บทที่ 2
เทวสถานของเหล่าผู้กล้า
นับตั้งแต่เข้าสู่ศักราช E.A. อาณานิคมแต่ละแห่งที่มนุษย์ออกไปตั้งรกรากนั้น จะต้องมีการสร้างสถานีอวกาศเพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการ และเป็นศนย์กลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างอวกาศ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีสถานีอวกาศแห่งใดที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมหึมาและเปี่ยมไปด้วยวิทยาการชั้นสูงสุดเช่นเดียวกับวัลฮัลลามาก่อน
ข้อมูลโดยทั่วไปที่ถูกบันทึกไว้ในระบบเครือข่ายสาธารณะของดารันดร์นั้น ได้บรรยายถึงสถานีวัลฮัลลาไว้อย่างสั้นๆดังนี้
“สร้างเสร็จในวันที่ 8 เดือน 6 ปี E.A.0011 ทั้งนี้เป็นสถานีรบที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีอำนาจบัญชาการรบโดยอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลสหพันธ์มนุษย์รวมทั้งองค์กรอื่นใด ปัจจุบันวัลฮัลลามีเจ้าหน้าที่ประจำอย่างเป็นทางการทั้งหมด 42,654 คน (อัพเดทข้อมูลทุก 24 ชม.) ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ทางทหาร และภาคเอกชน ด้านกองยานรบนั้น มียานรบประจำการทั้งสิ้น 4,862 ลำ ภายในสถานีนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นพื้นที่ทางทหารและพื้นที่อยู่อาศัย และมีการสร้างสังคมเมืองขึ้น ทั้งนี้ การบัญชาการในวัลฮัลลาทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของ พลเอก ไออ้อน แม็กซิมิเลี่ยน…”
รุยจดจำข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ นั่นเป็นเพราะมันถูกป้อนเข้าสู่หัวสมองด้วยเครื่องเบรนสตอมตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ที่สถาบันเฮเว่น ดังนั้นเขาจึงรับทราบข้อมูลทั่วไปของวัลฮัลลาที่ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณชนโดยไม่จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก แต่ข้อมูลก็ยังเป็นเพียงข้อมูลวันยังค่ำ มันไม่อาจเทียบกับการได้เจอของจริงแม้แต่น้อย
รุย อนาสตาเซีย ซิกมันด์ และมาน่า ถูกเจ้าหน้าที่ของวัลฮัลลาพาไปสอบสวนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ผู้ช่วยนักบินเกิดเสียสติและฆาตกรรมนักบินนั้น ถือเป็นเรื่องที่ทางวัลฮัลลาให้ความสำคัญมาก
หลังออกจากห้องสวบสวน พวกเขาทั้งหมดก็ถูกพาไปรออยู่ที่ห้องรับรองเล็กๆห้องหนึ่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูดคุยกันเป็นครั้งแรกหลังจากรอดชีวิตมาถึงวัลฮัลลาได้
รุย อนาสตาเซีย และซิกมันด์นั่งเอนกายพิงกับเก้าอี้ด้วยความผ่อนคลายเป็นครั้งแรก ส่วนมาน่าซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านข้างของอนาสตาเซียนั้น นั่งหลับด้วยท่าทางสบายอารมณ์มาหลายสิบนาทีแล้ว อนาสตาเซียพยายามปลุกแต่ก็ไม่เป็นผล เธอจึงล้มเลิกความตั้งใจ
“โดนถามอะไรบ้าง” ซิกมันด์ถามคนอื่นๆ
“คิดว่าคงจะเหมือนกันหมดนั่นแหละ นายก็ด้วยสินะ” รุยตอบกลับ
“อา…ตอนนั้นผู้ช่วยนักบินราวกับไม่มีสติ และกำลังถูกอะไรบางอย่างควบคุมให้ทำเช่นนั้น”
“…สะกดจิต…” อนาสตาเซียถามแทรก
ซิกมันด์ครุ่นคิดเล็กน้อย “ถึงจะเป็นพวกมีพลังจิต แต่จะทำได้ถึงขั้นนั้นจะต้องมีพลังสูงมาก ซึ่งคงหาไม่ได้ง่ายๆ และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ของสหพันธ์หรือของวัลฮัลลาน่าจะติดตั้งอุปกรณ์ต่อต้านพลังจิตไว้กับตัว ซึ่งน่าจะเป็นระเบียบมาตรฐานอยู่แล้ว”
“แต่หากเป็นผู้มีพลังจิตสูงเกินกว่าระดับที่อุปกรณ์เหล่านั้นสามารถป้องกันได้ มันก็ไม่แน่หรอก”
“แล้วจะทำไปเพื่ออะไร”
รุยแทรกขึ้นบ้าง “…ถ้าเป็นฝีมือของลัทธิสรวงสวรรค์ล่ะ”
อนาสตาเซียและซิกมันด์หันไปมองที่เขาเป็นตาเดียว “จริงสิ หากเป็นฝีมือของพวกลัทธินี้ล่ะก็…”
