ตอนที่ 2
เป็นเช้าที่สงบและอบอุ่น แสงจากดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะในลำดับที่ 8 นี้ยังบริสุทธิ์ ‘เอ็ม’ สูดเอาอากาศมวลใหญ่เข้าปอด แล้วเป่าปากระบายออกมาอย่างผ่อนคลาย ดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ถือเป็นดาวเคราะห์ดวงล่าสุด เอ็มรู้สึกด้วยซ้ำว่าผืนดินมันยังอุ่นๆ เหมือนขนมปังที่เพิ่งออกมาจากเตาร้อนๆ
ประชากรที่นี่ยังมีน้อย เพราะระบบจัดการโควต้าที่ให้สิทธ์แก่พวกลูกขุนมูลนายและผู้มีอันจะกินทั้งหลายจากดาวเคราะห์ทั้ง 7 ดวงก่อนหน้านี้นั่นเอง พวกที่เหลือจึงยังไม่ถูกอพยพมา เอ็มไม่ใช่ตัวเลือกของโควต้า แต่งานที่เขาทำมันให้สิทธิ์แก่เขา ทำให้บางช่วงของชีวิต ได้หลับยังระบบสุริยะหนึ่งแล้วไปตื่นที่อีกระบบสุริยะหนึ่งก็เคยมี
เอ็มเดินทอดน่องไปตามถนนที่ก่อขึ้นด้วยหิน มีต้นไม้เล็กอยู่เต็มริมสองทาง ลมพัดมาเบาๆ เขาได้กลิ่นคล้ายสมัยเป็นเด็กที่เคยวิ่งเล่นอยู่ในไร่ข้าวโพด ยุคนี้รัฐบาลเริ่มสนับสนุนให้มนุษย์ย้อนคืนสู่รากเหง้า เป็นเราอย่างที่บรรพบุรุษเคยเป็น อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้ที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง มนุษย์นั้นได้บทเรียนมาแล้ว เอ็มมองป้ายเตือนขนาดใหญ่หน้าสำนักงานตำรวจ เป็นรูปมือของพวก ‘โดรน’ ที่วางไว้บนฉากขาว เหมือนมือของคนที่ตายไปแล้ว พร้อมข้อความด้านล่างระบุชัดว่า “ไม่สร้างโดรน ไม่ทำลายมนุษย์”
เอ็มตรงไปยังร้านขายของเก่าตรงหัวมุมถนน เขาเคยนึกสงสัยว่า ช่างน่าแปลกที่ดาวดวงนี้เป็นดาวเคราะห์ใหม่แท้ๆ แต่ไหงมีร้านขายของเก่าได้ซะอย่างนั้น เขาผลักประตูเข้าไป ภายในร้านเจือด้วยบรรยากาศอบอุ่น มีกลิ่นอายเก่าๆ คล้ายกลิ่นฟางแห้ง กับถังไม้โอ๊คที่ไม่ใช้งานแล้ว แสงสว่างภายในร้านเป็นสีส้มปนเหลือง เหมือนแสงของพระอาทิตย์ยามเย็น ฝาผนังประดับประดาด้วยของเก่า ทั้งตะกร้าไม้เก่าๆ กรอบภาพ ดินสอ เครื่องดนตรี …จิปาถะ เอ็มชอบร้านนี้ ถูกใจที่เจ้าของร้านยึดสโลแกนไม่พึ่งพาเทคโนโลยี อีกอย่างมันเป็นเพราะอุปนิสัยของเขาเองด้วยที่ชอบทำอะไรภายใต้ขีดจำกัด เพราะขีดจำกัดมันทำให้เกิดการดัดแปลง เอ็มเชื่อเช่นนั้น
“รอบนี้จะไปไหนล่ะ” เจ้าของร้านอายุรุ่นคราวปู่ของเอ็มทักมาจากหลังเคาร์เตอร์อย่างอารมณ์ดี
“ภารกิจลับ” เอ็มตอบพลางยิ้ม
“ลับทุกรอบ” ชายชราหัวเราะร่วนออกมาหลังประโยค
เอ็มหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วยื่นให้
“ผมล่ะทึ่งเลย คุณไปหากระดาษพวกนี้มาจากไหน แล้วยังจะของที่เอามาจดลงอีก” เจ้าของร้านเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“ได้จากร้านคุณนั่นแหละ”
ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ในรายการไม่มีเชือกนะ” ชายขราเอ่ยพลางกวาดตามองขึ้นลงในกระดาษ
“เส้นเก่าที่ซื้อไปจากคุณคราวที่แล้วยังดีอยู่เลย”
เจ้าของร้านพยักหน้า ใช้นิ้วกดแว่นตาลง แล้วมองสบตาเอ็ม
“ถามจริงๆ กองทัพไม่มีเครื่องมือแบบนี้รึไง คุณก็รู้ว่าสมัยนี้ไม่มีใครใช้ของพวกนี้กันแล้ว”
เอ็มยิ้มแล้วตอบ
“มีสิ แถมดีกว่าและไฮเทคกว่าอุปกรณ์ของคุณมาก แต่คุณลองนึกดู ถ้าเกิดคุณต้องไปติดอยู่บนดาวที่ไม่มีแหล่งพลังงานที่จะสามารถจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ไฮเทคพวกนั้นได้ คุณจะทำยังไง”
“ผมอาจจะต้องใช้หินจุดไฟ” เจ้าของร้านตอบขำๆ
“ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้น”
“ยังไง”
“ซื้อไม้ขีดที่ร้านคุณไง”
เจ้าของร้านหัวเราะออกมา พลางยื่นจอมอนิเตอร์เล็กๆ เท่าฝ่ามือส่งราคาของให้เอ็มดู พร้อมทั้งเอ่ยต่อว่า
“เทคโนโลยีมันทำให้เราไม่รู้จักพอ พวกเราถึงได้ตระเวนไปสร้างระบบสุริยะซะทั่วอวกาศ คุณเชื่อมั้ยว่าธรรมชาติน่ะ เขายึดถือหลักการสมดุลนะ”
เอ็มทำหน้าสงสัย “ยังไงครับ”
“เราสร้างในสิ่งที่ธรรมชาติไม่ทำ นั่นมันแปลว่าเราละเมิดความพอดีและสมดุลของเขาเข้าให้แล้ว ไม่สงสัยเหรอว่า ถ้าวันหนึ่งธรรมชาติทวงเอาความสมดุลคืน เขาจะทำยังไง”
เอ็มถอนหายใจ
“ทำลาย…”
ชายชราพยักหน้า แล้วหันกลับไปจัดของที่เอ็มสั่ง เดินเข้าออกหลังร้านอยู่สักพัก ก็ได้ห่อกระดาษใบใหญ่พร้อมของข้างในมา
“ผมล่ะทึ่งเลย คุณไปหากระดาษพวกนี้มาจากไหน” เอ็มทัก
เจ้าของร้านหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ยังไงก็ขอให้คุณโชคดี” ชายชราตบไหล่เอ็ม เขารู้สึกว่าเจ้าหนุ่มนี่มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง คงจะผ่านความยากลำบากมามากมาย ทั้งยังอัธยาศัยดี สมัยนี้หาคนแบบเขายากแล้ว
เอ็มจ่ายเงินแล้วกล่าวคำร่ำลา จากนั้นก็ตรงดิ่งกลับที่พักทันที คืนนี้เขาต้องเข้านอนแต่หัววัน เพราะพรุ่งนี้และคืนต่อไป เขาไม่แน่ใจว่า จะได้นอนหลับสบายเหมือนคืนนี้อีก
***************************************************************************
ห้องสี่เหลี่ยมขนาด 7×7 ตารางเมตร ฉาบด้วยสีขาวนวลไปทั่วทั้งห้อง ตกแต่งอย่างราบเรียบที่สุดด้วยเฟอร์นิเจอร์เพียงชิ้นเดียวคือตุ้ใหญ่ด้านหลัง เตียงที่เคยนอนเมื่อคืนเป็นแบบพับได้ ถูกเก็บฝังไว้ในฝาผนังจนดูกลืนว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น แสงตะวันยามเช้าสาดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ปะทะร่างของเอ็มตรงกลางห้อง จนเกิดรูปเงาทอดยาวเป็นภาพที่สวยงาม
