The System

มนุษย์ทุกคนเกิดมาอย่างอิสระแต่ถูกพันธนาการอยู่ทุกหนทุกแห่ง – Jean-Jacques Rousseau

ภาพวาดของศิลปินระดับโลกหลายสิบรูปทั้งแขวนและวางทิ้งเกะกะรอบๆห้องนอนเล็กๆสีชมพู เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะ ในมือมีดินสอไม้EE ใบหน้าที่กำลังครุ่นคิดหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์ลอดผ่านก้อนเมฆ นกตัวน้อยส่งเสียงคุยกันตามกิ่งไม้ อากาศยามเช้าช่างอบอุ่นและปลอดภัย
แล้วเธอก็เริ่มจรดดินสอลงบนกระดาษ ท่าทางของเธอบอกได้ว่าเธอเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ เวลาผ่านไปไม่นานนัก กระดาษด้านหน้าเธอค่อยๆปรากฎรูปของชายชราที่โด่งดังจากการเป็นนักปรัชญาผู้เสนอเสรีภาพการออกความคิดเห็นของประชาชน เขาคือ’วอลแตร์’ เด็กสาววาดภาพของชายผู้นี้ในอิริยาบทต่างๆ ในหลายๆอารมณ์ ถ้ามีผู้ใดได้เห็นการเขียนภาพของเธอ เขาต้องนึกถึงภาพยนตร์ที่ร้อยเรียงกันเป็นชีวประวัติของนักปรัชญาผู้นี้ ผงคาร์บอนติดพื้นผิวของกระดาษมากขึ้นเรื่อยๆ รูปของวอลแตร์เองก็มีรายละเอียดชัดเจนขึ้น ภาพสุดท้ายบนพื้นที่ว่างบนกระดาษขาวเป็นรูปของเขาตอนสมัยหนุ่มกำลังเขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่จะส่งผลต่อคนทั้งโลก อยู่ดีๆเธอก็หยุดลงแล้วทิ้งภาพสเก็ตช์นั้นไว้ครึ่งๆกลางๆ


