กัปตันตื่นตอนตีห้า เร็วกว่าเวลาที่เขาตื่นเป็นประจำเกือบสองชั่วโมง เขาฝัน และความฝันนั้นชัดเจนมากเสียจนเขารู้ว่าเหงื่อเย็นยะเยือกเปรอะชื้นตามเสื้อผ้านั้นเป็นผลจากความกลัวต่อสิ่งที่ฝัน เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ผนัง ตัวเลขดิจิตอลสองแถวกะพริบตามจังหวะวินาที เรือนหนึ่งบอกเวลา อีกเรือนกำลังนับถอยหลัง เจ็ดชั่วโมงครึ่งและลดลงเรื่อย ๆ เลยเวลาสื่อสารครั้งสุดท้ายไปแล้ว หากไม่มีคำสั่งยกเลิกอย่างกะทันหันก็จะมีแต่ตัวเขาเพียงผู้เดียวที่จะระงับการกระโดดครั้งนี้ เขารู้ว่าเป็นเพราะความฝันนั่นเองที่รบกวนเขาอยู่ ตั้งแต่ออกเดินทางมา พวกเขาผ่านอุปสรรคต่าง ๆ นานัปการ หลายครั้งที่อยากจะยกเลิกแล้วหันหลังกลับ แต่พวกเขาก็ผ่านมาได้ จนมาถึงครั้งนี้ที่เดิมพันสูงสุดกำลังถูกวางลงไป และเขาอยากชนะ
ที่ถุงนอนติดกัน รองหัวหน้าฝ่ายสื่อสารลืมตาโพลง มองไปยังผนังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายเหมือนหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งและไม่ยอมรับรู้สิ่งใด เขาตบไหล่อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อเรียกสติกลับมาซึ่งก็ได้ผลอยู่บ้าง จากนั้นกัปตันปลดตัวเองออกจากพันธนาการ งอเข่า-ถีบผนัง แล้วปล่อยให้ตัวเองลอยไปยังมุมห้องด้านหนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ มีหลายคนตื่นแล้ว ตื่นก่อนเวลาเหมือนกับที่เขาเป็น ได้แต่หวังว่าคนพวกนี้จะตื่นขึ้นด้วยเหตุผลคนละอย่างกับเขา
ที่มุมห้อง โปรแกรมเมอร์มือหนึ่งของโครงการกำลังเกาะผนังห้องมองผ่านกระจกไปยังความเวิ้งว้างข้างนอก เขาเหลียวมองเมื่อกัปตันลอยตัวไปใกล้ กัปตันพิงตัวเองเข้ากับผนัง มองหน้าโปรแกรมเมอร์อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของลูกเรือทางด้านหลังแต่ก็ยังสบตากันอย่างเงียบ ๆ เวลาเดินไปเชื่องช้า
“คุณก็ฝันใช่ไหม?” โปรแกรมเมอร์หนุ่มพูดขึ้นมาก่อน
กัปตันพยักหน้า จากนั้นแววตาอีกฝ่ายหนึ่งก็เริ่มสั่นระริก
……….