เอ็มนั่งขัดสมาธิ-สงบนิ่งอยู่บนพื้นห้อง เขาสวมเพียงกางเกงวอร์มสีดำ ไม่ใส่เสื้อ เผยให้เห็นมัดกล้ามแขนที่ตรึงแน่นและแผงหน้าอกอันแข็งแกร่ง แขนซ้ายมีรอยแผลเป็นจากอาวุธของพวกเคอร์คิเจี้ยน ใต้ราวนมข้างขวามีรอยของมีคมกรีดยาว
เอ็มกำลังกำหนดลมหายใจเข้าออก เขาฝึกทำทั้งก่อนนอนและทุกเช้า ผลจากการฝึกนี้ทำให้เขาควบคุมสติตัวเองได้ เมื่อต้องเจอภัยที่คาดไม่ถึง เอ็มลุกขึ้นยืนเพราะรู้สึกมั่นคงในจิตใจแล้ว เดินตรงไปตรวจกระเป๋าสัมพาระอีกรอบ ยกขึ้นลงเพื่อประมาณน้ำหนัก กระเป๋าต้องไม่หนักเกินไป และมีกฏเพิ่มอีกด้วยว่า ต้องมีแค่ใบเดียวเท่านั้น เพราะงานของเขามันจำเป็นต้องมีความคล่องตัว รวดเร็ว ดังนั้นจะให้น้ำหนักกระเป๋ามาเป็นปัญหาไม่ได้
เอ็มออกจากห้องตอน 07.00 น. เขามีนัดที่สถานีอวกาศประจำดาวเคราะห์แห่งนี้ และนั่นคือข้อมูลไม่กี่อย่างที่เขามี เอ็มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกเรียกตัวไปทำภารกิจอะไร มีเพียงคำสั่งย้ำมาแค่เตียมตัวเดินทางไกล งานทหารมันก็เป็นแบบนี้ สำหรับเขาถือว่าเหตุการณ์ปกติ ภารกิจต้องคู่กันกับความลับอยู่แล้ว แต่ความลับหนนี้มันไม่เหมือนครั้งไหนๆ เพราะคนที่กุมเรื่องเอาไว้ทั้งหมด และยังเป็นคนเดียวกับที่ระบุขอตัวเอ็มเข้าร่วมงาน คือกัปตันแห่งยาน เบทิวเดียว 113…
เรื่องแรกธรรมชาติเอาคืน ผมสงสัยนิดหน่อยครับว่า การที่สร้างระบบสุริยะขึ้นใหม่ แล้วอพยพมาอาศัยนี่ ธรรมชาติจะเอาคือข้ามระบบสุริยะเลยหรือ หรือว่าจะเป็นการพุ่งชนดาวเคราะห์อื่นที่มีมาก่อนการสร้างระบบสุริยะกันนะ ตรงจุดนี้ระวังเรื่องเหตุผลนิดนะครับ
ส่วนเรื่องการเลือกอุปกรณ์ของพระเอก อุปกรณ์ของกองทัพแม้แต่ในปัจจุบันก็มีการออกแบบให้ใช้ได้ในทุกสภาพการณ์ครับ อนาคตที่เจริญขนาดนั้นกลับพัฒนาอุปกรณ์สารพัดประโยชน์ไม่ได้อาจแปลกไปนิด ขนาดไม้ขีดไฟดีกว่าอุปกรณ์ไฮเทคเลยทีเดียว
เรื่องการเดินเรื่องยังทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนเคยครับ สามารถสอดแทรกข้อมูลลงไประหว่างการเดินเรื่องได้อย่างลงตัว ไม่รู้สึกเลยว่ายืดเยื้อเกินจำเป็นทั้งๆ ที่เป็นแค่การคุยเรื่องสัพเพเหระเท่านั้น แต่ในตอนนี้เหมือนจะแค่เปิดตัวพระเอกนะครับ หาใจความหลักไม่เจอ = =’
ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจเหมือนตอนก่อนหน้านี้ครับ สำนวนภาษาก็ดี (มีคำผิดคือต้องเป็น “เจ้า” ขุนมูลนาย และ ห้องขนาด 7×7 “เมตร” หรือไม่ก็ใช้เป็น 49 ตารางเมตรไปเลยครับ)
เห็นด้วยกับที่คุณ ParanusBoy บอกนะครับ ของแบบนี้กองทัพน่าจะต้องมีไว้อยู่ ไม่ควรให้ออกไปด้อม ๆ มอง ๆ หาเอาจากร้านขายของ