สาวน้อยลุกจากเก้าอี้แล้วเปิดประตูห้องที่ทำด้วยไม้สีเขียว ความทรงจำที่เธอจับลูกบิดประตูทองเหลืองครั้งสุดท้ายเป็นความทรงจำอันเลือนลางจนเหมือนเธอไม่เคยได้รับสัมผัสอันเย็นเฉียบจากโลหะทองเหลืองมาก่อน เธอเดินไปตามระเบียง แต่ละห้องที่เธอผ่าน ประตูห้องกลับแตกต่างกันไป ห้องหนึ่งมีประตูสีแดงแต่กรอบประตูเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสแทนที่จะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ห้องถัดไปมีประตูสีฟ้ากรอบประตูสีเหลืองแต่ลูกบิดประตูกลับอยู่ตรงกลาง ห้องที่สะดุดตาของเธอที่สุดคือห้องที่อยู่ชั้นล่าง ประตูห้องนั้นเหมือนกับห้องของเธอ เธอเดินผ่านประตูที่มีป้ายเขียนว่าห้องแม่บ้าน และประตูหนีไฟ จนถึงบันได เธอค่อยๆเดินลงบันไดทีละก้าวๆเหมือนเด็กทารกหัดเดิน จนมาอยู่ด้านหน้าประตูไม้สีเขียวลูกบิดประตูทองเหลือง เธอหมุนลูกบิด รอบห้องที่เธอเข้ามาเต็มไปด้วยภาพเขียนแต่กลับเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สีสันที่ใช้นั้นไม่เข้ากับกฎเกณฑ์ในสมัยใดๆ
“ฮัลโหล มีใครอยู่มั้ย” เด็กสาวตะโกนเรียกเจ้าของห้อง แต่ไม่มีเสียงตอบรับ เธอเดินเข้าไปในห้องแล้วหยุดอยู่ด้านหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ภาพด้านหน้าช่างคุ้นตา ภาพบนกระดาษสีขาวมีภาพสเกตช์ของวอลแตร์และนักปรัชญามีชื่อเสียงคนอื่นๆที่เธอไม่รู้จ้ก บางคนแก่ชรา บางคนยังหนุ่ม เธอพลิกแผ่นกระดาษ ด้านล่างปรากฎคำๆหนึ่งที่เธอคิดว่าต้องเชื่อมโยงคนเหล่านั้นไว้ด้วยกัน คำว่า ‘สิทธิและเสรีภาพ’
คืนนั้น เด็กสาวยังคงง่วนอยู่กับการวาดภาพที่เธอวาดค้างไว้ เธอวาดภาพบนกระดาษแผ่นนั้นจนถึงเช้า เวลาที่ผ่านไปกับภาพที่ยิ่งชัดเจนขึ้น
เฟี้ยว! เสียงเหมือนวัตถุความเร็วสูงวิ่งผ่านอากาศดังขึ้นไม่ไกลจากที่ๆเธออยู่ เธอชะงักเล็กน้อย
ตูม! เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว จนห้องสะเทือน เด็กสาวกรีดร้อง ทันใดนั้นประตูห้องก็เหวี่ยงเปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งโผเข้ามาในห้องแล้วตะครุบตัวเธอล้มลงก่อนที่กระสุนปืนกลกราดผ่านหน้าต่างรูป Starry night ถูกกระสุนเป็นรูพรุน เศษปูนร่วงกราว
“ไปกับผม เร็ว” ชายหนุ่มลุกแล้วฉุดแขนเธอไป เด็กสาวยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง ตอนนี้ไปกับผมก่อน” เด็กสาวผงะ
“เดี๋ยวก่อน รูปฉันๆ”
“ไม่มีเวลาแล้ว” เธอคว้ารูปสเกตช์ที่นั่งเขียนมาทั้งคืนใส่กระเป๋ากางเกงได้ทันก่อนจะถูกลากออกจากห้อง
ปัง ปัง ปัง! กระสุนถูกยิงมาจากชั้นล่าง เธอกรีดร้อง
“ชู่ว์ เธอคงไม่อยากให้พวกมันได้ยินใช่มั้ย เราคงลงทางบันไดไม่ได้แล้ว เชอร์รี่ มีทางออกอื่นมั้ย”
“ฉันไม่รู้” เธอพูดเสียงสั่นกำลังจะร้องไห้ “เดี๋ยวก่อน มีทางหนีไฟ ทางนั้น” ด้านข้างห้องเก็บของของแม่บ้าน มีประตูเก่าๆที่ไม่ใช่ห้องพักอยู่
ชายหนุ่มชูปืนขึ้น แล้วยิง ถูกชายที่กำลังวิ่งขึ้นบันไดดูเหมือนเจ้าหน้าที่ล้มลง เธอกรีดร้องอีกครั้ง
“เขาจะตายมั้ยๆ”
“คงตาย ไปเร็ว” ชายหนุ่มคว้าแขนเธอออกทางบันไดหนีไฟ เขาถีบประตูเปิดออก เชอร์รี่ปีนลงบันได ชายหนุ่มหันไปยิงอยู่หลายนัด
เธอทั้งวิ่งทั้งกระโดดลงมาจากชั้นบน เสียงปืนดังตามหลังมาไม่ขาดสาย บันไดหนีไฟกลับสิ้นสุดลงที่ชั้นสองซึ่งสูงเกินกว่าที่จะกระโดด ชายหนุ่มคว้าบันไดด้านข้างพาดลงจากชั้นสอง เขาไต่ลง ตามมาด้วยเด็กสาว
“วิ่งเร็ว!” “เดี๋ยวก่อน เอาบันไดลงด้วย” เธอหวังว่าพวกมันจะตามมาได้ช้าลง ชายหนุ่มถีบบันไดจนล้ม
ทั้งสองคนวิ่งไปสองช่วงตึกแล้วเลี้ยวเข้าบาร์ในซอย เสียงกระดิ่งที่แขวนกับประตูดังกรุ๊งกริ๊ง เจ้าของร้านกล่าวยินดีต้อนรับ พวกเขาตรงไปที่โซฟาแล้วทิ้งตัวลง ด้านนอกร้านไม่มีวี่แววของเจ้าหน้าที่