“ท่านผู้มีเกียรติ ผมต้องขออภัยที่เรียกประชุมอย่างกะทันหัน ทั้งที่เวลานี้ทุกคนควรกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจขั้นตอนสำคัญที่สุด แต่ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ว่าจะในฐานะกัปตัน เพื่อน หรือมนุษย์คนหนึ่ง ผมไม่สามารถปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ปฏิบัติการในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าต้องพบกับความล้มเหลว นั่นทำให้ผมเรียกประชุมด่วนเช้านี้”
กัปตันพูดกับที่ประชุมที่มีเขาและบุคคลสำคัญในทีมงานไม่กี่คนซึ่งจัดขึ้นอย่างฉุกละหุก คำบอกช่วงเวลายังคงถูกใช้แม้ว่ามันจะไม่ได้มืดและสว่างเหมือนบนพื้นโลกก็ตาม
“ผมขอย้ำความสำคัญของพวกท่านทุกคนในที่ประชุมแห่งนี้ก่อนว่าขณะนี้เลยเวลาสื่อสารครั้งสุดท้ายไปแล้ว ข้อมูลทั้งหลายจะยังถูกทยอยส่งไปยังโลก แต่อีกอย่างน้อยสี่ชั่วโมงพวกเขาถึงจะได้รับมัน และถึงแม้จะตอบกลับมาในทันที่ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกเท่ากันสำหรับคำตอบที่เดินทางมา ซึ่งเลยเส้นตายไปแล้ว หมายความว่าเวลานี้เราไม่มีพี่เลี้ยงข้างเวที ยกสุดท้ายนี้เราต้องชกด้วยตัวเอง”
กัปตันหยุดพูด มองไปทางโปรแกรมเมอร์แล้วพยักหน้า โปรแกรมเมอร์หนุ่มมองกระดาษในมือแล้วพูดขึ้น
“ทุกท่านคงทราบเรื่องความผิดปกติแล้ว ผมขอสรุปเลยว่าในระหว่างตีสี่ถึงตีห้าของวันนี้ พวกเราทุกคนที่กำลังหลับอยู่ในเวรกะสามได้ฝันขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ผมประมาณเวลาฝันจากคนที่ตื่นไปเข้าห้องน้ำคนสุดท้ายที่เวลาตีสามครึ่ง ลูกเรือยืนยันว่าเขาฝันหลังจากกลับจากห้องน้ำแล้ว ในฝันนั้นทุกคนจะได้รับการบอกเล่าจากบุคคลต่าง ๆ กันที่แต่ละคนรู้จักเป็นการส่วนตัวให้ยกเลิกภารกิจนี้เสีย และขู่ว่าหากยังปฏิบัติภารกิจนี้ต่อไปจะเกิดอันตรายถึงชีวิตกับทุกคน”
นาฬิกานับถอยหลังไปที่หกชั่วโมง กัปตันได้แต่หวังว่าเขาจะสามารถหาทางออกสำหรับเรื่องประหลาดพิลึกนี้ได้
……….
ภารกิจนี้คือการทดสอบเที่ยวบินเดินทางเร็วกว่าแสงครั้งแรกที่มีมนุษย์เดินทางไปด้วยนอกวงโคจรดาวเนปจูน สถานีทดสอบสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ‘ขนาดของมันใหญ่พอที่จะให้เจ้าหน้าที่ทุกคนอยู่กันได้อย่างเบียดเสียด และเล็กพอที่จะให้ภารกิจดำเนินไปจนจบได้’ ใครคนหนึ่งเคยประชดประชันเอาไว้ มันถูกประกอบในวงโคจรรอบโลก ติดตั้งจรวดขับดัน แล้วผลักให้เดินทางสองปีไปยังจุดหมายที่ขอบของสุริยะจักรวาลเพื่อเปิดฉากการเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสงครั้งแรกของมนุษย์
ครั้งหนึ่งไอน์สไตน์เคยก่อกำแพงที่เหมือนจะไม่มีวันข้ามไปได้ด้วยทฤษฎีที่ว่าไม่มีวัตถุใดเดินทางได้เท่าความเร็วแสง มนุษยชาติเพียรพยายามจะก้าวข้ามมันไปให้ได้ตั้งแต่วิทยาการฟิสิกส์นิวเคลียร์เริ่มต้นขึ้น ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ที่เซิร์นสามารถสร้างหลุมดำชั่วคราวที่สสารสามารถเล็ดลอดผ่านไปได้หลัีงจากทดลองยิงอนุภาคนับพันนับหมื่นครั้งในอาคารใต้ดินที่พรมแดนสวิสเซอร์แลนด์-ฝรั่งเศส พวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยความเร็วแสง แต่กระโดดข้ามมันไปเลย
ไม่เป็นปัญหาสำหรับ “สสาร” ในความหมายของอะตอมหรือโมเลกุล แต่ถ้าเป็น “วัตถุ” ขนาดของหลุมดำจะต้องใหญ่ขึ้น ผ่านการทดลองกับสิ่งมีชีวิตหลายชนิด จานเพาะเชื้อแบคทีเรียสาบสูญไปหลายใบระหว่างการกระโดดข้ามความเร็วแสง เทคนิคได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นจนในที่สุดพวกเขาเสียกระต่ายไปไม่กี่ตัว และไม่มีความผิดพลาดใด ๆ เลยกับสุนัข ลิงอีกสองสามตัวไม่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพ บุคลิกภาพ และสติปัญญา
ก้าวต่อไปคือมนุษย์
……….
