ตอนที่ 6…
เอ็มรู้สึกสบายๆ เขาชอบสภาพอากาศของดาวหมายเลข 8 ดวงนี้ แม้จะยืนอยู่บนลานกว้างนอกสถานีอวกาศแห่งยานเบทิวเดียม หลังตะวันเริ่มคล้อยตัวจากองศาตั้งฉากในช่วงบ่าย ไม่มีอะไรให้บังแดดจ้า แต่ว่าแสงอาทิตย์ก็ไม่ได้ดุดันพอจะส่งผ่านความร้อนให้มีผลต่อร่างกายเขาได้เลย
เบื้องหน้ามีวัตถุทรงรีวางอยู่บนโต๊ะ ห่างออกไปไม่ไกล ยานเบทิวเดียม 113 จอดนิ่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่บนยานและทหารลำเลียงสัมภาระต่างๆ ขึ้น หัวหน้าทหารมองวัตถุตรงหน้าอย่างสนใจ บัดนี้ได้คำตอบแก่ตัวเองหนึ่งข้อแล้ว หลังออกจากประชุมแล้วเกิดปัญหาคาใจว่า มนุษย์ 12 คนจะสู้เคอร์คิเจียนประมาณ 100 ตัวได้อย่างไรไหว
เอ็มยก ‘เจ้าคำตอบ’ นั้นขึ้น นวัตกรรมทางทหารชิ้นล่าสุด วัตถุสีขาวเคลือบสีน้ำเงินตรงปลาย รูปทรงรียาวประมาณหนึ่งท่อนแขนครึ่ง ส่วนท้ายออกแบบให้ยึดกับแขนตรงใกล้ข้อพับ และมีจุดยึดอีกจุดตรงข้อมือ เพื่อที่มันจะสามารถเคลื่อนไหวไปพร้อมกับลักษณะการแกว่งแขนของผู้ใช้ ส่วนปลายเป็นลูกแก้วใสขนาดเท่านิ้วโป้งโผล่ออกมาประมาณครึ่งลูก
อาวุธชิ้นนี้มีจุดวางมือสองจุด จุดแรกใช้สำหรับรับน้ำหนัก ผู้ใช้จะเอามือเข้ามารับและประคอง ส่วนจุดที่สอง เมื่อแขนถูกยึดเข้ากับอาวุธแล้ว มือจะถูกวางรูปเข้ามาสัมผัสที่จอกระจกเอง นอกจากใช้เพื่อเป็นส่วนยืนยันคำสั่งสังหาร มันยังสามารถสแกนลายนิ้วมือ หากลายนิ้วมือไม่ตรงกับที่ระบุไว้ ส่วนที่ยึดกับแขนจะล็อคไม่ยอมปล่อย และจะทำลายตัวเองในลำดับถัดมา
“เรียกมันว่า ทูทูโพโบ” เดฟยืนอยู่ด้วยเอ่ยขึ้น
เอ็มพยักหน้า เขาเคยได้ยินชื่ออาวุธชนิดนี้ มีโอกาศทดลองใช้แค่ 2-3 ครั้ง ‘โพโบ’ เป็นชื่อแร่ธาติชนิดหนึ่ง ผิวยานเบทิวเดียมก็ทำมาจากแร่ธาติชนิดนี้เช่นกัน มันมีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นสูงกว่าแร่ธาติใดๆ ถึงกับเคยเชื่อกันว่าเป็นแร่ธาติที่ไม่สามารถทำลายได้ กระทั่งมีผู้คิดค้นอาวุธชิ้นหนึ่งขึ้นมา มันจะยิงลำแสงสีฟ้าผ่านลูกแก้วเข้าไปในวัตถุ จากนั้นจะแยกโมเลกุลทั้งหมดออกจากกัน และยังก่อเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อโมเลกุลอื่นๆ อีก พูดง่ายๆ ก็คือวัตถุเมื่อถูกแสงนี้เข้าไปจะแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงและหายไปในที่สุด อย่าว่าแต่ผิวของเคอร์คิเจียน แม้แต่แร่โพโบเองก็ไม่เหลือซาก อาวุธชิ้นนี้จึงพ่วงตำแหน่งสุดยอดความลับด้วยเช่นกัน หากตกไปอยู่ในมือฝ่ายคนชั่วเข้า มันไม่ยากเลยถ้าคนเหล่านั้นจะใช้มันสอยยานเบทิวเดียว ส่วน ‘ทูทู’ คือเสียงเมื่อมีการปล่อยแสงสังหาร ด้วยเหตุนี้มันจึงมีชื่อว่า … ทูทูโพโบ…
“เป็นอาวุธที่เหมาะแก่การล่าสังหาร และทำลายหลักฐาน” เอ็มย้ำตรงท้ายประโยค เขาจ้องหน้าเดฟ อีกฝ่ายจ้องกลับมาเหมือนกัน
“เป็นอาวุธที่มีอำนาจการทำลายสูงมากกว่า” เดฟแย้ง
“ดูท่าแล้ว คุณคงไม่อยากจับเป็นเซอุสสักเท่าไร” หัวหน้าทหารเอ่ย เขาค่อยๆ วางทูทูโพโบลง แล้วหันหน้ามาหาเดฟอีกครั้ง “อำนาจการทำลายของอาวุธชิ้นนี้มันดีเยี่ยมก็จริง แต่ถ้ามองมันอีกมุม ก็เหมือนกับว่าเราจงใจทำลายหลักฐานด้วย ทูทูโพโบจะสอยพวกเคอร์คิเจียนอย่างกับไม่เคยมีพวกมันเกิดขึ้นในจักรวาลมาก่อน”