“คนในลัทธินี้มีความเชื่อว่าการที่พวกเซราฟปรากฏตัวขึ้นก็เพื่อชำระล้างมวลมนุษย์ให้หมดสิ้น พวกเขาคงมองว่าวัลฮัลลาซึ่งเป็นศูนย์กลางของมวงมนุษย์ในการต่อต้านพวกเซราฟนั้น เป็นเหมือนคนบาปกระมัง”
ซิกมันด์กัดฟันกรอด “ไอ้พวกลัทธินั่น…เพราะอย่างนั้นมันก็เลยต้องการสังหารพวกเราที่กำลังจะเข้าร่วมกับวัลฮัลลาสินะ”
“ที่ผ่านมาก็เคยมีข่าวลือมาบ้างนะว่ายานโดยสารของพวกเจ้าหน้าที่ฝึกหัดซึ่งจะมายังวัลฮัลลามักเกิดเหตุขึ้น แต่ก็ปิดข่าวกันน่าดู นี่อาจเป็นสาเหตุก็ได้”
“งั้นพวกเราก็โชคดีมากเลย ที่รอดมาได้” อนาสตาเซียถอนใจเบาๆ
“ฉันถูกกำชับว่าห้ามพูดเรื่องนี้ออกไป แล้วคนอื่นล่ะ” ซิกมันด์ถามขึ้น
รุยและอนาสตาเซียพยักหน้ารับ มีเพียงมาน่าที่ยังนั่งหลับโดยไม่สนใจอะไร
พูดถึงตรงนี้ รุยอดคิดไม่ได้ว่า ตอนนั้นพวกเขาทั้งหมดรอดมาถึงวัลฮัลลาได้อย่างไร เขาแน่ใจว่าเสี้ยววินาทีนั้น ยานโดยสารของพวกเขาต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน และระบบไฮเปอร์สเปซนั้นก็ยังขาดอีกหลายวินาทีกว่าจะใช้งานได้ แต่เมื่อพวกเขารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่ายานได้วาร์ปมาจนถึงวัลฮัลลาแล้ว
“เอาเถอะ รอดมาได้ก็ดีแล้ว” รุยพูดขึ้นต่อ
“พูดไปแล้วก็จริงนะ” อนาสตาเซียยิ้มรับ “อย่างน้อยพวกเราก็มาถึงวัลฮัลลาจนได้ และพวกเรายังต้องอยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ฝึกหัดไปอีก 3 เดือน กว่าจะได้เข้าบรรจุเต็มตัวล่ะ” พูดถึงตรงนี้ อนาสตาเซียก็นึกได้ว่าเธอไม่รู้เลยว่าอีก 3 คนที่เหลือเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัดของฝ่ายไหนกันบ้าง
ทันใดนั้น ก็มีการติดต่อผ่านเข้ามาด้วยสัญญาณเฉพาะทางเครื่องลิ้งค์ของพวกเขาทั้ง 4 คนในเวลาไล่เลี่ยกันว่า มีคำสั่งให้พวกเขาไปเข้ารับการตรวจร่างกาย ก่อนจะเข้ารายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ
เสียงของสัญญาณที่ส่งเข้ามาทางเครื่องลิ้งค์ทำให้มาน่าสะดุ้งตื่น เธอเหม่อมองคนอื่นๆแล้วพูดขึ้นด้วยอาการของคนที่ยังสะลึมสะลือ “…หิวแล้ว…”
………………………………………………………….
เนื่องจากวัลฮัลลาเป็นสถานีอวกาศที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมา การเดินทางภายในสถานีจึงต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อความรวดเร็ว โดยเส้นทางภายในสถานีนั้นจะมียานขนส่งขนาดเล็กที่บรรทุกเจ้าหน้าที่ได้ราว 20-30 คน ในคราวเดียว สำหรับการเดินทางจากพื้นที่หนึ่งๆไปยังอีกที่หนึ่ง
สำหรับจุดหมายปลายทางที่เด็กหนุ่มสาวทั้ง 4 คนต้องไปนั้นคือพื้นที่ทางทหาร ซึ่งเป็นเขตเฉพาะที่ไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของภาคเอกชนล่วงล้ำเข้ามาได้
นอกเสียจากเจ้าหน้าที่ระดับพิเศษซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คน และรอย อัลเวล ก็คือหนึ่งในนั้น
รอยเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักข่าว GEP (Galactic Express) ซึ่งถูกส่งมาประจำการที่วัลฮัลลานับตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก หน้าที่หลักซึ่งเขาได้ทำมาต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีนี้ก็คือการเก็บบันทึกเรื่องราวการต่อสู้ ความกล้าหาญ และความเสียสละของบรรดาผู้กล้าที่พลีชีพเพื่อปกป้องมวลมนุษย์ แล้วส่งเรื่องราวเหล่านั้นกลับไปเผยแพร่ยังดารันดร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้คนที่อยู่ด้านหลัง กระตุ้นให้เกิดความฮึกเหิม ขณะเดียวกันก็เป็นการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของวัลฮัลลาไปในตัว เพื่อทำให้มีเหล่าคนหนุ่มสาวที่กล้าหาญและมากความสามารถมาเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งๆขึ้น
