เสียงดนตรีจากผู้มาเยือน
โดย: คุณวรากิจ เพชรน้ำเอก
(soft science fiction)(science fiction fantasy)
ไอ้หวลนั่งตากลมอยู่บนแคร่หน้าบ้าน มันมองดูพระจันทร์ที่ทอแสงนวลเย็นตาอยู่กลางฟากฟ้าเหนือยอดมะพร้าว คืนนี้พระจันทร์ดวงใหญ่กลมโตดีเหลือเกิน สายลมพัดเอื่อยๆทำให้รู้สึกสบายตัวจนอารมณ์ศิลปินแผ่ซ่านจับขั้วหัวใจ ไอ้หวลหยิบซอสามสายคันงามขึ้นมาและพรรณนาลำนำความรักอันอ่อนหวานผ่านสายซอด้วย
สำเนียงเสียงออดอ้อนแทบขาดใจ เสียงซอคงจะเลื้อยไปตามสายลมจนกระทั่งถึงห้องนอนของแม่นวลจนนางถึงกับนอนไม่หลับ เพราะรู้ว่าเสียงซอที่หวานเฉียบเช่นนี้จะเป็นฝีมือของใครอื่นไปไม่ได้นอกจากพี่หวลของนาง แต่แล้วเสียงซอของไอ้หวลก็ต้องขาดหายเป็นห้วงๆ ไอ้หวลเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่างด้วยความฉงน มันเป็นเสียงดนตรีแปลกแทรกเสียงซอของมันเบาๆ ฟังคล้ายๆว่ามันจะดังมาจากเบื้องบน
“ใครเล่นดนตรีแข่งกับเรา” ไอ้หวลนึกสงสัยอยู่ในใจ มันเองก็ฟังไม่ออกว่า มันเป็นเสียงเครื่องดนตรีชนิดไหนกันแน่ เพราะมันไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อน
เสียงดนตรีประหลาดฟังดูเศร้า ไอ้หวลรู้สึกว่าท่วงทำนองของมันฟังแล้วเหมือนคนคิดถึงบ้าน หรือคนที่จำใจต้องจากคนที่รักไปสู่แดนไกล มันหยิบซอขึ้นมาแล้วเล่นคลอตามไป สักครู่หนึ่ง เสียงดนตรีนั้นก็แผ่วลงเรื่อยๆจนกระทั่งเงียบเสียงไปเมื่อตอนใกล้รุ่ง
……………
แม่นวลตื่นมาใส่บาตรพระแต่เช้าตรู่ ไอ้หวลหิ้วตะกร้าใส่สำรับกับดอกบัวสำหรับถวายพระมายืนข้างๆเหมือนทุกวัน ถึงแม้มันกับแม่นวลจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่มันก็ต้องมาใส่บาตรกับสาวที่มันรักทุกวันไม่เคยขาด
“เมื่อคืนนี้พี่หวลเล่นซอหรือจ๊ะ…..เสียงช่างหวานเหลือเกินนะ ไม่รู้ว่าพี่หมายจะส่งเสียงซอนี้ไปถึงสาวบ้านไหน” แม่นวลแหย่ทันทีที่เห็นหน้าไอ้หนุ่มคนรัก
“โธ่!…..แม่นวลก็ พี่เล่นซอก็หวังฝากความคิดถึงของพี่ไปถึงหูแม่นวลของพี่นี่แหละ” ไอ้หวลกระซิบหวานใส่ด้วยกลัวว่าพระที่กำลังเดินมาใกล้จะถึงได้ยินเข้าจะตบะแตก
“แต่ฉันได้ยินดนตรีเศร้าๆแว่วๆมาจากไกลๆ ใช่พี่หวลด้วยหรือเปล่าจ๊ะ” แน่นวลเอ่ยถาม
“แม่นวลก็ได้ยินด้วยเหมือนกันหรือ พี่ก็สงสัยอยู่ว่าใครเป็นคนเล่น เพราะเสียงเครื่องดนตรีมันไม่คุ้นหูเอาเสียเลย” ไอ้หวลตอบพลางยกขันใส่ข้าวสวยให้แม่นวลตักข้าวใส่ในบาตรของหลวงพ่อที่ยืนเปิดฝาบาตรอยู่ตรงหน้า
……………
คืนนี้ไอ้หวลหยิบซอออกมาอีก มันชวนแม่นวลไปนั่งชมจันทร์ด้วยกันที่ใต้ต้นไทรริมแม่น้ำ เสียงซอช่างออเซาะและหวานจับจิตจนแม่นวลเผลอเอนตัวซบลงกับหัวไหล่ของไอ้หวล สายตาทอดลงสู่สายน้ำที่ไหลเอื่อยๆแล้วปล่อยใจให้ลอยไปกับแม่คงคาด้วยความเคลิบเคลิ้ม แต่เสียงดนตรีประหลาดก็ปลุกให้ทั้งสองคนต้องตื่นจากภวังค์แห่งความรัก เสียงซอหยุดกึก แม่นวลขยับตัวขึ้นมองหาที่มาของเสียงดนตรีที่ฟังดูโหยหาเหลือเกิน