เดฟพยักหน้า “คุณต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเคอร์คิเจียนมีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย มันมีทั้งพวกที่นับถือเขาและพวกที่อยากให้เขาตาย”
“ให้เขาตาย…” เอ็มย้ำ
เดฟส่ายหน้า “ผมหมายถึงพวกที่อยากให้เซอุสถูกจัดการ สำหรับพวกที่ต้องการยุติสงคราม เซอุสจะเป็นยังไงก็ช่าง ไม่มีใครสนเรื่องอยู่หรือตายของเขาหรอก แต่กับพวกที่เคยจงรักภักดีต่อพ่อเขา-พวกที่เคารพยำเกรงในตัวเขา ถ้าข่าวพวกมนุษย์ลอบสังหารเขาแพร่สะพัดออกไป ลองคิดดู มันเท่ากับเป็นการจุดชนวนสงครามดีๆ นี่เอง”
“ถ้าจะจับตาย ก็อย่าให้เหลือซาก…” เอ็มเอ่ยขึ้นลอยๆ
“คุณคิดว่าจะสามารถจับเป็นเขาได้ไหมล่ะ” เดฟท้าทาย
เอ็มไม่ว่าอะไรต่อ ไม่มีประโยชน์จะหาเรื่องทะเลาะกันตอนนี้ เขาแค่อยากลองใจอีกฝ่าย อยากดูปฏิกิริยาก็เท่านั้น เอ็มเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า จะไว้ใจเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลคนนี้ไม่ได้ทั้งหมด เขาได้กลิ่นแปลกๆ มีช่องโหว่ให้สงสัยหลายอย่าง ในดินแดนของความไว้ใจ คนขี้สงสัยได้เป็นราชา เอ็มเชื่อเช่นนั้น..
“ลูกแก้วนี้…” เอ็มพินิจวัตถุตรงส่วนปลายของทูทูโพโบ เขารู้สึกคุ้น เหมือนเคยเห็นมาก่อน
“เป็นแร่ X ของพวกเคอร์คิเจียนนั่นแหละ แสงจะวิ่งผ่านมันก่อนกระทบกับวัตถุเป้าหมาย” เดฟยกทูทูโพโบขึ้น สัมผัสหน้าจอกระจกตรงส่วนหัว ก่อนที่ส่วนท้ายจะเปิดออกมา
“พลังงานก็เป็นแร่ X เหมือนกัน” เขายื่นให้เอ็มดู
หัวหน้าทหารจำได้ว่าอาวุธชิ้นนี้เพิ่งบรรจุเข้ากองกำลังเมื่อ 2 ปีก่อน แต่น้อยคนนักที่จะได้ใช้ เขายอมรับว่ามันเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม แต่ที่ยอดยิ่งกว่านั้นคือคนสร้าง เขานึกภาพคนแก่ผมขาวหัวฟู ยืนหลังค่อม ลักษณะบอกถึงความเป็นนักวิชาการ คนตามภาพนี้ในหัวสมองของเอ็มเท่านั้น จึงจะเป็นคนสร้างอาวุธชิ้นนี้ขึ้นได้
“คนที่ออกแบบมัน ก็จะไปกับเราด้วย” เดฟเอ่ยขึ้น เหมือนได้ยินที่เอ็มกำลังคิด
เอ็มนึกอยู่สักพัก มั่นใจว่าไม่ใช่เชโก้แน่ เขาคงเป็นบ้าถ้าลูกน้องในทีมอย่างเชโก้ จะสามารถสร้างของเหลือเชื่อแบบนี้ได้ แต่ถ้าเป็นณอห์ณหัวหน้าทีมวิศกรก็อาจมีสิทธิ์
“พอจะบอกได้ไหมว่าเขาเป็นใคร” เอ็มถามในที่สุด เขาอยากรู้จริงๆ
“ไม่ใช่ เขา…” เดฟตอบ “แต่เป็นเธอต่างหาก”
เอ็มขมวดคิ้วสงสัย เดฟยิ้มแล้วส่ายหน้า
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณได้รู้แน่ คุณหัวหน้าทหาร”
เอ็มพยักหน้าเป็นเชิงว่า…แล้วแต่ ทั้งสองได้ยินเสียงเครื่องจักรดังเป็นจังหวะแว่วมาจากด้านหลัง จึงหันกลับไปมองพร้อมกัน หุ่นรบสองตัวกำลังเดินเข้าไปในยาน ตัวที่เดินนำหน้าพอมองออกได้ว่าเป็นเชโก้ที่บังคับ ส่วนตัวหลังมีนีล่าเป็นคนควบคุม
หุ่นรบสูงเท่ากับคนสองคนต่อตัวกัน ผู้บังคับจะอยู่ภายใน เสมือนหุ่นรบเป็นเกราะ มันทำงานในระบบกึ่งอัตโนมัติ ยกตัวอย่างในสถานการณ์ที่ถูกโปรแกรมมา เช่น ต่อสู้กับผลซุ่มยิงระยะไกล หรือในสถาการณ์ที่ศัตรูมีไม่มาก ผู้ควบคุมจะมีหน้าที่เพียงบังคับทิศทาง ส่วนหน้าที่เลือกเป้าและสังหารจะเป็นหน้าที่สมองกลของหุ่นเอง แต่หากตกอยู่ในภาวะที่ต้องใช้การตัดสินใจ ผู้บังคับก็สามารถควบคุมหุ่นรบได้อย่างเบ็ดเสร็จทั้งหมด