“ทำตัวให้เป็นปกติ” ชายหนุ่มฟื้นจากอาการเหนื่อยอย่างรวดเร็ว
“ฉันรู้หรอกน่า แล้วบอกได้หรือยังว่าคุณเป็นใคร เกิดอะไรขึ้น แล้วรู้ชื่อฉันได้ยังไง ว่าฉันชื่อเชอร์รี่” เด็กสาวยิงคำถามใส่ชายหนุ่ม เขาผงะเล็กน้อยแต่ไม่เป็นที่สังเกตเห็น
ชายหนุ่มตะโกนตามด้วยเสียงกระซิบ “เฮ้ เจ้าของร้าน เอาเบียร์หนึ่ง มาร์ตินี่ลิ้นจี่หนึ่ง …..เชอร์รี่ เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย ผมถูกส่งมาเพื่อช่วยคุณ”
“ฉันรู้แล้วน่าว่าตกอยู่ในอันตราย แล้วทำไมพวกนั้นต้องมายิงฉันด้วย” เด็กสาวที่มีชื่อว่าเชอร์รี่ ชักสีหน้าใส่ชายหนุ่ม
“เงียบหน่อยได้มั้ย…ผมชื่อกัน เป็นสมาชิกกลุ่ม DISC เธอกำลังถูกตามล่าจากรัฐบาล”
“ฉันนี่นะ ฉันไม่เคยทำอะไรเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือรัฐบาลเลย ฉันเป็นศิลปิน”
“จริงๆแล้วเรื่องนี้ มันเป็นเพราะผม ผมกำลังจะพาคุณหนีไปจากที่นี่” เชอร์รี่ทำหน้างง ชายหนุ่มที่ชื่อว่ากัน ซดเบียร์อึกใหญ่ก่อนที่จะพูดต่อ
“…เอางี้ดีกว่า ผมจะเล่าตั้งแต่เริ่มให้ฟัง”
“…เรื่องของเรื่องมันเริ่มจากการที่รัฐบาลโลกสังเกตเห็นความไร้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ เพราะการพัฒนาคอมพิวเตอร์มีขีดจำกัดมาได้ถึงจุดๆหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายเราก็ต้องยอมรับว่าระบบประสาทของมนุษย์ นั้นซับซ้อนมากเกินกว่าที่เราจะสร้างคอมพิวเตอร์ที่เรียนรู้ได้เท่ากับมนุษย์ เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบันก็สร้างได้แค่ใกล้เคียงเท่านั้น ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะมีเหตุผลมากกว่าและมีตรรกะที่เหนือกว่ามนุษย์หลายเท่านัก ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น การซื้อของ คนมักดูความคุ้มค่าจากการเปรียบเทียบของสองสิ่ง ไม่ได้ดูที่คุณค่าของของสิ่งนั้นจริงๆ การเลือกคู่ก็เช่นกัน เรามักจะเลือกคู่จากการเปรียบเทียบคนสองคน แต่คอมพิวเตอร์สามารถดึงข้อมูลจากอินเตอร์เน็ทและข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องแล้วคำนวณข้อดีข้อเสียโดยไม่มีอคติ…”
“…แต่สิ่งที่คอมพิวเตอร์นั้นเทียบไม่ติดคือความคิดริเริ่ม ความคิดสร้างสรรค์และการจินตนาการของมนุษย์ …เพราะอย่าลืมว่าคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นมาจากมนุษย์ เราจะสั่งคอมพิวเตอร์ให้สร้างงานศิลปะง่ายๆซักงานยังไม่ได้เลย และปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกของเราขณะนี้ทำให้ต้องการระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ ปัญหาทรัพยากรบนโลกที่ลดน้อยลงทุกวันในขณะที่จำนวนคนกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีแนวโน้มว่าจะหยุด จนตอนนี้โลกเรามีประชากรหลายแสนล้านคน ห้าเดือนที่แล้วรัฐบาลโลกจึงได้เรียกประชุมใหญ่จากสมาชิกสภาทั้งหมดเพื่อถกปัญหาจริยธรรมทั้งสิทธิมนุษยชนและจริยศาสตร์ กับ การพัฒนาเทคโนโลยี Znerve (ซีเนิร์ฟ)”
“ซีเนิบ อะไรคือ Znerve”
“ให้ผมพูดก่อนได้มั้ย …Znerve คือโปรแกรมโลกจำลองที่มีมนุษย์อยู่ โดยมนุษย์เหล่านั้นถูกเชื่อมต่อโดยตรงจากสมองเข้ามาในโลกของZnerve เพื่อสร้างงานให้กับระบบโดยงานอาจจะเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่ต่อตัวโดมิโน ไปจนถึงเป็นมนุษย์อวกาศเดินทางไปดาวอังคาร ระบบหรือ The System ซึ่งเป็นชื่อเรียกของคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมทุกอย่างในโลก ตั้งแต่ราคาสินค้า ดอกเบี้ย การจัดสรรทรัพยากร รวมทั้งระบบการศึกษา ระบบจึงเป็นผู้ควบคุมทุกด้านทั้งวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และเป็นผู้ตัดสินว่าโลกควรจะเคลื่อนไปทางไหนให้เป็นประโยชน์สูงที่สุด โดยคนแต่ละคน หรือสมองแต่ละอันจะถูกเรียกว่าเซลล์ (Cell) โดยแต่ละเซลล์จะแชร์ข้อมูลกัน ทำให้เกิดผลวิเคราะห์จำนวนมหาศาล ที่ก่อให้เกิดการตัดสินใจที่ดีที่สุด”
