว้คือมาน่า
ซิกมันด์ถึงกับตาโต เพราะเขาไม่ทันเห็นเลยว่ามือของมาน่าเข้ามาหยุดหมัดของเขาไว้ตอนไหน อนาสตาเซียก็ตกใจไม่น้อย เพราะเธอก็มองตามไม่ทันเช่นกัน
มาน่ายิ้มกว้างให้คู่กรณีทั้งสอง “ถึงยังไงพวกเราทั้งหมดก็ต้องไปอยู่ที่วัลฮัลลา ดังนั้นเป็นเพื่อนกันไว้ดีกว่า”
“ใครอยากเป็นเพื่อนกับพวกเธอกัน” ซิกมันด์แค่นเสียง
“คิดว่าฉันอยากหรือไง” อนาสตาเซียโต้กลับ
มาน่าถอนใจเบา “ไม่ไหวๆ งั้นเอาแบบนี้…ถ้าอันนาและนายผากกว้างไม่อยากเป็นเพื่อนกัน งั้นก็เป็นคู่รักกันแทนดีไหม”
“พูดบ้าอะไรออกมา!!!” ทั้งสองคนหันมาตวาดใส่มาน่าพร้อมกัน
“โอ้ ขนาดพูดยังพร้อมกันเลย เหมาะกันดีออก” มาน่ายิ้มกว้าง
“ไม่มีทางหรอก ไอ้เจ้าผู้ชายปากเสียพรรค์นี้น่ะเรอะ” อนาสตาเซียชี้นิ้วใส่ซิกมันด์
ฝ่ายชายหนุ่มองก็เถียงกลับ “หนอย ยัยผู้หญิงไร้เสน่ห์พรรค์นี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ในขณะที่การโต้เถียงเริ่มมีทีท่าว่าจะขยายต่อไปไม่จบ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นที่ท้ายยาน
“ขอโทษด้วยครับ แต่พวกคุณเกรงใจผู้โดยสารคนอื่นหน่อยได้ไหม”
ผู้พูดเป็นชายหนุ่มผู้มีผมและดวงตาสีดำสนิท ใบหน้าดูไร้อารมณ์ ผิวขาวจนออกซีด
อนาสตาเซียพิศดูอีกฝ่าย คาดว่าน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกันกับพวกเธอ แต่บรรยากาศที่อยู่รอบตัวชายหนุ่มผู้นี้ออกจะผิดแผกไปจากคนอื่นๆ ซึ่งเธอก็ไม่รู้จะบรรยายเป็นคำพูดเช่นไร
“เฮ้ ถ้าจะว่าก็ว่ายัยนี่ดีกว่า ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่มนะ” ซิกมันด์ชี้ไปทางอนาสตาเซีย
“ผมแค่อยากนอนหลับอย่างสงบก่อนจะไปถึงที่หมาย เรื่องที่ใครถูกผิดหรือเริ่มก่อนนั้น ผมไม่สนหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอโทษด้วย ที่รบกวนเวลาหลับ…” อนาสตาเซียโค้งให้เล็กน้อย
ซิกมันด์ถอนใจเบาๆ เขาเริ่มสงบอารมณ์ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้กล่าวขอโทษ
“เฮ้อ อดฟังเถียงกันต่อเลย” มาน่าถอนใจเฮือกใหญ่
ชายหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ท้ายยานนั้นเมื่อได้ฟังคำถอนใจของมาน่าแล้วก็พูดขึ้น “ดูท่า…เรื่องที่ว่าเป็นคนเร่ร่อนจะไม่ได้พูดเล่นสินะ”
“ทำไมต้องพูดเล่นด้วยล่ะ” มาน่าถามกลับ
“เปล่า แค่คิดว่าสมแล้ว เพราะพวกเร่ร่อนมักชอบสร้างความวุ่นวายโดยเห็นเป็นเรื่องสนุก”
“รู้ดีเหมือนกันนี่ นั่นเป็นวิถีชีวิตของเราเลยนะ” มาน่ายิ้มกว้าง “น่าสนใจดีแฮะ นายชื่ออะไรเหรอ”
“…รุย กาเบรียล”
“งั้นก็…” มาน่าตรงไปที่เขาแล้วยื่นมือให้ แต่รุยไม่ยื่นตอบ
“ธรรมเนียมของเธอคือหากจับมือแล้วจะถือว่าเป็นเพื่อนกันสินะ”
“ใช่แล้วจ้า”
“อย่าบอกนะว่าทำแบบนี้กับทุกคนที่เพิ่งเจอน่ะ”
“แหะๆ”
รุยจ้องเด็กสาวตรงหน้า ท่าทางอันแสนไร้เดียงสานั้นทำให้เขาหัวเราะเบาๆ แล้วยื่นมือไปแตะเบาๆ “แค่แปะไว้ก่อนแล้วกัน”
“แค่นี้ก็พอ…” แล้วมาน่าก็ตรงไปยื่มือให้ซิกมันด์ “เอ้า นายด้วย นายผากกว้าง”
“ใครอยากเป็นเพื่อนกับหล่อนฟะ!!!”