แต่เรื่องราวจริงๆมักไม่เป็นเช่นนั้น แม้รอยจะเป็นชายหนุ่มอายุเพียง 28 ปี แต่ก็มีประสบการณ์เสี่ยงตายโชกโชน เขาเข้าเก็บภาพการต่อสู้กับพวกเซราฟในสนามรบและรอดชีวิตมาได้มากกว่า 10 ครั้ง ซึ่งนับเป็นประวัติการรอดชีวิตที่สูงไม่แพ้ทหารอาวุโสมากประสบการณ์เลย
ถึงกระนั้น ครั้งหนึ่งเขาพยายามเสี่ยงตายเข้าไปใกล้ระยะสู้รบจนเกินไปเพื่อหวังเก็บภาพของยานฝ่ายเซราฟ ซึ่งนั่นทำให้ยานที่เขานั่งไปถูกลูกหลง แม้จะรอดชีวิตมาได้ แต่เขาก็ต้องเสียร่างกายซีกขวาไป แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ปฏิเสธที่จะใช้สิทธิผู้พิการเพื่อกลับไปดารันดร์ แต่เลือกที่จะให้ทีมแพทย์ผ่าตัดครึ่งร่างของเขาเป็นจักรกล และดัดแปลงดวงตาด้านขวาให้กลายเป็นอุปกรณ์พิเศษสำหรับการบันทึกภาพและเรื่องราวต่างๆแทนการใช้กล้องหรืออุปกรณ์บันทึกภาพ
ด้วยความที่อุทิศชีวิตทั้งหมดของตนให้งานทำข่าวเช่นนี้ ผู้คนในวัลฮัลลาจึงให้การยกย่องและตั้งฉายาให้แก่รอยว่า นัยน์ตาเหยี่ยว (Hawk eye)
ด้วยวีรกรรมเหล่านี้ รอยจึงเป็นเจ้าหน้าที่ของภาคเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังพื้นที่ทางทหารได้แทบจะทุกจุด ทั้งนี้เพื่อการเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ กระนั้นช่วงเวลาที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ทั้งยังไม่ยอมพลาดแม้แต่ครั้งเดียวก็คือพิธีต้อนรับเจ้าหน้าที่ฝึกหัดรุ่นใหม่
“ปีนี้มีเด็กหน้าใหม่เข้ามาเยอะทีเดียวนะ” รอยพูดพลางกวาดสายตาไปยังเด็กหนุ่มสาวจำนวนกว่าร้อยคนที่เขาแถวตอนยาวอยู่กลางลานจอดยานรบ ซึ่งถูกแบ่งพื้นที่ส่วนเล็กๆใช้ทำพิธีต้อนรับ
ดวงตาเหล็กของเขาเริ่มทำงานเก็บบันทึกภาพต่างๆเอาไว้ในหน่วยความจำ ในแต่ละวันเขาสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 20,000 GB ข้อมูลที่เก็บได้นั้นจะถูกนำมาแปลงและตัดต่อลงเป็นวีดีโออีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นงาน
“เจ้าหน้าที่ฝึกหัด…จะว่าไปมันก็ทหารใหม่ดีๆนี่เอง ขึ้นอยู่กับว่าทำหน้าที่อะไร ถูกไหม…โคลเอ้” รอยหันไปพูดกับร้อยเอกหญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“อยู่ในพื้นที่ทางทหารเช่นนี้ กรุณาแต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อยจะได้ไหมคะ” ร้อยเอกหญิงโคลเอ้ อาฟร่า ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก “แล้วก็เลิกเรียกดิฉันด้วยท่าทีสนิทสนมเช่นนั้นได้แล้ว
“ครับๆ ท่านผู้กองอาฟร่า แล้วก็เรื่องแต่งตัวน่ะ ฉันไม่เห็นว่าจะผิดตรงไหนนี่นะ”
“ผิดเต็มๆเลยล่ะ” โคลเอ้จ้องเขาเขม็งตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ชุดที่รอยใส่อยู่ในขณะนี้คือเสื้อลำลองสลับลายไม้ดอก สีแดงฉูดฉาด กางเกงยีนสขายาวขาดวิ่น ที่เท้ายังสวมร้องเท้าผ้าใบหนังเก่าๆคู่หนึ่ง ดูแล้วคล้ายนำเอาการแต่งกายของคนที่กำลังจะไปเที่ยวชายทะเลรวมกับพวกอันธพาลข้างถนนมาผสมผสานกัน ซึ่งไม่ว่าโคลเอ้จะพยายามดูมุมไหน มันก็ไม่ได้เข้ากันเลย
“ศิลป์ดีไหม ฉันลองดูในฐานข้อมูลมาแล้ว เห็นว่าสมัยที่คนยังไม่อพยพออกจากโลก เขานิยมการแต่งกายแบบนี้อยู่หลายร้อยปีเลยนะ”
“ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่ามนุษย์ยุคก่อนแต่งกายแบบนี้เข้าไปได้ยังไง แต่ที่นี้เวลานี้ เราอยู่ในวัลฮัลลา หากคิดจะเอาแฟชั่นยุคโบราณมาใส่ก็กลับไปใส่ที่บ้านเถอะค่ะ”
“พูดแบบนี้เป็นการดูถูกรสนิยมเรื่องการแต่งกายของบรรพบุรุษเราเองนะ โคลเอ้” รอยทำปากเบ้
โคลเอ้ขึ้นเสียง “ไม่เกี่ยวกันหรอกค่ะ…แล้วก็บอกแล้วไงว่าเลิกเรียกแบบสนิทสนมได้แล้ว!!!”
รอยยกมือขึ้นกุมศีรษะ “เฮ้อ ไม่น่าเลย สาวน้อยหน้ามนผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ครั้งที่ยังเป็นนักศึกษาคนนั้น กลับกลายเป็นป้าแก่จอมโวยแบบนี้เสียได้”
“ดิฉันเพิ่งจะอายุ 26 ปีเอง ยังไม่แก่นะคะ!!!!!”
