การจุดระเบิดครั้งที่สอง

ลุงชัยนั่งมองสมุดเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นอยู่เป็นชั่วโมง พลิกกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้ากระดาษเหลืองกรอบเหมือนจะสลายเป็นผงได้ทุกเวลาถูกแกหยิบจับอย่างทะนุถนอม คัดลอกบางข้อความลงไปในสมุดเล่มเล็ก สุดท้ายแกก็ปิดมันแล้วนั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามผมว่าได้มาจากไหน ผมตอบไปตามจริงว่าซื้อมาจากร้านหนังสือมือสอง

“ครั้งแรกว่ายากแล้ว ครั้งนี้ดีไม่ดีจะทำไม่สำเร็จเอา แต่ลุงว่ามันคุ้มค่าว่ะ”

ถัดไปไม่กี่วินาที อาคารรัฐสภาลอยผ่านไป เงาดำทอดบังหน้าต่างทำให้ห้องสลัวลง ด้วยขนาดที่ใหญ่เกินบรรยายเราจึงตกอยู่ในความมืดหลายนาที ลุงชัยถูกกลืนหายไปในจุดอับแสง และเมื่อตึกประหลาดหลังนั้นเคลื่อนผ่านไปผมถึงได้สังเกตเห็นว่าแววตาของแกส่องประกายระยับสุกสว่างเหมือนกับไอพ่นยานอวกาศ และผมก็หมายถึงไอพ่นยานอวกาศจริง ๆ

เวลาเจ็ดสิบกว่าปีทำให้ความจริงเรื่องหนึ่งขยายเป็นตำนานได้ไม่ยากเย็น คนที่เคยเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นบางคนไม่เชื่อจนวันตายว่ามันเคยเกิดขึ้น ที่ไปไกลกว่านั้นคือหลายคนกลับบอกว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ก็มีไม่น้อยที่ยืนยันว่าไม่ได้โกหก หลายคนยังเอาไปเล่าต่อแบบเพิ่มตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อยจนไม่รู้ว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนโม้จนทุกวันนี้

สมุดเล่มนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรื่องเมื่อค่อนศตวรรษก่อนไม่ใช่แค่คำโกหกของพวกต่อต้าน อันที่จริงพวกต่อต้านส่วนหนึ่งยังเคลมว่าขบวนการของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นจากเหตุนั้นด้วยซ้ำ

โดรนฝูงใหญ่บินตามอาคารรัฐสภาไปช้า ๆ ว่ากันว่ามันคอยตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สัญญาณดิจิตอล คลื่นวิทยุ ไปจนถึงเสียงกระซิบแผ่วเบา ‘สักวันมันจะเจาะเข้าไปในความคิดของเรา’ ลุงชัยเคยบอก ผมได้แต่หวังว่าวันนี้มันคงจะยังทำไม่ได้ เพราะถ้ามันทำได้ อีกไม่ถึงห้านาทีจะมีทีมติดอาวุธมาถีบประตูหน้าแล้วจับเราทั้งคู่ไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิด

ปิดท้ายด้วยโดรนประชาสัมพันธ์ประกาศเสียงดังก้อง “วรรณกรรมต้องห้ามของลัทธิฮิปสเตอร์ หนึ่งเก้าแปดสี่ ฟาเรนต์ไฮต์สี่ห้าหนึ่ง ฮังเกอร์เกม ผู้ดาวน์โหลดจะมีความผิดตามกฎหมาย”

สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือลุงชัยกำลังนั่งยิ้มโบกมือให้ฝูงโดรนพวกนั้น …พวกมันจะมาจับเราเพราะโบกมือให้พวกมันนี่แหละ

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากขบวนแห่ของอากาศยานพวกนั้นลับตาไปคือเกลี้ยกล่อมให้ลุงเปลี่ยนใจ พยายามมองหาช่องโหว่ในแผนการสุดระห่ำของแกเพื่อโต้แย้ง หาทางขยายช่องเหล่านั้นให้กว้างขึ้นแล้วผลักแกลงไป

“อ่านจบแล้วใช่ไหม” ลุงชัยยกสมุดเล่มนั้นขึ้นโบก ผมพยักหน้าตอบ
“ถ้าไม่สู้เราก็แพ้มันตั้งแต่ตอนนี้ แต่ถ้ายังสู้อยู่ ก็แปลว่ายังไม่แพ้”

จนปัญญาจะโต้ตอบคำพูดโบราณที่ผ่านวันเวลามาหลายร้อยปี รูปประโยคอาจมีผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ใจความสำคัญไม่เคยเปลี่ยนไป เหมือนกับทุกตำนานที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งให้ยิ่งใหญ่เกินจริงไปเรื่อย ๆ เรื่องเล่าของคำพูดนี้ที่คนเชื่อกันมากที่สุดคือมีมนุษย์ห้าคนจากดาวที่ผืนดินแห้งระแหงยืนหยัดต่อสู้ทั้งกองทัพอย่างไม่กลัวตาย คำพูดนี้มาจากหนึ่งในอัศวินห้าคนนั้น

“ที่ลุงจะทำนี่มันเหมือนหนีมากกว่าสู้นะลุง”
“เขาเรียกว่าการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์โว้ย”
“ว่าไงก็ว่าตามกัน” เวลานี้แววตาของผมคงเฉิดฉายเหมือนไอพ่นจรวดของลุงไปแล้ว

ภารกิจยิ่งใหญ่ของลุงชัยคือการจุดระเบิด “ครั้งที่สอง” ตอนที่มีคนทำครั้งแรกสำเร็จนั้นเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครทำมันครั้งที่สองหรอก นี่อาจเป็นเพียงเรื่องฝันเฟื่องของชายชราผู้ป่วยไข้ด้วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือคนขับแท๊กซี่ปากเสียคนหนึ่งที่อยากประชดประชันใครสักคน บันทึกเล่มที่ลุงชัยถืออยู่บอกผมแค่ว่าเขาไม่ได้บ้า

ตำนานเรื่องนี้คือเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ในวันที่ดวงดาวตกอยู่ในทุรยุค อำนาจถูกเปลี่ยนมือไปสู่ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จและตามมาด้วยการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามขนานใหญ่ อีกฝ่ายหากไม่ถูกจับไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดก็ถูกขับไล่ออกไปจากดวงดาว ทั้งที่รู้ว่าการหาตั๋วสักใบบินออกไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในสภาวะเศรษฐกิจกลับหลังหันแล้วเดินหน้าลงคลองแบบนี้

‘จะแยกอำนาจออกเป็นส่วน ๆ ไปทำไม ในเมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จสามารถเนรมิตรถนนทองคำให้ดาวทั้งดวงได้’ ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จเคยประกาศเอาไว้ แต่ทุกวันนี้ขออย่าได้ถามท่านเชียว ‘หากใครไม่พอใจก็เชิญออกไปอาศัยอยู่ในอวกาศโน่น!’

‘ท่านก็ซื้อตั๋วเรือบินอวกาศให้ผมสักใบสิ’ ตาเฒ่าผู้กำลังจะกลายเป็นตำนานเคยบอกเอาไว้ ก่อนที่อยู่มาวันหนึ่งหลังคาบ้านของแกจะเปิดออกแล้วจรวดลำจิ๋วก็พุ่งทะยานออกไปสู่ความมืดมิดเบื้องบน ทิ้งควันพวยพุ่งเป็นสายเอาไว้เบื้องหลัง เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อเจ็ดสิบสองปีก่อน

นั่นล่ะ ที่มาของเรื่องทั้งหมด

บางคนบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องแหกตา แต่พอหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาอีก ฝ่ายต่อต้านที่รวมตัวหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มนับวันนั้นเป็นวันที่หนึ่งของศักราชใหม่ปีที่หนึ่ง แต่ฝ่ายต่อต้านก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแหกตาไม่แพ้กัน ของจริงเพียงอย่างเดียวคือท่านผู้นำเบ็ดเสร็จยังมีชีวิตยืนยาวมาจนทุกวันนี้ ว่ากันว่าอวัยวะในร่างกายเกินครึ่งถูกเปลี่ยนเป็นของเทียม สมองถูกฉีดพ่นด้วยสเต็มเซลล์ให้คงความคิดสดใหม่ไว้ตลอดเวลา ดวงตาทั้งสองข้างถูกเปลี่ยนเป็นเลนส์พิเศษที่ว่ากันว่าสามารถมองทะลุลงไปถึงความกลัวในจิตใจคนอื่นได้

ลุงชัยจะทำเรื่องที่ว่าเป็นครั้งที่สองด้วยเทคโนโลยีที่ย้อนหลังไปเกือบศตวรรษ และผมกำลังจะกลายมาเป็นลูกมือของแก เหมือนขาแหย่เข้าไปในค่ายกักกันข้างหนึ่งไปแล้ว

“ข้อแรก ต้องไม่ให้โดนจับได้” ลุงชัยยกนิ้วชี้
แน่นอนครับลุง

“ข้อสอง ต้องทำให้สำเร็จ” แน่นอนอีกเช่นกันครับลุง ถ้าทำไม่สำเร็จก็จะโดนจับได้ ไม่ต้องมีข้อสองก็ได้ครับ

“ครั้งหนึ่งที่ดาวแม่ เมืองเจอมาเนียมถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นดินแดนอนุรักษ์นิยม ฝั่งตะวันตกเป็นฮิปสเตอร์ สองผัวเมียพยายามหนีจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกด้วยบอลลูนลมร้อน พวกนั้นค่อย ๆ ทยอยซื้อของที่จำเป็นทีละน้อยจากหลายแห่งมาประกอบเป็นยานบิน เราจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ทีนี้ก็เริ่มจากทำบัญชีรายการของที่ต้องใช้ก่อน”

“แล้วเขาทำสำเร็จไหมลุง”
“น่าจะทำได้ ถ้าจำไม่ผิดนะ”

ลุงชัยให้จดทุกอย่างลงกระดาษ หลังจากทำเสร็จแต่ละขั้นตอนแล้วก็ให้เผาข้อมูลส่วนนั้นทิ้งในเตาขยะหลังบ้าน ไม่มีการค้นข้อมูลออนไลน์ ไม่ีการเก็บข้อมูลดิจิตอล ไม่มีการซื้อของทางเน็ต ทั้งหมดนั้นทำให้เสียเวลามากขึ้น แต่ลุงยืนยันว่ามันเป็นมาตรการความปลอดภัยที่จำเป็น

ทยอยถอนเงินจากธนาคาร ซื้อทุกอย่างด้วยเงินสด เปลี่ยนร้านซื้อของไปเรื่อย ลุงชัยทำงานโครงสร้าง ส่วนผมรับผิดชอบซอฟท์แวร์ มันเหมือนมีอะไรสะกิดใจผมมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่ได้เอะใจ ด้วยคิดว่ามันเป็นความเครียดจากงานใต้ดินที่พร้อมจะถูกจับได้ทุกเวลา ไอ้เรื่องเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ตอนกลับออกมานี่สิ บางคนตักข้าวใส่ปากยังไม่ตรงเลย มันน่ากลัวตรงนี้นี่แหละ

กำหนดการปล่อยยานใกล้เข้ามา ลุงชัยเลือกวันกลางอากาศหนาวที่คิดว่าท้องฟ้าจะโล่งโปร่งที่สุด จังหวะเหมาะคือตอนที่อาคารรัฐสภาลอยผ่านมาตามรอบ ปกติแล้วท่านผู้นำอาศัยอยู่ในนั้นเพื่อการรักษาความปลอดภัย หวังว่าคงจะมีใครสักคนชี้ให้เขาดูว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่จรวดของเราพุ่งผ่านหน้าไป

สุดท้ายเราได้จรวดทรงกระสวยป้อม ๆ มาลำหนึ่งในที่สุด ห้องโดยสารเล็กจนตอนที่เข้าไปสอนลุงแกบังคับเครื่องนั้นต้องนั่งเบียดกันจนแทบหายใจไม่ออก ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่มันเป็นยานอวกาศที่นั่งเดี่ยวนี่หว่า

“ก็ต้นแบบมันเขียนไว้แบบนี้” ลุงชัยตอบ หน้านิ่งเหมือนเพิ่งแย่งหลานกินขนมแล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะหาให้ใหม่อีกลำ

หันกลับไปดูรอบตัว บ้านสองชั้นหลังเล็กตอนนี้มีแต่โครงข้างนอกเท่านั้นที่เป็นบ้านอยู่ ส่วนข้างในกลายเป็นแท่นปล่อยจรวดอัดแน่นจนบ้านแทบปริ ไม่ต้องคิดจะสร้างลำที่สองเลย

ลุงพาผมเข้าไปในห้องโดยสารแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง

“อันนี้เป็นเครื่องส่งสัญญาณ ใส่เพิ่มเข้ามาจากแปลนเดิม หลังจากพ้นชั้นบรรยากาศแล้วเราจะเปิดเครื่องนี้ ถ้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยรับสัญญาณได้ เขาจะส่งยานมาช่วยพาไปที่ปลอดภัย แท้งค์ข้างหลังคือไครโอแช่แข็ง เราจะอยู่ในนั้นได้หลายปีระหว่างรอความช่วยเหลือ ไอ้เครื่องนี้ก็ติดตั้งเพิ่มเหมือนกัน รอบที่แล้วตาเฒ่าแกตั้งใจบินออกไปตาย ไม่มีไครโอติดไปด้วย”

ปัญหาคือไครโอก็มีอยู่เครื่องเดียว

“เลือกเอาว่าจะอยู่หรือจะไป”
เฮ้ย เล่นกันอย่างนี้เลยเหรอลุง

“ใครอยู่ก็ไปเข้าค่าย คนไปก็เสี่ยงดวงเอา พระเจ้ากำเนิดเรามาเสรีโว้ยไอ้หลานรัก”

ให้มันได้อย่างนี้สิลุง
อาคารรัฐสภาลอยมาให้เห็นลิบ ๆ และผมต้องตัดสินใจ

ไสยยาน

โครงการสร้างยานอวกาศ “แห่งชาติ” เริ่มต้นขึ้นจากวิสัยทัศน์ของรัฐบาลว่าด้วยการเป็นที่หนึ่งในอาเซียน ถ้าไม่นับข้าวหลามใหญ่ที่สุดในโลก แหนมหูหมูใหญ่ที่สุดในโลก ฯลฯ โครงการนี้จะทำให้ประเทศของเราได้โอกาสก้าวล้ำชาติอื่นไปได้อย่างไม่ยากนัก ยกเว้นนักบินอวกาศคนแรกที่มาเลเซียคว้าตำแหน่งนี้ไปครองเมื่อหลายปีก่อน และสิงคโปร์ที่ไม่มีทำเลเหมาะสำหรับทำฐานปล่อยจรวด เรื่องราวที่เหลือก็ไม่ยากอย่างที่ได้บอกไว้ อ่านเพิ่มเติม “ไสยยาน”

ความทรงจำเจ็บปวด

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เรื่องเอาความจำไปใส่ในสมองคนอื่น มีแต่ในนิยายเท่านั้นแหละ คุณมาหาผิดที่แล้วละ จะรับเครื่องดื่มสักแก้วไหมครับ ผมเลี้ยง”

บาร์เทนเดอร์ที่ดูเหมือนผู้จัดการหรือไม่ก็เจ้าของบาร์พูดขึ้นกลางสายควันจากใบยาสูบคละคลุ้งเต็มห้องที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ และอาจเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกฎหมายยาเสพติดอีกสองสามข้อ แต่ดูเหมือนทั้งบาร์เทนเดอร์และชายที่นั่งตรงข้ามจะไม่สนใจนัก

บาร์เล็ก ๆ กลางตรอกที่เชื่อมระหว่างถนนสองเส้นย่านคนกลางคืน หากไมใช่คนที่ตั้งใจเดินเข้ามาอย่างชายผู้นี้ก็จะเป็นพวกที่ใช้เป็นทางเชื่อมระหว่างแหล่งบันเทิงสองแห่ง ไม่ก็เป็นที่ซุกหัวนอนของคนจรจัดหรือขาประจำที่ไม่รู้จะไปสิ้นสุดคืนอันทรงคุณค่าที่ไหน…

บาร์เทนเดอร์เลิกคิ้วเหมือนกับจะถามซ้ำ ชายหนุ่มส่ายศีรษะตอบ

“แต่ผมไ้ด้ยินมาว่าที่นี่ทำได้ เท่าไหร่ผมก็ยอมจ่าย” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงความเจ็บปวดตอกย้ำความต้องการอย่างยิ่งยวดของเขา

บาร์เทนเดอร์เหลือบมอง เขาดูไม่ต่างจากผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามาที่นี่ เสื้อเชิร์ฺตแขนยาวพับขึ้นมาสองสามทบ เนคไทรูดลงเล็กน้อย ปลดกระดุมสองเม็ด นัยน์ตาแดงก่ำ ผมยุ่งเหยิง เหมือนถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันแล้วแต่งรายละเอียดเพิ่มให้ต่างกันเล็กน้อย

“คุณได้ยินมาผิดแล้ว” บาร์เทนเดอร์ที่หยิบแก้วขึ้นมาเช็ด ทำท่าทางเหมือนตัวประกอบในหนังฮอลีวูดที่บอกเป็นนัยว่าการสนทนาจบแล้ว จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองข้ามไหล่ชายคนนั้นแล้วยิ้มทักทายนักดนตรีที่เดินเข้ามาจากทางหน้าร้าน

“ผมได้ยินมาว่าที่นี่ไม่ปฏิเสธลูกค้า” แววตาชายหนุ่มแข็งกร้าวขึ้นวูบหนึ่ง สีหน้าขึงขังจริงจัง

บาร์เทนเดอร์จ้องหน้าชายหนุ่มนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยพอให้สังเกตได้ “บอกมาว่าคุณต้องการอะไร” เขาก้มลงพูดเบาจนเหมือนเสียงกระซิบ “เอาไว้ค่อยยืนยันหลังจากคุยกันเสร็จก็ได้”

………. อ่านเพิ่มเติม “ความทรงจำเจ็บปวด”

เรื่องสั้นส่งประกวด ในหัวข้อ “พลังงานอนาคต”: โคลด์ ฟิวชั่น

เรื่องสั้นส่งประกวด หัวข้อ “พลังงานอนาคต” ขออนุญาตนำมาลงในเว็บนะครับ


ผมอยู่ในประเทศเล็ก ๆ ในเอเชียใต้ กำลังพยายามจะสัมภาษณ์ผู้ชายที่หาตัวยากที่สุดในโลกคนหนึ่ง

………………………..