ลูกเรือครึ่งลำหลับแล้วฝันเรื่องเดียวกัน เจ็ดชั่วโมงเศษก่อนเวลากระโดด พวกเขาได้รับการบอกเล่าโดยความฝันจากพ่อแม่ ญาติมิตร ครู หรือใครสักคนที่เขารู้จักว่าเขาจะต้องตายกันหมดหากกระโดดข้ามกำแพงแสง
“ผมต้องการคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์” กัปตันเปิดประเด็น “และต้องได้โดยเร็ว ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม”
“ไม่มีครับ เรื่องนี้อยู่เหนือวิทยาศาสตร์ทุกแขนงที่เรารู้จัก ไม่มีที่ให้ความน่าจะเป็นใด ๆ สำหรับการฝันด้วยเรื่องเดียวกันและพร้อมกันแบบนี้”
แพทย์ประจำสถานีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในมือกำปึกกระดาษบันทึกข้อความที่ลูกเรือทุกคนในเวรนอนรอบนั้นถูกสั่งให้เขียนถึงความฝันของแต่ละคน เหงื่อในมือของเขาซึมเข้าไปในแผ่นกระดาษจนบางแผ่นบิดม้วน เขาถือมันแน่นเหมือนเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้าย ข้อความแทบทั้งหมดตรงกันชนิดที่ไม่มีช่องว่างให้ความสงสัยแทรกตัวเข้ามาได้เลย มันพ่วงความจริงที่ว่าลูกเรือกะสามบางคนต้องควบกะเพราะมีบางคนกลัวสิ่งที่ฝันจนไม่กล้ากลับไปทำงาน หนึ่งในจำนวนนั้นต้องได้รับยาเพื่อให้สงบลงได้ ปฏิบัติการกำลังอยู่ในภาวะง่อนแง่นด้วยสภาวะจิตใจของลูกเรือ ข่าวสารและความหวาดระแวงกำลังก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ
นี่คือข้อด้อยของวิทยาศาสตร์ สิ่งที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของมนุษย์อาจมีอยู่จริงแต่ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับที่ไอน์สไตน์ผิดเรื่องการเดินทางเร็วกว่าแสง เพียงแต่เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้อะไรมาทดสอบ จึงจะได้คำตอบที่พวกเขาพอใจ
“หมายความว่าเราต้องยอมรับทฤษฎีที่ว่ามีใครหรืออะไรบางอย่างกำลังจะบ่อนทำลายภารกิจของเราอย่างนั้นใช่ไหม?” กัปตันถาม
แพทย์ประจำสถานีก้มลงมองกระดาษในมือ ข้อความที่กัปตันเขียนไม่ต่างจากลูกเรือคนอื่น “หากใครจะปฏิเสธก็ต้องเริ่มจากปฏิเสธสิ่งที่ฝันและเขียนลงในบันทึกนี้ก่อน และผมอยากให้เราทุกคนในที่นี้รับรองว่าบันทึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการประชุม”
ไมมีใครปฏิเสธ
……….
ข้อดีของการกระโดดข้ามความเร็วแสงคือมันไม่จำเป็นต้องมีสถานีปลายทาง การกระโดดแต่ละครั้งอาศัยเพียงอุปกรณ์เหนี่ยวนำให้เกิดหลุมดำชั่วคราว ตั้งพิกัดและจากนั้นก็จับเอาสิ่งที่ต้องการโยนเข้าไป สิ่งนั้นก็จะกระโดดไปปรากฏที่ปลายทาง และเมื่อตัดพลังงานที่ป้อนให้หลุมดำแล้วมันก็ไม่ต่างจากอุปกรณ์อีเล็กโทรนิกส์ที่ไม่มีแบตเตอรี่ชิ้นหนึ่ง และอีกสิ่งที่เป็นเหมือนของขวัญจากสวรรค์ก็คือยิ่งระยะทางไกลขึ้น ยิ่งใช้พลังงานน้อยลง การใช้พลังงานจะลดลงจนถึงค่าคงที่ระดับหนึ่ง ในทางทฤษฎี มนุษย์สามารถเดินทางไปจนถึงขอบเอกภพได้ถ้ามันมีอยู่จริง และนั่นหมายถึงศตวรรษของการเดินทางระหว่างดวงดาวกำลังจะเปิดขึ้น ระยะทางไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