เสียงตวาดนั้นทำให้ผู้คนที่ดำเนินกิจกรรมต่างๆรอบข้างต้องหันมามองเป็นตาเดียว แม้แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ฝึกหัดรุ่นใหม่ที่กำลังยืนเข้าแถวอยู่นั้นก็เช่นกัน
“อา…คุณผู้กองอาฟร่า ทำแบบนี้มันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไม่ใช่หรือ”
โคลเอ้เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาคนที่อยู่บริเวณนั้น ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว เธอกระแอมเบาๆแล้วพยายามวางท่าทางให้เป็นปกติที่สุด “ดิฉันขอเตือนนะ ถึงแม้คุณจะเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษที่ได้รับการรับรองจากเบื้องบนก็ตาม แต่คุณก็ไม่ควรทำตัวเสมือนว่าวัลฮัลลาเป็นที่พักตากอากาศแบบนี้”
รอยหัวเราะเบาๆ “เข้าใจเปรียบเทียบนะ แต่ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นหรอก ถ้าทำให้ไม่พอใจก็ต้องขอโทษด้วยก็แล้วกัน”
“แต่ก็จะไม่ยอมปรับปรุงตัวใช่ไหมคะ”
“ถ้ายอมไปเดทด้วยสักครั้งก็อาจจะ…”
“ยังไม่ยอมแพ้อีกนะคะ” โคลเอ้ถอนใจเบาๆ “แต่ถึงจะขอกี่ครั้งดิฉันก็ไม่ไปหรอกค่ะ”
“เฮ้อ น่าเศร้าจริง แต่เอาเถอะ ตราบที่ยังไม่ตาย ก็ยังมีโอกาสนี่นะ” ว่าแล้วรอยก็มองไปทางบรรดาเจ้าหน้าที่ฝึกหัดรุ่นใหม่ซึ่งขณะนี้มีผู้บังคับบัญชามากล่าวโอวาทต้อนรับอย่างสั้นๆอยู่ พิธีการใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เมื่อเสร็จแล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามหน่วยงานของตนอย่างเป็นระเบียบ
“แต่เจ้าพวกนั้น…ไม่รู้ว่าจนถึงปีหน้า จะเหลือรอดสักกี่คนนะ”
โคลเอ้พูดขึ้น “มันก็ต้องเป็นเช่นนี้แหละค่ะ จนกว่าสงครามจะจบสิ้น”
“นั่นสินะ” รอยหันไปมองทางหญิงสาว “ได้ข่าวน่าสนใจมาว่า ในบรรดาเจ้าหน้าที่ฝึกหัดรุ่นใหม่ที่มาวันนี้ ยานโดยสารของเด็กกลุ่มหนึ่งบังเอิญหลุดออกนอกเส้นทางจนเผชิญกับยานของเซราฟเข้า แล้วดูเหมือนสาเหตุจะมาจากพวกลัทธิสรวงสววรค์ซะด้วย…เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“หูตายังไวเหมือนเดิมนะคะ” โคลเอ้ตีหน้านิ่ง
“เรื่องปกติของคนหาข่าว แต่ที่ฉันสนใจมากกว่าคือเรื่องที่เด็กพวกนั้นเอาชีวิตรอดมาได้มากกว่า ลำพังแค่ยานโดยสารทางทหารซึ่งติดอาวุธระดับพื้นฐาน ไม่สามารถต่อกรกับยานรบของเซราฟได้อยู่แล้ว อย่าว่าแต่จะหนีรอดเลย”
“ดิฉันคงบอกได้เพียงว่า เป็นความลับทางทหารค่ะ”
“ก็คิดไว้แล้วว่าต้องตอบแบบนี้”
“ถ้าไม่มีอะไร ดิฉันขอตัวก่อน” สิ้นคำ โคลเอ้ก็เดินจากไป
“ไม่ปฏิเสธ แสดงว่าเป็นเรื่องจริงสินะ” รอยพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วกวาดสายตามองไปเจ้าหน้าที่ฝึกหัดราว 20-30 คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกเขากำลังรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาของตน
ที่ท้ายแถวนั้น มีเด็กหนุ่มและเด็กสาวรวม 4 คน ที่ทำให้เขาจับจ้องตาไม่กระพริบ
นั่นเพราะบัดนี้ รอยกำลังเชื่อมต่อเข้ากับฐานข้อมูลลับของวัลฮัลลาด้วยเครื่องลิ้งค์แบบพิเศษที่ติดอยู่ในดวงตาเหล็กของเขา แม้ชั้นข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นความลับ แต่ด้วยประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่เขาใช้ และความสามารถในฐานะแฮกเกอร์อันดับต้นๆของดารันดร์ จึงทำให้เขาสามารถเจาะผ่านเข้าไปได้ แต่ก็เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่า หากเจาะเข้าไปลึกมากกว่านี้ ย่อมไม่เป็นผลดี จึงเจาะเอาข้อมูลเฉพาะที่อยากรู้ในขั้นต้นเท่านั้น
ใช้เวลาราว 1 นาที เขาก็ได้ข้อมูลขั้นต้นของเด็กหนุ่มสาวทั้ง 4 คนนั้นมาและบันทึกไว้เรียบร้อย
“…ไหนดูหน่อย”
คนภายนอกที่เดินผ่านไปมานั้น คงคิดว่ารอยกำลังนั่งดูอะไรเรื่อยเปื่อย อันที่จริง สายตาของเขาจ้องไปทางเจ้าหน้าที่สาวๆด้วยซ้ำ ทำให้บางคนคิดว่าเขาเป็นเพียงชายหนุ่มลามกที่มานั่งดูสาวภายในลานเก็บยานนี้ แต่แท้จริงเขากำลังประมวลและสำรวจข้อมูลจำนวนมากที่กำลังแสดงออกมาภายในดวงตาเหล็กของเขาอยู่ด้วยความสนใจ
“กลยุทธ์ไม่เลวเลย ใช้ยานโดยสารฝ่าเข้าดงอุกกาบาต ถ่วงเวลาจนระบบไฮเปอร์บูสเตอร์ใช้งานได้แล้วจึงวาร์ปหนี ออกจระห่ำไปหน่อย แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่มีทางหรอก”
นั่นคือรายงานที่เกิดจากการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายวัลฮัลลาแล้วบันทึกเอาไว้ในรายงาน ซึ่งถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลส่วนบุคคลที่รอยแฮกมาได้ด้วย แต่สิ่งที่รอยรู้สึกฉงนเป็นอีกเรื่อง
จากระยะเวลานับถอยหลังแล้ว แสดงให้เห็นว่ายานของเด็กทั้ง 4 คนนั้นควรจะถูกเซราฟยิงใส่จนพินาศไปก่อนที่จะทำการวาร์ป แต่ราวกับเวลาในการนับถอยหลังเพื่อวาร์ปนั้นถูกอะไรบางอย่างทำให้ร่นเวลาเร็วขึ้น และสามารถวาร์ปหนีออกมาได้ก่อนเวลา ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้
“…ดูเหมือนเราจะเจอเรื่องน่าสนใจเข้าซะแล้ว” รอยพูดเบาๆพลางเผยอยิ้มออกมา
………………………………………………………….
