เสียงครางประหลาดดังอยู่เหนือรถยนต์คันใหม่เอี่ยมของ ‘เจส’ นักธุรกิจหนุ่มซึ่งเขากำลังขับไปตามเส้นทางแสนเปลี่ยวและรกร้างสายหนึ่งในรัฐนิวเม็กซิโก เขาเริ่มได้ยินเสียงนั้นตั้งแต่เข้าเขตเมืองรอสเวลและดูเหมือนว่าเสียงประหลาดนั้นกำลังตามเขามาตลอดทางจนกระทั่งถึงผืนแผ่นดินอันเวิ้งว้างแห่งหนึ่ง เขาสังเกตเห็นแสงสว่างเจิดจ้าดวงหนึ่งลอยอยู่สูงจากรถยนต์ของเขาไม่มากนัก
แต่แล้วทันใดนั้น อยู่ๆรถยนต์ของเขาก็กลับเครื่องยนต์ไปเฉยๆทั้งๆที่เขาเพิ่งถอยรถคันนี้ออกมาจากโชว์รูมเมื่อวานนี้เอง แสงสว่างดวงนั้นพุ่งไปข้างหน้าแล้วลอยตัวนิ่งอยู่ห่างจากรถยนต์ของเจสเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น ทันใดนั้น ร่างของอะไรบางอย่างก็ปรากฏขึ้นพร้อมๆกับเกิดการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศซึ่งอยู่เบื้องหลังของร่างประหลาดนั้น มันดูไม่เหมือนบรรยากาศตามปกติที่ควรจะเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่าและสามารถมองไปได้ไกลจะสุดสายตา แต่บรรยากาศเบื้องหน้าของเจสกลับมองดูคล้ายกับม่านอากาศที่มีอาการสั่นไหวคล้ายเงาสะท้อนบนผิวน้ำ เขาได้เห็นแสงสว่างประหลาดดวงนั้นเคลื่อนผ่านม่านอากาศนั้นแล้วหายวับไปในที่สุด
เจสตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เขาจ้องมองสิ่งที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับและกำลังยืนขวางทางเขาอยู่ในขณะนี้ มันดูเหมือนร่างกายของมนุษย์ตัวเล็กๆขนาดเด็กอนุบาล 2 คนยืนนิ่งอยู่และกำลังจ้องมองมาที่เขาเช่นเดียวกัน ร่างนั้นมีสีเทา ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับร่างกายของมนุษย์แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ศีรษะของทั้งสองมีขนาดใหญ่โตผิดปกติไม่สมส่วนกับลำตัวขนาดเล็กที่ดูบอบบางราวกับจะปลิวหายไปได้ง่ายๆหากถูกกระแสลมพัดสักวูบ ทันใดนั้น มนุษย์ร่างสีเทาทั้งสองก็กลับหลังหัน ทั้งคู่ก้าวไปข้างหน้าแล้วหายเข้าไปในม่านอากาศนั้นเช่นเดียวกัน
เจสรีบเปิดประตูลงจากรถยนต์ทันทีแล้วเดินตรงไปยังที่ซึ่งร่างของมนุษย์สีเทาทั้งสองได้หายตัวไป เขาไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดทั้งสองหายไปทางไหน ทั้งๆที่สองข้างทางเป็นที่โล่งและกว้างไกลสุดสายตา ไม่มีทางที่ร่างทั้งสองนั้นจะหลบซ่อนหรือวิ่งหนีไปทางไหนได้เลยโดยที่เขาไม่เห็น
“มนุษย์ต่างดาว!”
เจสบอกกับตัวเอง เขาไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้เลยนอกจากว่ามนุษย์ตัวเล็กๆร่างสีเทาทั้งสองนั้นจะต้องเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน เขามองดูม่านอากาศที่สั่นไหวซึ่งอยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา เจสลองยื่นมือไปสัมผัสมันและพบว่ามือของเขาได้ทะลุผ่านเข้าไปในอะไรบางอย่างที่เย็นยะเยือก เขามองไม่เห็นมือของตัวเองเหมือนกับว่ามือของเขาได้หายเข้าไปในม่านอากาศประหลาดนั้นเช่นเดียวกับมนุษย์ร่างสีเทาทั้งสอง เจสตกใจและพยายามดึงมือกลับมา แต่ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างจากอีกด้านหนึ่งของม่านอากาศพยายามดึงร่างของเขาให้เข้าไปในนั้น มันเป็นแรงหรือพลังงานที่เขาไม่สามารถต้านทานได้เลยทั้งๆที่เขาพยายามต้านทานแรงดึงดูดประหลาดนั้นอย่างเต็มกำลัง
“ช่วยด้วย!”