ปัญหาใหญ่เพียงประการเดียวของมันก็คืองบประมาณ หากต้องการส่งมนุษย์ไปนอกพรมแดนของระบบสุริยะก็ต้องใช้ยานอวกาศ และนั่นทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใหญ่โตขึ้น
ปัญหาของการ “ใหญ่ขึ้น” คือต้องใช้งบประมาณสูงขึ้น เมื่อต้องการงบประมาณ เรื่องนี้จึงต้องเข้าสภานิติบัญญัติ มันเป็นที่มาของการถูกรุมทึ้งด้วยกลุ่มคนหลากหลายประเภท ตั้งแต่นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา สื่อมวลชน และหนีไม่พ้นนักการเมือง ภาพลักษณ์ของการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของมนุษย์ถูกโหมประโคม บิดเบือน และแทรกแซง “หลุมดำ” เป็นคำเรียกที่แสดงถึงอันตรายมากเกินกว่าที่มนุษย์จะไว้ใจได้ ปฏิบัติการส่งยานอวกาศเดินทางเร็วกว่าแสงครั้งแรกของมนุษยชาติจึงต้องออกไปดำเนินการในสถานที่ที่คาดว่าปลอดภัย… หลังเงาคราสของเนปจูน เพียงเพราะอย่างน้อยมันก็ได้ชื่อว่าอยู่นอกระบบสุริยะ ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันว่ามันปลอดภัยมากแม้จะทำกันหลังบ้านใครสักคนก็ตาม
เช่นเดียวกับการยิงอนุภาคเพื่อสร้างหลุมดำจิ๋วครั้งแรกของนักวิทยาศาสตร์ที่สวิสเซอร์แลนด์ พวกเขาได้รับทั้งดอกไม้และก้อนหิน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง และส่วนใหญ่ตกใส่นักวิทยาศาสตร์มากกว่าตกลงไปในหลุมดำ
……….
“ผมต้องยอมรับประการหนึ่งว่าเรื่องนี้อยู่เหนือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ที่เรารู้จัก เรารู้แต่เพียงว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบสุ่มแน่ ๆ ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ผมอยากให้ใครก็ได้ในที่นี้ช่วยสร้างทฤษฎีมาสนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้นให้ผมฟังสักหน่อย” กัปตันเรียกร้อง
“ภูมิปัญญาที่เราไม่รู้จัก” นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโครงการพูดขึ้น เขาเป็นชายสูงอายุที่ปกติจะขลุกอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และแผ่นกระดาษ ด้วยความเห็นที่ก้าวหน้าทำให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านการออกเดินทางไกลด้วยทุนมหาศาล ‘ทำมันที่ทะเลทรายก็ได้’ เขาเคยพูดไว้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ชนะการเมือง มันทำให้เขาต้องร่วมทีมนี้มาอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้
“มนุษย์ไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบนี้ได้ เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่ามันเกิดจากภูมิปัญญาที่สูงกว่าการรับรู้ของเรา ผมไม่อยากให้เสียเวลาอันมีค่า ผมคิดว่า…มนุษย์ต่างดาวทำมันขึ้นมา” น้ำเสียงของเขาบอกถึงความไม่มั่นใจเมื่อพูดถึงมนุษย์ต่างดาว เรื่องนี้ไม่ควรหลุดออกมาจากปากของนักฟิสิกส์ แต่เขาก็พูดต่อ