เมื่อพิธีต้อนรับเจ้าหน้าที่ฝึกหัดเสร็จสิ้นลง ชื่อของ รุย อนาสตาเซีย ซิกมันด์ และมาน่า ก็ถูกโอนเข้าสู่หน่วยฝึกหัดที่ 77 และต้องมารายงานตัวอย่างเป็นทางการต่อผู้บังคับบัญชาหน่วยอย่างเป็นทางการ ซึ่งรุยก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่พวกเขาทั้งหมดได้มาอยู่หน่วยเดียวกัน
“ไม่นึกว่าจะต้องมาอยู่หน่วยเดียวกันอีกนะนี่ เขาใช้เกณฑ์อะไรในการคัดเลือกกันนะ” ซิกมันด์พูดขึ้นในขณะที่ทั้งหมดกำลังเดินไปยังจุดรายงานตัวของหน่วย
อนาสตาเซียถอนใจเบาๆ “แล้วคิดว่าฉันอยากอยู่กับคุณชายผู้สูงศักดิ์แบบนายนักหรือ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่กับเธอนักหรอกน่า”
“ก็ได้ เจอหัวหน้าหน่วยเมื่อไหร่ ไปทำเรื่องขอย้ายเลย”
“เออ”
“ทะเลาะกันอีกแล้วสิน่า อันนา ซิกกี้…” มาน่าพูดแทรกขึ้น “แต่เขาว่าคนยิ่งทะเลาะกันจะยิ่งสนิทกันนะ”
“ใครมันจะอยากสนิทกับเจ้านี่ไม่ทราบ” อนาสตาเซียรีบแย้ง
รุยซึ่งเดินนำหน้าสุดและนิ่งเงียบมาตลอดนั้นรู้สึกรำคาญเสียงโหวกเหวกของอีก 3 คนที่เหลืออยู่ไม่น้อย ความจริงแล้วเขาไม่ชอบการอยู่ร่วมกับยคนหมู่มากแถมยังเอาแต่ส่งเสียงเอะอะตลอดเวลาแบบนี้ แต่เมื่อคิดว่าการอยู่ที่วัลฮัลลาและเข้าร่วมหน่วยรบนั้นต้องทำงานเป็นทีมและพบปะผู้คนแล้ว ฝึกให้เคยชินโดยอยู่กับ 3 คนนี้ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว เพราะหากทนเสียงโวยวายของ 3 คนนี้ได้ ก็น่าจะทนกับทุกอย่างได้สบายๆ
“นี่ รุยรุย เป็นอะไรไป เงียบมาตลอดทางเลย” มาน่าชะโงกหน้าถาม
รุยถึงกับขมวดคิ้ว “นั่นชื่ออะไรน่ะ”
“ก็แหม คนอื่นเขามีชื่อเล่นกันหมด ขาดแต่รุยคนเดียว ฉันก็กลัวว่าจะน้อยใจน่ะสิ ก็เลยตั้งให้ซะเลย”
“ชื่อเล่น…มันควรต้องเรียกให้สั้นลงไม่ใช่หรือ”
“ก็ชื่อของนายมันพยางค์เดียวอยู่แล้ว เลยคิดว่าเรียกให้เป็นสองพยางค์แบบอันนาและซิกกี้ไง”
รุยถอนใจเบาๆ “จะเรียกยังไงก็เอาเถอะ”
“งั้นก็ตามนี้นะ” มาน่ายิ้มกว้าง
ไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็มาถึงยังจุดรายงานตัวของหน่วยที่ 77 อันเป็นหน่วยรบที่พวกเขาต้องประจำการอยู่นับจากนี้ไปจนกว่าจะผ่านการทดสอบและได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นนายทหารประจำวัลฮัลลาอย่างเต็มตัว
จุดสำหรับรายงานตัวนั้นคือพื้นที่เฉพาะหน่วย ซึ่งแยกเป็นห้องไว้ให้สมาชิกในแต่ละหน่วยได้ใช้สำหรับจัดการเรื่องในหน่วยของตน ไม่ว่าจะประชุมหรือวางแผนการฝึก รวมถึงกิจกรรมทั่วไป
ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องนั้นมี 2 คน เป็นเด็กหนุ่มและเด็กหญิง ทั้ง 2 มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกของรุย
เด็กหนุ่มนั้นเป็นคนผิวคล้ำ ผมสีดำหยักศก รูปร่างเล็ก ค่อนข้างผอมบาง เขากำลังยุ่งอยู่กับการเชื่อมต่อลิ้งค์ของตนกับเครือข่ายของวัลฮัลลา ซึ่งทำให้เปิดหน้าจอสามมิติจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาเบื้องหน้า แล้วจึงพินิจมันอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเด็กหญิงอีกคนนั้นกำลังนั่งไขว่ห้างพลางหาวด้วยความเบื่อหน่าย เธอมีผมสีน้ำตาลสั้น ผิวขาวเหลือง เมื่อพวกรุยเดินเข้ามาในห้อง เธอก็เหลือบสายตามองเล็กน้อย แต่ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนนั้นไม่มีทีท่าสนใจการมาของพวกเขาเลยสักนิด
“สมาชิกใหม่เหรอ ท่าทางไม่เลวนี่นา” เด็กหญิงโพล่งขึ้น
“แล้วเธอล่ะ อยู่หน่วยนี้เหมือนกันหรือ” ซิกมันด์ถามขึ้นเป็นคนแรก
“ฉันชื่อแพน เมฟาน่า ยินดีที่ได้รู้จัก” เธอพูดพลางโบกมืกให้แล้วมองไปทางเด็กหนุ่มผิวคล้ำอีกคนที่ยังคงอยู่ในโลกส่วนตัวของตน “ส่วนนายนั่นชื่อ ซาฮัด อัสราน…แต่เขาเป็นก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ”