“ปิดมันเสียเถอะ คุยกันไปเรื่อย ๆ ดีกว่า ผมเชื่อว่าคุณเรียบเรียงมันได้แน่”

ชายชรารูปร่างผอมเกร็งที่นั่งอยู่ตรงหน้าบอกให้ผมปิดเครื่องบันทึกเสียงที่เตรียมมา เขาไม่ใช่คนแรกที่บอกให้ผมทำแบบนี้ ปกติแล้วคนพวกนี้ถ้าไม่เชื่อมั่นในตัวเองจนสุดกู่ก็เป็นพวกที่ไม่อยากผูกมัดตัวเองด้วยคำพูดที่อาจผิดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าเขาเป็นอย่างแรก

ผมปิดมันตามที่เขาบอกก่อนจะเก็บลงไปในเป้ที่ใช้งานมาอย่างคุ้มค่า การขาดเครื่องบันทึกเสียงทำให้ต้องมีสมาธิมากขึ้น

“เดินทางลำบากหน่อยนะ” เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ ก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบ ชาร้อนส่งไอกรุ่นทำให้อบอุ่นขึ้นในบรรยากาศฉ่ำชื้นของฝนที่ตกมาตลอดวัน

ชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่มีเค้าของผู้เคยทรงอิทธิพลในวงการพลังงานเหลืออยู่แม้แต่น้อย เขานั่งหลังตรงหน้าเตาถ่านไม้ในกระท่อมโกโรโกโสประดับด้วยลวดลายเกินพอดีหลังนี้  สองมือกุมถ้วยชาแน่นเหมือนจะพยายามดูดซับเอาพลังความร้อนที่ถ่ายเทออกมาเข้าสู่ร่างกาย มันแย้งกับความจริงที่ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมประดิษฐ์นวัตกรรมพลิกโลกชิ้นหนึ่งมาแล้ว และนั่นยังไม่รวมชุดประจำชาติของคนแปลกถิ่นที่เขาสวมอยู่อย่างไม่ขัดเขินอีกด้วย

………………………..

ผมล้วงเข้าไปในเป้ หยิบของชิ้นหนึ่งขึ้นมา เหมือนกับแววตาของเขาจะส่งประกายวูบขึ้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็กลบเกลื่อนได้เร็วมาก มันเป็นกล่องแบนสีดำด้าน ขนาดพอ ๆ กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก  มีตราสัญลักษณ์บริษัทที่เขาเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งประทับติดอยู่ที่ผิวด้านบน

“ผมอยากคุยกับคุณเรื่องนี้” ถ้าเขาไม่ไล่ผมกลับ เขาก็จะพูดถึงมัน

“รุ่นที่สามใช่ไหม” เขาพูดสั้น ๆ จ้องมองที่วัตถุชิ้นนั้นไม่วางตา ผมตัดสินใจกดดันเขาอีกนิด
อ่านเพิ่มเติม “เรื่องสั้นส่งประกวด ในหัวข้อ “พลังงานอนาคต”: โคลด์ ฟิวชั่น”

ตราบจนนิรันดร์

เขาถูกเรียกขณะกำลังเดินกลับไปที่ห้องพัก ห้องส่วนตัวสำหรับนักโทรจิต ใครคนหนึ่งที่วิ่งมาจากทางด้านหลังเรียกให้เขาหยุดก่อนจะเปิดประตูห้อง

“มีข่าวถึงคุณ” คนส่งข่าวหอบหายใจ

เขายกมือขึ้นเตรียมรับกระดาษบันทึก

“ไม่ใช่… มีนักโทรจิตต้องการคุยกับคุณทางช่องทางพิเศษ” คนส่งข่าวเร่งเร้า

ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ และมันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย  วินาทีนั้นเขาไม่รู้เลยว่าจะไม่มีโอกาสได้กลับไปที่ห้องนั้นอีก

………. อ่านเพิ่มเติม “ตราบจนนิรันดร์”

สิ่งแปลกปลอม

“ลุงล้อม” เป็นเจ้าของสวนลำไยขนาดไม่ใหญ่ไม่โตนัก มันอยู่หลังบ้านของแกที่อยู่ลึกเข้าไปจากซอยซึ่งแยกจากถนนในอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดห่างไกล อาณาบริเวณล้อมรั้วมิดชิด ไม่เพียงแต่จะป้องกันสัตว์ใหญ่น้อยมาทำลายสวนผลไม้ที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวของแก แต่ยังมีไว้ป้องกันโจรลักขโมยที่มักจะแฝงตัวเข้ามาเวลาลำไยออกผลอีกด้วย

ชื่อ “ลุงล้อม” ไม่ได้เป็นชื่อที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ได้จากความตระหนี่ถี่เหนียวของแก สวนลำไยของลุงล้อมถูก ‘ล้อม’ ไว้ด้วยรั้วลวดหนามเสาปูน ดายหญ้าถางที่จนเตียนโล่งให้คนรู้ว่านั่นเป็นอาณาจักรต้องห้าม ด้านหน้าติดถนนลูกรัง สองฝั่งซ้ายขวาเป็นสวนลำไยของลูกพี่ลูกน้องของแก ด้านหลังเป็นคลองส่งน้ำเล็ก ๆ ซึ่งก็ไม่วายต้องกั้นลวดหนามเพื่อบ่งบอกความเป็นเจ้าของ ทั้งที่ตลอดแนวคลองนั้นไม่มีสวนของใครอุตริล้อมรั้วอย่างที่ลุงล้อมทำ ทุกคนที่รู้จักเรียกแกด้วยชื่อ “ล้อม” จนคนลืมชื่อในทะเบียนบ้านของแกไปเสียแล้ว ตัวแกเองบางครั้งเมื่อต้องไปทำบัตรประชาชนหรือต้องไปเข้าคูหาเลือกตั้งยังต้องท่องชื่อจริงนามสกุลจริงตัวเองให้ขึ้นใจเสียก่อนก็มี

กิจวัตรประจำวันของลุงล้อมหลังจากอาบน้ำกินข้าวฝีมือเมียที่อยู่กินกันมาตั้งแต่เพิ่งพ้นวัยรุ่นแล้วก็คือการดูแลสวนลำไย ดายหญ้า ให้น้ำ ใส่ปุ๋ย และอาจจะมีพ่นยาฆ่าแมลงบ้างแต่พอดี เผื่อว่าลูกหลานแวะมาเยี่ยมแล้วเด็ดไปกินสักพวงสองพวงจะได้ปลอดภัยจากบรรดาสารเคมีที่ไม่มากจนเกินไปนัก

……….

เช้านี้ก็เหมือนกับทุกวัน ลุงล้อมในชุดผ้าขาวม้าคาดหัว เสื้อหม้อฮ่อม กางเกงขายาวขาด ๆ  สะพายย่ามใบเล็กกำลังจะก้าวลงจากชานหลังบ้าน แต่ก็มีอันให้หยุดชะงักกับสิ่งแกเห็นในสวนลำไยที่เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่จำความได้

‘สิ่งแปลกปลอม’ ชิ้นหนึ่งวางอยู่กลางสวนลำไยถัดจากชานหลังบ้านไปไม่เกินสิบวา จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นชิ้นก็ไม่ถูกนักเพราะมันออกจะใหญ่โตเกินไปสักนิด ประมาณด้วยสายตาคนวัยหกสิบสาม แกคิดว่ามันคงยาวสักสามหรือสี่วา สัณฐานยาวรีเหมือนลูกหนำเลี้ยบ สูงพอท่วมหัว ผิวมันปลาบเหมือนสังกะสีมุงหลังคา ผิดอยู่ที่ไม่ได้เป็นลอนเหมือนอย่างสังกะสีแผ่นที่เคยเห็น แต่กลับเรียบเกลี้ยงไปหมดทั้งก้อน

ที่สำคัญก็คือมันวางคร่อมร่องน้ำระหว่างแถวลำไยของแกอยู่ มิหนำซ้ำต้นลำไยที่แกหวงแหนรองลงมาจากเมียก็ถูกมันเบียดล้มไปหลายต้น มองเห็นจากชานบ้านก็อย่างน้อยสามต้นเข้าไปแล้ว ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่ว่านั้นวางเอียง ๆ คร่อมร่องน้ำสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ลุงล้อมแน่ใจว่าเมื่อวานตอนค่ำ ที่ตรงนั้นยังเป็นต้นลำไยพุ่มหนาโดยที่ไม่มีก้อนสังกะสีก้อนนี้อยู่เป็นแน่แท้

ความโกรธพุ่งพล่านเต็มอกด้วยต้นลำไยที่แกเฝ้าถนอมมาจนกำลังจะออกดอกอยู่แล้วถูกล้มถอนรากให้เห็นอยู่ตรงหน้า คิดได้อย่างเดียวว่าต้องเป็นฝีมือพวกเด็กวัยรุ่นในตลาดเป็นแน่ ยิ่งเมื่อวานเพิ่งมีงานเกณฑ์ทหาร ไม่ว่าใครจะจับได้ใบดำใบแดงต่างไปตั้งวงเลี้ยงฉลองกันจนเกือบรุ่ง ไม่แคล้วพวกพิเรนทร์สองสามคนคงหาอะไรมาแกล้งแกเสียแล้ว

……….

เอื้อมมือไปหยิบปืนลูกกรดที่พิงฝาบ้านออกมาประทับบ่ายิงแบบไม่ต้องเล็งไปหนึ่งนัด คิดว่าพวกก่อกวนที่ซ่อนอยู่ข้างในคงวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่กลับเป็นเมียของแกเองที่วิ่งจากหน้าบ้านทั้งที่ยังเก็บสำรับกับข้าวไม่เรียบร้อยมาหยุดตะลึงนิ่งอยู่ข้างตัวลุงล้อมนั่นเอง

ตัวลุงล้อมเองก็งงไม่แพ้กันที่กระสุนลูกกรดพลาดเป้าไปได้ แกยกปืนขึ้นประทับบ่าอีกครั้ง เล็งให้เข้ากลางก้อนสังกะสียักษ์แล้วบรรจงเหนี่ยวไกส่งไปอีกนัดหนึ่ง เมียแกถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะไปยืนอยู่ใกล้รังเพลิงพอดี พอตั้งสติได้ เมียแกก็ออกเสียงด่าเสียยับเยินว่าไม่ยอมบอกกล่าวกันก่อน ส่วนลุงล้อมได้แต่ตะลึงงันเพราะเห็นชัด ๆ ว่ากระสุนจะกระทบกลางสิ่งแปลกปลอมที่ว่านี้แน่นอน แต่ดูเหมือนจะสะท้อนหายไปไหนก็ไม่รู้ และที่สำคัญก็คือไอ้พวกมืออยู่ไม่สุขทั้งหลายก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหรือวิ่งกระเจิงออกไปอย่างที่คิดไว้เสียด้วย

หลังจากตั้งสติได้ ลุงล้อมค่อย ๆ ย่างเข้าไปหาวัตถุประหลาดช้า ๆ หมายตาตรงตำแหน่งตกกระทบของกระสุนลูกกรด ตั้งใจดูว่ามันฝังเข้าไปหรือกระดอนออกมากันแน่ ส่วนเมียของแกต้องรีบไปเปิดประตูรับเพื่อนบ้านที่ต้องสะดุ้งตื่นแต่เช้าเพราะสียงปืนสองนัดมายืนตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน

ลุงล้อมไม่เห็นว่ากระสุนของแกจะวิ่งผ่านเข้าไปในวัตถุประหลาดที่อยู่ตรงหน้า รอยบุบหรือรอยขีดข่วนก็ไม่มีให้เห็น ลองจับดูก็รู้สึกว่าเจ้าก้อนอันนี้มันอุ่นอยู่สักเล็กน้อย เอาหูแนบก็ได้ยินสียงหึ่งเบา ๆ เคาะด้วยด้ามปืินดูก็รู้สึกเหมือนถังกลวง ๆ ใบหนึ่ง ครั้นพอจะลองขยับก็รู้ว่ามันไม่มีท่าทีว่าจะเขยื้อนได้เลย ลุงล้อมได้แต่คะเนอยู่ว่าถ้าตัดแบ่งไปขายกิโลละสองบาทจะขายได้สักเท่าไหร่กัน

ยิ่งทำให้แกประหลาดใจเข้าไปใหญ่ว่าจะมีใครยกก้อนสังกะสีขนาดสี่วามาวางในสวนของแกได้อย่างไรโดยไม่ต้องเอาข้ามรั้วมา ใจหนึ่งก็เป็นห่วงรั้วลวดหนามที่อุตส่าห์ลงทั้งเงินทั้งแรงไป เลยตะโกนสั่งให้เมียออกไปเดินดูรอบ ๆ ว่ารั้วของแกยังดีอยู่หรือเปล่า เมียแกรับคำแล้วกับเดินหายไปทางด้านหนึ่งของสวนพร้อมกับเสียงบ่น เพื่อนบ้านสองสามคนเริ่มเข้ามารายล้อมและออกความเห็น

……….

ลุงล้อมกับเพื่อนบ้านเดินดูรอบลูกหนำเลี้ยบสังกะสีลูกใหญ่หลายรอบ มองหาร่องรอยอะไรสักอย่างที่จะบอกว่ามันเป็นอะไร เจ้าลูกหนำเลี้ยบวางเอียง ๆ ทับต้นลำไยหักไปต้นหนึ่ง ส่วนอีกสามต้นโดนเบียดจนรากถอนต้นล้ม ไม่รู้ว่าจะยังออกดอกออกผลได้หรือเปล่า ไม่นานเมียแกก็กลับมาสมบท บอกข่าวดีว่ารั้วรอบสวนยังอยู่ครบถ้วน ตลิ่งที่หลังสวนก็ไม่ได้ทรุดหายไป ลุงล้อมถอนหายใจโล่งอก ใครคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ไม่ช้าผู้ใหญ่บ้านก็แวะมา

ถ้าเป็นวันอื่น ลุงล้อมไม่มีทางยอมให้ใครเข้าออกบ้านตามใจอยากอย่างนี้แน่ แต่ ‘สิ่งแปลกปลอม’ อันใหญ่เหมือนเป็นบัตรผ่านให้คนโน้นคนนี้เข้าออกบ้านแกอยู่ตลอดเช้า ผู้ทรงคุณวุฒิประจำหมู่บ้านเริ่มออกความเห็นไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าเป็นอะไรสักอย่างที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน บ้างก็ว่ามันเป็นซากดาวเทียมของฝรั่ง แต่มาได้ข้อสรุปเอาตอนที่เมียผู้ใหญ่บ้านมาตามแกกลับไปกินข้าวที่บ้านแล้วเห็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ เข้าให้พอดี แกทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ พนมมือท่วมหัวทำปากขมุบขมิบอยู่พักนึง

เท่านั้นแหละ สามสี่คนรอบข้างก็เอาอย่างเมียผู้ใหญ่บ้าง ใครคนหนึ่งเรียกหาดอกไม้ธูปเทียน ก็ต้องเป็นธุระของเมียลุงล้อมอยู่นั่นเองที่ต้องไปเสาะหา ลำพังดอกไม้นั้นหาไม่ยากเท่าไหร่ แต่ธูปเทียนนี่ต้องไปค้นหาตามฝาบ้านอยู่นานกว่าจะได้มา ลุงล้อมก็เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้แขกไม่ได้รับเชิญออกจากบ้านไปเร็ว ๆ จะได้ไปหาช่างมาตัดก้อนประหลาดนี้ขายได้เสียที

……….

โอกาสของลุงล้อมไม่เคยมาถึง พอสาย ๆ คนก็เริ่มเข้ามาดูมากขึ้น เข้า ๆ ออก ๆ บ้านลุงล้อมจนเจ้าตัวอยู่ไม่ติดที่ ต้องคอยต้อนรับขับสู้คนโน้นคนนี้จนไม่เป็นอันทำอะไร ถึงที่สุดแกก็ทำเฉยเสีย ใครจะเข้าจะออกก็ปล่อยไปตามยถากรรม

เมียผู้ใหญ่บ้านกลับมาอีกรอบพร้อมกับสำรับชุดใหญ่ จานข้าวพูน ๆ พร้อมกับข้าวอีกสามสี่อย่างที่เมียลุงล้อมไม่มีวันจะทำให้แกกินเป็นแน่ แกถึงกับยิ้มแก้มปริเพราะคิดว่าลาภปากตกมาถึงแล้วจึงไปยกแคร่ที่ชานบ้านมาตั้งไว้ให้วางสำรับ แต่เมียผู้ใหญ่กลับบอกว่าเอามาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับกำชับว่าใกล้เที่ยงจะมาเอาคืน

คนเรียกหาดอกไม้ธูปเทียนมากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเห็นเมียผู้ใหญ่ทำเป็นตัวอย่างหรือเพราะคิดกันไปเอง ลุงล้อมจึงใช้ให้เมียไปซื้อมาจากตลาดอย่างละสองสามกำมือ แต่ไม่รู้ว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่า เพราะเมียลุงล้อมไปป่าวประกาศทั่วตลาดก่อนจะกลับมาพร้อมกับขบวนรถสามล้อพ่วงข้างขายน้ำอัดลม ลูกชิ้น และไทยมุงอีกนับสิบ

พอเริ่มหิวข้าวเที่ยง ลุงล้อมเลยให้เมียนั่งเฝ้าหน้าบ้านแล้วให้คนเข้ามาทีละสองสามคน สั่งว่าดอกไม้ธูปเทียนต้องซื้อที่เมียแกหามา ห้ามเอามาจากบ้าน แล้วก็ปลีกตัวไปนั่งกินข้าวที่เหลือจากมื้อเช้าพร้อมกับนั่งดูกับข้าวของเมียผู้ใหญ่ที่วางให้แมลงวันตอมด้วยความเสียดาย แต่ก็พอจะปลอบใจตัวเองได้บ้างที่กิจการขายดอกไม้ธูปเทียนพอจะทำเงินให้แกได้บ้าง

……….