“ขอโทษนะคะคุณกัน ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
“เอางี้ ให้เธอลองคิดถึงมด มดแต่ละตัวจะทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครเป็นหัวหน้า มดเหมือนถูกตั้งโปรแกรมอย่างง่ายๆที่เฉพาะตัวมากๆนั่นก็คืองานที่เซลล์แต่ละเซลล์ทำ แล้วเมื่อมดแต่ละตัวมารวมกันเป็นฝูงนับล้านล้านตัว งานที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น ลองดูรังของมันสิ ถ้าเปรียบเทียบขนาดแล้วใหญ่กว่าปีรามิดที่เราสร้างเป็นล้านเท่า มดหนึ่งตัวก็เหมือนเซลล์หนึ่งเซลล์ แต่ว่าเซลล์นั้นคือสมองมนุษย์ ลองคิดดูสิว่าผลที่เกิดขึ้นจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน”
“พอเข้าใจแล้วล่ะคุณกัน ฉันไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ แต่เมื่อกี้ฉันเพิ่งเกือบถูกฆ่า และคุณก็ช่วยฉันเอาไว้ เรื่องนี้ก็พอฟังขึ้น จากทั้งหมดที่คุณพูด ฉันพอจะเดาได้ว่าคุณกำลังจะบอกว่าตอนนี้ฉันอยู่ใน Znerve และงานของฉันคือการวาดรูป แต่ฉันไม่เข้าใจว่าแล้วใครที่คิดจะฆ่าฉัน และจะทำไปเพื่ออะไร แล้วคุณเกี่ยวข้องยังไง” กันแสดงสีหน้าประหลาดใจแต่ก็เก็บอาการไว้
“เชอร์รี่ เธอเข้าใจถูกต้องมากทีเดียว ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่าเธออายุเท่าไหร่ ฉันจะไม่เชื่อจริงๆถ้ามีใครมาบอกว่าเธออายุแค่ 14 … เธอจำได้ใช่มั้ยว่ารัฐบาลสร้างโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อให้โลกถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แต่ในการประชุมครั้งนั้นก็ย่อมมีผู้ที่ต่อต้าน กลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านก็คือ ดอกเตอร์โฮวเฉิน เขากับกลุ่มคนที่คิดเหมือนกัน รวมทั้งผมด้วย รวมกลุ่มต่อต้านรัฐบาลและระบบ ใช้ชื่อว่า DISC พวกเราคิดว่าระบบเป็นสิ่งที่จำกัดสิทธิความเป็นมนุษย์ ทั้งๆที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เหมือนกับที่จอห์น ล็อก นักปรัชญาสมัยศตวรรษที่17 ได้พูดไว้ เพราะระบบจะจำกัดให้คนๆนั้นทำงานงานเดียวและอยู่ในที่เดียว เหมือนคุณ มันเป็นการจำกัดเจตจำนงอิสระที่คนๆหนึ่งสามารถคิดหรือทำอะไรตามจิตของเราจะปรารถนา แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมีหน้ามาบอกว่า คนแบบคุณมีความสะดวกสบาย ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องกิน ดื่ม ไม่เหนื่อยกับการขวนขวายสิ่งต่างๆ แล้วยังสามารถสร้างงานตามใจของตัวเอง คำพูดเหล่านี้ทำให้มีคนนับล้านเป็นอาสาสมัคร แต่พวกเราสืบจนรู้ว่าระบบหลอกใช้พวกคุณเหมือนซีพียูคอมพิเตอร์ที่ป้อนข้อมูลเข้าไป แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นไม่สามารถคาดเดาได้ จึงแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ที่ไม่ว่าเครื่องไหนๆที่ใส่ข้อมูลเดียวกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นประสิทธิภาพของมันก็ไม่แน่นอน มันเป็นการเอาชีวิตของมนุษย์เป็นหนูทดลอง”
“พวกคุณ กลุ่มดิสอะไรเนี่ย ก็จะพยายามทำลายระบบใช่มั้ย”
“ใช่แล้ว เชอร์รี่ ตอนนี้เราแทรกซึมเข้ามาใน Znerve แล้วก็พยายามช่วยคนให้มากที่สุดก่อนที่จะทำลายระบบ พวกเราตั้งฐานลับไว้เพื่อเป็นทางหนีออกจากที่นี่”
คำถามมากมายผุดขึ้นในความคิดของเชอร์รี่ เธอกำลังจะถามแต่กันก็ตัดบทเสียก่อน
“…ผมคิดว่าเราใช้เวลามากเกินไปแล้ว ผมต้องพาคุณไปหาดอกเตอร์ แล้วให้คุณคุยข้อมูลเชิงเทคนิกกันเองดีกว่า”