เอ็มกับเดฟยืนมองนิ่ง
“คุณอยากให้เราใช้หุ่นรบในภารกิจนี้ด้วยเหรอ” เอ็มถามขึ้น ตายังมองค้างที่หุ่นทั้งสองตัว
“มีแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี” เดฟตอบ “แต่ทายซิ ผมเพิ่มอะไรเข้าไปด้วย”
เอ็มหันกลับมามองเจ้าหน้าที่จากรัฐบาล แล้วตอบ
“ทูทูโพโบ…”
เดฟพยักหน้ายิ้มให้ แล้วเดินจากไป
**************************************************************
แอลลี่มานั่งรออยู่ที่ห้องกัปตันแมกซ์ หลังจบการประชุมแล้วกัปตันขอนัดคุยอีกรอบ หญิงสาวมองดูรูปที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นภาพของชายสองคนยืนกอดคอกัน คนซ้ายคือกัปตันแมกซ์สมัยยังหนุ่ม หุ่นสมัยนี้ยังไม่ต่างจากเมื่อก่อนด้วยซ้ำ ส่วนคนขวา…คือพ่อของเธอเอง กัปตันวาสเซล คุก
“รอนานไหม” เสียงกัปตันแมกซ์ดังขึ้น แอลลี่รีบลุกขึ้นทำความเคารพ
“ไม่เอาน่าแอลลี่ อย่าพิธีรีตรองขนาดนั้นเลย” กัปตันบอก แล้วเดินวนไปนั่งที่เก้าอี้ใหญ่ประจำตำแหน่งตรงข้ามแอลลี่ หญิงสาวค่อยๆ นั่งลงตาม
กัปตันมองแอลลี่อยู่นาน เหมือนจะพูดบางอย่างแต่ยังไม่กล้าจะเอ่ย
“เอาเป็นว่า…ลุงอยากให้หนูถอนตัวซะ” กัปตันตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด อีกฝ่ายหน้าเสียทันที
“แต่กัปตันเป็นคนเลือกหนูมานี่คะ”
“นั่นมันก่อนที่ลุงจะรู้เรื่องภารกิจ” กัปตันบอก พลางเอนหลังลงพิงพนักเก้าอี้ “มันผิดเรื่องจรรยาบรรณ หนูเป็นลูกสาวของผู้เคราะห์ร้าย ควรจะได้ดูคนผิดมารับโทษ ไม่ใช่ไปไล่ล่าจับคนผิดด้วยตัวเอง”
“แต่…” แอลลี่กำลังจะเถียง กัปตันกำหมัดวางมือลงบนโต๊ะเบาๆ ค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้ามาหาเธอ
“ฟังนะแอลลี่ ภารกิจนี้มันกลายเป็นภารกิจทางทหารไปแล้ว หนูมีค่าเกินกว่าจะไปเสี่ยงในสมรภูมิ”
แอลลี่มองดูรูปบนโต๊ะของกัปตันอีกครั้ง เขากำลังยิ้มให้เธอ กัปตันวาสเซล คุก เธอเสียใจทุกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาตายอย่างไร แต่สาเหตุที่เสียใจที่สุดคือ เธอไม่รู้สึกอะไรกับการจากไปของเขาเลย เธอเด็กเกินกว่าจะจดจำเขาได้ เด็กเกินกว่าจะรู้สึกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก แม่และทุกคนต่างเล่าถึงวีรกรรมของเขาให้เธอฟังตลอด สำหรับเธอแล้ว ได้รู้จักเขาเท่าๆ กับที่คนอื่นรู้ กัปตันวาสเซล คุก ผู้เป็นทั้งฮีโร่และผู้เสียสละ แต่…สิ่งที่ลูกคนหนึ่งควรจะรู้เกี่ยวกับพ่อตัวเอง อย่างเช่น ความรัก มันกลับไม่เคยมี…
“ถ้าไม่ใช่ภารกิจนี้ กัปตันเลือกหนูเพราะอะไร” แอลลี่ถาม น้ำเสียงเคร่งขรึม
“หนูเป็นคนเก่งจริง ทูทูโพโบเป็นเครื่องยืนยันได้อยู่แล้ว” กัปตันตอบ
“ไม่ใช่เพราะพ่อหนู ใช่ไหม”
“ไม่ใช่แน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นภารกิจนี้ หนูก็มีสิทธิ์” แอลลี่เริ่มตาแดง “หนูมีสิทธิ์เพราะความสามารถ กัปตันเลือกหนูเพราะอย่างนี้นี่”
กัปตันถอนหายใจ
“ตอนที่พ่อหนูตาย ลุงสงสารแม่ของหนูมาก ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง…”
เสียงขาดห้วงไป