“นายไม่อยาก แต่ฉันอยากนี่ เพราะนายตลกดี”
ซิกมันด์ทำหน้าเหยเก เขาไม่รู้จะโต้ตอบเช่นไรจึงปัดมือของมาน่าทิ้ง แต่เด็กสาวกลับยิ้มให้ “โดนมือแบบนี้ก็ถือว่าตอบรับไปครึ่งแล้วนะ”
ซิกมันด์ถึงกับพูดไม่ออก ส่วนอนาสตาเซียเมื่อได้เห็นกิริยาของชายหนุ่มผู้ทระนงตนคนนี้แล้วก็อดยิ้มเยาะไม่ได้
“เอาล่ะ เท่านี้พวกเราก็เป็นเพื่อนกันหมดแล้วนะ!!!” มาน่าร้องขึ้น “อันนา ผากกว้าง…”
“เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้ว!!!” ซิกมันด์แย้ง
“ไม่ชอบฉายางั้นเอาเป็นชื่อเล่นก็ได้…เอ…” มาน่าคิดอะไรบางอย่างออกจึงดีดนิ้วขึ้นเหมือนครั้งแรก “เรียกซิกกี้ก็แล้วกัน”
“อะไรกันน่ะ”
มาน่าไม่โต้แย้งกับอีกฝ่าย แต่ตัดบทด้วยการหันไปที่รุย “ชื่อของนายสั้นอยู่แล้ว เรียกรุยเฉยๆก็แล้วกันนะ”
“ตามใจเถอะ” รุยตอบกลับเบาๆ
อนาสตาเซียถอนใจเบาๆพลางมองดูเด็กสาวจอมแก่นคนนี้ เธอรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างน่าแปลกเหลือเกิน ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ กลับสามารถปั่นหัวผู้คนและยังเปลี่ยนบรรยากาศโดยรอบไปได้ตามใจ ทั้งที่ตอนแรกเธอรู้สึกแต่เพียงว่าอีกฝ่ายน่ารำคาญเท่านั้น
ขณะที่ห้วงความคิดกำลังดำเนินไป ทันใดนั้นยานทั้งลำก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แล้วทั้งหมดก็พบว่าสภาพของอวกาศด้านนอกยานพลันเปลี่ยนไป พวกเขารู้สึกว่ายานกำลังพุ่งเข้าสู่ความเร็วสูงจนมองเห็นอวกาศด้านนอกยานเป็นเส้นลำแสง
อนาสตาเซียรู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่ากำลังยืนอยู่ภายในรถด่วนที่แล่นด้วยความเร็วสูงสุด แต่เฉพาะห้องที่อยู่นั้นไม่ได้เคลื่อนตามไปด้วย ความรู้สึกเช่นนี้เธอเคยเผชิญมาแล้ว มันคือช่วงเวลาที่ยานอวกาศกำลังเข้าสู่การกระโจนด้วยความเร็วเหนือแสง หรือที่เรียกว่าการวาร์ป
“เดี๋ยวสิ ทำไมเราต้องวาร์ปด้วย” อนาสตาเซียร้องทัก
“วัลฮัลลาน่าจะอยู่ไม่ไกลแล้วนี่” ซิกมันด์พูดเสริม
ไม่กี่อึดใจต่อมา ยานโดยสารก็กลับสู่สภาพการเดินทางเช่นเดิม ทั้งหมดรีบดูอวกาศด้านนอกผ่านทางกระจกยาน และพบว่าบัดนี้ยานอยู่ไม่ห่างไปจากกลุ่มดาวเคราะห์เล็กๆกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่แตกต่างจากเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง
“ที่ไหนกันเนี่ย ทำไมเราต้องวาร์ปมานี่ด้วย” ซิกมันด์ร้อง
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน” อนาสตาเซียรีบเปิดวงจรสื่อสารถึงห้องนักบินเพื่อสอบถาม แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