กันกดปุ่มบนนาฬิกาข้อมือ รถจักรยานยนต์วิ่งเงียบกริบมาจอดหน้าบาร์ เสียงล้อบดกับพื้นถนน บนรถไม่มีคนขับ
“นี่มอเตอไซของคุณ ทำไมไม่มีคนขับ” เธอถามคำถามที่เธอไม่ได้อยากรู้คำตอบ คำถามจำนวนมหาศาลของเธอถูกเก็บไว้ในใจ
“โลกนี้มีอะไรที่เธอไม่รู้อีกเยอะ ขึ้นรถเขอร์รี่ เราจะไปฐานลับ DISC”

…………………………………………………………………

จักรยานยนต์แล่นผ่านตึกหน้าตาคล้ายๆกัน ตลอดทางเธอไม่เห็นคนแม้แต่คนเดียว เชอร์รี่สวดมนต์ ขออย่าให้มีพวกเจ้าหน้าที่มาไล่ยิงเธอบนถนน ทั้งสองคนแล่นผ่านวัดพระแก้ว ตึกสูงเสียดฟ้ารายล้อมสิ่งก่อสร้างโบราณ ดูไม่เข้ากันซักนิด รถชลอลงด้านข้างวัด กันหันมองซ้ายขวา
“จะทำอะไรคะ คุณกัน” ยังไม่ทันที่เชอร์รี่พูดจบ กันก็บิดคันเร่งตรงเข้าไปที่กำแพงวัด “อย่าร้องนะ” ยังไม่ทันขาดคำ เชอร์รี่หลับตาปี๋พร้อมกรีดร้อง
พรึ่บ! รถจักรยานยนต์ทยานผ่านอากาศ ลงกระแทกพื้น เสียงยางเสียดสีกับพื้น เชอร์รี่ค่อยๆลืมตา ห้องที่อยู่ตรงหน้าเป็นห้องสีขาว เพดานและพื้นก็ยังเป็นสีขาวสว่างจ้า ไม่มีลักษณะของหลอดไฟหรืออะไรที่สามารถส่องแสงสว่างได้ มีบานประตูอยู่ที่ด้านหนึ่งของห้อง เชอร์รี่ก้าวลงจากรถ ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต
“ที่นี่หรอ ฐานลับ DISC แล้วดอกเตอร์โอเฉินอะไรนั่นอยู่ไหน”
กันถอดหมวกกันน็อค “ผมติดต่อกับดอกเตอร์ไว้ตอนที่อยู่บาร์ … เดี๋ยวก่อน ผมว่ามีอะไรแปลกๆ ปกติจะต้องมียามเฝ้าอยู่ …มาอยู่ข้างหลังผมเชอร์รี่”
เชอร์รี่หลบไปด้านหลังของกัน เกาะเสื้อหนังไว้แน่น
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ภาพโฮโลแกรมฉายภาพชายวัยรุ่นอายุไม่เกิน 20 เชื้อสายจีน ท่าทางดูร้อนรน ขณะนั้นเชอร์รี่หมอบอยู่กับพื้นเพราะนึกว่าเสียงระเบิด
“กัน นี่เป็นกับดัก พาเชอร์รี่ออกมาจากระบบเลย ผมจะออกไปแล้ว” ชายผู้นั้นวิ่งไปนอนที่เตียงที่ดูเหมือนเป็นแคปซูล แคปซูลปิดทันทีพร้อมกับมีแสงเจิดจ้าออกมา หลังจางแสงจางลง ชายผู้นั้นก็หายไป
“เชอร์รี่ เรามีปัญหา เธอรีบเข้าไปในห้องนั้น แล้วนอนลงบนแคปซูล มันจะพาเธอออกจาก Znerve พวกเราคอยอยู่ฝั่งนั้น เร็ววว!!” กันฉุดแขนเชอร์รี่อีกครั้ง ตอนนี้เธอเข้าใจทุกอย่างแล้ว พวกDISC ที่เป็นกลุ่มต่อต้านระบบ กำลังพาคนที่อยู่ในระบบหนีออกไป แต่ระบบก็มีหน่วยคุ้มกัน ขัดขวางไม่ให้พวก DISC ทำสำเร็จ ตอนนี้เจ้าหน้าที่หลายสิบคนพร้อมอาวุธปืนทะลุผ่านกำแพงที่เดียวกับที่เธอผ่านมา กันยิงอย่างไม่ยั้ง
“แล้วคุณล่ะ ไปด้วยกันสิ”
“หน้าที่ผมคือมาบอกความจริงแล้วมาช่วยคุณออกไป แต่แผนการผิดพลาด ไม่แน่ว่าโลกความจริง เราอาจจะต่อสู้กันอยู่ ผมขอโทษที่ผมทำได้ดีที่สุดแค่นี้ เด็กน้อย เธอต้องไปเปิดโปงให้โลกรู้ว่ารัฐบาลทำอะไรกับพวกเธอ ผมเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิความเป็นคนเท่าเทียมกัน ไปเร็ว! รหัสเปิดห้องคือ 7-7-7-0”
“ได้ค่ะ” เชอร์รี่น้ำตาซึม เธอวิ่งไปทางประตู แล้วกดรหัส เธอเหลือบเห็นกันถูกยิงล้มลง เขายิ้มให้เธอ ก่อนที่ประตูจะปิดลง เจ้าหน้าที่ไม่ต่ำกว่าร้อยกรูเข้ามาในห้องสีขาวห้องนั้น
“กัน!!” เธอร้องเรียกแต่ก็ไม่เป็นผล เป้าหมายของเธอเปลี่ยนมาเป็นภารกิจที่กันฝากไว้ เธอไม่เคยคิดว่าจะมีใครตายเพราะเธอ
ห้องที่เธอเข้ามาเป็นห้องที่มีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด จอมอนิเตอร์สี่ห้าจอตั้งอยู่ อีกด้านหนึ่งมีแคปซูลที่เปิดไว้เหมือนรอเธอมา เธอรีบเดินไปที่เครื่อง ขณะนั้นเธอสะดุดสายไฟ หน้าขมำ มือเธอไปกดถูกคีย์บอร์ดอย่างไม่ตั้งใจ สัญลักษณ์บางอย่างกะพริบบนหน้าจอ เธอไม่สนใจแล้วตรงไปที่เครื่องที่จะเป็นทางออกสู่โลกแห่งความจริง เธอนอนลงในเครื่อง ฝาแคปซูลเหวี่ยงปิดทันที
เธอหายใจรดกระจก หัวใจเต้นรัว เธอคิด “โลกแห่งความจริงจะสวยงามขนาดไหนนะ” ทันใดนั้นเสียงอู้อี้ดังขึ้น มีชายและหญิงคุยกัน เธอเข้าใจทันทีว่าปุ่มที่เธอกดเมื่อกี้คือปุ่มเปิดลำโพง เสียงผู้ชายที่ดังขึ้นเธอมั่นใจว่าเป็น ‘กัน’
“เธอเข้ากระบวนการรีบู้ทแล้วครับ ท่านประธานาธิบดี” เสียงพูดของผู้ชายคล้ายเสียงของกัน
“อืม แก้บั๊กได้อีกตัว เดี๋ยวเธอก็จะจำอะไรไม่ได้ แล้วก็กลับไปทำงานต่อ พวกเซลล์เหล่านี้ชักจะมีความคิดมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราไม่รีบู้ท ซักวันเถอะ เซลล์พวกนี้จะต้องก่อกบฏแน่ๆ เหมือนการปฏิวัติในฝรั่งเศส หลายร้อยปีที่แล้ว” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น
“ใช่ครับ เซลล์นี้เป็นเซลล์ที่ฉลาดมากๆเลยทีเดียว เธอสามารถคิดถึงปรัชญาทางการเมือง และก็ยังสรุปความได้เร็วมากจากสิ่งที่ผมพูดไป ผมว่าระบบคงจะยินดีที่เซลล์นี้จะทำงานได้ต่อ”
“อืม เซลล์เหล่านี้สำคัญมากต่อระบบ เราน่าจะแนะนำงานใหม่ให้เธอนะ ฉันว่าเธอคงทำได้ดี แล้วก็…ไปแก้ปัญหาบั๊กตัวอื่นๆซะ ก่อนที่มันจะกลายเป็นไวรัสแพร่กระจายในระบบ”
“ครับท่าน”
แล้วสติของเธอก็ดับลง