“พี่หวล…..เสียงดนตรีนั่น…..” แม่นวลกระซิบเบาๆ
“ใช่…..มันฟังไม่เหมือนเครื่องดนตรีที่พี่รู้จักสักอย่าง” ไอ้หวลบอก
แม่นวลแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สว่างสลัวด้วยแสงจันทร์ เหนือกลุ่มเมฆที่ฟากโน้น ดวงไฟประหลาดเป็นรูปวงแหวนลอยนิ่งอยู่สูงลิบจนมองไม่เห็นรูปร่างจริงๆของมัน และดูเหมือนดวงไฟพวกนั้นจะกระพริบไล่แสงสีไปตามจังหวะของเสียงดนตรี แม่นวลขยับเข้ากอดไอ้หวลไว้แน่น ไอ้หวลจ้องมองดวงไฟนั้นไม่วางตา สักครู่หนึ่งดวงไฟเหล่านั้นก็สว่างนิ่งอยู่พร้อมๆกับเสียงดนตรีก็เงียบเสียงลงด้วย ไอ้หวลแน่ใจว่าเสียงดนตรีนั้นต้องมาจากดวงไฟประหลาดนั่นอย่างแน่นอน มันเอื้อมมือหยิบซอขึ้นมา แล้วบรรเลงเพลงซอด้วยหวังว่าคงจะสามารถสื่อสารกับอะไรก็ตามที่เล่นดนตรีอยู่บนท้องฟ้าในขณะนี้ได้ พลันเสียงดนตรีประหลาดก็ดังขึ้นอีก คราวนี้มันเลียนท่วงทำนองเพลงที่ไอ้หวลเล่นได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน คืนนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างล้อทำนองดนตรีกันตลอดทั้งคืนอย่างเพลิดเพลิน
“ท่านเป็นเทวดาหรือเปล่าจ๊ะพี่” แม่นวลถาม
“พี่ก็ไม่รู้…..นวล…..แต่ดูเหมือนท่านจะมาจากฟ้า ท่านอาจจะมาตามเสียงซอของพี่”
……………
ข่าวลือเรื่องที่ไอ้หวลเล่นซอเรียกเทวดาได้แพร่สะพัดไปทั้งหมู่บ้าน ทุกคนต่างอยากเห็นเทวดาขับกล่อมดนตรีเป็นขวัญหูขวัญตา จึงพากันคะยั้นคะยอให้ไอ้หวลเล่นซอเรียกเทวดาอีกครั้งในคืนนี้
ที่ลานดินกว้างภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างจูงลูกจูงหลานมานั่งล้อมวงกันแน่นขนัด แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็มากันหมดทั้งวัด คบเพลิงถูกจุดไว้รอบๆเพื่อให้แสงสว่าง ไอ้หวลนั่งอยู่บนแคร่ที่ตั้งไว้กลางลานพร้อมกับซอสามสายคู่ใจ ส่วนแม่นวลนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆไอ้หวล
เสียงซอสามสายพริ้วไหวขึ้นอีกครั้ง ไอ้หวลนั่งหลับตาพริ้มบรรเลงเพลงซออย่างสุดฝีมือ ไม่มีใครที่ได้ฟังสำเนียงซอในคืนนี้แล้วไม่รู้สึกขนลุกเกรียว ทุกคนเงียบกริบยิ่งทำให้เสียงซอของไอ้หวลยิ่งไพเราะจับจิต สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิดด้วยหวังจะได้เห็นการเสด็จลงมาของเทวดาจนกระทั่งเพลงซอของไอ้หวลจบลง บรรยากาศในหมู่บ้านตกอยู่ในความเงียบสงัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้แต่จิ้งหรีดเรไรหรือจั๊กจั่นก็พากันพร้อมใจกันเงียบเสียงลงด้วยอย่างน่าประหลาด ทุกคนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