ยังไม่ทันจะบ่ายคล้อย เมียผู้ใหญ่บ้านก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับแนวคิดบรรเจิด ถึงตอนนั้นหน้าบ้านลุงล้อมก็ไม่ผิดกับงานวัดย่อม ๆ รถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะ จอดเรียงรายไปตามถนน บางคนที่พอจะรู้ัจักกันก็เสียบหัวไปจอดในบ้านข้าง ๆ เมียผู้ใหญ่ล้วงไปในพกผ้า หยิบแป้งเด็กกระป๋องเล็กออกมาเทใส่มือก่อนจะละเลงไปที่มุมหนึ่งของก้อนหนำเลี้ยบยักษ์ แล้วนั่งจด ๆ จ้อง ๆ อยู่อย่างนั้นอยู่เป็นนาน มีคนเข้าไปช่วยมุงสองสามคน ลุงล้อมได้แต่คิดในใจท้าให้เอามีดมาขูดก็ไม่มีวันจะมีตัวเลขงอกออกมา ขนาดปืนลูกกรดยิงจ่อ ๆ ยังไม่ระคายผิว นับประสาอะไรกับเอาแป้งละเลงแล้วดูตัวเลข

เมียผู้ใหญ่ล้วงมีดมาขูดอย่างที่ลุงล้อมคิดจริง ๆ แถมไทยมุงยังมองเห็นเป็นตัวเลขสองสามตัวให้ลุงล้อมตกใจเล่น แถมยังเห็นเป็นเลขชัดเจนแบบไม่ต้องตีความเสียด้วย

นักข่าวหนังสือพิมพ์มาถึงตอนใกล้บ่าย เป็นคนหนุ่มมาจากในเมือง บอกว่าจะถ่ายรูปกับสัมภาษณ์ลุงล้อมเอาไปลงข่าว ตัวแกเองเพิ่งถอดเสื้อออกได้ไม่นาน นึกอยากจะหยิบเสื้อใหม่มาใส่แต่ก็นึกได้ว่าไม่มีอยูสักตัว นักข่าวถ่ายรูปลุงล้อมสองสามทีแล้วก็ไปถ่ายที่วัตถุประหลาดในสวนก่อนบอกว่าต้องรีบเอาไปพิมพ์แล้วเร่งกลับออกไป  ถึงตอนนั้นลุงล้อมเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวเลยแม้แต่คำเดียว…

……….

ตกบ่าย โรงพักต้องส่งตำรวจมาดูแลเพราะรถติดไปจนถึงถนนใหญ่ ห้องน้ำบ้านลุงล้อมมีคนยืนต่อคิวยาวไม่น้อยไปกว่าคิวกราบไหว้บูชาและขอเลขจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แถมยังมีใครบางคนแอบไปปล่อยทั้งหนักทั้งเบาในสวนของแกอีกต่างหาก จ่าคนหนึ่งกับพลตำรวจจบใหม่อีกคนแวะเข้ามาเอาซองผ้าป่าฝากลุงล้อมให้วางที่แคร่ใกล้ก้อนหนำเลี้ยบยักษ์ บอกว่ามรรคทายกฝากมา แล้วก็ต้องรีบไปดูรถนักข่าวทีวีสองช่องที่พร้อมใจกันมาแล้วหาที่จอดไม่ได้

นักข่าวเข้ามาพร้อมกันทั้งสองช่อง ทั้งคนแบกกล้อง ทั้งนักข่าว ต่างแย่งกันสัมภาษณ์ลุงล้อมเสียยกใหญ่ แกก็ได้แต่ตอบรับไปว่าไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร ตื่นเช้ามาก็เห็นมันวางอยู่ตรงนั้นแล้ว จะว่าไปลุงล้อมก็รู้เรื่องสิ่งแปลกปลอมนี้ไม่มากกว่านักข่าวที่เพิ่งมาถึงเลยด้วยซ้ำ

คนที่เป็นดาราเด่นของนักข่าวทีวีกลับเป็นเมียผู้ใหญ่ที่แต่งหน้าแต่งตัวมาเรียบร้อยเหมือนรู้มาก่อนว่าจะมีนักข่าวมา แกตั้งตนเป็นผู้เชี่ยวชาญพร้อมกับให้ความเห็นชนิดที่นักวิชาการจริง ๆ ต้องพลิกตำรากันยกใหญ่หากจะแย้งความเห็นของเมียผู้ใหญ่เกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมนี้ ที่สำคัญคือแกอุบเอาไว้ ไม่ยอมบอกเลขเด็ดที่แกลงทุนขูดเองกับมือ

นักข่าวยังไม่ทันคล้อยหลัง ผู้ใหญ่บ้านก็เอาหลอดนีออนสองหลอดพร้อมสายไฟยาวมาโยงจากบ้านไปยังต้นลำไยใกล้วัตถุประหลาด แกบอกกับลุงล้อมว่ากลัวใครจะมาขโมยไปตอนกลางคืน ส่วนลุงล้อมเองอยากหัวเราะเสียให้หายหิวข้าวว่าใครมันจะมายกออกไปได้ ตอนเข้ามามันมาอย่างไรยังไม่รู้เลย

……….

คนเริ่มเข้ามาน้อยลงตอนพลบค่ำ หน้าบ้านเริ่มโล่ง สวนลำไยของลุงล้อมตอนนี้แทบจะกลายเป็นที่ทิ้งขยะไปแล้ว ทั้งเศษใบตอง ถุงขนม ไม้เสียบลูกชิ้น ต่างทิ้งระเกะระกะอยู่ทั่วไป นี่ยังไม่นับกลิ่นของเสียที่ใครแอบไปปล่อยไว้ในสวนอีกต่างหาก กับข้าวที่เหลือจากมื้อเช้าและมื้อกลางวันกลายเป็นกับข้าวมื้อเย็นไปโดยปริยาย เมียลุงล้อมนั่งนับเงินค่าดอกไม้ธูปเทียนอยู่เงียบ ๆ ไทยมุงคนสุดท้ายกลับไปก่อนมืด

ผู้ใหญ่บ้านแวะมาเก็บสำรับกับข้าวตอนสองทุ่มเศษ บอกว่าเมียใช้ให้มา ก่อนกลับก็ไปเสียบปลั๊กเปิดไฟนีออนสองหลอดที่โยงไปแขวนไว้กับต้นลำไยใกล้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมียสั่งนักสั่งหนาว่าต้องดูแลให้ดี แสงจากหลอดไฟสะท้อนผิวมันปลาบที่บางส่วนหม่นลงไปบ้างเพราะมีแป้งเด็กโรยอยู่ และบางส่วนก็อยู่ในเงามืดที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกกังวลอยู่ในที

ก่อนกลับ ผู้ใหญ่อวดว่าเมียแกได้ออกข่าวภาคค่ำด้วย ส่วนลุงล้อมนั้นไม่สนใจหรอกว่าการได้ออกทีวีนั้นจะมีความหมายอย่างไร แกได้แต่จับจ้องอยู่ที่วัตถุประหลาดนั้นไม่วางตา

เมีแกเข้านอนหลังผู้ใหญ่กลับไปได้ไม่นาน บ่นว่าเหนื่อยมาทั้งวัน เงินที่ได้จากธุรกิจของแกวันนี้เอาใส่ถุงผ้าวางไว้ใต้หมอนแล้วหลับไปอย่างเร็ว ลุงล้อมไปเอากาบมะพร้าวมาสุมไฟไล่ยุงที่ใต้แคร่ซึ่งยกมาวางไว้ใกล้บ้าน จากนั้นก็นั่งพินิจดูมันอย่างละเอียด

……….

แกรู้ว่ามันไม่ได้ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน เพราะมันวางอยู่บนต้นลำไย แล้วมันก็ไม่ได้ตกลงมา เพราะถ้ามันตกลงมาก็ต้องมีเสียง ดินต้องยุบ ต้นลำไยต้องหักมากกว่าจะล้ม มันต้องค่อย ๆ ลงมาช้า ๆ เพียงแต่แกคิดไม่ออกเท่านั้นเองว่าใครเอามันมาวางไว้ และเอามาวางไว้อย่างไร

ยังไม่ได้คิดอะไรต่อ แกก็เห็นว่าก้อนประหลาดที่วางอยู่นั้นเริ่มขยับซ้ายขวา มันโยกไปมาเล็กน้อย แกพยายามยื่นมือไปควานหาปืนลูกกรดที่วางพิงผนังไว้ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมียแกเอาไปเก็บไว้ในบ้านเพราะคนเข้าออกพลุกพล่านเลยกลัวหาย ก้อนสังกะสีประหลาดขยับอยู่สองสามครั้งก่อนจะลอยขึ้นไปตรง ๆ ช้า ๆ เหมือนมีใครเอาเชื่อกมาผูกข้างบนแล้วยกขึ้นไป แต่ลอยขึ้นไปได้ไม่ถึงวาก็ค่อย ๆ ตกกลับมาที่เดิม เป็นอย่างนี้อยู่สองครั้ง ฝ่ายลุงล้อมนั้นเหลียวมองรอบตัวก็ไม่เห็นใครจะมาร่วมรับรู้ด้วย ได้แต่นั่งนิ่งของแกอยู่อย่างนั้น

ครั้งล่าสุดที่มันวางกลับลงไปที่เดิม ก้อนประหลาดนี้กลับมีช่องช่องหนึ่งเปิดออก ตัวอะไรสักอย่างที่รูปร่างไม่สูงไปกว่าเด็ก ป.1 เดินออกมาจากช่องนั้น มันเดินขโยกเขยกออกมาก่อนจะหันหน้าเข้าไปหาสิ่งแปลกปลอมที่มันเพิ่งเดินออกมา จากนั้นเงื้อขาข้างหนึ่งไปด้านหลังแล้วบรรจงเตะงาม ๆ ไปที่ก้อนสังกะสียักษ์ก้้อนนี้สองที

แล้วตัวประหลาดที่ลุงล้อมมองเห็นไม่ชัดนักก็เดินกลับเข้าไปในวัตถุแปลกปลอมชิ้นนี้ ช่องประตูที่เปิดอยู่ก็หายวับไป มันกลับมาราบเรียบเหมือนเดิม

ครั้งสุดท้าย สิ่งแปลกปลอมค่อย ๆ เคลื่อนที่ขึ้นตรง ๆ จนพ้นเงาหลอดไฟ จากนั้นมันก็ค่อย ๆ หายไปในความมืดของท้องฟ้าข้างแรมในที่สุด

……….

ลุงล้อมไม่สนใจว่าหนังสืิอพิมพ์ลงข่าววันต่อมาว่าอย่างไรหรือข่าวทีวีจะวิจารณ์ว่าอย่างไร แกรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูกที่สิ่งแปลกปลอมอันนี้หายไปจากสวนของแกได้ ลำไยสองต้นที่ล้มลงยังพอจะค้ำไว้ได้ แต่ต้นที่หักกับอีกต้นที่ล้มถอนรากนั้นเกินจะแก้ไขได้

เมียผู้ใหญ่ไม่ถูกรางวัลใด ๆ  ไม่ว่าจะเป็นล็ตเตอรี่ที่ลงทุนไปซื้อถึงตลาดหรือจะเป็นหวยใต้ดินที่ต้องแอบซื้อ

เงินค่าดอกไม้ธูปเทียน ลุงล้อมเอาไปซื้อสังกะสีใหม่มามุงหลังคาได้หลายแผ่น

Protocooperation

ดาวสีเขียวมรกตลอยอยู่ตรงหน้า ผมเพลิดเพลินกับสีสันของมันอยู่นาน เวลาพักกำลังจะหมดลง แต่ตราบเท่าทียังมีโอกาส การได้สำรวจดาวดวงนี้ด้วยสายตาก็ทำให้ความเหงาที่ต้องจากบ้านมานานนั้นได้รับการชดเชยในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่มีใครได้ลงไปดูมันจริง ๆ ก็ตาม

อีกไม่นานมันก็จะเคลื่อนไปอยู่อีกด้านหนึ่งของยาน กว่าผมจะได้เห็นมันจากมุมนี้ก็คงอีกสองหรือสามวัน แล้วเวลาพักต้องตรงกับเวลาที่มุมนี้ของเรือหันเข้าหาดาวดวงนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะมองเห็นแต่ความอ้างว้างไปจนอนันต์

สัญญาณเตือนดังขึ้น ผมต้องกลับไปทำงาน มันไม่น่าเบื่อมากนักหรอกโดยเฉพาะช่วงที่เรากำลังเคลื่อนเข้าใกล้เป้าหมาย ข้อมูลทั้งหลายจะหลั่งไหลกันเข้ามาจนทุกคนแทบไม่มีเวลาว่าง งานประจำจะทำให้ยุ่งจนไม่มีความคิดอื่นเหลืออยู่ แม้กระทั่งความเหงาหรือความคิดถึงบ้านเกิดที่จากมาไกล

ผมเคลื่อนไปที่สถานีประจำซึ่งต้องผลัดเวรกับอีกสองคนสำหรับการทำงานเต็มยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน สัญญาณภาพจากดาวเทียมหลายดวงที่ปล่อยออกไปสำรวจเริ่มทยอยกันเข้ามา หน้าที่ของเราคือต้องคอย “ช้อน” เอาข้อมูลสำคัญที่ถูกส่งมา

ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ สภาวะอากาศและบรรยากาศ สิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศและข้อมูลทุกอย่างเท่าที่ดาวเทียมสามารถตักตวงขึ้นมาได้จะถูกส่งเข้ามาอย่างมหาศาล ส่วนหนึ่งจะถูกกรองโดยคอมพิวเตอร์แล้วส่งต่อไปที่คอมพิวเตอร์ประจำสถานีของแต่ละคน มันเป็นช่องแคบ ๆ ที่มีคอมพิวเตอร์เทอร์มินอลพร้อมจอแสดงผลและที่นั่งที่สบายพอตัวเรียงรายไปรอบห้อง เราจะต้องเลือกช้อนเอาข้อมูลที่คิดว่าสำคัญและจำเป็นสำหรับการสำรวจมาประมวล เพื่อเอาเข้าที่ประชุมสำหรับบริหารการสำรวจขั้นต่อไป

ผมเข้าไปนั่งแทนที่สมาชิกคนก่อนหน้าที่เคลื่อนตัวออกมาจากเก้าอี้ เขาดูตื่นเต้นกับข้อมูลที่ได้

“มีอารยธรรมระดับหนึ่ง” เขาบอกผมก่อนจะเคลื่อนไปอยู่หลังเก้าอี้ เกาะไว้ด้วยสองมือและผงกศีรษะให้ผมดูที่หน้าจอ ภาพนิ่งถูกแยกไว้ที่หน้าจอหนึ่ง และภาพเคลื่อนไหวที่ไม่ชัดเจนนักขึ้นที่หน้าจอที่สอง

“เพิ่งเห็นเมื่อไม่ถึงสิบนาทีมานี้เอง เดี๋ยวผมจะไปตามหัวหน้า” เขาผลักตัวเองออกไปที่ทางออกหลังจากพูดจบ

อันที่จริงเขาสามารถเรียกหัวหน้าผ่านอินเตอร์คอมจากที่นี่ได้ แต่คงเพราะอยากยืดเส้นยืดสายสักนิดหลังจากนั่งจมอยู่กับเก้าอี้มานาน เบาะยังร้อนอยู่เลยตอนผมนั่งลงไป เขาพิมพ์รายงานค้างไว้ที่หน้าจอที่สาม ผมต้องย้อนช่วงต้นกลับมาอ่านก่อนจะทำเครื่องหมายแล้วเริ่มดูข้อมูลใหม่ก่อนจะพิมพ์ต่อจากเขา

เราจัดลำดับอารยธรรมไว้สี่ช่วง ระดับแรกสุดคือการทำเกษตรกรรมและกสิกรรม ระดับสองคือการมีอุตสาหกรรมและโรงงาน ระดับสามคือการเดินทางทางอากาศ และระดับสุดท้ายคือการเดินทางในอวกาศ แต่ละระดับขั้นไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจน เหมือนแถบของสีรุ้งที่เหลื่อมซ้อนกัน จะรู้ว่าผ่านไปอยู่ในอีกชั้นหนึ่งก็ต่อเมื่อเราหลุดเข้าไปอยู่ในอีกชั้นหนึ่งเต็มตัวแล้วเท่านั้น

สำหรับ ‘อารยธรรมระดับหนึ่ง’ นั้นหมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีการเข้าสังคม มีการรวมหมู่เป็นสังคม มีการพัฒนาภาษาและเครื่องมือใช้สอย แต่ยังไม่ข้ามขั้นตอนการปฏิวัติทางการเกษตร สำหรับมนุษย์นั้นเราเป็น ‘อารยธรรมระดับสี่’ อย่างสมบูรณ์ การออกสำรวจดวงดาวในทางช้างเผือกในยุคเร็วกว่าแสงของมนุษย์เปรียบเหมือนภาพเร่งของการระเบิดออกทุกทิศทาง เราค้นพบดาวดวงใหม่ ๆ ที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เป็นระยะ แต่ไม่เคยพบดาวดวงไหนที่มีอารยธรรมสูงกว่าระดับหนึ่ง นิยายวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของมนุษย์ต่างดาวและยูเอฟโอกลายเป็นเหมือนวิชาประวัติศาสตร์วรรณกรรม เราเองต่างหากที่กลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวของดาวดวงอื่น และก็เป็นเราอีกนั่นเองที่ปล่อยดาวเทียมและสิ่งบินไร้คนขับลงไปสำรวจดวงดาว ถึงที่สุดแล้วเราก็ยังไม่รู้ว่ามนุษยชาติรู้สึกเปลี่ยวเหงาเพราะเขาจากบ้านมาไกลหรือเพราะเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาระดับสูงเพียงหนึ่งเดียวในทางช้างเผือกกันแน่

“เหม่ออะไรอยู่” เสียงหัวหน้าดังจากทางด้านหลัง เขาเกาะอยู่ที่เก้าอี้ รอยยิ้มของเขาทำให้ผมผ่อนคลายลง