เจสตะโกนลั่น แต่ในสถานที่อันเปล่าเปลี่ยวเช่นนั้น ไม่มีผู้คนหรือแม้แต่วัวสักตัวที่จะได้ยินเสียงร้องของความช่วยเหลือของเขา จนกระทั่งแรงดึงดูดลึกลับได้ดึงร่างของเจสหายเข้าไปในม่านอากาศประหลาดก่อนที่มันจะเลือนหายไปจากที่ตรงนั้น
เจสเหลียวมองดูรอบๆและพบว่าเขากำลังยืนอยู่ในสถานที่อันแปลกประหลาดแห่งหนึ่งซึ่งเขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นเนินเขาสูงที่ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างเต็มตา ท้องฟ้าที่นี่สีม่วงและก้อนเมฆสีชมพูอ่อนๆ รอบๆตัวเขาเหมือนเป็นเมืองอะไรสักอย่างที่มีสิ่งก่อสร้างรูปทรงล้ำยุคลอยอยู่กลางอากาศเต็มไปหมด โดยที่เบื้องล่างเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทุ่งหญ้าและผืนป่าอันกว้างไกลสุดสายตาและไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆอยู่เลย มันเป็นเมืองลอยฟ้าราวกับว่าเขากำลังอยู่ในฉากอันอลังการของนิยายวิทยาศาสตร์
“พระเจ้า!…เราอยู่ที่ไหนนี่?”
เจสตกตะลึง เขารู้สึกเหมือนฝันไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจริงเกินกว่าที่จะเป็นความฝัน เขาก้มลงหยิบก้อนหินที่พื้น เขามองดูมันและรู้สึกได้ถึงความขรุขระ ความแข็ง และความเย็นของก้อนหินในมือ เขาขว้างมันออกไปอย่างสุดแรง มันพุ่งตรงไปไกลก่อนที่จะโค้งตกลงสู่แผ่นดินเบื้องล่าง
เขาเงยหน้าขึ้นมองสิ่งก่อสร้างที่ลอยนิ่งอยู่เหนือศีรษะ มันดูเหมือนตึกระฟ้าที่ตั้งอยู่บนสถานีอวกาศรูปวงแหวนและมีเสาโลหะมากมายทั้งสั้นและยาวเรียงรายอยู่รอบๆขอบของวงแหวนยักษ์และกลางโดมข้างใต้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวงแหวน
ทันใดนั้น แสงสว่างดวงหนึ่งพุ่งออกมาจากอาคารลอยฟ้าตรงมายังที่ซึ่งเขายืนอยู่จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา มันมีขนาดพอๆกับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่และเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า หากแต่แสงสว่างนั้นกลับไม่รบกวนสายตาของเขาเลยในขณะที่จ้องมองดูมัน เขาได้เห็นแสงสว่างนั้นค่อยๆเลือนหายไปและกลายเป็นวัตถุทรงกลมแบนที่หมุนรอบตัวเองปรากฏขึ้นแทนที่ มันดูเหมือนจานบินของมนุษย์ต่างดาวที่มีผู้คนมากมายเคยพบเห็นไม่มีผิด ลำแสงสีเงินสองลำพุ่งออกมาจากจานบินนั้นแล้วกลายเป็นร่างของมนุษย์สีเทาตัวเล็กๆสองคนยืนอยู่ห่างจากเขาไม่มากนัก ดวงตาดวงโตสีดำสนิทรูปทรงยาวรีเฉียงขึ้นด้านบนของศีรษะขนาดใหญ่และไร้ใบหู รูจมูกเล็กและไม่มีดั้งอย่างมนุษย์โลก ปากซึ่งไร้ริมฝีปากบางเฉียบเป็นเส้นตรงคล้ายเป็นเพียงรอยผ่าบนใบหน้าเท่านั้น
“มนุษย์ต่างดาว!…พวกเขาอยู่ในโลกของเรานี่เอง”
เจสพึมพำเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว”
เสียงจากมนุษย์ร่างสีเทาคนหนึ่งพูดกับเจส เสียงนั้นแหลมเล็กแต่ชัดเจน มันไม่เหมือนเสียงที่เปล่งออกจากปากอย่างเสียงพูดทั่วไป น่าแปลกที่เขาไม่ได้ยินเสียงนั้นผ่านทางหูทั้งสองข้าง แต่มันเหมือนกับเสียงที่ดังมาจากความคิดของตัวเขาเอง
“ท่านเป็นใคร?”
เจสถาม
“เรามาจากดวงดาวซึ่งไกลจากโลกของท่านมาก”
มนุษย์ร่างสีเทาตอบกลับมาในทันที มันเป็นการสนทนาที่แปลกประหลาดอย่างมากคล้ายการสื่อสารกันทางโทรจิต
“ที่นี่คือดวงดาวของพวกท่านหรือครับ?”