“เนื้อหาในความฝันนั้นชัดเจน บอกว่าถ้าเรายังดื้อดึงกระโจนข้ามความเร็วแสงไปนอกระบบสุริยะจักรวาล จะเกิดอันตรายถึงชีวิตกับทุกคน ผมไม่สามารถจินตนาการถึงอะไรที่จะมาขู่ฆ่าพวกเราทุกคนได้นอกจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่สามารถส่งสารมายังพวกเราผ่านความฝัน มันชัดเจนจนผมอยากจะไปที่ห้องควบคุมแล้วเอาปืนจี้หัวต้นหนให้หันยานกลับโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และหากจะให้ประเด็นนี้จำกัดอยู่เฉพาะวิทยาศาสตร์ก็คงต้องบอกไว้ด้วยว่าผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า” เสียงของเขาสั่นเมื่อพูดถึงตอนท้าย
ใครคนหนึ่งเอื้อมมือไปหยิบบันทึกที่แพทย์ประจำสถานีถือไว้ไปดู เสียงกระดาษถูกพลิกดังทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์พูดจบ
“ผมเห็นด้วยเรื่องความชัดเจนของเนื้อหาในความฝัน” โปรแกรมเมอร์พูดเสริมขึ้น “แม่… เออ… คนที่เรารู้จักลอยตัวในสภาพไร้น้ำหนักอยู่ตรงหน้าในตำแหน่งถุงนอนของแต่ละคน ผู้ส่งสารไม่เลือกสภาพแวดล้อมอื่นที่จะทำให้เราไขว้เขว ทุกคนรู้สึกเหมือนกับสิ่งนั้นเกิดขึ้นต่อหน้าในขณะที่กำลังหลับ ผมคิดว่ามันทำให้เรารู้สึกได้ว่าความประสงค์ร้ายนั้นอยู่ภายในสถานีนี้เอง และมันพร้อมจะจัดการพวกเราทันทีที่เราไม่ปฏิบัติตาม”
เสียงใครคนหนึ่งกำลังสะอื้น กัปตันรู้สึกว่าอุณหภูมิห้องลดต่ำลงกว่าที่เคย หนาวจนจับขั้วหัวใจ นาฬิกาบอกเวลานับถอยหลังไม่ถึงหกชั่วโมง
“ท่านสุภาพบุรุษ” เสียงรองกัปตันพูดขึ้น ในมือถือปึกกระดาษยับย่นที่ขอมาจากแพทย์ประจำสถานี “เรากำลังถูกบลัฟ”
……….
โครงการอวกาศเป็นเรื่องของขีดจำกัดและความคุ้มทุน สถานีอวกาศและยานอวกาศทั้งหลายที่ถูกส่งออกไปนอกบรรยากาศโลกตั้งแต่อดีตเป็นต้นมาเหมือนพ่อแม่ที่ยังไม่พร้อมจะมีลูกแต่ตั้งท้องโดยไม่ตั้งใจ มนุษย์ออกไปบุกเบิกอวกาศก่อนเวลาอันควรด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่พัฒนาพอมาตั้งแต่ต้น โครงการนี้ก็เช่นกัน
อุปกรณ์ พลังงาน อาหาร อากาศ จำนวนคน และทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องถูกคำนวณอย่างดีก่อนส่งขึ้นไปปฏิบัติการ หากสถานีอวกาศจะต้องเดินทางไปเนปจูน มันก็จะบรรทุกทรัพยากรทุกอย่างไปเพียงพอแค่ไปถึงเนปจูนและเดินทางกลับ ไม่มีโอกาสให้แวะชมวงแหวนดาวเสาร์ และไม่มีโอกาสให้ผิดพลาดและลองใหม่
ขั้นตอนคือสถานีอวกาศเดินทางไปใกล้ดาวเนปจูน จากนั้นปล่อยยานอวกาศขนาดสองที่นั่งให้ลอยห่างออกไป มันจะเข้าไปหลังดาวเนปจูน สร้างหลุมดำชั่วคราวแล้วกระโจนข้ามความเร็วแสงไปยังจุดหนึ่งนอกระบบสุริยะจักรวาล ปล่อยดาวเทียมดวงหนึ่งที่จะส่งสัญญาณกลับมาเพื่อยืนยันการไปถึงของมัน ระหว่างนั้นสถานีอวกาศจะโคจรรอบดาวเนปจูนแล้ววกกลับไปยังโลก ยานอวกาศที่ส่งออกไปจะกระโจนข้ามความเร็วแสงกลับมาเทียบที่สถานีอวกาศและเดินทางกลับบ้าน
กระบวนการทั้งหมดมีโอกาสเพียงครั้งเดียว ไม่มีการวนกลับแล้วลองใหม่หากครั้งแรกล้มเหลว
……….