“เลื่อนวิดีโอกลับสิบนาทีสิ ผมอยากเห็นตอนดาวเทียมเริ่มเคลื่อนเข้าหมู่บ้าน” มันเป็นจังหวะที่ดาวเทียมดวงหนึ่งในหลายสิบดวงสามารถถ่ายภาพ ‘อารยธรรมระดับหนึ่ง’ ได้เป็นครั้งแรก ผมเคลื่อนเมาส์ไปคลิกสองสามครั้ง ภาพบนจอเปลี่ยนเป็นภาพมุมสูงค่อย ๆ เคลื่อนตามพื้นผิวดาว สิ่งมีชีวิตคล้ายพืชรูปทรงแปลกตาปรากฏขึ้นตามแนวชายฝั่งคดเคี้ยว แนวเคลื่อนที่ของดาวเทียมตัดผ่านเข้าไปในแผ่นดิน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สองสามตัวเคลื่อนไหวอยู่ตามแนวพืช ดูมันเปราะบางและไร้พิษสง ผมเร่งภาพให้เร็วขึ้นไปจนถึงจุดที่คนก่อนหน้าผมทำเครื่องหมายเอาไว้ แนวป่าบางลง เห็นสัตว์ปีกสองสามตัวบินผ่านมุมจอไป

“วัดขนาดด้วย” เสียงหัวหน้าสั่ง โต๊ะข้าง ๆ รับข้อมูลไปทำทันที ขนาดของสิ่งมีชีวิตในอากาศจำเป็นสำหรับการปล่อยสิ่งบินไร้คนขับไปบินสำรวจระยะใกล้ที่ต้องการความละเอียดมากกว่าภาพจากดาวเทียม เราจะปรับเพดานบินของสิ่งบินที่เรียกชื่อเล่นว่า “นก” ให้หลอกตาสิ่งมีชีวิตบนพื้นดินว่าเราเป็นสัตว์ปีกประจำถิ่น ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมจากดาวอื่น

“ตรงนี้แหละ จับภาพนิ่งด้วย” เสียงหัวหน้าดังเหมือนเสียงตะโกน ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงตื่นเต้นได้ขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตทรงปัญญามาก่อน แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้ผมแปลกใจได้ไม่น้อยเช่นกัน

“ตรงนั้น-ซูมเข้าไปอีก-สูงสุดเลย” ภาพพื้นผิวดาวเคลื่อนผ่านไป ผมตามไปเรื่อย ๆ ผ่านจุดที่หมายตาเอาไว้ ตามมาด้วยเสียงแสดงความประหลาดใจของหลายคนดังขึ้นรอบข้าง ผมเหลียวไปมองตามเสียง ทีมบริหารอีกสองคนมามุงอยู่ที่หน้าจอของผม คนหนึ่งเป็นนักมานุษยวิทยา อีกคนเป็นนักชีววิทยาประจำยาน

ผมจับภาพหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้ มันอยู่กลางแนวป่า กลุ่มอาคารยี่สิบถึงสามสิบหลังปลูกเรียงรายกันอยู่ มันไม่เป็นแบบแผนนักแต่ดูผ่าน ๆ ก็รู้ว่าตัองมีการจัดการของกลุ่มสังคมอย่างเป็นระบบพอสมควร ความประหลาดของมันคืออาคารสองขนาดที่รูปทรงต่างกันอย่างชัดเจนอยู่ปะปนกัน เหมือนเอาบล๊อกไม้สองขนาดโยนลงบนโต๊ะแบบสุ่ม ๆ ภาพสิ่งมีชีวิตเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ดาวเทียมกวาดผ่านหมู่บ้านเพิ่มอีกสองหรือสามแห่ง แต่หัวหน้ายังจดจ่อกับภาพที่เห็นจากหมู่บ้านแรก

“มีนกอยู่ใกล้ ๆ บ้างไหม” เขาเงยหน้าจากจอภาพตะโกนขึ้นมาลอย ๆ เสียงใครคนหนึ่งตอบรับ

“ส่งไปเลย เอาหมู่บ้านนี้แหละ บินสองรอบ” เสียงหัวหน้าสั่ง จากนั้นเขาถีบตัวไปตามความยาวห้อง เคลื่อนไปหาต้นเสียงพร้อมกับนักชีววิทยา เหลือแต่นักมานุษยวิทยาเบียดตัวอยู่หลังเก้าอี้ของผม

“ระหว่างรอนก คุณช่วยแต่งภาพให้ชัดขึ้นได้ไหมคะ?” นักมานุษยวิทยาสาวสวยประจำเรือกระซิบเบา ๆ ผมใช้ซอฟท์แวร์ทุกตัวที่มีในเครื่องช่วยเธอด้วยความเต็มใจ ภาพค่อย ๆ ชัดขึ้นทีละนิด แต่ถึงอย่างไรมันก็มีข้อจำกัดอยู่พอสมควร มันแสดงให้เห็นสิ่งมีชีวิตสองชนิด ชนิดหนึ่งรูปร่างผอมสูงสีเหลืองสด อีกชนิดรูปร่างกลมเตี้ยสีแดงเข้ม ตัวที่มีสีเหลืองมีขนาดใหญ่กว่าอีกชนิดหนึ่งมาก

“มีสิ่งมีชีวิตสองชนิดอยู่ร่วมกัน” เธอเอนตัวเพื่อยื่นมือมายังจอภาพ ผมยาวชี้ออกทุกทิศทางเหมือนไม้กวาดเคลื่อนผ่านหน้าผมเบา ๆ

“แปลว่าอะไร ?” ผมถาม ความรู้วิทยาศาสตร์กายภาพของผมเหลือน้อยเต็มที

“แปลว่าสองชนิดนี้ต้องมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งฉันคิดว่าเป็นความสัมพันธ์ในทางบวก ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง”

“ทางบวกที่คุณว่านี่หมายถึงอะไร ?” ผมถามด้วยความจนปัญญา

“ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องได้ประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่อีกฝ่ายอาจได้ประโยชน์หรือไม่ก็ไม่เสียประโยชน์” เธอหันหน้ามาอธิบายสั้น ๆ

“เหมือนผมเลี้ยงหมาที่บ้านแล้วสร้างบ้านหมา อย่างนั้นหรือเปล่า ?”

“ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ระบบนิเวศ คุณพูดถึงหมาในฐานะสัตว์เลี้ยง แต่นี่มันเหมือนการอยู่ร่วมกันมากกว่าการที่พวกหนึ่งจะเป็นสัตว์เลี้ยงของอีกพวกหนึ่ง คุณดูที่กลุ่มอาคารพวกนั้นสิ มันกระจัดกระจายมาก ไม่มีการวางตัวเหมือน ‘บ้านหมา’ อย่างที่คุณว่าเลย”

จริงของเธอ

“ฉันกำลังคิดว่าเราค้นพบสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสองชนิดอยู่ร่วมกันแล้วละ” เธอพูดย้ำช้า ๆ “ไม่เคยมีรายงานมาก่อน”

ผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน

เสียงสั่งการดังโหวกเหวกอยู่ทางด้านหลัง เรียกระดมนกทุกตัวในรัศมีทำการให้โฉบไปเหนือหมู่บ้าน แต่นักมานุษยวิทยาของผมกลับทำเรื่องให้ประหลาดใจ

“ไปดูหมู่บ้านอื่นกันดีกว่า” เธอบอก

“คุณไม่รอนกก่อนหรือ ? ผมว่านกน่าจะถ่ายภาพได้ชัดขึ้นนะ” ผมแย้ง ภาพที่เห็นจากดาวเทียมนั้นแม้จะให้รายละเอียดได้ดี แต่หากต้องการความคมชัดคงต้องหวังพึ่งการถ่ายภาพระยะใกล้มากกว่านั้น

“ไม่มีประโยชน์สำหรับนักมานุษยวิทยาหรอก ฉันคิดว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งมีชีวิตสองพวกนี้อยู่ร่วมกันแบบไหนโดยไม่ต้องใช้นกด้วยซ้ำ” เธอทิ้งปริศนาเอาไว้

ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจับภาพกลุ่มอาคารที่มีให้เห็นเป็นระยะตามพื้นผิวดาวแล้วแยกภาพนิ่งออกมาบนจอให้เธอดูทีละภาพ เหมือนจะเป็นข้อตกลงที่ไม่ได้พูดกันล่วงหน้า เราเรียกมันว่า “หมู่บ้าน”

“ดูนี่สิ” เธอชี้ไปที่จอภาพอีกครั้ง ผมชอบจังเลยเวลาที่ปลายผมของเธอเฉียดผ่านหน้าไป “มีหมู่บ้านที่มีเฉพาะตัวสีเหลือง และมีหมู่บ้านที่มีเฉพาะตัวสีแดง คุณพอจะเข้าใจความหมายไหม ?” ภาพที่เห็นคือบางหมู่บ้านที่ดาวเทียมถ่ายภาพส่งมาจะมีเฉพาะกลุ่มอาคารหลังเล็ก บางหมู่บ้านมีเฉพาะกลุ่มอาคารหลังใหญ่ มันยืนยันสิ่งที่เธอพูดได้แน่นอน

“คุณกำลังจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดสามารถมีสังคมของตัวมันเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งสิ่งมีชีวิตอีกสีหนึ่งใช่ไหม ?” ผมเดา

“ให้ A+ สำหรับวิชาชีววิทยาเบื้องต้นไปเลย เราสามารถตัดความสัมพันธ์เชิงลบออกไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการแก่งแย่ง ภาวะปรสิต หรือการล่าเหยื่อ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงสิ่งมีชีวิตสองสีนี้จะไม่มีทางสร้างบ้านอยู่ด้วยกันแน่ และเราก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตสองชนิดนี้ต่างสามารถสร้างหมู่บ้านของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอีกพวกหนึ่ง”

เธอหยุดไปเสียเฉย ๆ “แล้ว…?” ผมถาม

“ทีนี้ก็เหลือแค่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตสองสี้นี้เป็นแบบไหน ถ้ามองแบบนักชีววิทยา” เธอหยุดแล้วเหลือบไปมองนักชีววิทยาที่อีกมุมหนึ่งของห้อง “คุณต้องจับสิ่งมีชีวิตสองชนิดนี้มาทดลองให้อยู่ร่วมกัน และอยู่แยกกัน ซึ่งกฎหมายไม่อนุญาตให้เราทำแบบนี้กับสิ่งมีชีวิตต่างดาว และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม่ถึงต้องมีฉันอยู่บนยานลำนี้”

ผมคิดว่า’ฉัน’ ที่เธอพูดนั้นหมายถึงนักมานุษยวิทยา แต่ถ้าเธอจะหมายถึง ‘ฉัน’ ในฐานะสาวสวยคนหนึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน

“ฉันสามารถศึกษาพฤติกรรมสิ่งมีชีวิต เอาแค่ที่ ‘ทรงปัญญา’ นิดหน่อยก็พอใช้ได้แล้ว” เธอเอนตัวมาชี้ที่หน้าจออีกครั้ง “หมู่บ้านที่มีสิ่งมีชีวิตสีเดียว ไม่ว่าจะสีเหลืองหรือแดงจะเล็กกว่าหมู่บ้านที่มีทั้งสองสี”

ผมมองตามภาพถ่ายดาวเทียมที่หน้าจอ ภาพหมู่บ้านถูกส่งขึ้นมาเกือบยี่สิบแห่ง จริงของเธอ ยิ่งอัตราส่วนของสิ่งมีชีวิตทั้งสองสีใกล้เคียงกัน หมู่บ้านยิ่งมีขนาดใหญ่ หมู่บ้านที่มีขนาดรองลงมาคือหมู่บ้านที่มีสีใดสีหนึ่งมากกว่า และหมู่บ้านที่เล็กที่สุดคือหมู่บ้านที่มีสิ่งมีชีวิตสีเดียว

นี่มันง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ ?

“คุณจะไม่ใช้หลักฐานอื่นเลยหรือ ? ผมว่ามันฟังดูง่ายเกินไปหน่อยไหมที่จะสรุปแบบนี้” ผมพยายามแย้ง

“ไม่ง่ายเกินไปหรอก นี่แหละหลักฐานหนักแน่นแล้ว ทั้งสองพวกอยู่ร่วมกันแล้วได้ประโยชน์อะไรสักอย่างร่วมกันทำให้หมู่บ้านขยายออกไปได้มากกว่าการมีพวกเดียวโดด ๆ  อาจเป็นการป้องกันตัวจากผู้ล่า หรือผลประโยชน์ด้านอื่น ซึ่งต้องสำรวจกันต่อไป”

จากนั้นเธอกระแอมเบา ๆ แล้วกล่าวสุนทรพจน์ของเธอด้วยเสียงกระซิบให้ผมได้ยินเพียงลำพัง

“ในนามของนักมานุษยวิทยาประจำยาน ฉันขอประกาศว่าดาวดวงนี้เป็นดาวดวงแรกตั้งแต่มีการสำรวจอวกาศเป็นต้นมาที่ค้นพบว่าสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาสองชนิดสามารถอยู่ร่วมกันบนดาวดวงเดียวได้ และการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดเป็นแบบการได้ประโยชน์ร่วมกันในระบบนิเวศ” เธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

เสียงหัวหน้ายังดังโหวกเหวกสั่งงานให้นกบินโฉบที่หมู่บ้านแรกอยู่ไกล ๆ แต่สำหรับนักมานุษยวิทยาของผม ดูเหมือนว่างานของเธอสำหรับการสำรวจรอบนี้สำเร็จลงแล้ว

“ฉันไปเขียนรายงานก่อน ใช้ชื่อคุณเป็นชื่อแรกนะ ฉันไม่ค่อยอยากดังเท่าไหร่” เธอทิ้งท้ายก่อนจะผลักตัวเองออกไปยังทางออกก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป

……….

ผมนั่งเอนตัวในห้องพักผ่อนหลังจากหมดเวรแปดชั่วโมงในสถานีรับข้อมูล ขณะกำลังจะงีบหลับ ใครคนหนึ่งโผล่หน้าเข้ามาในห้อง

สมศักดิ์ คุณต้องดูข่าวนี้” เขาพูดพร้อมกับผลักตัวเองไปที่จอภาพติดผนัง มันรับสัญญาณผ่านห้วงอวกาศระดับสูง ข้ามกาล-อวกาศจากโลกมายังยานสำรวจ เขากดเปิดและปรับไปที่ช่อง CNN Universe

ภาพข่าวและเสียงผู้บรรยายภาษาอังกฤษบอกเล่าถึงการชุมนุมประท้วงทางการเมืองโดยคนต่างสีของประเทศบ้านเกิดเมืองนอนปรากฏขึ้นที่จอภาพ มันสั่นไหวเล็กน้อยแต่ก็ไม่ทำให้รายละเอียดของข่าวเสียไป คนใส่เสื้อสีหนึ่งกำลังตะโกนด่าคนอีกสีหนึ่งอยู่ และทั้งสองฝ่ายพร้อมจะเข้าปะทะกันได้ทุกเมื่อโดยมีตำรวจยืนเข้าแถวเรียงหนึ่งคั่นอยู่ตรงกลาง

ผมได้แต่ถอนหายใจ

สัตว์สังคม

ผมไปงานเลี้ยงช้า การไปช้าไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่ามีคนสั่งอาหารที่ผมอาจจะไม่ชอบหรือถึงกับเกลียดมาวางตรงหน้า แต่ยังหมายถึงการได้ที่นั่งที่ไม่ดีซึ่งมักจะเป็นขอบโต๊ะด้านหนึ่งหรือไม่ก็ต้องนั่งระหว่างอาหารสองชุดที่คิดจะเอื้อมไปหยิบจากฝั่งไหนก็ไม่สะดวก คนนั่งข้าง ๆ อาจเป็นคนที่ผมไม่ชอบหน้า และคนที่ผมชอบไปหมดทุกส่วนก็มักจะมีคนนั่งห้อมล้อมอยู่แล้ว แต่ด้วยงานที่ค้างมาจากกลางวันทำให้ต้องออกจากที่ทำงานช้ากว่าคนอื่น ๆ บวกกับยามค่ำที่รถทุกคันต่างคืบคลานอย่างบ้าระห่ำไร้จุดหมายทำให้การเดินทางไปยังร้านที่นัดกันไว้ช้ากว่ากำหนดเกือบสองชั่วโมง ผมหมายความอย่างนั้นจริง ๆ รถส่วนใหญ่คืบคลานอย่างเชื่องช้าแต่ก็เต็มไปด้วยความไร้ปราณีอยู่นั่นเอง เลิกหวังกับที่นั่งดี ๆ อาหารดี ๆ และคนที่อยากนั่งด้วยไปได้เลย ผมเกลียดวันศุกร์สิ้นเดือน

เป็นดังคาด ผมต้องนั่งหัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับผู้จัดการ แม้จะมีคนนั่งเรียงรายสองแถวรวมกันเกือบยี่สิบคนก็ยังทำให้สายตาที่มองมาทิ่มแทงเข้าไปในจิตไร้สำนึกได้อย่างเจ็บปวด อาหารเกือบเกลี้ยงโต๊ะ ผมต้องนั่งกินข้าวสวยเย็น ๆ กับเศษอาหารที่เหลือตามขอบจาน ถ้าเป็นผู้จัดการมาช้าละก็ อาหารทั้งหลายต้องสั่งใหม่ให้อีกชุด ข้าวต้องเป็นโถใหม่ เสิร์ฟมาพร้อมกับผ้าเย็นเช็ดหน้าเช็ดคอให้เย็นชื่นใจ แต่กับสิ่งมีชีวิตชั้นปลายแถวอย่างผมนั้นเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมข้างโต๊ะอาหาร ตัดทิ้งไปได้โดยไม่มีความจำเป็น ทนกินเข้าไปเถอะ ถึงข้าวจะเย็นแล้วและต้องพลิกก้างปลาหาเศษเนื้อก็ยังดีกว่าต้องออกเงินซื้อเองแน่