…………………………………………………………………………

เชอร์รี่นั่งอยู่บนโต๊ะ ในมือมีปากกาด้ามหนึ่ง ใบหน้าที่กำลังครุ่นคิดหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์ลอดผ่านก้อนเมฆ นกตัวน้อยส่งเสียงคุยกันตามกิ่งไม้ อากาศยามเช้าช่างอบอุ่นและปลอดภัย แล้วเธอก็เริ่มจรดปากกาลงบนกระดาษ ท่าทางของเธอบอกได้ว่าเธอจริงจังกับงานตรงหน้ามาก เวลาผ่านไปไม่นานนัก กระดาษด้านหน้าเธอค่อยๆปรากฎสมการคณิตศาสตร์ซับซ้อน เป็นสมการสัมพัทธภาพเชิงควอนตัม ทฤษฎีนี้ใช้คณิตศาสตร์ชั้นสูงที่ยากมาก แต่เธอกลับคิดเหมือนกับมันเป็นแค่พีชคณิตของเด็กมัธยม
ใต้กระดาษทดเลขแผ่นนั้นมีกระดาษแผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่ง มีรายชื่อและที่อยู่ของคนจำนวนมากในเขตใกล้ๆกันกับเธอถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆตามสีและรูปร่างของประตูห้อง เชอร์รี่หยุดเขียนแล้วก้มไปเปิดลิ้นชัก เธอหยิบแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมากำไว้แน่น ลายเส้นดินสอปรากฎเป็นภาพของวอลแตร์! เธอคิด “ถึงเวลาที่พวกเซลล์จะต้องออกเสียงบ้างแล้ว เพราะคนทุกคนมีสิทธิความเป็นคนเท่าเทียมกัน” มุมปากเธอปรากฎรอยยิ้ม