“เรากำลังถูกบลัฟ” รองกัปตันพูดขึ้น เธอเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ที่แทบไม่มีดีกรีอะไรต่อท้ายชื่อให้เป็นที่รู้จักแต่เข้าร่วมโครงการด้วยคะแนนสอบที่สูงลิบ ด้วยบุคลิกที่ดี เงียบขรึม สงวนท่าที และมีความเป็นผู้นำสูง กัปตันคิดอยู่เสมอว่าเสร็จภารกิจนี้รับรองได้ว่าหน้าที่การงานของเธอก้าวไปไกลแน่
“หมายความว่าอย่างไร” กัปตันถาม “คุณกำลังจะบอกว่าเราถูกหลอกอย่างนั้นหรือ”
“ฉันกำลังคิดว่าเรื่องนี้มีความนัยแฝงอยู่ ข้อความถูกส่งมาถึงพวกเราหลังการสื่อสารครั้งสุดท้าย แปลว่าพวกนั้นต้องการให้เฉพาะพวกเราในปฏิบัติการเป็นผู้ตัดสินใจ การสื่อสารแบบโต้ตอบต้องใช้เวลามากกว่าแปดชั่วโมงและพวกเขาเลือกเวลาที่เราไม่สามารถขอความเห็นจากโลกได้…นั่นประการหนึ่ง และอีกเรื่องหนึ่งคือทำไมพวกนั้นไม่บอกเราก่อนหน้านี้ ลองคิดว่าถ้าค่อย ๆ ปลูกต้นไม้แห่งความกลัวใส่สมองพวกเราให้มันโตช้า ๆ จะชักจูงเราได้ดีกว่าหย่อนระเบิดแห่งความกลัวลงมากลางวงพวกเราแบบนี้ ฉันว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของมนุษย์จะคาดการณ์ได้ยากกว่า”
สองสามคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ฉันคิดว่าพวกนั้นคงเฝ้าสังเกตพวกเรามาระยะหนึ่งแล้ว เราผ่านการทดลองมาหลายขั้นตอนกว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ แล้วถ้าพวกนั้นจะหยุดพวกเราก็แค่แปลงร่างเป็นอับราฮัม ลินคอล์นไปบอกประธานาธิบดีในฝันก็ได้ เขาหยุดโครงการได้ตั้งแต่ต้นและไม่มีความเสี่ยงสำหรับพวกนั้นด้วย พวกเราเองยังมีโอกาสตัดสินใจปฏิบัติภารกิจต่อ แล้วทำไมถึงยังมาเลือกพวกเรา มีเวลาจำกัดอีกต่างหาก”
“คงเพราะสถานการณ์แบบนี้พวกเราอาจตัดสินใจผิดพลาดได้” กัปตันตอบ เขาไม่ได้อธิบายว่าพลาดโดยการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติกันแน่
รองกัปตันพูดต่อ “ทุกคนลองคิดดู เรากำลังเล่นโปกเกอร์กับไอน์สไตน์อยู่ เราเรียกไพ่มาแล้วสี่ใบ เรียงตั้งแต่สิบถึงคิงโพธิ์ดำ ส่วนไอน์สไตน์ไม่มีอะไรในมือเลย แล้วอยู่ดี ๆ มีมนุษย์ต่างดาวมาขอเล่นด้วยเป็นคนที่สาม เรียกไพ่ห้าใบรวดแล้วบอกให้เรายอมแพ้ซะ เขามีสิบถึงเอหน้าอื่นและเขาจะชนะ ทั้งที่ไพ่อีกใบของพวกเรานั้นถึงอย่างไรก็เป็นเอโพธิ์ดำแน่นอน เราทดลองมาแล้วกี่ครั้งกว่าจะรู้ว่าเราทำกับมนุษย์และยานอวกาศได้ โอกาสผิดพลาดของพวกเราต่ำมาก พวกนั้นกำลังบลัฟเราอยู่”
“พวกนั้นจะเสียอะไรหากเรากระโดดข้ามความเร็วแสงได้” กัปตันตั้งข้อสงสัย
“ฉันไม่รู้ ฉันว่าพวกนั้นทำลายเราได้โดยไม่ต้องขู่ด้วยซ้ำ”
ห้องเงียบลงชั่วครู่ ใกล้ถึงเวลาปล่อยยานอวกาศเข้าทุกที
“อาจเป็นพวกเอเลียนที่ผูกขาดการเดินทางเร็วกว่าแสงไว้เพียงเผ่าพันธุ์เดียวในกาแลกซี่ทางช้างเผือก และจะเสียโอกาสหรือขาดทุนถึงขั้นล้มละลายหากมีคู่แข่งเกิดขึ้น แน่นอนว่าไม่ใช่ในรุ่นของเราแน่ แต่อีกสี่หรือห้าสิบปีข้างหน้าอาจเป็นไปได้ถ้าเทคโนโลยีของเราดีขึ้น และเราสามารถทำให้การเดินทางระหว่างดวงดาวเหมือนการไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ต แล้วเราอาจจะได้ซื้อของจากมิสเตอร์สปอ๊คก็เป็นได้” นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์บอกจินตนาการของเขา
“หรือไม่ เราก็จะได้พบกับดาร์ธ เวเดอร์ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า” โปรแกรมเมอร์โครงการพูดขึ้น
มันดังพอจะทำให้กัปตันต้องหยุดคิด และเขาต้องตัดสินใจในอีกไม่นาน
……….