ทันใดนั้นประตูห้องนักบินก็เปิดออก ผู้ที่เดินออกมาคือผู้ช่วยนักบิน เขาเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางกำยำ ใบหน้าสงบนิ่ง
อนาสตาเซียกำลังจะอ้าปากถาม จู่ๆเธอก็ถูกชายคนนี้ยึดจับเอาไว้สุดแรง เธอพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจสลัดหลุดได้ และยังถูกเอาปืนขึ้นมาจ่อที่ศีรษะ
อนาสตาเซียถึงกับตาค้าง เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ทันใดนั้น ซิกมันด์ก็พุ่งปราดเข้าไปชกเข้าใส่ผู้ช่วยนักบินก่อนที่อีกฝ่ายจะทันลั่นไกปืน
ผู้ช่วยนักบินถูกชนจนหลุดไปจากอนาสตาเซีย แต่ทั้งที่ถูกหมัดของซิกมันด์เข้าเต็มแรง เขากลับไม่แสดงความเจ็บปวดหรืออารมณ์ใดๆออกมาแม้แต่น้อย ซ้ำยังเตะสวนจนซิกมันด์กระเด็นออกไป
“ก้มลง” รุยซึ่งอยู่ห่างออกไปที่สุด ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วโถมเข้าไปรวบตัวผู้ช่วยนักบินให้ลงไปกองกับพื้น รุยพยายามลงมือต่ด้วยการชกเข้าใส่ที่ใบหน้า แต่ก็เหมือนเช่นเดิม อีกฝ่ายไม่แสดงอาการใดๆออกมา ซ้ำยังยกร่างของรุยขึ้นอย่างสบายราวกับปุยนุ่น
รุยพยายามสลัดให้หลุด พริบตานั้นเขาจึงได้มองเข้าไปในดวงตาของ อีกฝ่ายนั้นไร้ซึ่งอารมณ์หรือสติใดๆ ราวกับถูกอะไรบางอย่างเข้าครอบงำจนทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกาย
รุยคิดว่าหากไม่เอาจริงหรือใช้สิ่งพิเศษที่เขามีเหนือมนุษย์คนอื่น ซึ่งเขาปกปิดมันเอาไว้ เขาคงต้องแย่แน่ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นงานนี้ต้องมีคนตาย จึงเกิดความลังเล
“ใจเย็นๆ” มาน่าส่งเสียงขึ้นเบาๆ เธอเข้ามาที่ด้านหลังของผู้ช่วยนักบินโดยที่รุยไม่ทันรู้ตัว แล้วยื่นมือขึ้นวางที่ท้ายทอยของผู้ช่วยนักบินเบาๆ ทันใดนั้นเขาก็ทรุดลงไปกองบนพื้น และหมดสติไป
รุยรีบก้มลงไปดูอาการพลางลูบที่ท้ายทอย พบว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว
“เธอใช้วิธีอะไรกัน” รุยรีบถามมาน่า
“คนเรามีจุดอ่อนตามร่างกายอยู่แล้ว ขอเพียงรู้จุดและการออกแรง จะทำให้หยุดการเคลื่อนไหวหรือหมดสติไปนานเท่าใดก็ย่อมได้” มาน่ายิ้มรับ
“พูดเหมือนทำได้ง่ายๆเลยนะ” รุยตีหน้านิ่ง “ดูเหมือนเธอจะไม่ใช่พวกเร่ร่อนธรรมดาสินะ”
“แค่กๆ” อนาสตาเซียสำลักเบาๆ เธอยังเจ็บจากการที่ถูกกระแทกเข้าไปเมื่ออครู่ ส่วนซิกมันด์ก็บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่มีบาดแผลภายนอกอะไร
“ทำไมเขาทำแบบนี้ล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น” อนาสตาเซียมองไปทางผู้ช่วยนักบินที่นอนหมดสติอยู่