กระบวนการกินเป็นลำดับพิธีที่สำคัญ มันเป็นกฎที่มองไม่เห็นนอกสำนักงาน เป็นกฎของลำดับชั้นทางสังคม เหมือนฝูงสิงโตกลางป่าแอฟริกา จ่าฝูงต้องอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด ได้เนื้อชิ้นที่ดีที่สุดก่อนสิงโตตัวอื่น ลูกน้องในฝูงต้องสั่งอาหารจานที่ดีที่สุดและหยิบยื่นเครื่องดื่มที่ชงมาดีที่สุดให้ คนที่มาก่อนต้องเลือกอาหารให้ถูกปากจ่าฝูง ปลาหนึ่งจาน เนื้อหรือหมูหนึ่งที่ ผัดผักหนึ่งจาน แกงหนึ่งชุด เผ็ดหรือไม่เผ็ดก็ได้ และมันจะไม่ง่ายเลยถ้าเป็นผม หากมาถึงก่อนผมคงสั่งไข่เจียวกับต้มยำกุ้งมาแล้ว และต่อให้มันเป็นต้มยำและไข่เจียวที่อร่อยที่สุดในประเทศก็คงไม่ถูกใจคนอื่นเป็นแน่ ดีแล้วละที่มาถึงทีหลัง ไม่ต้องยุ่งยากว่าจะสั่งอาหารไม่ถูกปากผู้จัดการ

ลำดับการนั่งรอบโต๊ะก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ถัดจากผู้จัดการก็เป็นรองผู้จัดการสองคนที่นั่งกันคนละด้าน ไมมีใครแย่งตำแหน่งนั้นแน่นอน  ดูเหมือนทั้งคู่จะยิ้มแย้มแจ่มใสกันดี แต่ถ้าได้ยินสองคนนั่นนินทากันทีละคนละก็ ผมเชื่อเลยว่าไม่มีใครอยากเห็นทั้งคู่มานั่งคั่นกลางด้วยผู้จัดการฝ่ายอย่างนี้แน่นอน กับผู้จัดการก็เถอะ ตอนนั่งที่โต๊ะนี่ก็เหมือนกับจ่าฝูงสิงโตฝูงใหญ่ แต่พอผู้จัดการใหญ่มาก็ไม่ต่างจากลูกแกะเท่าไหร่เลย ข้อดีของการเป็นพนักงานชั้นปลายแถวอย่างผมคือไม่ว่าในสถานการณ์ไหนเราก็ยังเป็นลูกแกะอยู่วันยังค่ำ ไม่ต้องคอยคิดว่าเวลานี้จะแปลงร่างเป็นอะไรดี…

คนนั่งข้างถามพูดอะไรบางอย่างแต่ผมได้ยินไม่ถนัด น่าจะเพราะเสียงเพลงจากนักร้องรับเชิญที่นั่งตามโต๊ะสลับกันขึ้นไปร้อง  เดาเอาว่าเขาคงถามว่ากินอะไรมาบ้างหรือยัง ผมตอบปฏิเสธ เขาชี้ไปที่อาหารและพูดอะไรออกมาอีกสองสามคำ แค่พอได้ยินแต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร เดาเอาว่าเขาคงชี้ชวนให้กินเศษซากอาหารที่เหลือก้นจาน ผมก้มลงไปกินอย่างว่าง่ายพร้อมกับที่เขาแผดเสียงหัวเราะออกมา สองสามคนรอบข้างหัวเราะตาม ช่างมันเถอะ แค่กินให้มันอิ่มก็พอ

พิธีกรรมที่โต๊ะอาหารเป็นแบบฉบับของมันเอง อาหารหนึ่งชุดสำหรับสี่ถึงหกคน หัวโต๊ะต้องได้อาหารก่อน จ่าฝูงตักกินเป็นคนแรก จากนั้นลูกน้องในฝูงจึงจะได้รับอนุญาตให้ตักอาหาร ทุกสิบหรือสิบห้านาทีจะมีใครสักคนยกแก้วขึ้นดื่มอวยพรให้คนสองสามคนที่หัวโต๊ะ จากนั้นพูดจาเล่นหัวกันสองสามประโยค แล้วตามมาด้วยการก้มลงไปกินอาหารของใครของมันต่อไป เป็นแบบแผนที่วนเวียนไปจนดึกดื่นและไปสิ้นสุดเอาตอนที่จ่าฝูงลุกออกไปหาสถานที่พักผ่อน ลูกน้องจึงจะได้โอกาสสรวญเสเฮฮากันเองต่ออีกชั่วครู่ ก่อนจะไปจบค่ำคืนของแต่ละคนในสถานที่ของใครของมัน วันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่น ยกเว้นแต่ว่า…

ผมเริ่มประหลาดใจเมื่อผู้จัดการขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีที่นักดนตรีเปิดคาราโอเกะและเล่นคีย์บอร์ดคลอเป็นแบ็คกราวนด์ ผมรู้จักเพลงนี้ จำท่วงทำนองของมันได้ขึ้นใจ แต่เสียงร้องของผู้จัดการนั้นกลับแปลกประหลาดจนผมต้องเงยหน้าจากการแทะกระดูกไก่ขึ้นไปมอง

ทุกอย่างลงตัวไปหมด ผู้จัดการขึ้นไปร้องเพลงโปรดที่ไม่ว่าครั้งไหนก็ต้องเป็นเพลงนี้ และถึงแม้เขาจะร้องได้เพี้ยนแค่ไหนทุกคนก็ยังชมเขาอย่างออกหน้าออกตาเสมอ ที่ผิดไปเพียงอย่างเดียวคือเหมือนกับมีคนเอาเพลงไปแปลเป็นภาษาบูรุนดีหรือภาษาสโลวัคแล้วเอาไปให้เขาร้อง สองคนที่นั่งถัดจากผมมองด้วยสายตาชื่นชมและพูดกันเบา ๆ

“ผู้จัดการ…”

ผมจับใจความได้แค่นั้น ไม่ใช่ว่าเพราะเพลงดังเกินไปหรือพวกเขาพูดกันเบาเกินไป แต่เพราะมันเป็นภาษาอะไรสักอย่างที่ผมไม่เคยรู้จัก แต่กระนั้นผมกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของพวกเขาทั้งสองที่ซ่อนอยู่หลังคำพูดเหล่านั้น คนหนึ่งรู้สึกเบื่อ และอีกคนอยากให้เพลงจบเสียเร็ว ๆ

แล้วทุกอย่างก็ทะลักเข้ามาในหัวผมเหมือนเขื่อนใหญ่แตกระเบิดออกแล้วสายน้ำสาดโครมลงมา สองคนถัดไปกำลังคุยกันไปยิ้มหัวกันไป แต่ทั้งคู่คิดอยากให้บทสนทนาจบลงเร็ว ๆ ความคิดของเขาเหมือนกับภาพที่ฉายชัีดเจนให้ผมรู้สึกได้โดยไม่ต้องเพ่งมองหรือเงี่่ยหูฟัง อีกคนกำลังคิดว่าจะหาวิธีทำอย่างไรให้เพื่อนร่วมงานสุดสวยคนหนึ่งไปลงเอยที่ห้องนอนของเขาให้ได้ในคืนนี้ สำหรับคนถัดไปไกล ๆ ความเข้มของความรู้สึกที่ส่งมาจะน้อยลงเรื่อย ๆ แต่ก็ยังคล้ายกับเสียงกระซิบที่พอจะจับใจความได้อยู่นั่นเอง

ผู้จัดการร้องเพลงโปรดจบพร้อมกับความรู้สึกของคนทั้งห้องอาหารหลั่งไหลเข้ามาในตัวผม ทั้งโล่งอก ก่นด่า และยินดี ที่ผมสามารถรับได้อย่างเต็มที่คือนักดนตรีที่นั่งห่างออกไปไม่เท่าไหร่อยากอัดเสียงเพลงนี้แล้วส่งแผ่นซีดีไปให้ผู้จัดการฟังสักครั้ง

ผู้จัดการเดินผ่านมาทางด้านหลัง ความรู้สึกของเขาที่แผ่กระจายมาถึงทำให้ผมเสียวสันหลังวาบและต้องเงยหน้าขึ้นมอง เขากำลังคิดอยากจะไล่ผมออกอยู่ ! รสชาติไก่เย็นชืดในปากจืดลงไปสนิทใจ ผมไม่ได้เมาแน่นอน ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรที่จะทำให้เมาได้เลย ไม่มีมีเหล้า ไม่มียาแก้หวัด จนมาถึงที่นี่ผมก็ยังได้แค่กินเศษไก่ไปสองสามชื้นกับข้าวสวยจืด ๆ สองคำ และยืนยันด้วยการหันไปมองแก้วข้างตัวก่อนจะหยิบขึ้นมาจิบ… น้ำเปล่าแน่นอน

……….

ผมลุกขึ้นยืนช้า ๆ พยายามไม่ทำตัวให้เด่น เหลียวมองหาป้ายบอกทางไปห้องน้ำชาย สังเกตได้ว่าตัวเองอ่านตัวหนังสือบนป้ายประกาศทั้งหลายไม่ออกอีกต่อไป แต่ลำพังสัญลักษณ์บอกทางไปห้องน้ำยังพอจะนำทางให้ผมเดินไปได้ไม่ยากเย็นนัก ผมเดินเข้าห้องน้ำและทิ้งความรู้สึกที่เหมือนถูกเข็มทิ่มแทงเข้าไปในสมองไว้เบื้องหลัง เลือกห้องน้ำที่อยู่ไกลสุด ทรุดตัวลงนั่งกุมขมับแล้วนวดเบา ๆ ความรู้สึกรุนแรงของคนที่นั่งห้องข้าง ๆ เบียดแทรกเข้ามาในสมองอย่างช่วยไม่ได้ แต่กับความรู้สึกเดี่ยว ๆ แบบนี้ยังพอจะรับได้มากกว่าความสับสนปนเปของความรู้สึกที่ล่องลอยอยู่ในห้องอาหารนั่น ปล่อยให้มันผ่านเข้ามาแล้วปล่อยให้มันผ่านออกไป เหมือนเสียงกระซิบหรือคำพูดที่หลายครั้งเราไม่ตั้งใจฟังแต่บังเอิญได้ยิน

ถึงที่สุดผมก็หลบออกไปจากร้านอาหาร ทันทีที่ประตูร้านเปิดออก ผมเหมือนถูกท่วมด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกราก เสียงผู้คนพูดคุยกันจอแจแต่ฟังไม่เข้าใจ ป้ายโฆษณาที่พอจะนึกออกว่าขายอะไรแต่กลับอ่านรายละเอียดไม่ออก เสียงรถวิ่งตามถนนดังสะท้านหู รถเมล์คันหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไปตามด้วยก้อนความรู้สึกสารพัดกระแทกโครมเข้าใส่พร้อมลมที่พัดวนตามหลังรถ ผมตัดสินใจโบกแท็กซี่คันแรกที่มองเห็น บอกชื่ออพาร์ตเมนท์ให้คนขับ จากนั้นนั่งมองท้ายทอยโชเฟอร์พร้อมกับรับเอาความคิดของเขาที่หลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย เลขท้ายสองตัวงวดต่อไป ง่วงนอน เงินค่าเช่ารถ ความไม่เท่าเทียมทางสังคม… นั่งคันไหนก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่หรอก

ตอนติดไฟแดงครั้งหนึ่งผมเกือบจะอาเจียนออกมา ความคิดจากคนในรถรอบข้างส่งผ่านเข้ามาซ้ำ ๆ แบบเดียวกันจนแน่นสมอง เริ่มจากนับถอยหลังตามตัวเลขดิจิตอลที่กะพริบอยู่ใต้สัญญาณไฟไปสิ้นสุดเอาที่การก่นด่ารถคันสุดท้ายที่ฝ่าไฟแดงตัดหน้าทำให้พวกเขาต้องออกตัวช้าลง

ผมกระโจนขึ้นเตียงได้ในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นความนึกคิดของคนที่อยู่ห้องข้าง ๆ หรือไม่ก็คงจะเป็นห้องข้างบนและข้างล่างก็ยังแทรกผ่านผนังคอนกรีตเข้ามาให้ผมรับรู้อยู่นั่นเอง มันดูเบาบางลงบ้างแต่ความวิปริตของความคิดที่เข้ามากลับมากขึ้นกว่าที่ผมได้รับตอนอยู่ในห้องอาหารมาก ผมนอนลืมตาโพลงและรับความคิดประหลาดเหล่านั้นอยู่นานก่อนจะคิดได้ว่านั่นคงเป็นความฝันแหว่งวิ่นของผู้คนที่ถูกสังคมบีบคั้นมาตลอดทั้งวันและถูกปลดปล่อยออกมายามหลับใหล ใครคนหนึ่งกำลังย้อนวัยกลับไปตอนเรียนชั้นประถมและถูกครูจับได้ว่าลอกข้อสอบเพื่อน อีกคนหนึ่งกำลังฝันขาด ๆ หาย ๆ จับใจความไม่ได้ และอีกสองสามคนกำลังระบายความกระหายทางเพศออกมาในความฝัน แต่พอใกล้สว่าง มันกลับเหมือนวิทยุโบราณที่หมุนคลื่นผ่านหน้าปัดเร็ว ๆ จนแต่ละสถานีที่ถูกหมุนผ่านไปไม่สามารถจับใจความได้ และเป็นอย่างนั้นไปตลอดจนถึงเช้า

เช้าวันเสาร์ ในสภาพที่ไม่ได้นอนเลยสักงีบ ผมเดินเลี่ยงผู้คนไปกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มโดยใช้ความทรงจำถึงลำดับการกดปุ่มต่าง ๆ ตัวหนังสือที่แป้นกดและหน้าจอกลายเป็นภาษาประหลาดที่ผมไม่สามารถอ่านได้อีกต่อไป จากนั้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างอารมณ์โกรธเกรี้ยวนำผมไปคิวรถตู้ได้ในที่สุด ผมบอกสถานที่ปลายทางโดยไม่สนใจว่าคนขายตั๋วพูดอะไรกลับมา จ่ายเงินด้วยแบงค์ใหญ่ที่สุด รอรับเงินทอนแล้วขึ้นไปนั่งรอและข่มตาหลับก่อนที่ผู้โดยสารคนอื่นจะขึ้นมานั่ง รถคันนี้จะพาผมกลับบ้านต่างจังหวัดที่แทบจะถูกทิ้งร้างในช่วงหลายปีหลัง ผมต้องหาทางลดเสียงรบกวนในสมองลงให้ได้มากที่สุดก่อนจะคิดทำอะไรต่อไป

……….

ผมตื่นก่อนถึงที่หมายเล็กน้อย แต่มันก็นานพอที่จะทำให้ความคิดของคนสิบกว่าคนบนรถตู้โถมทับเข้ามาใส่ผมอีกระลอก ผมแทบจะกระโดดออกไปตอนที่รถจอดที่จุดหมายปลายทาง ณ อำเภอเล็ก ๆ ห่างจากตัวจังหวัดสิบกว่ากิโลเมตรในจังหวัดที่ห่างจากกรุงเทพ ฯ สามร้อยกิโลเมตร พยายามนับลมหายใจตัวเอง “เข้า-ออก” และไม่สนใจสิ่งรอบข้าง จากนั้นตัดสินใจเดินอ้อมถนนสองสายแทนที่จะตัดผ่านกลางตลาดสดไปที่บ้านริมแม่น้ำ

เสียงหมาหลังอานข้างบ้านเห่าสองสามครั้งทักทายก่อนที่ผมจะหยิบกุญแจดอกเก่าขึ้นมาไขประตูหน้าบ้าน นึกว่ามันแก่ตายไปแล้วเสียอีก… หมาเฒ่าตอบกลับมาทันทีว่ามันยังไม่ตาย ถ้าเป็นเมื่อสองสามวันก่อนผมคงตกใจกระโจนหนีไปแล้ว แต่ ณ วันนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทำให้ผมประหลาดใจได้อีกแล้ว

รอบบ้านเงียบสงัด บ้านหลังเก่าหลายหลังดูทรุดโทรมลงนับแต่คนรุ่นหลังย้ายถิ่นไป ความล่มสลายของชนบทเกิดตามหลังความเจริญของสังคมเมือง คนรุ่นใหม่ไม่ยินยอมอยู่ในสังคมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการแก่งแย่งแข่งขัน ว่าแต่จะแข่งขันไปทำไมกันนะ ?