กัปตันหมุนเก้าอี้หันกลับไปมองอีกฝั่ง ด้านหน้าเป็นภูเขาใหญ่สองลูก ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงนี้ในตอนเช้าเสมอ ทว่ายามนี้แสงแดดอ่อนแรงแล้ว แสงสีส้มเริ่มฉาบตัวอาคารบ้านเรือน เงาดำทาบตัวไปในทิศทางที่พระอาทิตย์จากมาในเมื่อเช้า กัปตันหลับตานึก หลายคนคงเริ่มทยอยกลับบ้าน สามีกลับไปหาภรรยา พ่อกลับไปหาลูก…กัปตันลืมตา หันกลับมามองแอลลี่ เหมือนกำลังเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งร้องไห้โยเยเมื่อหลายปีก่อน
…และลูกก็กำลังจะกลับไปหาพ่อ…
แอลลี่มองมายังเขา ตาคู่นั้นเหมือนพ่อเธอมาก มันอ่อนโยนแต่ก็แฝงความเด็ดเดี่ยวอยู่ด้วย
“ได้โปรดนะคะกัปตัน” แอลลี่อ้อนวอน
กัปตันแมกซ์ยังมองตาคู่นั้นนิ่ง เขาเดินเข้ามาใกล้เธอ
“หนูต้องสัญญานะ…” เขาเอ่ย “สัญญาว่าเมื่ออยู่บนนั้นจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของลุง”
แอลลี่พยักหน้า
“สัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
แอลลี่พยักหน้าอีกครั้ง
เธอเอ่ยกล่าวขอบคุณแก่กัปตัน แล้วลุกขึ้นกอดเขาเหมือนหลานสาวกอดลุงแก่ๆ คนหนึ่ง จบการสนทนา แอลลี่ผลักประตูกระจกออกไป ไม่อยากรบกวนเวลากัปตันไปมากกว่านี้
“เดี๋ยวก่อนแอลลี่” เสียงกัปตันเรียก แอลลี่ง้างประตูค้างไว้รอฟัง
“คุยกับแม่ด้วยคืนนี้” กัปตันเอ่ย “คุยกับคนที่ตัวเองรักและเคารพก่อนท่องจักรวาล มันเป็นธรรมเนียมที่นักเดินทางบนยานเบทิวเดียวทำกันทุกคน”
“ค่ะ หนูจะคุยกับแม่แน่นอนค่ะ” แอลลี่พยักหน้าแล้วยิ้มให้
เธอเดินออกไปในที่สุด กัปตันมองตาม เขาโกหกเธอเรื่องธรรมเนียม แค่ไม่อยากให้เหมือนพ่อเธอที่ถือเคล็ดไม่เอ่ยคำร่ำลา สุดท้ายก็ไม่ได้บอกอะไรกับใครจริงๆ แม้แต่คนที่ตัวเองรัก ทั้งภรรยาหรือเพื่อนสนิท ก็ยังไร้คำร่ำลาด้วยซ้ำ…
ตอนที่ 7…
เช้าของวันใหม่ เวลา 8.30 น. ทีมภารกิจทั้ง 19 ชีวิต ไม่นับรวมเจ้าหน้าที่บนยานและกัปตัน มาพร้อมกันที่เทอมินอลหมายเลข 11 ซึ่งเป็นจุดรวมพลก่อนขึ้นยานเบทิวเดียม 113
ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีขาว รองเท้าบูทสีเดียวกัน ตรงหน้าอกด้านซ้ายมีช่องให้เสียบการ์ด มีแถบเรืองแสงติดที่แขน ยาวตั้งแต่หัวไหล่ถึงข้อมือ สวมทับด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาอีกชั้น มีช่องเสียบการ์ดเหมือนกับชุดด้านใน เหล่านักเดินทางจะอ่านประสบการณ์ของเพื่อนจากสภาพเสื้อแจ๊กเก็ต หากเสื้อของใครมีสภาพเก่าคร่ำคร่า ก็สามารถเดาได้เลยว่า ผู้นั้นต้องมีประสบการณ์ท่องอวกาศมาอย่างโชกโชน
เอ็มสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสภาพเยินแบบนั้น กำลังยืนมองผ่านกระจกออกไปสู่ยานเบทิวเดียม 113 ที่จอดอยู่บนลานบินออกไปไกล มีวัตถุเล็กๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาหาเทอมินอลนี้ เป็นพาหนะที่กำลังมารับทีมภารกิจทั้งหมดนั่นเอง
หัวหน้าทหารหนุ่มหันกลับมาหาลูกทีม เชโก้เม้มปากแน่น กำลังลุ้นอยู่กับบางอย่างในจอกระจอเล็กๆ ในมือ นีล่านั่งอยู่ใกล้ คอพับไปบนพนักพิง มีหมวกแก๊ปปิดหน้า เธอเป็นทหารที่ดี ยึดหลักปฎิบัติ ‘นอนได้เมื่อยังมีโอกาศ’ ส่วนลูกทีมคนอื่น ต่างพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
ลองมองไปที่พวกนักวิทยาศาสตร์กับวิศกรบ้าง พวกนี้มีกันอยู่น้อยคน อาจมีเรื่องการเป็นส่วนเกินของทีมภารกิจกวนใจ เอ็มคิด…พวกเขาถึงได้อยู่แต่ในกลุ่มของตน