10 ความเห็นบน “The System”

  1. จริงๆเขียนได้ดีนะครับ ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องแรก ทั้งสำนวน พล็อต การดำเนินเรื่อง แต่ sourcecode ยังไม่ได้ดูอ่ะ ไว้รอเป็นหนังซองก่อน สำหรับ minority report ผมยังไม่ค่อยรู้สึกเหมือนเท่าไหร่ แต่หน่วยความคิด ตอนแรกคิดถึงเรื่อง ซัดดาโก๊ะ เดอะริงภาคสุดท้าย ที่แต่ละหน่วยชีวิตเป็นโปรแกรม และก็รู้สึกเหมือน matrix คือ matrix พยายามอธิบายโปรแกรม โปรแกรมไวรัส หน่วยประมวลผล ด้วยการแทนที่ด้วยมนุษย์ หรือ เอเย่น แต่ละคนก็เป็น 1 โปรแกรม คล้ายกับเรื่องนี้ที่มีเชอร์รี่ มี กัน เชอร์รี่อาจจะเป็นโปรแกรมกลายพันธุ์คล้ายกับไวรัสโทรจันสำหรับหน่วยประมวลผลนี้ กันก็เป็น AntiVirus ที่เข้ามาควบคุม การกลายพันธุ์ของเชอร์รี่อีกที

    ไม่ลองส่งประกวดดูบ้างละครับ สำหรับเรื่องใหม่ของเวลาอ่านซักหน่อยครับ

    ปิยะ

  2. อืม เห็นด้วยๆ ผมจินตนาการโลกที่มีคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลด้วยสมองมนุษย์จำนวนมาก อันนี้ทำให้ผมนึกถึงchaos theory ที่จะเป็นplotของเรื่องต่อไป^^ >>ส่วนthe matrix ผมดูไม่จบน่ะครับ จำได้แค่ตอนยิงฝูงหุ่นยนต์ที่มาจากเพดาน ชอบฉากนั้นมั่กๆ555 the matrixไม่ใช่ดูดพลังงานจากมนุษย์หรอคับ และสร้างโลกmatrixให้คนหยุ อาจจะผิดเพราะจำไม่ได้แล้ว>> ก้ออยากเขียนประกวดหยุ ตอนนี้ว่างมากๆเพาาะน้ำท่วม รอมีจัดครั้งหน้าล่ะกัน>>อ่อ ผมคิดถึงminority reportตรงที่เป็นคนนี่แหละ ให้คนมานอนๆกันแล้วช่วยกันคิดจนได้ผลลัพธ์ออกมา

    ผมชื่อ ตั๋ง ครับ ^^

  3. มีความแตกต่างระหว่าง tron กับ matrix เรื่อง tron ภาคแรกที่จับคนโยนใส่คอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมส์ไม่ได้เน้นการอธิบายการทำงานของคอมพิวเตอร์มากนัก แต่ในโลกของเมทริกซ์ เป็นการอธิบายการทำงานของคอมพิวเตอร์โดยใช้คนและฉาก ตัวเอกจำชื่อไม่ได้แล้ว (คีนูรีฟ) เมื่อได้คนพบพลัง (ได้รู้ว่าตัวตนในเมทริกเป็นแค่โปรแกรม) ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เหาะได้ มีพลัง คีนูได้รู้ว่าสามารถแก้ไขโปรแกรมให้ทำอะไรก็ได้ในโลกของเมทริกซ์ สังเกต ตัวคีนูก็มีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ ส่วนนอกโลกของเมทริกซ์นั้นคีนูกับพรรคพวกไม่ได้มีความสามารถอะไรพิเศษ คนเป็นหน่วยพลังงานจริงครับ แต่ฉากจบ คือพวกกบฎต้องเดินทางไปสู่ CPU เพื่อต่อเจรจากัน

    เรื่อง minority ผมชอบนะแต่ไม่ชอบตอนจบแบบ clear cut ฉากคนพิเศษที่ใช้พลังจิตในการคาดเดาผู้จะกระทำผิดนั่นเองที่เป็นต้นแบบของเรื่อง system เข้าใจแล้ว ลืมไปเลยครับ