“หมายถึงอะไร” อนาสตาเซียถามขึ้น
“โรคเสพติดข่าวสารข้อมูลไงล่ะ…ที่เรียกกันว่า เน็ตเวิร์คซินโดรม”
“เขาน่ะหรือ” อนาสตาเซียรีบหันไปมองตาม
เด็กหนุ่มที่ชื่อซาฮัดคนนี้ ยังคงไม่สนใจอะไรนอกเสียจากการพินิจข้อมูลข่าวสารต่างๆที่แสดงผ่านทางหน้าจอสามมิติของเครื่องลิ้งค์ไม่หยุด เมื่อหน้าจอหนึ่งหายไป ก็ปรากฏอีกหน้าจอหนึ่งขึ้นมาซ้ำไปมา
“เด็กคนนี้เป็นโรคนี้แล้วทำไมทางวัลฮัลลาถึงยอมให้เขาเข้าร่วมในกองทัพได้” อนาสตาเซียถามกลับ
แพนยิ้มรับ “เดี๋ยวอีกหน่อยก็รู้เอง แต่ว่า…” แพนพูดพลางยื่นหน้าเข้าใกล้อนาสตาเซีย “ดูดีๆแล้วเธอก็เป็นคนสวยเลยนะนี่ น่าเสียดายที่ไม่ยอมแต่งหน้าซะหน่อย” ว่าแล้วแพนก็ชำเลืองไปทางมาน่าที่อยู่ถัดไป “แหม เธอเองก็น่ารักเหมือนกันนะ ดีใจจังที่มีสาวสวยและน่ารักอยู่ร่วมหน่วยด้วยตั้ง 2 คน”
“เอ่อ ขอบคุณที่ชมนะ” อนาสตาเซียพูดพลางถอยฉากออกมา ส่วนมาน่าก็ยิ้มกว้างตอบรับคำชมนั้น
รุยและซิกมันด์กลับไม่ได้รับความสนใจใดๆจากแพนเลย ซิกมันด์รู้สึกตะขิดตะขวงใจจึงแอบกระซิบบอกรุย “เฮ้ คิดว่าผู้หญิงคนนี้ดูแปลกๆไหม”
รุยตอบกลับ “ฉันก็ว่างั้น”
“หรือว่าเธอจะเป็น…เอ่อ…”
“เป็นอะไร”
“คือมันก็…”
ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ที่ก้าวเท้าเข้ามานั้นทำให้ทุกคนในห้องต้องหันไปมองเป็นตาเดียว คนผู้นั้นเป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่ง อายุราว 16-17 ปี เธอมีผมสีดำยาวประบ่า ผิวขาวอมเหลือง ดวงตาคมเรียวดุจเหยี่ยว แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบนายทหารของวัลฮัลลา ซึ่งเป็นชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีฟ้าสลับขาว
“มากันครบแล้วสินะ ดี” เธอพูดด้วยเสียงกังวาน “ฉันร้อยเอกหยาง ซีเม่ย จะมาเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 77 นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งหมดต้องรีบยืนตรงและแสดงท่าทำความเคารพ ยกเว้นเพียงซาฮัดที่ยังคงนั่งเสพข้อมูลข่าวสารผ่านทางเครื่องลิ้งค์อยู่ ซึ่งซีเม่ยเองก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร
“ในหน่วยนี้มีกฏระเบียบง่ายๆอยู่ 2 ข้อ” ซีเม่ยพูดพลางกวาดสายตาไปโดยรอบ ดวงตาอันเรียวแหลมของเธอนั้นราวกับจะสะกดให้ทุกผู้ในห้องนั้นไม่อาจเคลื่อนไหวได้
“กฏข้อ 1 คือ ตราบใดที่พวกนายทุกคนยังอยู่ที่หน่วยนี้ต้องทำตามคำสั่งของฉัน ส่วนกฏข้อ 2 คือ หากทำตามคำสั่งของฉันไม่ได้ก็ออกไปจากหน่วยซะ มีแค่นี้แหละ”
เมื่อพูดจบ ซีเม่ยก็ตรงมาทางแพน ซีเม่ยมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“นึกไม่ถึงว่าฉันจะได้เธอมาเป็นลูกน้องนะ ยัยเลสเปี้ยน”
แพนยิ้มอย่างเบิกบาน ราวกับคำเอ่ยเมื่อครู่เป็นคำชม “ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยก็แล้วกัน คุณหัวหน้า”
อนาสตาเซียถึงกับทำตาโต ในขณะที่แพนแอบส่งยิ้มให้ ซิกมันด์เห็นเช่นนั้นก็หันมากระซิบบอกรุยอีก “นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเลสเปี้ยนจริงๆนะนี่”
“อา…แต่การที่มีหัวหน้าหน่วยเป็นผู้หญิงอายุแค่นี้ก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน” รุยตอบกลับเบาๆ
ซีเม่ยราวกับได้ยินเสียงนั้น เธอหันไปทางกลุ่มเด็กทั้ง 4 คน แล้วตรงมาหยุดที่รุยเป็นคนแรก
“ฉันรู้จักชื่อและข้อมูลเบื้องต้นของพวกนายทุกคนแล้ว แต่นั่นก็แค่ข้อมูล เพื่อที่พวกเราจะได้ทำงานร่วมกันต่อจากนี้ แม้จะแค่เวลาไม่กี่เดือน แต่ฉันก็ต้องการรู้จักตัวตนจริงๆของพวกเธอทั้งหมด แต่ของแบบนั้นจะไม่มีทางรู้ได้หากไม่ได้ร่วมประสบการณ์ต่างๆด้วยกัน ดังนั้น…” สิ้นคำ ซีเม่ยก็กระแทกฝ่ามือไปที่กลางท้องของรุยเต็มแรง