“รีบไปดูนักบินก่อนดีกว่า” รุยรีบพูดพลางวิ่งตรงเข้าไปในห้องนักบิน แล้วก็พบว่านักบินผู้ควบคุมยานนั้นนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น เขารีบพลิกร่างของอีกฝ่ายมาดูอาการ และพบว่านักบินนั้นถูกยิงที่ศีรษะจนทะลุ
“อะไรกัน…” อนาสตาเซียซึ่งตามเข้ามาถึงกับเสียงสั่น เมื่อได้เห็นภาพนี้
“ออกไปก่อน!!!” รุยร้องขึ้น ส่วนซิกมันด์ตรงเข้ามาดูที่พิกัดของยานซึ่งแสดงอยู่บนหน้าจอสามมิติของแท่นบังคับยาน
“ดูจากพิกัดแล้ว…เราวาร์ปออกมาห่างจากวัลฮัลลาไม่ไกลมากนัก วาร์ปอีกสักครั้งก็น่าจะไปถึงได้”
“แต่นั่นก็หมายความว่าเราออกมาอยู่ในเขตพื้นที่อันตรายด้วยน่ะสิ” อนาสตาเซียทักขึ้น
รุยและซิกมันด์หันไปมองหน้ากัน แล้วรีบดูพิกัดตำแหน่งของยานอีกครั้ง เป็นอย่างที่อนาสตาเซียทัก ตอนนี้พวกเขาหลุดออกมาจากเส้นทางโดยสารยานปกติและกำลังอยู่ในเขตพื้นที่อันตราย นั่นหมายความว่า พวกเขาอยู่ในบริเวณที่อาจจะพบกับผู้รุกรานได้ทุกเมื่อ
และไม่ต้องรอให้มากความ ระบบเตือนภัยของยานเริ่มทำงาน พร้อมทั้งหน้าจอสามมิติที่แจ้งถึงอะไรบางอย่างได้ปรากฏขึ้นในตำแหน่งที่แม้จะห่างจากยานของพวกเขาอยู่มากนัก แต่มันกลับพุ่งตรงเข้ามาด้วยความ เร็วสูง และยังเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากการคำนวณของระบบคอมพิวเตอร์ มันได้แจ้งเตือนว่า ภายในเวลา 120 วินาที วัตถุที่ว่านั้นจะมาถึงพวกเขา
ทั้งหมดรู้ได้โดยไม่ต้องพูด นั่นคือศัตรูของมนุษยชาติ เผ่าพันธุ์ต่างดาวที่ถูกเรียกว่า เซราฟ
“แย่แล้ว” ซิกมันด์ร้องขึ้น คำพูดเพียงคำเดียวนั้นบ่งบอกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ได้ดีที่สุด
รุยรีบตรงไปนั่งที่เก้าอี้นักบินโดยไม่พูดพล่ามอะไรให้มากความ เมื่อนักบินเสียชีวิตและผู้ช่วยนักบินหมดสติ ก็จำต้องมีใครสักคนขึ้นมาควบคุมยานในตอนนี้แทน เพื่อที่จะหนีตายจากยานของผู้รุกรานที่กำลังตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง
ซิกมันด์พยายามจะตรงไปนั่งที่เก้าอี้ผู้ช่วยนักบิน แต่เขายังรู้สึกบอบช้ำจากการโรมรันกับผู้ช่วยนักบินเมื่อครู่ อนาสตาเซียจึงชิงไปนั่งที่เก้าอี้แทน แล้วเธอก็รีบหันไปถามรุย “นายเป็นนักบินฝึกหัดเหรอ”
“เปล่าเลย” รุยตอบกลับหน้าตาย แล้วสั่งการคอมพิวเตอร์ของยานให้เริ่มทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการหนีออกไปจากบริเวณนี้ทันที
“ระบบไฮเปอร์สเปซเพื่อเตรียมการวาร์ปจะพร้อมภายใน 200 วินาที”คอมพิวเตอร์ของยานแจ้งกลับมาเช่นนั้นหลังจากรุยป้อนคำสั่งเพื่อเตรียมการกระโจนด้วยความเร็วแสง
“มากเกินไป ใช้แค่ 60 วินาทีก็พอ” รุยสั่ง
“…ไม่สามารถทำได้ เพราะเพิ่งใช้งานไปเมื่อ 440 วินาทีที่แล้ว ระบบต้องการเวลาปรับสภาพเพื่อใช้งานครั้งต่อไป”