  4. ปล.เรื่องทรอน ภาคสอง ในเรื่องแทรกสัญลักษณ์เชิงนัยยะ หากดูแล้วตีความไปด้วยจะดูสนุกมาก เช่นมีฉากหนึ่งที่ตัวร้ายหยิบผลแอปเปิ้ลสีเงินขึ้นมาดู คล้ายจะดู ipad อย่างไรอย่างนั้น หรือนางเอกที่บอกว่าเกิดขึ้นมาเองแต่สมบูรณ์ คล้ายกับ ระบบปฏิบัติการ Open surce ที่ Microsoft พยายามจะลบออกจากโลกคอมพิวเตอร์ไป

  5. อ่านรอบแรก ผมเข้าใจภาพรวมของเรื่อง เข้าใจแนวคิดทั้งหมด แต่ยังไม่เข้าใจรายละเอียดส่วนที่สองตัวละครหลักคุยกันช่วงกลางเรื่อง แต่หลังจากอ่านรอบที่สองและสามก็คิดว่าเข้าใจมากขึ้น

    ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ

    ที่ชอบมากคือบทบรรยายช่วงแรก ดึงเอาความรู้สึกของผู้อ่านให้คล้อยตามไปได้ดีมาก เป็นส่วนที่ดีและโดดเด่นมาก

    ติดขัดนิดหน่อยตรงช่วงกลาง(ช่วงกลางเรื่องเป็นส่วนที่ผมต้องกลับมาอ่านเป็นครั้งที่สองและสาม แต่สำหรับเรื่องสั้นไซไฟ การกลับมาอ่านซ้ำรอบที่สองหรือสามสำหรับผมแล้วไม่ใช่เรื่องผิดหรือเลวร้ายแต่ประการใด) ดูเหมือนจะเร่งรัดบรรยายช่วงกลางเรื่องไปนิดหน่อยครับ ทำให้บทสนทนาดูห้วน ๆ ไปนิด แต่ก็ยังสามารถคุมแนวเรื่องได้ดี

    ตอนจบทำได้ดีมากเช่นกันครับ

    ปล. ชอบแนวคิดและปรัชญาการเมืองที่สอดแทรกเข้ามา ทำได้ไม่โดดออกมาจากเรื่อง และสอดประสานกันได้ดีครับ

  6. ขอบคุณครับ ช่วงกลางเรื่องคือช่วงที่ต่อสู้กันใช่หรือเปล่า ผมอ่านดูอีกครั้งรู้สึกว่ามันรวดเร็วไป
    และผมขออธิบายว่าทำไมกันต้องพูดกับเชอร์รี่เกี่ยวกับระบบ ที่กันต้องพูดก็เพราะการรีบู้ทเซลล์ของเชอร์รี่ต้องทำให้เชอร์รี่เชื่อมั่นและไว้ใจการรีบู้ท ไม่สามารถจับมานอนเฉยๆได้เพราะถ้าจับมาเข้าแคปซูลรีบู้ทเลยโดยไม่อธิบายให้เข้าใจการทำงานของระบบและไว้ใจการเข้าแคปซูลรีบู้ท การรีบู้ทจะไม่สำเร็จ ความทรงจำก่อนการรีบู้ทจะยังคงอยู่ เหมือนที่เกิดขึ้นกับเชอร์รี่ในตอนจบ
    และมีหลายอย่างที่กันโกหกเชอร์รี่ไว้ เช่น การโกหกเรื่องโลกแห่งความจริง ดอกเตอร์โฮวเฉิน และอื่นๆ แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเข้าใจการทำงานของระบบโดยรวม
    สมองมนุษย์ช่างซับซ้อนยิ่งนัก 555

    แต่สุดท้ายสิ่งที่ผมคิดไว้คือ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เชอร์รี่จะฟื้นขึ้นมาอยู่ในโลกความจริงเพราะว่าสิ่งที่เชื่อมต่อกับระบบมีเพียงสมองอย่างเดียว ร่างกายถูกย่อยสลายไปแล้ว แต่ยังต้องรีบู้ทเซลล์อยู่เพื่อให้เซลล์ยังสร้างงานต่อไป

    อ่อ ผมลืมไป หนังที่เป็นตัวจุดประกายการเขียนเรื่องนี้คือ inceptionที่ได้ดูอีกรอบตอนเรียนวิชาเลือกปรัชญา เกี่ยวกับและตรรกวิทยาเกี่ยวกับmetaphysicsที่เถียงกันเรื่องอะไรคือความฝัน อะไรคือความจริง ผมเลยแทรกเรื่องpolitics กับจริยศาสตร์ลงไปด้วยเลย 555

    ไว้เรื่องหน้าจะทำให้ดีขึ้นครับ

ใส่ความเห็น