ทว่ามีอีกคนที่เหมือนไม่อยากเข้ากลุ่มกับใคร เอ็มมองเธอ นั่งคนเดียวบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ถ้ามีใครให้สนิทด้วยก็คงไม่ปล่อยเธอนั่งโดดเดี่ยวแบบนี้ หญิงสาวกำลังบันทึกบางอย่างลงบนจอกระจกเหมือนของเชโก้ ก้มหน้า-ทำปากจู๋ วันนี้เธอรวบผม จึงมองเห็นต้นคอขาว หน้าผากกว้าง ตาสวย ใช่…เธอสวย เอ็มยิ้ม
เหมือนรู้ตัว แอลลี่เงยหน้าขึ้นมอง เอ็มรีบหลบตา…
เดฟเรียกทั้งหมดรวมพล พาหนะมาจอดอยู่ตรงหน้าประตูทางออกแล้ว นิโก้และเดฟช่วยกันผลักประตูกระจกของอาคารออกไป
เดฟให้สัญญาณเรียกทีมนักวิทยาศาสตร์กับวิศกรขึ้นบนพาหนะก่อน แอลลี่เป็นคนที่สามที่ก้าวขึ้นไป ถัดมาเป็นกลุ่มทหาร เอ็มขึ้นเป็นคนสุดท้าย แอลลี่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากัน เอ็มพยักหน้ายิ้มให้ แอลลี่ยิ้มรับ
พาหนะค่อยๆ เคลื่อนตัว เดฟกับนิโก้ยังไม่มาด้วย เอ็มชะเง้อคอมองผ่านกระจกของพาหนะดูเจ้าหน้าที่ทั้งสอง เห็นเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มตามมาสมทบ กำลังยืนคุยอยู่กับเดฟและนิโก้ตรงประตูเทอมินอลหมายเลข 11
ทัศนียภาพข้างทางจืดชืด มีแต่ลานกว้างๆ กับพื้นที่ว่างเปล่า เอ็มเปลี่ยนกลับมามองข้างใน รู้สึกถึงแววตาแอลลี่จึงหันมอง แต่เธอไม่ได้สน แอลลี่เห็นเขาหันมา จึงมองกลับบ้าง สองสายตาเลยประสานกันแบบไม่ตั้งใจ เอ็มรู้สึกประหม่าเลยเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน
“คุณเคยเดินทางกับยานเบทิวเดียวมาก่อนรึเปล่า” นึกด่าตัวเองที่ถามโง่ๆ พลเรือนอายุน้อยแบบนี้คงมีสิทธิ์อยู่หรอก เขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
“ไม่เคยเลยค่ะ” แอลลี่ส่ายหน้า “นี่ครั้งแรกของฉัน”
เอ็มพยักหน้าแล้วยิ้ม เช้านี้เขาทำ ‘พยักหน้า’ กับ ‘ยิ้ม’ มากี่ครั้งแล้วนะ เขาคิด…
พาหนะค่อยๆ ลดความเร็วและจอดนิ่งในที่สุด ประตูเปิดออก เอ็มโดดลงไปก่อน แอลลี่ขยับตัวลุกตาม เขายื่นมือไปให้เธอจับ หญิงสาวยิ้ม จับมือเขาไว้แล้วค่อยๆ เดินลงจากพาหนะอย่างเขินๆ
ยานเบทิวเดียม 113 ตระหง่านตรงหน้าแล้ว ยึดอยู่บนแท่นสร้างแรงผลักสีดำทมึน ความสูงเท่าตึกสิบชั้น กว้างพอจอดยานเบทิวเดียมได้สบาย ไกลขึ้นไปบนฟ้าเป็นเส้นตรงกว่า 300,000 กิโลเมตร มีแท่นสร้างแรงดูดลอยอยู่ ทั้งสองแท่นจะออกแรงผลักและดูดต่อวัตถุที่ถูกเข้ารหัสไว้ ทำให้วัตถุที่ถูกกำหนดเท่านั้นจึงจะสามารถลอยตัวออกไปนอกชั้นบรรยากาศจนถึงจุดมาร์คได้
ทีมทหารรู้สึกเฉยๆ พวกเขานอนบนยานเบทิวเดียมบ่อยกว่าบ้านเสียอีก ภาพตรงหน้าเหล่านี้จึงไม่ใช่ของใหม่ ไม่มีอะไรให้ชวนตะลึง ต่างกับทีมงานวิทยาศาสตร์และวิศกร นี่คือครั้งแรกของพวกเขา ทุกคนยืนมองตาเป็นประกาย โดยเฉพาะแอลลี่ เธอพยายามแหงนมองส่วนยอดสุดของยานจนคางเล็กๆ เชิดขึ้น
“เชิญทุกท่านค่ะ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นตรงประตูทางเข้าแท่นสร้างแรงผลัก เคท-เจ้าหน้าที่บนยานมารอต้อนรับ เธออยุ่ในชุดสีน้ำเงินรัดรูป หุ่นสมส่วน เอ็มได้ยินเชโก้ร้องว๊าวมาจากด้านหลัง
จากนั้นเคทพาทุกคนขึ้นทางเดินเลื่อน ตรงไปราวยี่สิบนาที ขึ้นลิฟท์อีกสิบชั้น แล้วโผล่ตรงบันไดทางขึ้นขนาดใหญ่ ใต้ท้องยานเบทิวเดียม 113