เจสถามอีก
“ถูกต้อง ที่นี่คือดาวอัลดารา มันอยู่ในจักรวาลอีกจักรวาลหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากจักรวาลของท่าน ยานพาหนะของพวกท่านไม่สามารถเดินทางมาถึงดวงดาวของเราได้”
“แต่ผมกำลังอยู่บนดวงดาวของท่านนี่ครับทั้งๆที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ผมยังอยู่บนโลกของผม ผมเดินทางมาที่นี่ภายในพริบตาได้ยังไงครับ?”
“ท่านได้ข้ามผ่านชายแดนแห่งมิติ”
มนุษย์ร่างสีเทาบอก
“ชายแดนแห่งมิติ?” เจสไม่เคยได้ยินคำๆนี้มาก่อนแต่เขาพอจะเดาได้ว่า มันก็คือสิ่งที่ดูเหมือนกับม่านอากาศที่สั่นไหวนั่นเอง
“ใช่ มันคือมิติที่หกซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับดวงดาวทุกดวงในจักรวาล มันคือมิติที่ไร้ซึ่งกาลเวลา”
“มิติที่ไร้ซึ่งกาลเวลา?”
เจสรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น
“ในมิติของท่าน มนุษย์ไม่สามารถเดินทางข้ามพ้นกาลเวลาได้ กาลเวลาคือกำแพงที่ขวางกั้นมนุษย์ออกจากจักรวาลอื่นๆ”
“พวกท่านจึงสามารถเดินทางมายังโลกของผมได้ตลอดเวลานับพันๆปีมาแล้วโดยผ่านมิติที่หก” เจสพอเข้าใจอะไรขึ้นบ้าง
“ก่อนหน้านั้นอีก เราเคยเฝ้าดูการก่อกำเนิดโลกของท่านตั้งแต่มันยังเป็นเพียงกลุ่มหมอกเพลิงในอวกาศ”
“นั่นมันกว่าสี่พันล้านปีมาแล้ว!”
“ใช่ เราติดตามเฝ้าดูวิวัฒนาการของพวกท่านนับตั้งแต่ชีวิตแรกได้ปฏิสนธิขึ้นบนดวงดาวของท่าน”
ราวกับสมองของเจสหมุนติ้ว มันตื้อไปหมดในตอนนี้ สิ่งที่เขาได้ยินจากมนุษย์ร่างสีเทามันเหมือนกับว่าเขากำลังได้ฟังตำนานแห่งการกำเนิดจักรวาลเลยทีเดียว เขาเริ่มสงสัยว่า สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินอยู่เวลานี้ มันเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่
เจสหลับตาลงและหวังว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาจะพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนที่นอนอันแสนนุ่มในห้องนอนอันเย็นฉ่ำของเขา แต่แล้วเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขากลับพบว่า เขากำลังอยู่ในอะไรสักอย่างที่ดูแปลกประหลาดและล้ำยุค
“ผมอยู่ที่ไหน? ผมมาอยู่ในนี้ได้ยังไง?”
เขาถามด้วยความสงสัย
“ในยานของเรา” มนุษย์ร่างสีเทาตอบ “ท่านคงรู้จักดาวดวงนั้น”
มนุษย์ร่างสีเทาชี้ให้เจสดูดวงดาวดวงหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก มันเป็นดวงดาวที่เจสค่อนข้างคุ้นตาจากการได้เห็นจากภาพถ่ายและในภาพยนตร์สารคดีที่เผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง
“ดาวอังคาร!…” เจสถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นดวงดาวซึ่งได้ชื่อว่าเทพเจ้าแห่งสงครามปรากฏอยู่ตรงหน้า มันเป็นดวงดาวที่มนุษย์คาดหวังว่าจะพบสิ่งมีชีวิตบนนั้น “พระเจ้า!…ยานของท่านสามารถเดินทางได้รวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? มันต้องเร็วเท่าความคิดแน่ๆ”
“เมื่อไม่มีกาลเวลา จักรวาลก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก”
มนุษย์ร่างสีเทาบอก
“ผมหวังว่าสักวันหนึ่ง ชาวโลกจะสามารถเดินทางไปยังดวงดาวดวงไหนก็ได้ในจักรวาลเช่นเดียวกับพวกท่าน”