พวกเขากำลังเดินทางกลับ ไม่มีมนุษย์ต่างดาว ไม่มียานอวกาศไร้สัญชาติพร้อมปืนใหญ่พลังแสง ไม่มีภยันตรายอันคาดไม่ถึง
ตามโครงการ ไม่ว่าจะปฏิบัติภารกิจสำเร็จหรือไม่ พวกเขาจะเดินทางกลับด้วยยานอวกาศอีกลำที่แยกตัวออกมาจากสถานีอวกาศ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแบกสัมภาระขนาดใหญ่กลับ พวกเขาจะปล่อยให้สถานีและยานอวกาศขนาดเล็กที่ส่งนักบินสองคนเดินทางพ้นความเร็วแสงครั้งแรกกลายเป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของการเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสงของมนุษยชาติต่อไป
สำหรับกัปตันแล้ว แค่การได้มาอยู่ในสถานีอวกาศสุดขอบระบบสุริยะเป็นความท้าทายในเรื่องที่ไม่มีวันเอาชนะได้อย่างหนึ่งของมนุษย์แล้ว การทำงานในสภาวะปิดและแยกตัวอย่างสมบูรณ์ของสถานีแห่งนี้ทำลายสถิติทุกอย่างที่เคยบันทึกไว้ในโลกไปหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนคนที่ใช้ ระยะทางไกลสี่ชั่วโมงแสง การบริโภคอาหารและอากาศที่ไม่เคยมีการเดินทางครั้งใดในอวกาศจะใช้มากเท่านี้ และที่สำคัญที่สุดคือมันใช้ทรัพยากรมหาศาลเกินกว่านักการเมืองคนใดจะจินตนาการได้ …ไม่ว่าภารกิจจะสำเร็จหรือล้มเหลวมันก็จะยังเป็นสถิติอันยิ่งใหญ่อยู่ดี และคงอีกนานกว่าจะทำลายลงได้
กัปตันลอยตัวไปที่กระจก เขามองเห็นเสี้ยวหนึ่งของดาวเนปจูนอยู่ที่มุมหนึ่ง จากนั้นแนบหน้าเข้าไป พยายามใช้สองมือบังแสงจากในห้องเพื่อจะได้เห็นมันชัดขึ้น…เป็นครั้งสุดท้าย รองกัปตันลอยตัวมาใกล้ ๆ เหนี่ยวขอบกระจกเอาไว้ไม่ให้ชนกับผนัง
“คุณไม่ได้เขียนในบันทึกว่าคุณฝันถึงใคร” รองกัปตันพูด
“จำเป็นด้วยหรือ”
“บอกฉันมาเถอะ ใครก็ได้ คุณจะโกหกก็ยังได้”
กัปตันแนบหน้ากับกระจกเข้าไปอีก ซ่อนใบหน้าไว้ในวงฝ่ามือ “เมียผม ตอนนี้คงนั่งรออยู่ที่บ้าน”
“คุณนี่กล้าดีจริง ๆ”
ข้างหลังพวกเขา ลูกเรือกำลังฉลองกันอยู่…
พล็อตมันลอยเข้ามาในสมองแบบงง ๆ ครับ ตอนนั้นดูข่าว GT 200 แล้วก็คิดอยู่ว่าเครื่องนี้ไม่น่าจะ work แต่ถ้ามันเกิดพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ทางสถิติกลับใช้ได้ขึ้นมาคงยุ่งพิลึก เพราะหาหลักทางวิทยาศาสตร์มาจับไม่ได้เลย นักวิชาการก็ออกมาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ว่าไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักฟิสิกส์-อีเล็กโทรนิคส์ ไม่ยอมฟันธงกันเลยว่าใช้การไม่ได้ ก็เลยเอามาเป็นส่วนหนึ่งในโครงเรื่องครับ
ยาวหน่อยนะครับ ขอฝากทุกท่านด้วย ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำวิจารณ์ครับ
อ่านไปสองรอบ
ยัง งงๆ อยู่เลยครับ
😛
งงเช่นเดียวกันกับคุณ niraj ครับผม เป็นเรื่องสั้นที่ไม่ต้องมีชื่อตัวละคร ก็ดีเหมือนกันครับ อ่านได้ทุกชาติ จินตนาการให้ตัวละครเป็นชาติเดียวกันกับคนอ่าน ขอตั้งสติอ่านใหม่อีกรอบก่อนนะครับ