อนาสตาเซียแทรกขึ้น “…เท่ากับว่าเราต้องเอาตัวรอดเองในช่วงเวลาราว 1 นาที ก่อนหน้าที่ระบบจะทำงาน”
“ไม่ตลกเลยนะ” ซิกมันด์ร้อง “ยานลำนี้เป็นยานโดยสาร จะเอาอาวุธอะไรไปต้านทานยานของข้าศึกกัน”
“มีวิธีสิ”
ทั้งหมดหันไปทางเจ้าของเสียงเป็นตาเดียว ผู้ที่พูดขึ้นมาเช่นนั้นก็คือมาน่า
“มีวิธีอะไร” รุยรีบถามกลับ
“นั่นไง” มาน่าชี้ให้ทั้งหมดดูที่จอมอนิเตอร์ทางด้านบนขวา เมื่อขายภาพขึ้นจอ พวกเขาจึงเห็นว่ามันคือดงสะเก็ดอุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วน
ซิกมันด์ร้องโพล่งขึ้น “จริงสิ ยังพอมีวิธีอยู่”
อนาสตาเซียรีบถามกลับ “วิธีอะไร”
ซิกมันด์ชี้ไปทางดงอุกกาบาตตามที่มาน่าชี้ให้ดูก่อนหน้านี้ “…หากเราควบคุมยานฝ่าเข้าไปในดงอุกกาบาตนั่น ต่อให้เป็นยานที่มีความเร็วสูงของพวกเซราฟก็ไม่สามารถไล่ตามพวกเราได้ง่ายๆ จากนั้นเราก็ใช้ดงอุกกาบาตเหล่านั้นเป็นกันชนเพื่อถ่วงเวลาจนกว่าระบบไฮเปอร์สเปซจะทำงาน เมื่อนั้นเราก็วาร์ปหนีออกไปจากที่นี่ทันที”
ทั้งหมดถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วอนาสตาเซียก็ร้องขึ้น “นั่นเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ หากทำแบบนั้น ไม่ต้องรอพวกเซราฟหรอก ยานลำนี้จะถูกสะเก็ดอุกกาบาตชนเละก่อนน่ะสิ”
“…ไม่…มันก็ไม่แน่หรอก” รุยแทรกขึ้น “ถ้าขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติอาจจะไม่รอด แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นบังคับด้วยมือล่ะก็…”
ว่าแล้วรุยก็ไปมองที่คันบังคับ แล้วตัดสินใจแทนทุกคน ณ ที่นั้น “ไม่มีเวลาคิดแล้ว ถือเสียว่าฝากชีวิตไว้ที่ฉันก็แล้วกัน” สิ้นคำ เขาก็จัดการออกคำสั่งให้ระบบคอมพิวเตอร์เปลี่ยนมาเป็นบังคับด้วยมือ แล้วเลื่อนมือไปจับที่คันบังคับทั้งสองอัน พร้อมหักหัวยานเพื่อมุ่งตรงไปทางดงอุกกาบาตทันที
“ช่วยดูแลเรื่องระบบขับเคลื่อนและระบบไฮเปอร์สเปซสำหรับเตรียมการวาร์ปที” รุยหันไปสั่งอนาสตาเซีย
“…ความมั่นใจในการบังคับยานมีแค่ไหนน่ะ” อนาสตาเซียรีบถามกลับ
“ไม่มีหรอก แต่ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ” รุบตอบกลับทันควัน แล้วเร่งความเร็วจนเกือบถึงขีดสุดเพื่อไปทางเป้าหมาย เหตุเพราะยานของพวกเซราฟได้พุ่งตรงเข้ามาใกล้จนกระทั่งอยู่ในระยะที่ทั้งสี่คนมองด้วยตาเปล่าได้แล้ว
ยานของพวกเซราฟที่ปรากฏขึ้นมานั้นมีเพียงหนึ่งลำ มันเป็นยานอวกาศที่มีรูปทรงเหมือนกับแท่งคริสตัลขนาดใหญ่ ส่วนหัวและท้ายนั้นมีวงแหวนสีเงินลอยเคลื่อนอยู่ตลอด สิ่งนั้นคือแหล่งรวมศูนย์พลังงานจากยานของพวกเซราฟเพื่อใช้เป็นปืนใหญ่ในการยิงคลื่นพลังงาน ซึ่งมันได้เคยทำลายกองยานและอาณานิคมของพวกมนุษย์มาจนนับไม่ถ้วน