ทันใดนั้น เสียงดนตรีประหลาดก็เริ่มแว่วมาแต่ไกล มันยังคงเป็นเสียงดนตรีที่เศร้าสร้อยเช่นเดิม เสียงอื้ออึงดังขึ้นเมื่อเมฆบนท้องฟ้าเริ่มปั้นป่วนราวกับทะเลคลั่งและแหวกออกเป็นวงกลมขนาดใหญ่ พลันอะไรบางอย่างที่เห็นเป็นเงาทมึนทะลุผ่านเมฆลงมาอย่างช้าๆพร้อมๆกับดวงไฟรูปวงแหวนที่สว่างวาบไล่สีสันวนไปรอบๆวงปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้ากลางลานและลอยต่ำลงมาจนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นแต่เพียงดวงไฟนั้น มันดูคล้ายกับมหาปราสาทที่วิจิตรตระการตาอย่างหาที่เปรียบมิได้ ขนาดของมันใหญ่โตอลังการราวกับเป็นนครแห่งเทพที่ประดิษฐานอยู่บนทิพย์ยานทรงกลมที่สร้างขึ้นจากโลหะแวววับจับตา ดวงไฟรูปวงแหวนไล่แสงหลากสีสันแพรวพราวอย่างตื่นตาตื่นใจ ทุกคนต่างตกตะลึงกับปรากฏการณ์ที่ได้พบเห็นในคืนนี้และพากันก้มกราบลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียง ไม่นานนัก มหาปราสาทจากสรวงสวรรค์ก็ลอยสูงขึ้นไปอยู่เทียมเมฆ และทะยานสูงขึ้นไปปะปนอยู่ในหมู่ดาวจนกระทั่งลับตาไป ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครได้ยินเสียงดนตรีประหลาดอีกเลยแม้แต่ไอ้หวลที่ยังคงเล่นซอรอผู้มาเยือนอยู่ทุกค่ำคืน
……………
นานมากเหลือเกินที่คนในหมู่บ้านจะได้ยินสำเนียงซออันหยดย้อยด้วยฝีมือของไอ้หวล ถึงแม้ว่าวัยของมันจะร่วงโรยไปมากจนรุ่นลูกรุ่นหลานเรียกกันว่าครูหวลกันทั้งบาง แต่ครูหวลก็ยังคงระลึกถึงเสียงดนตรีประหลาดที่เคยร่วมล้อเพลงกันยามค่ำคืน บัดนี้ร่างของครูหวลนอนสงบนิ่งอยู่บนเชิงตะกอน แม่นวลซึ่งบัดนี้ก็ชรามากแล้วยืนมองดูผัวรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเหลือเพียงความทรงจำครั้งยังหนุ่มสาว แต่แล้วเสียงดนตรีประหลาดที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีโอกาสได้ยินอีกก็แว่วมาเหมือนเมื่อครั้งครูหวลยังมีชีวิตอยู่ มหาปราสาทจากสรวงสวรรค์ที่ชาวบ้านเรียกกันขนาดใหญ่โตราวขุนเขาลอยนิ่งอยู่เหนือร่างของไอ้หวล ดวงไฟรูปวงแหวนไล่แสงแพรวพราวไปตามทำนองของดนตรีเหมือนเมื่อครั้งครูหวลยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ว่าคราวนี้ มันเป็นเสียงของซอสามสายที่บรรเลงเพลงรักอันเป็นที่โปรดปรานของครูหวลเมื่อสมัยเป็นหนุ่ม
แม่นวลพนมมือไหว้เพื่อนเก่าของครูหวลที่อุตส่าห์มาเยี่ยมเยือนเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ร่างอันไร้วิญญาณของครูหวล
“พี่หวล…..ท่านมาเยี่ยมแล้วนะจ๊ะพี่” แม่นวลกระซิบที่ข้างหูของครูหวล หยาดน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มและอาลัยรักไหลหยดลงปริ่มที่ดวงตาของครูหวล
เสียงดนตรีจากผู้มาเยือนเปลี่ยนท่วงทำนองเป็นเพลงเศร้าคล้ายกับจะแทนคำอำลาเพื่อนรักชั่วนิรันดร์
ลำแสงสีแดงเพลิงลำเล็กๆพุ่งลงมาจากตรงกลางยานจากสรวงสวรรค์นั้นมาที่ร่างของครูหวล ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็ลุกพรึ่บขึ้นท่วมร่างของครูหวลจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับมหาปราสาทจากสรวงสวรรค์ก็หายลับตาไปท่ามกลางความมืดสงัด……….