เคทกางมือเชิญ ทหารเดินเข้าไปก่อน เชโก้ผิวปาก เดินผ่านเคทแล้วเหลือบตามอง
ภายในยานเบทิวเดียม 113 ส่วนนี้เป็นลานกว้าง แอลลี่เดาว่าน่าจะเป็นโซนเก็บของและลำเลียงสำภาระ ใหญ่โอ่โถง มีกลิ่นเครื่องจักร อากาศอบอุ่น และมียานจู่โจมอีกสองลำจอดอยู่
“ยานเบทิวเดียว 113 ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ” เสียงชายหนุ่มดังก้องขึ้นในยาน น้ำเสียงเรียบเชียบชาเฉย แอลลี่พยายามหันมองหาต้นเสียงนั้น “ผมชื่อจอห์น เป็นโปรแกรมควบคุมยานแบบอัตโนมัติ ไม่มีรูปลักษณ์ มีเพียงเสียงเท่านั้นที่ระบุตัวตนผมได้”
กลุ่มทหารเดินตรงไปที่โต๊ะลงทะเบียน ไม่มีใครในกลุ่มสนใจฟังเสียงจอห์นเลยแม้แต่น้อย
“ขั้นตอนแรกเชิญทุกท่านไปที่โต๊ะลงทะเบียนเพื่อรับการ์ดประจำตัวและหมวกนิรภัยครับ” เสียงจอห์นดังขึ้นอีกครั้ง
แอลลี่และกลุ่มเดินมาต่อแถวทหาร ถึงคิวของแอลลี่ เคทไม่ถามชื่อเธอด้วยซ้ำ ยื่นการ์ดกับหมวกให้พร้อมรอยยิ้ม
แอลลี่พลิกการ์ดขึ้นดูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เธอรู้ว่าต้องเสียบมันตรงช่องหน้าอกซ้าย แต่ไม่รู้จะพลิกด้านไหนเข้า มองซ้าย-ขวาเจอเอ็มมองอยู่ เขายกการ์ดขึ้นมา เอานิ้วชี้ด้านที่ถูกต้อง แล้วทำท่าเสียบเข้าไปในช่องตรงหน้าอกซ้ายของตัวเอง แอลลี่ทำตาม-เสียบการ์ดเข้าไป
แถบเรืองแสงข้างแขนทั้งสองข้างพลันสว่างขึ้นทันที ของแอลลี่และทีมงานเป็นสีส้ม ส่วนของกลุ่มทหารเป็นสีน้ำเงิน
แอลลี่ยอมรับกับตัวเองว่าตื่นเต้น พยายามเก็บความประหม่าไว้ เธอเป่าปากออกมาเพื่อไล่ความตื่นกลัว
เสียงจอห์นสั่งให้ทีมภารกิจทุกคนไปรวมตัวที่ห้องควบคุมยาน ใกล้เวลาท่องอวกาศแล้ว แอลลี่เป่าปากอีกครั้ง แล้วออกเดิน…
*******************************************************
เคทป้อนรหัสลงไปในแผ่นจอกระจกเล็กๆ ข้างประตูยาน จากนั้นประตูที่ทำจากแร่โพโบจึงเลื่อนเปิดออกอัตโนมัติ รอบนี้ทหารไม่ได้เป็นฝ่ายนำเข้าไปก่อน เป็นระเบียบปฏิบัติของยาน ที่กำหนดไว้ว่าผู้มาใหม่จะได้เข้าห้องควบคุมก่อน และผู้เข้าห้องควบคุมทีหลัง จะต้องตรวจตรามองหาความผิดพลาดที่อาจจะเกิดจากนักเดินทางมือใหม่ หากพบเจอก็ให้รีบแจ้งต่อกัปตันทันที
เอ็มเข้าเป็นคนรองสุดท้าย เดฟกับนีโก้มาทันพอดี เจ้าหน้าที่สองคนดูไร้ความตื่นเต้น เดินมาแบบสบายๆ คงเคยชินกับยานเบทิวเดียมมาก่อน เคทตรวจดูทุกอย่างนอกประตูอีกครั้ง ก่อนเดินเข้ามาภายในห้องควบคุม ใส่รหัสตรงประตูเหมือนเดิม จากนั้นประตูจึงเลื่อนปิดสนิท
เคทเดินฝ่าทีมนักวิทยาศาสตร์กับวิศวกรที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้า แล้วพาพวกเขาไปนั่งประจำที่ของตน พวกทหารรู้งานราวกับท่องจำได้ขึ้นใจ แต่ละคนรู้ตำแหน่งที่นั่งของตนอย่างแม่นยำ ที่นั่งเรียงแถวละสิบ-มีสามแถว ทั้ง 19 คนนั่งประจำที่เรียบร้อย แอลลี่นั่งอยู่หน้าสุดของแถวแรก เอ็มนั่งแถวที่สองลำดับที่ห้า ด้านหน้าเป็นเชโก้ ส่วนนีล่านั่งคนแรกของแถวสาม และเจ้าหน้าที่เดฟกับนิโก้นั่งแถวเดียวกับนีล่าแต่ว่าอยู่หลังสุด