รุยตั้งสมาธิจนถึงขีดสุด แม้คนอื่นๆจะแสดงท่าทางว่าไม่เชื่อใจที่จะฝากชีวิตให้ เขาก็ไม่สนใจ เพราะมีเพียงเขาที่รู้ดีว่าหากใช้อำนาจจิตที่เขาซุกซ่อนไว้ออกมาอย่างเต็มพลังแล้ว การจะบังคับยานให้ฝ่าเข้าหลบดงสะเก็ดอุกกาบาตย่อมมีทางเป็นไปได้
ด้วยอำนาจจิตที่มี เขาสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของวัตถุรอบตัวได้ล่วงหน้าและสามารถที่จะคำนวณเพื่อหลบหลีกมันได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถควบคุมยานหลบหลีกดงอุกกาบาตได้อย่างหมดจดท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
“อีก 150 วินาที” รุยพูดพลางมองดูตัวเลขที่นับถอยหลังซึ่งแสดงบนหน้าจอ แต่ขณะนั้น ยานของฝ่ายเซราฟก็พุ่งตามเข้ามาในดงอุกกาบาตด้วยความเร็วสูง และเข้าใกล้มาเรื่อยๆชนิดที่ทุกคนต้องตะลึง เพราะพวกเขาเพียงรู้จากในข้อมูลที่สอนกันในโรงเรียนนายทหารว่ายานของพวกเซราฟมีความเร็วในการเคลื่อนที่และมีอาวุธทำลายล้างทรงอานาภาพ เหนือกว่ายานรบหรืออาวุธใดๆที่สร้างจากวิทยาการของมนุษย์ในขณะนี้
“ไม่…” อนาสตาเซียครางขึ้น เมื่อได้เห็นรูปร่างยานของเซราฟอย่างชัดเจนผ่านทางจอสามมิติ ความหลังในอดีตเมื่อสมัยเด็กผุดขึ้นอีกครั้ง ภาพที่อวกาศเกิดรอยแตกมหึมาและเจ้ายานประเภทเดียวกันนี้ปรากฏขึ้น เป็นดั่งฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนในใจของเธอมาตลอด แม้เธอพยายามอย่างสุดกำลังที่จะเอาชนะมัน แต่เมื่อได้เห็นของจริงปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง และกำลังไล่ล่าเธออยู่ในขณะนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่าความกลัวก็ระเบิดออกมา
อนาสตาเซียกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง พลางยกสองมือขึ้นกุมใบหน้า น้ำตาไหลเอ่อนองออกมาไม่หยุด
“…ไม่..ไม่เอา…อย่าเข้ามา!!!! คุณ…คุณแม่!!!!!”
“ตั้งสติหน่อย” รุยตะโกนบอก ขณะที่ยังตั้งสมาธิในการบังคับยาน “เธอต้องช่วยฉันควบคุมระบบไฮเปอร์สเปซนะ!!!”
“หลบไป ฉันทำแทนเอง” ซิกมันด์พูดพลางพยายามฝืนลุกขึ้น แต่ก็ไม่ไหว
ทันใดนั้น มาน่าก็เข้ามาโอบกอดอนาสตาเซียจากทางด้านหลังพลางกระซิบที่ข้างหูอย่างแผ่วเบา
“…ใจเย็นๆ ไม่เป็นไรแล้วนะ อันนา”
ถ้อยคำเหล่าแม้จะแสนเรียบง่าย แต่อนาสตาเซียกลับรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด เธอตั้งสติ สายตาจับจ้องไปยังจอสามมิติอีกครั้ง
ยานของเซราฟ แท่งคริสตัลขนาดมหึมา ซึ่งสร้างฝันร้ายให้เธอมาคืนแล้วคืนเล่า
“ฉัน…จะไม่ยอมตายตรงนี้เด็ดขาด!!!”