เสี้ยววินาทีก่อนที่ฝ่ามือของซีเม่ยจะมาถึงตัว สันชาตญาณและปฏิกิริยาตอบสนองของรุยก็ทำงานโดยฉับพลัน เขาสะบัดตัวหลบไปด้านข้างและใช้หมัดกระแทกสองฝ่ามือของซีเม่ยเพื่อให้ตกลงไปก่อนถึงตัวเขา และสวนหมัดอีกข้างกลับไป แต่มันโดนเพียงแค่อากาศธาตุ เพราะร่างของซีเม่ยพุ่งถลาเข้ามาประชิดถึงตัวของรุยโดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว พริบตานั้นฝ่ามือของซีเม่ยก็เสยเข้าที่ปลายคางของรุยสุดแรง
ร่างของรุยลอยขึ้นไปด้านบนเหนือพื้นห้องเล็กน้อยแล้วจึงร่วงลงไปกลิ้งนอนบนพื้น
ทั้งหมดได้แต่ตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฝ่ายรุยนั้นหมดสติไปราว 5 วินาที เขาก็รีบลุกขึ้นยืนแต่ก็ไม่อาจทรงตัวไว้ได้ จนต้องทรุดลงไปนั่งบนพื้น
ซีเม่ยหยุดยืนที่เบื้องหน้าของรุย สายตาจ้องมองลงต่ำ
“มีหัวหน้าหน่วยเป็นผู้หญิงอายุแค่นี้แล้วมันยังไงกัน เจ้าหนู ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงและมีอายุมากกว่านายแค่ 2 ปี แต่ในฐานะทหารที่ต้องใช้ชีวิตในสนามรบแล้ว เวลา 2 ปีนั้นมันยิ่งกว่าที่นายจินตนาการเอาไว้มากนักนะ”
รุยลูบที่ปลายคางของตน ความเจ็บปวดนั้นยังคงแล่นอยู่ เขาพยายามฝืนทนแล้วตีหน้านิ่ง “ขอบคุณที่สั่งสอนครับ หัวหน้าหยาง”
ซีเม่ยยิ้มเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซิกมันด์ “เอาล่ะ ต่อไปก็ตานายบ้าง”
“หา” ซิกมันด์ขมวดคิ้ว
“ก็บอกไปก่อนแล้วไงว่า พวกเราจะหาประสบการณ์ร่วมกัน” สิ้นคำ ซีเม่ยก็ปราดเข้าประชิดตัวซิกมันด์ทันที
……………………………………………………..
“เจ็บชะมัด” ซิกมันด์ครางเบาๆในขณะที่เอามือลูบหน้าท้อง เขาถูกซีเม่ยเล่นงานคนละจุดกับรุย แต่ความรุนแรงนั้นไม่ได้ต่างกันเลย
“คิดว่าเป็นการรับน้องใหม่ก็แล้วกัน” รุยยิ้มให้ในขณะที่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอน
สมาชิกในหน่วยเดียวกันนั้นมีกฏว่าต้องนอนร่วมห้องเดียวกัน ทั้งยังไม่แบ่งแยกชายหญิง ดังนั้นสมาชิกในหน่วย 77 จึงต้องแออัดนอนอยู่ในห้องพักเดียวกัน ซึ่งเตียงนอนของทุกคนนั้นถูกจัดเรียงไว้เป็น 3 ชั้น และเตียงนอนของทั้งชายและหญิงในหน่วยนั้นถูกแบ่งเป็น 2 ฟาก อยู่ด้านตรงข้ามกัน ส่วนสัมภาระที่จำเป็นก็มีตู้สำหรับใช้เก็บไว้ให้ที่ข้างเตียง กิจกรรมต่างๆนอกจากเวลานอนแล้ว ต้องทำร่วมกันภายในห้องพักของหน่วย
“อย่าบ่นเลย พวกเราเองก็โดนนะ” อนาสตาเซียยื่นหน้าออกมาจากเตียงของตน เธอเองก็ถูกซีเม่ยอัดเข้าที่กลางท้องจนจุกไปไม่น้อย
“ระบบของวัลฮัลลาไม่แบ่งแยกชายหญิงตามที่ได้ยินมาจริงๆ” รุยพูดขึ้น
“นั่นสินะ แต่แบบนี้ละที่ฉันต้องการ” อนาสตาเซียตอบกลับ “เพราะในสนามรบ ไม่มีการแบ่งแยกเพศอยู่แล้ว มีเพียงแค่ฝ่ยเราหรือศัตรูแค่นั้น”
“ใจเด็ดจริงนะ”
“เพราะฉันเตรียมใจไว้แล้ว ตั้งแต่ก่อนมาที่นี่”
ซิกมันด์หัวเราะเบาๆ “หึ ก็ยังไม่แน่หรอกว่าเธอจะผ่านการทดสอบไหม ตอนนี้พวกเรายังเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ฝึกหัดเท่านั้น ไม่ใช่ทหารเต็มตัว”
“ใช่ แต่ฉันจะทำให้ได้ นายคอยดูไว้เลย”
รุยมองไปที่เตียงด้านล่างสุดของฝั่งผู้หญิง อนาสตาเซียนั้นนอนอยู่ชั้น 2 ส่วนแพนนอนอยู่ชั้น 3 ซึ่งเธอกำลังนอนฟังเพลงผ่านเครื่องลิ้งค์อย่างสบายอารมณ์ ทางฝั่งผู้ชายนั้น ซาฮัดก็ยังคงนั่งเสพข่าวสารของตนอยู่ที่เตียงชั้นบนสุด ส่วนซิกมันด์ก็นั่งบนเตียงชั้น 2
“แล้วมาน่าล่ะ” รุยเอ่ยขึ้น
อนาสตาเซียยื่นหน้าลงไปที่เตียงชั้นล่าง พบว่ามาน่ากำลังนอนหลับเป็นตาย
“ยัยนี่ก็เป็นเสียแบบนี้ เมื่อครู่ยังบ่นหิวอยู่เลย จู่ๆก็หลับได้ซะงั้น”
“เด็กคนนั้น…” รุยตีหน้านิ่ง “หากไม่นับแพนและซาฮัดที่อยู่มาก่อน ในบรรดาพวกเราทั้ง 4 นั้น มาน่าเป็นคนเดียวที่หัวหน้าหยาง…”
อนาสตาเซียหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้ว หลังจากที่ซิกมันด์ถูกซีเม่ยเล่นงานจนหมอบตามไป เธอก็ถูกเล่นงานเป็นลำดับถัดมาโดยที่ไม่มีโอกาสปริปากเลยสักนิด จากนั้นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่คือมาน่า
ในตอนนั้น ซีเม่ยกำลังจะเข้าเล่นงานใส่มาน่าแบบเดียวกับที่จัดการพวกเธอทั้ง 3 คน แต่แล้วมาน่ากลับเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน เธอพุ่งปราดเข้าใส่ซีเม่ยด้วยสีหน้าและท่าทางสนุกสนานเต็มที่ราวกับกำลังเจอของเล่นก็ไม่ปาน ซีเม่ยสามารถตั้งรับมาน่าไว้ได้แล้วสวนกลับอย่างรุนแรง แต่มาน่ากลับหลบหลีกการโจมตีของซีเม่ยได้จนหมด
ซีเม่ยเองก็ดูจะชอบใจและตื่นเต้นเป็นพิเศษ แม้จะไม่อาจเล่นงานเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ได้ ทันใดนั้นก็มีการติดต่อผ่านเข้ามาทางเครื่องลิ้งค์พร้อมทั้งคำสั่งทางทหารบางอย่าง ซีเม่ยจึงเป็นฝ่ายเลิกราเองแล้วออกไปจากห้อง จากนั้นแพนก็นำทางพวกเขาทั้งหมดมาพักผ่อนที่ห้องพักนี้
“คงต้องมองเด็กตัวแสบนี่ใหม่เสียแล้ว” อนาสตาเซียพูดด้วยรอยยิ้ม “คนที่จะสามารถมาที่วัลฮัลลาได้ ต้องมีดีอะไรสักอย่างจริงๆนั่นแหละ”
“วิชาต่อสู้ของยัยแสบนั่นดูไม่คุ้นเอาเสียเลยนะ” ซิกมันด์แทรกขึ้นบ้าง
คำพูดของซิกมันด์ทำให้อนาสตาเซียหวนนึกถึงเหตุการณ์บนยานโดยสาร ตอนนั้นมาน่าสามารถทำให้ผู้ช่วยนักบินที่ถูกอะไรบางอย่างควบคุมจิตใจล้มลงหมดสติได้โดยการใช้ฝ่ามือแนบไปที่ท้ายทอยและออกแรงเบาๆเท่านั้น
และอีกเรื่องที่ยังคงประทับในจิตใจของเธอก็คือ ตอนที่เธอไม่อาจระงับความกลัวเพราะถูกภาพความทรงจำในอดีตของพวกเซราฟหลอกหลอนได้นั้น คนที่ทำให้เธอกลับมาตั้งสติได้อีกครั้งก็คือมาน่า เพียงแค่อีกฝ่ายโอบกอดเธอและกระซิบด้วยถ้อยคำเรียบง่ายเท่านั้นเอง
ถึงตอนนี้ ความรู้สึกอบอุ่นนั้นก็ยังคงหลงเหลืออยู่
ทันใดนั้น เสียงร้องโครกครากก็ดังออกมาจากท้องของมาน่า เสียงนั้นดังและต่อเนื่องยาวนานเสียจนทุกคนในห้องนั้นต้องตกตะลึง กระทั่งซาฮัดซึ่งเอาแต่เสพติดข่าวสารยังแอบชำเลืองตามอง
“หิวแล้ว…” มาน่าลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน เธอกวาดสายตาไปรอบด้าน แล้วกระโดดออกจากเตียง ปีนขึ้นไปยังเตียงชั้น 2 ของอนาสตาเซีย
“เราควรต้องได้กินอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ ไปหาอะไรกินกันเถอะ”
อนาสตาเซียเกาศีรษะเบาๆ แล้วนึกขึ้นได้จึงตรวจสอบเวลาจากในเครื่องลิ้งค์ “จริงสิ เมื่อลองปรับเวลาตามเกณฑ์ของวัลฮัลลาแล้ว เท่ากับว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้วนี่นา”
“อืม น่าสนใจแฮะ เสียงท้องร้องนั่นเท่ากับเป็นเครื่องบอกเวลากลายๆสินะ” ซิกมันด์พยักเพยิดหน้าอย่างจริงจัง เรียกเสียงหัวเราะจากอนาสตาเซียโดยไม่ตั้งใจ
รุยยิ้มรับเล็กน้อย เขารู้สึกว่าแต่ละคนมีบรรยากาศสบายๆและเป็นกันเองมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นแบบนี้ก็ไม่เลว
“…ฮิฮิ…สนุกสินะ…”
รุยถึงกับตาลุก เสียงกระซิบนั้นแว่วอยู่ที่ข้างหูของเขาอย่างแผ่วเบา ราวกับดังออกมาจากในสมองของเขาเอง
“เป็นอะไรไป สีหน้าไม่ดีเลย” ซิกมันด์ทักขึ้น
“เปล่า ไม่มีอะไร” รุยรีบตอบ
เขาจำเสียงนั้นได้…ไม่ผิดแน่…แต่ทำไมถึง หรือว่าวิญญาณจะมีอยู่จริง…ไม่หรอก…เขาแค่คิดไปเองเท่านั้น เหตุเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีวันจางหายเท่านั้น
แต่แล้วทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่า…เธอคนนั้นกำลังอยู่กระซิบข้างๆเขา…
…ยูวี่
สามารถตามอ่านได้อีกเว็บที่ http://writer.dek-d.com/eagle/story/view.php?id=592832 นะครับ
แต่ผมก็จะเอามาลงที่ต่อเรื่อยๆเหมือนกัน
ขออนุญาตใส่ tag more นะครับ
มีต่อจนจบ บทที่ 31 ตาม link นี้ครับ
http://writer.dek-d.com/eagle/story/view.php?id=592832