ภายในห้องควบคุมเงียบเชียบ จนทำให้แอลลี่สามารถได้ยินเสียงลมหายใจภายใต้หมวกนิรภัยของเพื่อนร่วมทางหลายคน เธอนั่งหน้าสุดจึงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ส่วนหน้าของห้องเป็นแผงควบคุมใหญ่ เรียงตัวเป็นแนวโค้งจนดูคล้ายครึ่งวงกลม เจ้าหน้าที่แต่ละคนประจำตำแหน่งของตัวเองแล้ว ตัวเลขบอกเวลาตรงแผงควบคุมงวดเข้า 10.00 น. ยานเบทิวเดียม 113 หันหลังให้ตำแหน่งพระอาทิตย์ขึ้น แอลลี่มองผ่านกระจกหน้ายานออกไป กระจกแผ่นใหญ่องศาการมองกว้าง เผยให้เห็นท้องฟ้าเบื้องหน้าชัดเจน เช้านี้ฟ้าเปิดโล่ง
กัปตันแมกซ์ แมกซ์กราธนั่งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของส่วนครึ่งวงกลมในห้องควบคุม เริ่มมีเสียงเล็ดลอดมาจากเจ้าหน้าที่ มีเสียงกัปตันบ้าง ถามตอบกันไป แอลลี่พยายามเงี่ยหูฟัง แต่ได้ยินไม่ถนัดนัก
“กรุณาสวมหมวกนิรภัยและรัดเข็มขัดที่นั่งให้เรียบร้อยครับ” เสียงจอห์นแจ้งเตือนดังขึ้น
ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่ง มีเสียงเข็มขัดดังทางนู้นทีทางนี้ที
แอลลี่มองไปที่กัปตัน เห็นเพียงด้านหลัง กัปตันวางมือบนแท่นวาง
“กัปตันแมกซ์ แมกซ์กราธ ขอแจ้งสถานะตัวเอง เป็นกัปตันแห่งยานเบทิวเดียม 113” กัปตันประกาศก้อง
“กัปตันแมกซ์ แมกซ์กราธ ไอดี XXXX ผม-จอห์น โปรแกรมควบคุมยานระบบอัตโนมัติ เชิญท่านสอบถามข้อมูลต่างๆ ก่อนออกเดินทางได้เลยครับ” เสียงจอห์นดังตอบกลับมา
“ข้อมูลสภาพอากาศเป็นอย่างไรจอห์น” กัปตันถาม
“สภาพอากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเปิด เมฆน้อยมากครับ”
“เช็คระดับแรงดูดและแรงผลักจากทั้งสองแท่น”
“ระดับแรงดูดและแรงผลักปกติครับ เครื่องจักรทำงานเรียบร้อย”
“เชื้อเพลิงล่ะจอห์น”
“เชื้อเพลิงเพียงพอครับ และมีเก็บสำรองไว้ด้วย”
กัปตันก้มมองดูที่หน้าจอกระจกแผ่นใหญ่ของตน ตรงนี้เขาสามารถมองเห็นทุกคนได้ เขาตรวจดูสักพักจึงเอ่ยต่อขึ้นว่า
“ทุกคนพร้อมไหม”
มีเสียงตอบมาดังสลับกันไป
“จอห์น” กัปตันเรียกหาเสียงอัตโนมัติอีกครั้ง “ส่งรหัสยานเบทิวเดียม 113 สู่แท่นทั้งสอง”
“รับทราบครับกัปตัน” จอห์นบอก “รหัสถูกส่งเรียบร้อย ยานเบทิวเดียม 113 พร้อมลอยตัวแล้วครับ”
กัปตันให้สัญญาณนับถอยหลัง ด้านล่างของยานมีเสียงดังกึงๆ จากนั้นจึงค่อยๆ ลอยตัว และเร็วขึ้นเรื่อยๆ แอลลี่รู้สึกแปลกที่เท้า เหมือนถูกตัดขาดจากแรงโน้มถ่วง
ยานจะลอยตัวจนกระทั่งไปถึงจุดมาร์ค จุดดังกล่าวอยู่ใต้แท่นสร้างแรงดูด ห่างลงมาราว 2 กิโลเมตร
ทีมภารกิจนั่งกันนิ่ง ไม่มีการสนทนา ทุกคนสมาธิจดจ่ออยู่ที่ยาน ด้านหน้ามีเสียงถาม-ตอบกันระหว่างกัปตันกับเจ้าหน้าที่ บางครั้งมีเสียงจอห์นแทรก เวลาผ่านไปเรื่อยจนเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดความเร็วของการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งจึงชะลอลง ช้าลงเรื่อยๆ กระทั่งจอดนิ่ง
นอกกระจกใหญ่เบื้องหน้าแอลลี่ บัดนี้ฉาบด้วยสีดำจนทั่ว มีจุดเล็กๆ สีขาวแต้มเต็มไปหมด บางจุดกระพริบ บางจุดอยู่นิ่ง แอลลี่ยิ้มทั้งๆ อ้าปากค้างอย่างนั้น เธอโน้มตัวไปด้านหน้า พยายามกวาดตามองดาวต่างๆ นึกถึงสมัยเด็กตอนเรียนอยู่ในห้องดาราศาตร์ ของจริงสวยงามกว่ามากนัก มันช่าง…ยิ่งใหญ่และงดงาม แอลลี่ชื่นชมอยู่ในใจ
“ขณะนี้ เรามาถึงจุดมาร์คแล้วครับ”เสียงจอห์นดังขึ้น
กัปตันใช้นิ้วแตะที่จอกระจกภาพตรงหน้า