รุยรู้สึกฉงน แต่ก็เผยอยิ้มเล็กน้อย “ฝากคุมระบบไฮเปอร์สเปซด้วย” ว่าแล้วเขาก็ตั้งสมาธิให้กับการควบคุมยานต่อไปอย่างเต็มที่
พลังไซคิก อำนาจจิตขั้นสูงสุดที่แฝงอยู่ในร่างของเขากำลังแสดงพลังออกมาผ่านทางการควบคุมยาน เขาสามารถหลบหลีกได้จนหมดและหลุดออกมายังนอกบริเวณของดงอุกกาบาตจนได้ ในขณะที่ยานคริสตัลของเซราฟนั้นยังคงติดอยู่ด้านใน
“อีก 25 วินาที ระบบไฮเปอร์สเปซพร้อมใช้งาน” อนาสตาเซียรีบหันไปบอกรุย
“รับทราบ”
จากนั้นเวลาก็ถูกนับถอยหลังลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง 10 วินาทีสุดท้าย ในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าปลอดภัยแล้วนั้น รุยก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
ประกายแสงแวบหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากในดงอุกกาบาต แล้วทันใดนั้น คลื่นพลังงานแสงขนาดมหึมาก็พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว พริบตานั้น ทุกคนต่างรู้ได้ทันทีว่ามันคือคลื่นพลังงานที่ถูกยิงออกมาจากวงแหวนยักษ์บนยานของเซราฟ
“ไม่ทันแล้ว!!!” อนาสตาเซียตะโกนขึ้น
“ต้องหลบได้สิ!!!” รุยรีบหักเหยานออกจากวิถีของคลื่นพลังงานที่กำลังพุ่งเข้ามา แต่มันรวดเร็วเกินกว่าที่เขาคาดไว้ แม้จะใช้พลังไซคิกเข้าช่วย แต่มันก็สุดกำลังเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว
“เหวอ!!!!” ซิกมันด์ร้องลั่นเมื่อเห็นแสงสว่างจ้าของคลื่นแสงนั้นพุ่งเข้ามาทางท้ายยาน
ทุกคนต่างปากอ้าตาค้าง ชีวิตของพวกเขาอยู่ระหว่างความเป็นตายเพียงแค่เสี้ยววินาทีข้างหน้า แต่มีแค่คนเดียวที่ทำสีหน้าราวกับกำลังมองสิ่งสวยงาม
“…แสงสว่าง…สวยจังเลย” มาน่าพูดเบาๆในขณะที่ดวงตาของเธอกำลังเบิกกว้าง
พริบตานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลืนหายไปกับแสงสว่าง
……………………………………………………..
“เฮ้ ใครก็ได้ตอบกลับมาที”
เสียงเรียกซึ่งดังผ่านเครื่องส่งสัญญาณจากระบบคอมพิวเตอร์ของยานโดยสารนั้น ทำให้รุยลืมตาตื่นขึ้น เขารีบกวาดสายตาไปรอบด้าน พบว่า อนาสตาเซีย ซิกมันด์ และ มาน่า ล้วนกำลังลืมตาตื่นขึ้นเช่นกัน
“เราหมดสติไปหรือ แล้วที่นี่…”
“…พวกเรายังไม่ตาย” อนาสตาเซียพูดพลางสำรวจร่างกายตนเอง
พวกเขาทั้ง 4 คนยังอยู่ครบ 32 ทุกประการ ซึ่งสร้างความประหลาดใจ ระคนดีใจให้พวกเขาทั้งหมด
“ใครก็ได้ตอบกลับมาที…” เสียงเรียกนั้นยังคงดังขึ้นมาจากเครื่องสัญญาณ
อนาสตาเซียรีบตอบกลับ “รับทราบแล้ว ไม่ทราบว่าพวกคุณคือใคร”
“ทางเราต่างหากที่ต้องถาม เหตุใดพวกคุณจึงมาถึงที่นี่ได้”
รุยรีบแทรกขึ้น “…ที่นี่…มันคือที่ไหน…” พูดไม่ทันจบคำ ซิกมันด์กสะกิดให้เขามองออกไปทางด้านนอกยาน
ท่ามกลางห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นบนอวกาศกำลังลอยตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาทั้ง 4 คน
มันคือสถานีอวกาศที่มีรูปทรงดุจดั่งหอคอยยาว ทั่วทั้งสถานีนั้นส่งแสงประกายระยิบระยับ กองยานอวกาศนับร้อยลำบินผ่านรอบสถานีไปมา มีตั้งแต่ยานขนาดเล็กพอๆกับยานโดยสารของพวกเขา ไปจนถึงยานที่มีขนาดใหญ่กว่าถึงหลายร้อยเท่า
“หรือว่านี่คือ…” อนาสตาเซียครางเบาๆ
ขณะที่มาน่านั้นเดินไปเอาหน้าแนบชิดกับกระจกยาน สายตาจับจ้องออกไปยังสถานีขาดมหึมานั้นด้วยดวงตากลมโตและเป็นประกาย
“…ในที่สุดก็มาถึง…เทวสถานแห่งสุดท้ายของเหล่าผู้กล้า…วัลฮัลลา”
มีต่อจนจบ บทที่ 31 ตาม link นี้ครับ
http://writer.dek-d.com/eagle/story/view.php?id=592832