……………
พอดีเรื่องที่ส่งประกวด หลายๆเรื่อง เป็นเรื่องที่เน้นผลเชิงอารมณ์มากๆ
ประกอบกับเรื่องนี้เป็นตัวอย่างประกอบบทความ “คู่มือการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์” อยู่แล้ว
ก็เลยขออนุญาตลงประกบเรื่องสั้นส่งประกวดไปเลย
ประเด็นที่อยากจะชี้ให้เห็นคือ หากมุ่งหวังผลเชิงอารมณ์ จำเป็นต้องทิ้งช่วงเวลาในการเดินเรื่อง เพื่อสร้างโอกาสในการซึมซับของผู้อ่านนะครับ
แน่นอน นี่ไม่ใช่แนวทางที่เป็นข้อกำหนดตายตัว (แต่ถ้าใช้วิธีนี้ มักจะได้ผล)
หลายๆเรื่องที่มุ่งเน้นผลเชิงอารมณ์แต่กลับเลือกวิธีเดินเรื่อง(หรือผลักดันเรื่อง)ค่อนข้างเร็ว
จะยากที่จะได้ผลเชิงอารมณ์อย่างที่ต้องการ นะครับ
(แต่ถ้าทำได้ ก็จะถือเป็นข้อได้เปรียบยิ่งขึ้น เพราะความยากนั้นเอง)
ก็ลองฝึกฝีมือกันดู ครับ
กับอีกประเด็นคือ
วิธีที่จะสร้าง sci-fi fantasy ง่ายๆ ที่ไม่ต้องถึงกับ สร้างบริบทของทั้งจักรวาลขึ้นมา
ครับ
เรื่องนี้ไม่รู้เป็นอะไร
ผมอ่านแล้วน้ำตาซึม(เฉยเลย)
ชอบบรรยากาศ และการ วิธีการเล่าเรื่องครับ
เนิบๆช้าๆ แต่ได้ผลทางอารมณ์ (กับผมคนเดียวหรือเปล่าก็ไม่รู้)
ผมว่า “อารมณ์” ประมาณนี้ เป็นจุดแข็งของพี่วรากิจ เลยครับ
ขนลุก นี่มัน close encounter ภาคไอ้หวล อีหลี
ผมได้อ่านเรื่องนี้ครั้งแรกจากรวมเล่มเรื่องสั้นไซไฟของคุณวรากิจกับ สนพ.สยามอินเตอร์ฯ จำได้ว่าตอนอ่านครั้งแรกรู้สึกทึ่งที่คุณวรากิจสามารถเขียนเรื่องไซไฟโดยใช้ฉากง่ายๆที่เกิดในชนบทได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเรื่อง sci-fi ที่ได้อ่านจะมาแบบแนวอวกาศทะลุหลุมดำ หลุมขาว ไปโลกล้ำยุค สัตว์สายพันธุ์ประหลาดที่หนีจากห้องแลปไล่กัดหัวและจิ้มพุงผู้คน …. แต่เรื่องนี้เดินเรื่องไม่ซับซ้อนและได้อารมณ์ ชอบครับ…