ลุงข้างบ้านออกมาทักทาย ผมฟังคำพูดไม่ออกแต่ก็จับความรู้สึกได้ว่าเป็นความปิติยินดี ผมยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าบ้าน โลกดูเหมือนจะเงียบเสียงลง ความจอแจของความรู้สึกนึกคิดที่ชวนให้สับสนวุ่นวายดูสงบลงอย่างชัดเจน ไม่มีความคิดพิสดารหลุดโลก ไม่มีคนที่ยิ้มให้พร้อมกับคิดจะแทงข้างหลังในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปนั่งกินอาหารเหลือของใคร ไม่ต้องเป็นไฮยีน่าในฝูงสิงโตอย่างที่เคยเป็น แมงมุมสองสามตัวที่มุมห้องแสดงความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะผ่อนคลายลงเมื่อรู้ว่าไม่อันตราย จิ้งจกตัวหนึ่งที่ข้างฝารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเหยื่อของมันตกใจหนีไป ผมเลือกล้มตัวลงนอนบนโซฟาหนังหลังจากปัดฝุ่นออกไปบ้าง

ผมตื่นขึ้นมาเพราะมีความรู้สึกอะไรสักอย่างอยู่ที่นอกประตู มันหนักแน่นชัดเจนแต่ไม่รุนแรง มันเชิญชวนและเรียกร้อง นิ่งและมั่นคง เหมือนคำทักทายตามปกติเวลาไปเคาะประตูบ้านคนอื่นแล้วเรียกให้เจ้าของบ้านมาเปิดประตู อาจเป็นน้องชายที่ทำงานในตัวจังหวัดแล้วกลับมานอนที่บ้านเป็นระยะ หรืออาจเป็นคนข้างบ้านที่ได้ข่าวการกลับบ้านครั้งแรกในรอบเจ็ดปีของผมแวะมาเยี่ยมก็ได้ น่าแปลกที่ไม่มีเสียงใครตะโกนเรียก

ผมหยุดยืนหลังประตูอยู่พักหนึ่ง ความคิดข้างนอกยังคงอยู่ มันยังชัดเจนแบบเดียวกับที่ผมรับรู้ตั้งแต่แรกโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ  ไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือกระวนกระวายเหมือนกับเมื่อใครสักคนไปยืนรอหน้าประตูแล้วไม่รู้ว่าจะมีคนมาเปิดให้หรือเปล่า

ผมลังเล ไม่ใช่เพราะมันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดหรือน่ากลัว แต่เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนเกินไป บริสุทธิ์เกินไป แต่มันก็เรียกร้องเชิญชวนอยู่ในตัวเอง แต่ในที่สุดผมก็เอื้อมมือไปปลดกลอน เปิดประตูออกช้า ๆ

ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เธออายุน้อยกว่าผมสองเดือนเศษ เรียนห้องเดียวกับผมตั้งแต่มัธยมหนึ่งจนจบมัธยมหก ดูเธอเปลี่ยนไปน้อยมากหากไม่นับผมที่ยาวขึ้นและมัดรวบไว้ข้างหลัง ผู้หญิงร่างสูง น้ำหนักมากกว่าเกณฑ์เล็กน้อย คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยคิดชอบเธออยู่แต่ก็ไม่ได้พยายามเป็นพิเศษ เราเรียนด้วยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน ไม่ต่างจากที่เราคบเพื่อนคนอื่น จบมัธยมหกแล้วก็ต่างคนต่างไป

ความรู้สึกอิ่มเอิบของเธอพุ่งเข้ามาหาผมทันทีทันใด มันทำให้อบอุ่นเคลิบเคลิ้มได้อย่างประหลาด เธอยิ้มน้อย ๆ มุมปากแย้งกับความรู้สึกที่เข้มข้นของเธอ เหมือนเธอกำลังเหนียมอาย

“สวัสดี” เธอพูดออกมา มันเป็นภาษาไทยชัดเจนที่ผมฟังแล้วเข้าใจโดยไม่ต้องคิด เป็นภาษา ‘มนุษย์’ คำแรกที่ผมได้ยินในช่วงหนึ่งวันที่ผ่านมา

ผมตอบกลับ และรู้ได้ทันทีว่าเธอยังโสด ไม่มีแฟน … เธอไม่ได้บอกออกมาหรอก เธอคิดอยู่ในใจตอนนั้นพอดี…

นางฟ้าของชนชั้นกลาง

เขาตื่นงัวเงียขึ้นมาด้วยอาการปวดหนัก ๆ ในสมอง เหมือนกับมีใครเอาก้อนหินขนาดพอเหมาะยัดเข้าไปในขมับสองข้าง ข้างขวาดูจะใหญ่กว่าข้างซ้ายนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เหลือบตาดูนาฬิกาแล้วคำนวณว่าเช้าวันนี้จะต้องเร่งรีบขนาดไหนก่อนจะประกอบกิจยามเช้าดังที่เคยทำมาหลายปีโดยไม่ต้องคิด ขับถ่ายเสร็จแล้วก็แปรงฟันล้างหน้าต่อด้วยอาบน้ำแต่งตัว ลงลิฟต์คร่ำคร่าที่ก่อนจะใช้มันต้องสวดภาวนาประกอบทุกครั้งว่าความเร็วตอนถึงพื้นอย่าให้มากเกินกว่าที่ชีวิตน้อย ๆ ของเขาจะรับได้ จากนั้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปปากซอยแล้วข้ามสะพานลอยไปรอรถเมล์สายเดิมที่ห้อยโหนมันจนราวจับเรียบลื่นไร้สนิมโดยไม่ต้องขัดถู หวังว่าวันนี้คงจะได้พบกับนางฟ้าคนนั้นอีกครั้ง อาการปวดหน่วงในสมองดูจะบรรเทาลงเมื่อได้คิดถึงเธอ

ชีวิตไหลลื่นไปตามวิถีของมัน เมืองใหญ่คนมากและไม่มีใครสนใจใคร เป็นเหมือนคำประกาศในป้ายโฆษณาของเมืองหลวงอันเป็นที่สิงสถิตของเหล่าเทพยดาและนางฟ้าทั้งหลาย ตื่นนอน ทำงาน กินข้าว สังสรรค์และหลับนอน คนเดียวบ้างสองคนบ้าง ก่อนจะตื่นขึ้นมาในวงจรชีวิตแบบเดิมห้าหกวันต่อสัปดาห์ พอวันหยุดก็นอนหลับจนถึงเที่ยงแล้วตื่นขึ้นมาคิดว่าบ่ายนี้จะทำอะไรให้ชีวิตมีความหมายขึ้นได้บ้าง และสุดท้ายก็มักจะลงเอยที่ร้านเล็ก ๆ มุมถนนที่คนไม่พลุกพล่าน มองเข้าไปในตัวเองบ้าง มองออกไปยังผู้คนบ้าง แล้วสิ้นสุดวันหยุดอันทรงคุณค่าด้วยแอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนในกระแสเลือด มากบ้างน้อยบ้างตามจำนวนเงินในกระเป๋า

มีบางเวลาที่คิดอยู่ว่าวงจรที่หมุนวนอย่างไร้จุดหมายแบบนี้จะลงเอยที่ตรงไหน เขาจะล้มลงไปสิ้นลมต่อหน้านางฟ้าที่ป้ายรถเมล์ แล้ววิญญาณบริสุทธิ์ของเขาจะได้รับพรสุดท้ายก่อนจะลอยละล่องขึ้นสรวงสวรรค์สำหรับชนชั้นกลาง หรือหัวใจหยุดเต้นตอนประกอบหฤหรรษ์กิจกับคนแปลกหน้าในห้องพักที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ถูกล็อตเตอรรี่รางวัลที่หนึ่งแล้วลงทุนเปิดกิจการของตัวเอง ปลดแอกเทียมหลังที่ติดป้ายว่าชนชั้นกลางออกไปใช้ชีวิตเป็นเจ้านายของตัวเองในบั้นปลายชีวิตที่ชานเมืองหลวงหรือหัวเมืองต่างจังหวัดที่ไหนสักแห่ง …แล้วนางฟ้าของเขาล่ะ ?

บางครั้งเธอปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน บางครั้งเธอค่อย ๆ แทรกตัวมาตามฝูงชน หลายครั้งเธอยืนอยู่ข้างหลังหรือข้างหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ เขาได้แต่เฝ้ามองเธอ ไม่เคยรู้ว่าเธอเป็นใคร เธออาจเช่าห้องอยู่ข้าง ๆ เขา หรือพักที่อพาตเมนท์อีกแห่งในซอยถัดไป หรือนั่งรถเมล์คันอื่นจากที่ไกลแสนไกลมาต่อรถที่ป้ายนี้ ไม่เช่นนั้นก็อาจลอยลงมาจากสวรรค์เพียงเพื่อปลอบประโลมจิตใจผุพังของเขาก็ได้

เธอขึ้นรถเมล์สายเดียวกับเขาและลงก่อนเขาสามป้ายเสมอ หลายครั้งที่เขาคลาดกับเธอเพียงเล็กน้อย รถเมล์มาถึงและจากไปพร้อมกับเธอก่อนที่เขาจะลงจากสะพานลอย บางโอกาสเขาก็ไม่เห็นเธอติดต่อกันหลายวัน แต่เธอไม่เคยหายไปนาน ถึงอย่างไรก็ตามเธอมาแล้วก็แยกจากไป เส้นชีวิตของเขาและเธอต่อเชื่อมกันที่ป้ายรถเมล์และแยกจากกันสามป้ายก่อนถึงที่ทำงานของเขาเสมอ เขาหวังว่าเธอคงเป็นพนักงานกินเงินเดือนบริษัทใดบริษัทหนึ่งเช่นเดียวกันกับเขา การคิดเช่นนั้นทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับเธอมากขึ้น อย่างน้อยทั้งสองก็อยู่ในระดับที่คนชอบเรียกกันว่ามนุษย์เงินเดือนเหมือนกัน น่าแปลกว่าเธอกับเขาไม่เคยกลับรถเมล์คันเดียวกัน เธออาจขึ้นไปที่ดาดฟ้าแล้วสยายปีกออกบินหายไปในอากาศหลังเลิกงานก็เป็นได้ เหมือนกับเป็นนางฟ้าพาร์ทไทม์

วันไหนที่เขาพบเธอ จะเป็นวันที่สดใสสำหรับเขา ชีวิตดูราบรื่น ไม่มีเสียงบ่นจากเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย ไ่ม่ต้องรอรถเมล์นาน ไม่ต้องรอคิวยาวซื้อข้าวเที่ยง ไม่ต้องตระเวนไปตามบริษัทห้างร้านท่ามกลางการจราจรที่โหดร้าย กลับบ้านด้วยความปรีดา และหลายคืนเขาฝันถึงเธอ เธอเป็นเหมือนเครื่องลางนำความสงบสุขสู่ชีวิตของเขา

เขาเคยนึกอยากให้โลกทั้งโลกเปลี่ยนไป ผู้คนหันมาใส่ใจกันและกันมากขึ้น เขาอยากทักทายแม่ค้าขายปาท่องโก๋หน้าสำนักงานด้วยชื่อของเธอแทนคำเรียกขานว่าป้า อยากเดินขึ้นรถเมล์แล้วพูดคุยกับคนที่ขึ้นรถคันเดียวกันเสมอด้วยความสนิทสนม ไม่ต้องให้เป็นทั้งโลกก็ได้ แค่เมืองนี้เมืองเดียวหรือบนรถเมล์คันที่เขานั่งไปกับเธอก็พอ เพื่อที่ว่าเขาและเธอจะได้สนทนากันอย่างคนรู้จัก คุณชื่ออะไร ทำงานที่ไหน ว่างพอจะไปกินข้าวกับผมสักมื้อหรือไปเดินเล่นที่ห้างดังอย่างที่คนทำงานแบบเรา ๆ ไปเดินเพื่อปล่อยชีวิตให้เสื่อมสลายไปกับเวลาที่สูญเสียไปหรือเปล่า และสุดท้าย หวังว่าสักวันเขาคงมีโอกาสขอเธอแต่งงานและสร้างชีวิตคู่ต่อไป อาจหลังจากที่เขาถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งแล้วก็ได้

เขาลงรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ปากซอย ชำระเงินแล้วกล่าวขอบคุณตามเบบเดิม ๆ ที่เคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน เดินข้ามสะพานลอยไปป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม เลยครึ่งทางมาเล็กน้อยเขาเห็นนางฟ้ายืนรออยู่ที่นั่น

หญิงสาวหน้าตาธรรมดา รูปร่างผอมโปร่ง แต่งหน้าบาง ๆ พอที่จะขับเน้นความสวยตามธรรมชาติ ไม่มากเกินพอจนทำให้เธอดูเหมือนนางแบบในนิตยสารที่เหมือนไม่มีตัวตนจริง และไม่น้อยเกินไปจนทำให้เธอถูกกลืนหายไปกับผู้คน สวมเสื้อเชิร์ตสีอ่อน ชายกระโปรงเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย และนั่นก็มากเกินพอสำหรับการทำให้เธอโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางคนกลุ่มใหญ่ที่ยืนรอยานพาหนะโกโรโกโสอยู่ในที่แห่งนั้น

เขาเดินลงสะพานลอย พยายามเบียดผู้คนเข้าใกล้เธอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่สุดเขาเข้าไปยืนเยื้องไปทางด้านหลังเธอเล็กน้อย มากพอจะทำให้เขาจ้องมองเธอได้โดยที่เธอไม่สนใจและเป็นกังวล อาการปวดศีรษะที่เบาลงเริ่มกลับมาทวงตำแหน่งของมันในกะโหลกของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้มันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาเริ่มเป็นกังวล

เหมือนกับนานไปจนอนันต์ รถเมล์ยังไม่มา เขาปวดหัวมากขึ้นทุกที รู้สึกวิงเวียน ลานจักษุมืดลงทีละน้อยเหมือนกับความมืดนึกอยากเล่นตลกแล้วผลักไสให้ยามเช้าถอยห่างออกไป ขาสองข้างอ่อนแรงจนยืนไม่อยู่ ร่างค่อย ๆ ทรุดลงริมทางเท้า นี่เขากำลังจะตายดับลงข้าง ๆ นางฟ้าจริงอย่างที่คิดไว้หรือ ?

เขารู้สึกเหมือนผู้คนรอบข้างถอยออกห่างตอนที่เขาล้มลง นางฟ้าของเขาพลันหันหน้ากลับมา ภาพพร่าเลือนที่เขามองเห็นเป็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นโน้มตัวลงมา เขาสูดลมหายใจยากลำบากและรู้สึกได้ว่าวันเวลาของเขาคงจะสิ้นสุดลง ณ ที่แห่งนี้ในไม่ช้า หลายคนรอบข้างเดินเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะแตกฮือออกจากกันอีกครั้ง

เธอสยายปีกสีขาวบริสุทธิ์ออกมา มันกว้างใหญ่ อบอุ่นและส่องประกายระยิบระยับกลางความมืดที่ค่อย ๆ ปกคลุมลานสายตาของเขา จากนั้นเธอเอื้อมมือมาช้อนร่างของเขาไว้ ก่อนจะกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู

“ไปกันเถอะ”

แล้วเธอก็พาเขาบินขึ้นไปในอากาศ

เช้าวันเดิม

ผมกับคู่หูยืนอยู่หน้าประตูรั้วคร่ำคร่าขาดการดูแล บานพับมีตะไคร่จับและเหมือนกับว่ามันพร้อมจะหลุดลอยไปตามกระแสลมที่พัดแม้เพียงแผ่วเบา มองเข้าไปในสนามหน้าบ้านเห็นต้นไม้รกครึ้มบดบังหน้าต่างจนแทบมองไม่เห็นภายใน ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่แต่ก็เล็กน้อยเต็มที อาจเป็นเงาของต้นไม้ก็ได้

“กดกริ่งสิ” คู่หูของผมพูดย้ำหลังจากผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

เด็กชายวัยสี่หรือห้าขวบเปิดประตูบ้านช้า ๆ เดินเท้าเปล่ามาที่ประตูรั้วและแง้มออกเล็กน้อยหลังจากผมกดกริ่งเรียก สีหน้าของเขาเรียบเฉย

“สวัสดีจ๊ะ เจ้าของบ้านอยู่ไหมหนู ?” ผมถาม

“อยู่ในบ้านครับ” เด็กน้อยตอบ นัยน์ตาของเขาดูเลื่อนลอย จ้องหน้าผมกับคู่หูสลับไปมาแต่เหมือนจะมองผ่านไปยังท้องฟ้าสีขุ่นเบื้องหลัง

“ขอเข้าไปในบ้านได้ไหม ?” คู่หูของผมถาม

เด็กชายไม่ตอบ เขาเปิดประตูค้างเอาไว้และเดินเข้าไปในบ้าน ผมกับคู่หูมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งและเราตัดสินใจว่านั่นไม่ใช่การปฏิเสธ

เราเดินตามเด็กชายเข้าไป บ้านเป็นห้องโถงใหญ่ มุมหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่น อีกด้านเป็นมุมประกอบอาหารที่มีโต๊ะและเก้าอี้สองตัว เด็กชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มีประตูบานหนึ่งที่คงจะต่อเชื่อมไปทางหลังบ้านปิดอยู่ ทุกอย่างในห้องดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เว้นแต่ฝุ่นที่จับตัวหนาไปทุกที่ ทั้งขอบหน้าต่าง ที่เฟอร์นิเจอร์ ชั้นวางของ และทุกส่วนในห้อง ยกเว้นตำแหน่งที่เด็กคนนั้นนั่ง เขานั่งนิ่งหันมามองที่พวกผมสองคนอย่างไร้จุดหมาย คู่หูของผมดูเป็นกังวล เขาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป

“เจ้าของบ้านอยู่ไหนละหนู ?”

คุณ พ่อหลับอยู่ในห้องนอนครับ”

เพื่อนของผมถือวิสาสะเดินไปที่ประตู ด้านหลัง ไม่ฟังเสียงคัดค้านของผมที่พยายามบอกให้เขารออีกสักครู่ เขาเปิดประตูแล้วเดินหายเข้าไปสักครู่ ทิ้งให้ผมกับเจ้าหนูจ้องหน้ากันเงียบ ๆ จากนั้นไม่นานเขาค่อย ๆ เดินถอยหลังอกมาช้า ๆ ใบหน้าตื่นตระหนกสุดขีด ค่อย ๆ ถอยมาจนเกือบจะชนเก้าอี้ที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่ เหมือนเขาจะสังเกตเห็นจากหางตา เขาถอยห่างจากเด็กชายและมองไปที่ใบหน้าเรียบเฉยนั้นอย่างหวาดกลัว

ผมเดินเข้าไปหา แตะที่แขนของเขาเบา ๆ “เป็นอะไร ?”

เขาหันมาหาผม แล้วเบือนสายตาไปในห้องด้านหลังช้า ๆ ผมมองตามไป ในห้องมีโครงกระดูกวางอยู่บนเตียงเล็ก ๆ บางส่วนของมันมีผ้าห่มผืนเก่าคลุมอยู่ กะโหลกกลมเกลี้ยงหนุนอยู่บนหมอน รูกลมลึกของกระดูกเบ้าตาสองรูหันมองมาทางประตู มันดูว่างเปล่าเหมือนนัยน์ตาของเด็กชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ผิดเพี้ยน

………………..

เขาฉุดผมมาที่มุมตรงข้ามกับเด็กชาย สูดหายใจลึกรวบรวมสติ กระซิบกับผมเบา ๆ แต่จ้องมองไปที่เด็กน้อยไม่วางตา

“มีคำอธิบายดี ๆ บ้างไหม ?”