ไชยรัตน์
ขอบคุณทุกท่านครับ ผมชักอยากเรียบเรียงใหม่เสียแล้ว
คิดว่าคงใส่อะไรเข้าไปมากไปนิด เลยรกหูรกตา + อ่านยาก
ขอเวลาเรียบเรียงแล้วแก้ตัวใหม่อีกทีนะครับ
ผมกลัวคุณzhivagoจะเข้าใจผิด
คือผม งง อยู่สองเรื่อง
๑. ผมอ่านแล้วผมไม่แน่ใจว่า ตกลง ได้ Warp หรือเปล่า
ซึ่งคุณzhivagoอาจจะแอบซ่อนทิ้ง clue ไว้ก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ผมถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง แต่ผม(ยัง)หาไม่เจอ นะครับ (สงสัยซ่อนดีเกินไป อิ อิ)
พอตรงนั้น ผมไม่รู้ ผมก็เลยไปต่อไม่ได้ เพราะ
๑. ถ้า Warp แล้วแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตกลงเรื่องนี้พูดถึงความกลัวอย่างไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่? แล้วไง?
๒. ถ้าไม่ Warp แล้วไม่มีคำอธิบายต่อ อันนี้ยิ่งตกใจใหญ่ เพราะ กลายเป็นเอาสิ่งที่ไม่มีเหตุผลมาอยู่เหนือเหตุผล
โดยส่วนตัวผมเข้าใจว่า Warp ไปแล้ว
(จากประโยค “พวกเขากำลังเดินทางกลับ ไม่มีมนุษย์ต่างดาว ไม่มียานอวกาศไร้สัญชาติพร้อมปืนใหญ่พลังแสง ไม่มีภยันตรายอันคาดไม่ถึง”)
เพียงแต่สำหรับผม มันยังไม่ค่อยชัดเท่าไร(ย้ำว่า คงเป็นแค่กับผมคนเดียวเท่านั้นมั้งครับ)
แต่ก็อีกนะครับ ไม่มีคำอธิบาย สำหรับ ฝันที่เกิดขึ้นกับทุกๆคน
ความกลัวร่วมบางอย่าง? ประเด็นเชิงจิตวิทยา? จิตวิทยามวลชน?
จริงๆเรื่องที่ไม่ค่อยเคลีย ก็มีเสน่ห์ของมันนะครับ
แต่อาจจะไม่ค่อยถูกทางกับผม
ก็เท่านั้นเองครับ
อย่าได้เป็นกังวลครับ วิจารณ์ตามที่เห็นควรได้เลยครับ อยากได้ comment มาก ๆ ไว้ปรับปรุงผลงานครับ
ใจผมอยากจบแบบทิ้งค้างเอาไว้ครับ เหมือนเป็นปริศนาให้สงสัยว่าได้ทำ/ทำได้จริงหรือเปล่า แต่อย่างที่บอกไว้ใน comment 1 ครับบ่อยครั้งที่คนเราเชื่อเรื่องอะไรที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์(แม้ว่าตัวเองจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ตาม) แล้วเชื่ออย่างหัวปักหัวปำว่ามันเป็นอย่างนั้นของมันนั่นแหละ…
ก็เลยเป็นที่มาของแนวคิดของเรื่องที่ว่าถ้าเกิดมันหลุดโลกไปขนาดที่ว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาขู่ว่า “เฮ้ย…อย่าริอ่าน warp เชียวนะ” แต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่านั่นเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง ๆ แล้วเราจะเชื่อมันหรือเปล่า ?
ผมมองมนุษย์ต่างดาวในเรื่องว่ามีจริง แต่ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไร เหมือนอย่างที่บอกไว้ว่ามาแค่ “เกทับ” แต่กลับไม่(หรือไม่สามารถ)ทำอะไรมนุษย์ได้ แม้ว่ามนุษย์จะฝืนคำเตือนก็ตาม
ยินดีและขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำวิจารณ์ครับ
อยากเขียนได้แบบนี้มั้งจัง -*-