“พร้อมเดินทางสู่เป้าหมาย” กัปตันแจ้งพิกัดหลังประโยค จอห์นรายงานความเรียบร้อยต่างๆ แก่กัปตันอีกครั้ง ขณะนี้ยานพร้อมออกเดินทางในแนวระนาบแล้ว จอห์นเริ่มนับถอยหลังจาก 10 จนถึง 6 และ…
“5…4…3…2…1 ”
ยานเบทิวเดียม 113 พุ่งตัว ทะยานออกจากจุดมาร์ค เพิ่มระดับความเร็วขึ้นเรื่อยๆ แรงเฉื่อยทำให้หลังแอลลี่ถูกกดติดกับพนักพิง เวลาผ่านไปอีกราว 15 นาที ยานจึงอยู่ในความเร็วคงที่ แรงเฉื่อยหายไป ทุกคนรอฟังประกาศจากจอห์น บางคนอยากถอดหมวกแล้ว อยากปลดเข็มขัด อยากทำกิจกรรมของตัวเอง และบางคนก็เริ่มหิว เพราะกฎการขึ้นยานเบทิวเดียมกำหนดให้ผู้โดยสารต้องควบคุมอาหารก่อนออกเดินทาง แม้จะมีมื้อเช้าที่ทางสถานีเตรียมไว้ให้ แต่รสชาติไม่ชวนรับประทาน แอลลี่กินได้ไม่กี่คำต้องหยุด ทว่ากับเชโก้แล้ว เขาซัดเรียบไม่มีอะไรเหลือ
“ยานเบทิวเดียม 113 อยู่ในระดับความเร็วคงที่ เจ้าหน้าที่ทุกท่านสามารถถอดหมวกนิรภัยและปลดเข็มขัดได้ทันทีครับ” เสียงที่หลายคนรอ ประกาศดังขึ้น
เชโก้ถอดหมวก-ปลดเข็มขัดเร็วกว่าใคร หันไปบ่นเรื่องหิวกับนีล่า ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับก๊วนทหาร ตรงดิ่งไปโรงครัวทันที
ณอห์ณ หัวหน้าแอลลี่เอ่ยปากชวนลูกทีมไปเอากระเป๋าสัมภาระก่อน แล้วค่อยพากันกลับเข้ามาในโรงครัวทีหลัง มีเคทนำทางเช่นเคย
เดฟกับนีโก้ ออกไปประชุมกันตามลำพัง
ยานเบทิวเดียว 113 ลอยฝ่าความว่างเปล่าของอวกาศออกไป กัปตันแมกซ์ยังนั่งอยู่ที่แท่นควบคุม อีก 3 ชั่วโมงกว่ายานจะไปถึงม่าน ตามกฎข้อบังคับของยาน กัปตันจะไม่สามารถละจากหน้าที่ก่อนเดินทางเข้าสู่ม่านแรกได้ กัปตันแมกซ์มองดูพิกัดของเซอุสในจอภาพของตน ภาวนาในใจ อย่าให้มันคิดย้ายไปไหนเลย…
ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาติชมครับ ทำให้ผมได้นำกลับไปแก้ไขและตรวจสอบ ขอบคุณมากๆ ครับ
ตอน 6 บรรยายอาวุธ ตอน 7 ออกยาน ยังสนุกเหมือนเคยนะครับ แต่ช่วงยี้มันออกแนวแค่เล่าเรื่องเฉยๆ ไม่มีอะไรให้จับตามองเท่าที่ควรครับ
บางทีอาจใส่จุดเปลี่ยนให้ตัวละครลงไปบ้าง เช่นมีเหตุการณ์ให้พระเอกกล้าเข้าใกล้นางเอกยิ่งขึ้น หรือให้กัปตันแสดงความสงสัยในภารกิจทางทหารครั้งนี้บ้าง อะไรทำนองนี้ครับ
คือไม่จำเป็นต้องให้รายละเอียดทุกบท ทุกคำก็ได้ครับ โดยเฉพาะตรงยานออก เอาบทสนทนามาให้ฟังทุกประโยคเลย ตรงนี้ข้ามไปบ้าง แล้วหันไปใส่บทให้พระเอก นางเอก หรือคนอื่นๆ ในยานก็ได้นะครับ
เพราะถ้าเอาจริงๆ จะปล่อยยานออกสู่ชั้นบรรยากาศนี่ การคำนวนสภาพอากาศจะสมบูรณ์กว่านี้หลายเท่าครับ แค่ฟ้าเปิด อากาศดีนี่คือใช้เดินเล่นแล้วล่ะ ซึ่งเราสามารถใช้วิธีบรรยายแค่คล่าวๆ หรือเบนจุดสนใจได้ครับ
อีกเรื่อง ยิ่งชุดเก่ายิ่งเก๋านี่ไม่ไหวนะครับ ถ้าผมเป็นทหารคงไม่กล้าฝากชีวิตไว้กับชุดเก่าๆ หรอก ยิ่งบุกยานศัตรูชนิด 12 ต่อ 100 นี่ ให้อาวุธดีแค่ไหนก็ยากครับ เพราะต่อให้ฝ่ายตรงข้ามสลายสสารไม่ได้ แต่ปืนธรรมดาก็ฆ่าคนได้นะ ยิ่งถ้าอยู่ๆ อุปกรณ์บนชุดเสียขึ้นมาขณะปฏิบัติภารกิจนี่ จบไม่สวยชัวร์
ยังไงก็ตาม เนื้อเรื่องยังอ่านเพลินๆ ได้จนจบตอนเช่นเคยครับ แค่ดูมันมีน้ำมากไปหน่อยเท่านั้นเอง คือโดยปรกตินิยายไซไฟในไทยจะโดนเมินอยู่แล้วครับ ถ้าเราควบคุมเนื้อเรื่องไม่ดี แล้วออกมายืดเยื้อเกินควรจะยิ่งเสียเปรียบน่ะครับ