ผมพยายามกลืนน้ำย่อยรสเปรี้ยวที่ท้นมาถึงลำคอด้วยความยากลำบาก สมองหมุนติ้วและเริ่มปวดหัวตุ๊บ ๆ ส่ายหัวไปมาเพราะตรรกะทั้งหลายที่ขัดแย้งกันกำลังต่อสู้กันอยู่ข้างใน ย้อนกลับไปคิดถึงสาเหตุที่พาพวกเราสองคนเดินทางดั้นด้นมาที่นี่…

“เรามาทำอะไรที่นี่ ?” ผมถาม

คู่หูกระตุกสายตามองกลับมาที่ผม เหมือนกับจะระเบิดอารมณ์เข้าใส แต่เขาคงรู้สึกถึงความตึงเครียดและรู้ว่าผมไม่ได้ถามด้วยอารมณ์ประชดประชัน เขาหยุดคิดชั่วครู่และบอกข้อมูลที่เราทั้งสองรู้กันอยู่แล้ว

“ทนายบริษัทส่งเรามาหาท่านประธานเพราะมีเรื่องต้องให้ท่านตัดสินใจเอง หน้าที่เราคือเอาหนังสือมาให้ท่าน รอรับบันทึกการตัดสินใจแล้วก็กลับ… ใครจะคิดว่ามาเจอศพแบบนี้” ประโยคสุดท้ายเหมือนเขาจะพูดกับตัวเอง

“งั้นก็โทรไปถามบริษัทว่าจะเอาอย่างไร หรือไม่ก็แจ้งตำรวจแล้วค่อยโทรไปบริษัทก็ได้” ผมเสนอความคิดเห็นแบบเหวี่ยงแห หวังให้เขาทำอะไรสักอย่างแล้วเราจะได้ออกไปจากที่นี่กันเสียที

“แล้วเด็กนั่นล่ะ ไม่แปลกใจหรือว่าเด็กนั่นอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไรตั้งนาน… นานแค่ไหนกว่าคนตายจะเน่าจนเหลือแต่กระดูกอย่างนั้น ?”

“คงเป็นปี หรือไม่ก็หลายปี” ผมเดา

“เด็กนั่นไม่ใช่คน” คู่หูของผมตอบ คราวนี้สายตาที่เขามองดูเด็กคนนั้นดูแข็งกร้าวขึ้น

………………..

เราย้ายไปนั่งข้างเด็กชาย ผมยึดเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่าง ส่วนเขานั่งย่อเข่าลงข้าง ๆ

“นี่หนู คุณพ่อหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ?”

“ตั้งแต่เมื่อวานครับ” …เป็นไปไม่ได้ ผมหันไปมองคู่หู เรื่องนี้เขาเชี่ยวชาญมากกว่าผม น่าจะหาคำตอบดี ๆ ได้

“ไม่แปลก ไอ้หนูอาจถูกสอนมาแบบนี้” เขาเปรยขึ้นมา จากนั้นหยุดชั่วครู่แล้วพูดกับผม “มีความจำบางเรื่องอยู่ติดตัว แต่พอหลับแล้วตื่นขึ้นมาเช้าวันต่อไปก็ถูกลบความจำที่เรียนรู้มาเมื่อวานไป หรือไม่ก็ใช้ชีวิตตามกิจวัตรประจำวันแบบไม่ต้องเรียนรู้อะไร  พอตื่นขึ้นมาก็จะเจอเช้าวันเดิมทุกครั้ง”

“เช้านี้กินข้าวกับอะไรละหนู ?” เขาถามอีกคำถาม ดูท่าทางเป็นกันเองมากขึ้น

“ยังไม่ได้กินอะไรครับ ต้องรอพ่อตื่นมาทำกับข้าวให้”

“แล้วตอนที่รอพ่ออยู่ หนูทำอะไรบ้าง ?”

“นั่งรอที่โต๊ะกินข้าวครับ” เพื่อนคู่หูของผมมีแววตาสลดลง เขาก้มหัวลงเล็กน้อย ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังจะร้องไห้

“เจ้านี่ตื่นขึ้นมานั่งรอพ่ออยู่ที่เก้าอี้ตัวนี้ทุกวันมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ คงจะนั่งรอตั้งแต่เช้าถึงเย็น จากนั้นก็ไปนอน แล้วก็ตื่นขึ้นมานั่งรอที่เดิม”

ไม่ผิดแน่ ฝุ่นผงเต็มห้องกับสนามหน้าบ้านเป็นหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้

โทรศัพท์มือถือของผมดัง มันขึ้นหมายเลขของสำนักงานใหญ่ ระหว่างที่ผมรับโทรศัพท์นั้นคู่หูของผมเดินไปสำรวจที่ห้องด้านหลัง เขากลับมาพร้อมกับที่ผมวางสาย

………………..

“สำนักงานใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง ?” คู่หูถาม

“กำลังแจ้งตำรวจให้มาตรวจสถานที่กับให้คนมาระบุตัวบุคคล ทางโน้นบอกว่าท่านประธานไม่ติดต่อเข้าสำนักงานมาสามปีกว่าแล้ว ปกติจะบริหารผ่านทีมงานแล้วก็ให้ตัวแทนธุรกิจตัดสินใจไป ถ้าไม่มีเรื่องควบรวมกิจการก็คงไม่ต้องส่งพวกเรามาวันนี้” ผมอธิบายรวบรัดเท่าที่จะบอกได้ คิดอยากไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด

“นับดูแล้วช่วงที่ท่านตายก็คงประมาณนั้นแหละ” คู่หูผมเหลียวไปมองในห้องนอนอีกครั้ง “น่าแปลกนะที่คนมีเงินขนาดนี้กลับมาใช้ชีวิตเงียบเหงาอยู่ตัวคนเดียว แทบไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลย”

“พวกทีมงานกับตัวแทนธุรกิจนี่ก็แปลกพิลึก ทำเงินให้คนตายอยู่ได้ตั้งหลายปี” ผมเสริม

“ตราบใดที่ยังได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ทำกันต่อไป ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่แน่ว่าท่านประธานอาจต้องการแบบนี้ก็ได้” เขาพูดพร้อมกับมองไปที่เด็กชายตัวเล็ก “หนูเปิดประตูให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านแบบนี้ไม่ดีนะ”

พ่อบอกว่าถ้าพ่อไม่อยู่ห้ามเปิดประตูรับคนแปลกหน้าครับ” เด็กชายตอบ ก็สมเหตุสมผลดี เขาเปิดประตูรับพวกเราสองคนเพราะพ่อยังนอนหลับอยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรที่ผิดตรรกะ

………………..

“กลับกันเถอะ ?” ผมเร่งเร้า

“แล้วไม่ต้องรอตำรวจหรือ ?”

“กลับได้เลย บริษัทจะเคลียร์กับตำรวจเอง”

เด็กน้อยยังนั่งอยู่ที่เดิม …ถ้าพ่อยังไม่ตื่นนอนเขาก็ยังจะไม่ไปไหน ไม่สนใจบทสนทนาที่ระเบิดโลกของเขาออกเป็นเสี่ยง ๆ

“แล้ว…” ผมทิ้งคำพูดไว้แต่เหลือบตาไปมองเด็กชาย

“ที่เตียงเด็กมีเครื่องชาร์ทประจุอยู่ มันจะชาร์ทพลังให้ทุกคืนตอนที่เด็กไปนอนเตียง ผมปิดมันไปแล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไม่ทิ้งร่องรอยของอารมณ์พลุ่งพล่านตอนแรกอยู่เลย

จะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเด็กชายอีกต่อไป………..

………………..

เราจากดาวดวงนั้นมาในที่สุด ดาวโดดเดี่ยวอันเป็นสมบัติส่วนตัวชิ้นสุดท้ายของอดีตมหาเศรษฐีผู้ปลีกตัวออกจากสังคม ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขา “เลี้ยง” หุ่นยนต์เด็กไว้ตัวหนึ่ง อาจเพื่อชดเชยความเหงาในวัยชรา หรืออาจเพราะเขาเคยสูญเสียใครคนหนึ่งไป ช่างมันเถอะ ไม่มีใครเหลือให้โศกเศร้าเสียใจกับมันอีกต่อไป

First Warp

กัปตันตื่นตอนตีห้า เร็วกว่าเวลาที่เขาตื่นเป็นประจำเกือบสองชั่วโมง เขาฝัน และความฝันนั้นชัดเจนมากเสียจนเขารู้ว่าเหงื่อเย็นยะเยือกเปรอะชื้นตามเสื้อผ้านั้นเป็นผลจากความกลัวต่อสิ่งที่ฝัน เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ผนัง ตัวเลขดิจิตอลสองแถวกะพริบตามจังหวะวินาที เรือนหนึ่งบอกเวลา อีกเรือนกำลังนับถอยหลัง เจ็ดชั่วโมงครึ่งและลดลงเรื่อย ๆ เลยเวลาสื่อสารครั้งสุดท้ายไปแล้ว หากไม่มีคำสั่งยกเลิกอย่างกะทันหันก็จะมีแต่ตัวเขาเพียงผู้เดียวที่จะระงับการกระโดดครั้งนี้ เขารู้ว่าเป็นเพราะความฝันนั่นเองที่รบกวนเขาอยู่ ตั้งแต่ออกเดินทางมา พวกเขาผ่านอุปสรรคต่าง ๆ นานัปการ หลายครั้งที่อยากจะยกเลิกแล้วหันหลังกลับ แต่พวกเขาก็ผ่านมาได้ จนมาถึงครั้งนี้ที่เดิมพันสูงสุดกำลังถูกวางลงไป และเขาอยากชนะ

ที่ถุงนอนติดกัน รองหัวหน้าฝ่ายสื่อสารลืมตาโพลง มองไปยังผนังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งและไม่ยอมรับรู้สิ่งใด เขาตบไหล่อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อเรียกสติกลับมาซึ่งก็ได้ผลอยู่บ้าง จากนั้นกัปตันปลดตัวเองออกจากพันธนาการ งอเข่า-ถีบผนัง แล้วปล่อยให้ตัวเองลอยไปยังมุมห้องด้านหนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ มีหลายคนตื่นแล้ว ตื่นก่อนเวลาเหมือนกับที่เขาเป็น ได้แต่หวังว่าคนพวกนี้จะตื่นขึ้นด้วยเหตุผลคนละอย่างกับเขา

ที่มุมห้อง โปรแกรมเมอร์มือหนึ่งของโครงการกำลังเกาะผนังห้องมองผ่านกระจกไปยังความเวิ้งว้างข้างนอก เขาเหลียวมองเมื่อกัปตันลอยตัวไปใกล้ กัปตันพิงตัวเองเข้ากับผนัง มองหน้าโปรแกรมเมอร์อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของลูกเรือทางด้านหลังแต่ก็ยังสบตากันอย่างเงียบ ๆ เวลาเดินไปเชื่องช้า

 “คุณก็ฝันใช่ไหม?” โปรแกรมเมอร์หนุ่มพูดขึ้นมาก่อน

กัปตันพยักหน้า จากนั้นแววตาอีกฝ่ายหนึ่งก็เริ่มสั่นระริก

………. 

“ท่านผู้มีเกียรติ ผมต้องขออภัยที่เรียกประชุมอย่างกะทันหัน ทั้งที่เวลานี้ทุกคนควรกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจขั้นตอนสำคัญที่สุด แต่ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าจะในฐานะกัปตัน เพื่อน หรือมนุษย์คนหนึ่ง ผมไม่สามารถปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ปฏิบัติการในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าต้องพบกับความล้มเหลว นั่นทำให้ผมเรียกประชุมด่วนเช้านี้”

กัปตันพูดกับที่ประชุมที่มีเขาและบุคคลสำคัญในทีมงานไม่กี่คนซึ่งจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก คำบอกช่วงเวลายังคงถูกใช้แม้ว่ามันจะไม่ได้มืดและสว่างเหมือนบนพื้นโลกก็ตาม

“ผมขอย้ำความสำคัญของพวกท่านทุกคนในที่ประชุมแห่งนี้ก่อนว่าขณะนี้เลยเวลาสื่อสารครั้งสุดท้ายไปแล้ว ข้อมูลทั้งหลายจะยังถูกทยอยส่งไปยังโลก แต่อีกอย่างน้อยสี่ชั่วโมงพวกเขาถึงจะได้รับมัน และถึงแม้จะตอบกลับมาในทันที่ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกเท่ากันสำหรับคำตอบที่เดินทางมา ซึ่งเลยเส้นตายไปแล้ว หมายความว่าเวลานี้เราไม่มีพี่เลี้ยงข้างเวที ยกสุดท้ายนี้เราต้องชกด้วยตัวเอง”

กัปตันหยุดพูด มองไปทางโปรแกรมเมอร์แล้วพยักหน้า โปรแกรมเมอร์หนุ่มมองกระดาษในมือแล้วพูดขึ้น

“ทุกท่านคงทราบเรื่องความผิดปกติแล้ว ผมขอสรุปเลยว่าในระหว่างตีสี่ถึงตีห้าของวันนี้ พวกเราทุกคนที่กำลังหลับอยู่ในเวรกะสามได้ฝันขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ผมประมาณเวลาฝันจากคนที่ตื่นไปเข้าห้องน้ำคนสุดท้ายที่เวลาตีสามครึ่ง ลูกเรือยืนยันว่าเขาฝันหลังจากกลับจากห้องน้ำแล้ว ในฝันนั้นทุกคนจะได้รับการบอกเล่าจากบุคคลต่าง ๆ กันที่แต่ละคนรู้จักเป็นการส่วนตัวให้ยกเลิกภารกิจนี้เสีย และขู่ว่าหากยังปฏิบัติภารกิจนี้ต่อไปจะเกิดอันตรายถึงชีวิตกับทุกคน

นาฬิกานับถอยหลังไปที่หกชั่วโมง กัปตันได้แต่หวังว่าเขาจะสามารถหาทางออกสำหรับเรื่องประหลาดพิลึกนี้ได้

……….

ภารกิจนี้คือการทดสอบเที่ยวบินเดินทางเร็วกว่าแสงครั้งแรกที่มีมนุษย์เดินทางไปด้วยนอกวงโคจรดาวเนปจูน สถานีทดสอบสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ‘ขนาดของมันใหญ่พอที่จะให้เจ้าหน้าที่ทุกคนอยู่กันได้อย่างเบียดเสียด และเล็กพอที่จะให้ภารกิจดำเนินไปจนจบได้’ ใครคนหนึ่งเคยประชดประชันเอาไว้ มันถูกประกอบในวงโคจรรอบโลก ติดตั้งจรวดขับดัน แล้วผลักให้เดินทางสองปีไปยังจุดหมายที่ขอบของสุริยะจักรวาลเพื่อเปิดฉากการเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสงครั้งแรกของมนุษย์

ครั้งหนึ่งไอน์สไตน์เคยก่อกำแพงที่เหมือนจะไม่มีวันข้ามไปได้ด้วยทฤษฎีที่ว่าไม่มีวัตถุใดเดินทางได้เท่าความเร็วแสง  มนุษยชาติเพียรพยายามจะก้าวข้ามมันไปให้ได้ตั้งแต่วิทยาการฟิสิกส์นิวเคลียร์เริ่มต้นขึ้น ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ที่เซิร์นสามารถสร้างหลุมดำชั่วคราวที่สสารสามารถเล็ดลอดผ่านไปได้หลัีงจากทดลองยิงอนุภาคนับพันนับหมื่นครั้งในอาคารใต้ดินที่พรมแดนสวิสเซอร์แลนด์-ฝรั่งเศส พวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยความเร็วแสง แต่กระโดดข้ามมันไปเลย

ไม่เป็นปัญหาสำหรับ “สสาร” ในความหมายของอะตอมหรือโมเลกุล แต่ถ้าเป็น “วัตถุ” ขนาดของหลุมดำจะต้องใหญ่ขึ้น ผ่านการทดลองกับสิ่งมีชีวิตหลายชนิด จานเพาะเชื้อแบคทีเรียสาบสูญไปหลายใบระหว่างการกระโดดข้ามความเร็วแสง เทคนิคได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นจนในที่สุดพวกเขาเสียกระต่ายไปไม่กี่ตัว และไม่มีความผิดพลาดใด ๆ เลยกับสุนัข ลิงอีกสองสามตัวไม่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพ บุคลิกภาพ และสติปัญญา

ก้าวต่อไปคือมนุษย์ 

………. 

ลูกเรือครึ่งลำหลับแล้วฝันเรื่องเดียวกัน เจ็ดชั่วโมงเศษก่อนเวลากระโดด พวกเขาได้รับการบอกเล่าโดยความฝันจากพ่อแม่ ญาติมิตร ครู หรือใครสักคนที่เขารู้จักว่าเขาจะต้องตายกันหมดหากกระโดดข้ามกำแพงแสง

“ผมต้องการคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์” กัปตันเปิดประเด็น “และต้องได้โดยเร็ว ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม”

“ไม่มีครับ เรื่องนี้อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ทุกแขนงที่เรารู้จัก ไม่มีที่ให้ความน่าจะเป็นใด ๆ สำหรับการฝันด้วยเรื่องเดียวกันและพร้อมกันแบบนี้”

แพทย์ประจำสถานีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในมือกำปึกกระดาษบันทึกข้อความที่ลูกเรือทุกคนในเวรนอนรอบนั้นถูกสั่งให้เขียนถึงความฝันของแต่ละคน เหงื่อในมือของเขาซึมเข้าไปในแผ่นกระดาษจนบางแผ่นบิดม้วน เขาถือมันแน่นเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้าย ข้อความแทบทั้งหมดตรงกันชนิดที่ไม่มีช่องว่างให้ความสงสัยแทรกตัวเข้ามาได้เลย มันพ่วงความจริงที่ว่าลูกเรือกะสามบางคนต้องควบกะเพราะมีบางคนกลัวสิ่งที่ฝันจนไม่กล้ากลับไปทำงาน หนึ่งในจำนวนนั้นต้องได้รับยาเพื่อให้สงบลงได้ ปฏิบัติการกำลังอยู่ในภาวะง่อนแง่นด้วยสภาวะจิตใจของลูกเรือ ข่าวสารและความหวาดระแวงกำลังก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ

นี่คือข้อด้อยของวิทยาศาสตร์ สิ่งที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของมนุษย์อาจมีอยู่จริงแต่ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับที่ไอน์สไตน์ผิดเรื่องการเดินทางเร็วกว่าแสง เพียงแต่เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้อะไรมาทดสอบ จึงจะได้คำตอบที่พวกเขาพอใจ

“หมายความว่าเราต้องยอมรับทฤษฎีที่ว่ามีใครหรืออะไรบางอย่างกำลังจะบ่อนทำลายภารกิจของเราอย่างนั้นใช่ไหม?” กัปตันถาม

แพทย์ประจำสถานีก้มลงมองกระดาษในมือ ข้อความที่กัปตันเขียนไม่ต่างจากลูกเรือคนอื่น “หากใครจะปฏิเสธก็ต้องเริ่มจากปฏิเสธสิ่งที่ฝันและเขียนลงในบันทึกนี้ก่อน และผมอยากให้เราทุกคนในที่นี้รับรองว่าบันทึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการประชุม”

ไมมีใครปฏิเสธ

………. 

ข้อดีของการกระโดดข้ามความเร็วแสงคือมันไม่จำเป็นต้องมีสถานีปลายทาง การกระโดดแต่ละครั้งอาศัยเพียงอุปกรณ์เหนี่ยวนำให้เกิดหลุมดำชั่วคราว ตั้งพิกัดและจากนั้นก็จับเอาสิ่งที่ต้องการโยนเข้าไป สิ่งนั้นก็จะกระโดดไปปรากฏที่ปลายทาง และเมื่อตัดพลังงานที่ป้อนให้หลุมดำแล้วมันก็ไม่ต่างจากอุปกรณ์อีเล็กโทรนิกส์ที่ไม่มีแบตเตอรี่ชิ้นหนึ่ง และอีกสิ่งที่เป็นเหมือนของขวัญจากสวรรค์ก็คือยิ่งระยะทางไกลขึ้น ยิ่งใช้พลังงานน้อยลง การใช้พลังงานจะลดลงจนถึงค่าคงที่ระดับหนึ่ง ในทางทฤษฎี มนุษย์สามารถเดินทางไปจนถึงขอบเอกภพได้ถ้ามันมีอยู่จริง และนั่นหมายถึงศตวรรษของการเดินทางระหว่างดวงดาวกำลังจะเปิดขึ้น ระยะทางไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

ปัญหาใหญ่เพียงประการเดียวของมันก็คืองบประมาณ หากต้องการส่งมนุษย์ไปนอกพรมแดนของระบบสุริยะก็ต้องใช้ยานอวกาศ และนั่นทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใหญ่โตขึ้น

ปัญหาของการ “ใหญ่ขึ้น” คือต้องใช้งบประมาณสูงขึ้น เมื่อต้องการงบประมาณ เรื่องนี้จึงต้องเข้าสภานิติบัญญัติ มันเป็นที่มาของการถูกรุมทึ้งด้วยกลุ่มคนหลากหลายประเภท ตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา สื่อมวลชน และหนีไม่พ้นนักการเมือง ภาพลักษณ์ของการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของมนุษย์ถูกโหมประโคม บิดเบือน และแทรกแซง “หลุมดำ” เป็นคำเรียกที่แสดงถึงอันตรายมากเกินกว่าที่มนุษย์จะไว้ใจได้ ปฏิบัติการส่งยานอวกาศเดินทางเร็วกว่าแสงครั้งแรกของมนุษยชาติจึงต้องออกไปดำเนินการในสถานที่ที่คาดว่าปลอดภัย… หลังเงาคราสของเนปจูน เพียงเพราะอย่างน้อยมันก็ได้ชื่อว่าอยู่นอกระบบสุริยะ ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันว่ามันปลอดภัยมากแม้จะทำกันหลังบ้านใครสักคนก็ตาม

เช่นเดียวกับการยิงอนุภาคเพื่อสร้างหลุมดำจิ๋วครั้งแรกของนักวิทยาศาสตร์ที่สวิสเซอร์แลนด์ พวกเขาได้รับทั้งดอกไม้และก้อนหิน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง และส่วนใหญ่ตกใส่นักวิทยาศาสตร์มากกว่าตกลงไปในหลุมดำ

………. 

          “ผมต้องยอมรับประการหนึ่งว่าเรื่องนี้อยู่เหนือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ที่เรารู้จัก เรารู้แต่เพียงว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่มแน่ ๆ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผมอยากให้ใครก็ได้ในที่นี้ช่วยสร้างทฤษฎีมาสนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้นให้ผมฟังสักหน่อย” กัปตันเรียกร้อง

          “ภูมิปัญญาที่เราไม่รู้จัก” นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโครงการพูดขึ้น เขาเป็นชายสูงอายุที่ปกติจะขลุกอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และแผ่นกระดาษ ด้วยความเห็นที่ก้าวหน้าทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านการออกเดินทางไกลด้วยทุนมหาศาล ‘ทำมันที่ทะเลทรายก็ได้’ เขาเคยพูดไว้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ชนะการเมือง มันทำให้เขาต้องร่วมทีมนี้มาอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้

“มนุษย์ไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบนี้ได้ เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่ามันเกิดจากภูมิปัญญาที่สูงกว่าการรับรู้ของเรา ผมไม่อยากให้เสียเวลาอันมีค่า ผมคิดว่า…มนุษย์ต่างดาวทำมันขึ้นมา” น้ำเสียงของเขาบอกถึงความไม่มั่นใจเมื่อพูดถึงมนุษย์ต่างดาว เรื่องนี้ไม่ควรหลุดออกมาจากปากของนักฟิสิกส์ แต่เขาก็พูดต่อ

“เนื้อหาในความฝันนั้นชัดเจน บอกว่าถ้าเรายังดื้อดึงกระโจนข้ามความเร็วแสงไปนอกระบบสุริยะจักรวาล จะเกิดอันตรายถึงชีวิตกับทุกคน ผมไม่สามารถจินตนาการถึงอะไรที่จะมาขู่ฆ่าพวกเราทุกคนได้นอกจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่สามารถส่งสารมายังพวกเราผ่านความฝัน มันชัดเจนจนผมอยากจะไปที่ห้องควบคุมแล้วเอาปืนจี้หัวต้นหนให้หันยานกลับโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และหากจะให้ประเด็นนี้จำกัดอยู่เฉพาะวิทยาศาสตร์ก็คงต้องบอกไว้ด้วยว่าผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า” เสียงของเขาสั่นเมื่อพูดถึงตอนท้าย

ใครคนหนึ่งเอื้อมมือไปหยิบบันทึกที่แพทย์ประจำสถานีถือไว้ไปดู เสียงกระดาษถูกพลิกดังทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์พูดจบ

“ผมเห็นด้วยเรื่องความชัดเจนของเนื้อหาในความฝัน” โปรแกรมเมอร์พูดเสริมขึ้น  “แม่… เออ… คนที่เรารู้จักลอยตัวในสภาพไร้น้ำหนักอยู่ตรงหน้าในตำแหน่งถุงนอนของแต่ละคน ผู้ส่งสารไม่เลือกสภาพแวดล้อมอื่นที่จะทำให้เราไขว้เขว ทุกคนรู้สึกเหมือนกับสิ่งนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าในขณะที่กำลังหลับ ผมคิดว่ามันทำให้เรารู้สึกได้ว่าความประสงค์ร้ายนั้นอยู่ภายในสถานีนี้เอง และมันพร้อมจะจัดการพวกเราทันทีที่เราไม่ปฏิบัติตาม”

เสียงใครคนหนึ่งกำลังสะอื้น กัปตันรู้สึกว่าอุณหภูมิห้องลดต่ำลงกว่าที่เคย หนาวจนจับขั้วหัวใจ นาฬิกาบอกเวลานับถอยหลังไม่ถึงหกชั่วโมง

“ท่านสุภาพบุรุษ” เสียงรองกัปตันพูดขึ้น ในมือถือปึกกระดาษยับย่นที่ขอมาจากแพทย์ประจำสถานี “เรากำลังถูกบลัฟ

……….

โครงการอวกาศเป็นเรื่องของขีดจำกัดและความคุ้มทุน สถานีอวกาศและยานอวกาศทั้งหลายที่ถูกส่งออกไปนอกบรรยากาศโลกตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาเหมือนพ่อแม่ที่ยังไม่พร้อมจะมีลูกแต่ตั้งท้องโดยไม่ตั้งใจ มนุษย์ออกไปบุกเบิกอวกาศก่อนเวลาอันควรด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่พัฒนาพอมาตั้งแต่ต้น โครงการนี้ก็เช่นกัน

อุปกรณ์ พลังงาน อาหาร อากาศ จำนวนคน และทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกคำนวณอย่างดีก่อนส่งขึ้นไปปฏิบัติการ หากสถานีอวกาศจะต้องเดินทางไปเนปจูน มันก็จะบรรทุกทรัพยากรทุกอย่างไปเพียงพอแค่ไปถึงเนปจูนและเดินทางกลับ ไม่มีโอกาสให้แวะชมวงแหวนดาวเสาร์ และไม่มีโอกาสให้ผิดพลาดและลองใหม่

ขั้นตอนคือสถานีอวกาศเดินทางไปใกล้ดาวเนปจูน จากนั้นปล่อยยานอวกาศขนาดสองที่นั่งให้ลอยห่างออกไป มันจะเข้าไปหลังดาวเนปจูน สร้างหลุมดำชั่วคราวแล้วกระโจนข้ามความเร็วแสงไปยังจุดหนึ่งนอกระบบสุริยะจักรวาล ปล่อยดาวเทียมดวงหนึ่งที่จะส่งสัญญาณกลับมาเพื่อยืนยันการไปถึงของมัน ระหว่างนั้นสถานีอวกาศจะโคจรรอบดาวเนปจูนแล้ววกกลับไปยังโลก ยานอวกาศที่ส่งออกไปจะกระโจนข้ามความเร็วแสงกลับมาเทียบที่สถานีอวกาศและเดินทางกลับบ้าน

กระบวนการทั้งหมดมีโอกาสเพียงครั้งเดียว ไม่มีการวนกลับแล้วลองใหม่หากครั้งแรกล้มเหลว

……….

“เรากำลังถูกบลัฟ” รองกัปตันพูดขึ้น เธอเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ที่แทบไม่มีดีกรีอะไรต่อท้ายชื่อให้เป็นที่รู้จักแต่เข้าร่วมโครงการด้วยคะแนนสอบที่สูงลิบ ด้วยบุคลิกที่ดี เงียบขรึม สงวนท่าที และมีความเป็นผู้นำสูง กัปตันคิดอยู่เสมอว่าเสร็จภารกิจนี้รับรองได้ว่าหน้าที่การงานของเธอก้าวไปไกลแน่

“หมายความว่าอย่างไร” กัปตันถาม “คุณกำลังจะบอกว่าเราถูกหลอกอย่างนั้นหรือ”

“ฉันกำลังคิดว่าเรื่องนี้มีความนัยแฝงอยู่ ข้อความถูกส่งมาถึงพวกเราหลังการสื่อสารครั้งสุดท้าย แปลว่าพวกนั้นต้องการให้เฉพาะพวกเราในปฏิบัติการเป็นผู้ตัดสินใจ การสื่อสารแบบโต้ตอบต้องใช้เวลามากกว่าแปดชั่วโมงและพวกเขาเลือกเวลาที่เราไม่สามารถขอความเห็นจากโลกได้…นั่นประการหนึ่ง และอีกเรื่องหนึ่งคือทำไมพวกนั้นไม่บอกเราก่อนหน้านี้ ลองคิดว่าถ้าค่อย ๆ ปลูกต้นไม้แห่งความกลัวใส่สมองพวกเราให้มันโตช้า ๆ จะชักจูงเราได้ดีกว่าหย่อนระเบิดแห่งความกลัวลงมากลางวงพวกเราแบบนี้ ฉันว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของมนุษย์จะคาดการณ์ได้ยากกว่า”

สองสามคนพยักหน้าเห็นด้วย

“ฉันคิดว่าพวกนั้นคงเฝ้าสังเกตพวกเรามาระยะหนึ่งแล้ว เราผ่านการทดลองมาหลายขั้นตอนกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ แล้วถ้าพวกนั้นจะหยุดพวกเราก็แค่แปลงร่างเป็นอับราฮัม ลินคอล์นไปบอกประธานาธิบดีในฝันก็ได้ เขาหยุดโครงการได้ตั้งแต่ต้นและไม่มีความเสี่ยงสำหรับพวกนั้นด้วย พวกเราเองยังมีโอกาสตัดสินใจปฏิบัติภารกิจต่อ แล้วทำไมถึงยังมาเลือกพวกเรา มีเวลาจำกัดอีกต่างหาก”

“คงเพราะสถานการณ์แบบนี้พวกเราอาจตัดสินใจผิดพลาดได้” กัปตันตอบ เขาไม่ได้อธิบายว่าพลาดโดยการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติกันแน่

รองกัปตันพูดต่อ “ทุกคนลองคิดดู เรากำลังเล่นโปกเกอร์กับไอน์สไตน์อยู่ เราเรียกไพ่มาแล้วสี่ใบ เรียงตั้งแต่สิบถึงคิงโพธิ์ดำ ส่วนไอน์สไตน์ไม่มีอะไรในมือเลย แล้วอยู่ดี ๆ มีมนุษย์ต่างดาวมาขอเล่นด้วยเป็นคนที่สาม เรียกไพ่ห้าใบรวดแล้วบอกให้เรายอมแพ้ซะ เขามีสิบถึงเอหน้าอื่นและเขาจะชนะ ทั้งที่ไพ่อีกใบของพวกเรานั้นถึงอย่างไรก็เป็นเอโพธิ์ดำแน่นอน เราทดลองมาแล้วกี่ครั้งกว่าจะรู้ว่าเราทำกับมนุษย์และยานอวกาศได้ โอกาสผิดพลาดของพวกเราต่ำมาก พวกนั้นกำลังบลัฟเราอยู่”

“พวกนั้นจะเสียอะไรหากเรากระโดดข้ามความเร็วแสงได้” กัปตันตั้งข้อสงสัย

“ฉันไม่รู้ ฉันว่าพวกนั้นทำลายเราได้โดยไม่ต้องขู่ด้วยซ้ำ”

ห้องเงียบลงชั่วครู่ ใกล้ถึงเวลาปล่อยยานอวกาศเข้าทุกที

“อาจเป็นพวกเอเลียนที่ผูกขาดการเดินทางเร็วกว่าแสงไว้เพียงเผ่าพันธุ์เดียวในกาแลกซี่ทางช้างเผือก และจะเสียโอกาสหรือขาดทุนถึงขั้นล้มละลายหากมีคู่แข่งเกิดขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่ในรุ่นของเราแน่ แต่อีกสี่หรือห้าสิบปีข้างหน้าอาจเป็นไปได้ถ้าเทคโนโลยีของเราดีขึ้น และเราสามารถทำให้การเดินทางระหว่างดวงดาวเหมือนการไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ต แล้วเราอาจจะได้ซื้อของจากมิสเตอร์สปอ๊คก็เป็นได้” นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์บอกจินตนาการของเขา

“หรือไม่ เราก็จะได้พบกับดาร์ธ เวเดอร์ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า” โปรแกรมเมอร์โครงการพูดขึ้น

มันดังพอจะทำให้กัปตันต้องหยุดคิด และเขาต้องตัดสินใจในอีกไม่นาน

………. 

พวกเขากำลังเดินทางกลับ ไม่มีมนุษย์ต่างดาว ไม่มียานอวกาศไร้สัญชาติพร้อมปืนใหญ่พลังแสง ไม่มีภยันตรายอันคาดไม่ถึง

ตามโครงการ ไม่ว่าจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จหรือไม่ พวกเขาจะเดินทางกลับด้วยยานอวกาศอีกลำที่แยกตัวออกมาจากสถานีอวกาศ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบกสัมภาระขนาดใหญ่กลับ พวกเขาจะปล่อยให้สถานีและยานอวกาศขนาดเล็กที่ส่งนักบินสองคนเดินทางพ้นความเร็วแสงครั้งแรกกลายเป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของการเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสงของมนุษยชาติต่อไป

สำหรับกัปตันแล้ว แค่การได้มาอยู่ในสถานีอวกาศสุดขอบระบบสุริยะเป็นความท้าทายในเรื่องที่ไม่มีวันเอาชนะได้อย่างหนึ่งของมนุษย์แล้ว การทำงานในสภาวะปิดและแยกตัวอย่างสมบูรณ์ของสถานีแห่งนี้ทำลายสถิติทุกอย่างที่เคยบันทึกไว้ในโลกไปหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนคนที่ใช้ ระยะทางไกลสี่ชั่วโมงแสง  การบริโภคอาหารและอากาศที่ไม่เคยมีการเดินทางครั้งใดในอวกาศจะใช้มากเท่านี้ และที่สำคัญที่สุดคือมันใช้ทรัพยากรมหาศาลเกินกว่านักการเมืองคนใดจะจินตนาการได้ …ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลวมันก็จะยังเป็นสถิติอันยิ่งใหญ่อยู่ดี  และคงอีกนานกว่าจะทำลายลงได้

กัปตันลอยตัวไปที่กระจก เขามองเห็นเสี้ยวหนึ่งของดาวเนปจูนอยู่ที่มุมหนึ่ง จากนั้นแนบหน้าเข้าไป  พยายามใช้สองมือบังแสงจากในห้องเพื่อจะได้เห็นมันชัดขึ้น…เป็นครั้งสุดท้าย รองกัปตันลอยตัวมาใกล้ ๆ เหนี่ยวขอบกระจกเอาไว้ไม่ให้ชนกับผนัง

“คุณไม่ได้เขียนในบันทึกว่าคุณฝันถึงใคร” รองกัปตันพูด

“จำเป็นด้วยหรือ”

“บอกฉันมาเถอะ ใครก็ได้ คุณจะโกหกก็ยังได้”

กัปตันแนบหน้ากับกระจกเข้าไปอีก ซ่อนใบหน้าไว้ในวงฝ่ามือ “เมียผม ตอนนี้คงนั่งรออยู่ที่บ้าน”

“คุณนี่กล้าดีจริง ๆ”

 

ข้างหลังพวกเขา ลูกเรือกำลังฉลองกันอยู่…