อีกพริบตาหนึ่ง ดวงดาวอีกดวงก็ปรากฏขึ้นแทนที่ดาวอังคาร
“นั่นมันดาวพฤหัสนี่!…” เจสตะลึงกับดาวเคราะห์ก๊าซดวงมหึมาซึ่งแต่งแต้มสีสันด้วยแถบเข็มขัดก๊าซอันตระการตาและดวงตาสีส้มที่เกิดจากพายุอันปั่นป่วนในบรรยากาศของมัน
แล้วภาพภายนอกยานอวกาศก็เปลี่ยนไปอีก คราวนี้มันคือภาพของอาณาจักรแห่งดวงดาวอันมหาศาลซึ่งส่องสว่างเรืองรองอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของอวกาศ เจสรู้ได้ในทันทีว่า มันคือดาราจักรหรือแกแล็กซี่รูปกังหันที่ประกอบด้วยดวงดาวนับแสนล้านดวง
“นี่คือดาราจักรที่คล้ายกับดาราจักรทางช้างเผือกของท่าน ท่านเรียกมันว่า แอนโดรเมดา”
“แอนโดรเมดา โอ!…ไม่น่าเชื่อ ผมคงเป็นมนุษย์คนแรกและคนเดียวที่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง”
เจสจ้องมองแอนโดรเมดาอย่างตะลึงงัน มันเป็นภาพที่ทั้งงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการ และมหัศจรรย์ในเวลาเดียวกัน และมันหมายความว่า ขณะนี้ เขาได้เดินทางพ้นออกมาจากดาราจักรทางช้างเผือกและอยู่ห่างจากโลกกว่าสองล้านปีแสงทีเดียว มันเป็นระยะทางที่แสนไกลเกินกว่าที่จะสามารถจินตนาการได้ เขาเริ่มรู้สึกสนุกสนานกับการเดินทางข้ามจักรวาลไปยังดวงดาวต่างๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น มันเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ ดูเหมือนว่ามนุษย์ร่างสีเทาจะล่วงรู้ถึงความคิดของเขา
“เราจะพาท่านกลับไปยังโลกของท่าน”
มนุษย์ร่างสีเทาคนหนึ่งบอกกับเจส
“กรุณาอย่าเพิ่งพาผมกลับไปเลยครับ มีหลายอย่างเกี่ยวกับจักรวาลที่ผมจะต้องเรียนรู้อีกมาก”
เจสอ้อนวอน
“ท่านคงยังไม่รู้ว่า กาลเวลาเพียงชั่วพริบตาในมิติที่หก มันคือระยะเวลาอันยาวนานในมิติของท่าน ท่านจะต้องกลับก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
มนุษย์ร่างสีเทาอีกคนหนึ่งกล่าวกับเจส แต่ดูเหมือนว่าเจสจะไม่รับฟังเหตุผลใดๆอีกแล้ว
“ยังไงเสีย ผมก็จะไม่ยอมกลับไปอย่างเด็ดขาด” เจสยืนยัน
ยานอวกาศกลับมายังดาวอัลดาราอีกครั้งหนึ่ง และแล้ว มันก็ได้หายไปรวมทั้งมนุษย์ร่างสีเทาทั้งสองด้วย ทันใดนั้น แรงดึงดูดลึกลับที่เคยพาเขาผ่านมิติที่หกมายังดวงดาวดวงนี้ก็ได้ผลักร่างของเขาให้ผ่านม่านอากาศที่สั่นไหวอีกครั้ง เจสพบว่า ขณะนี้ เขาได้กลับมายังถนนสายเปลี่ยวอีกครั้ง เขาพยายามมองหาม่านอากาศซึ่งเป็นทางผ่านระหว่างสองมิติอีกครั้ง แต่ม่านอากาศนั้นได้หายไปแล้ว ไม่มีอากาศที่สั่นไหวเหมือนเงาสะท้อนบนผิวน้ำ ไม่มีแรงดึงดูดที่จะพาร่างของเขาไปยังดาวอัลดาราได้อีก
รถยนต์ของเจสยังคงจอดอยู่ที่เดิมเหมือนตอนที่เขาจากมันไปในมิติอันเร้นลับ เขาเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งอย่างผิดหวังที่ไม่อาจท่องเที่ยวไปในจักรวาลได้อีก แต่แล้วเจสก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม เจสมองดูแขนและมือของตัวเอง เขาสะดุ้งเฮือก เขาชะโงกดูใบหน้าของตัวเองในกระจกส่องหลัง
“โอ!…ม่ายยยยย…..”
เจสกรีดร้องลั่น
ภาพที่เขาเห็นในกระจกก็คือ…..ภาพใบหน้าของชายชราซึ่งมีผิวหนังอันเหี่ยวย่นและซูบผอมกับเบ้าตาที่ลึกโบ๋ เส้นผมที่เคยดกดำบนศีรษะกลับขาวโพลนและหลุดร่วง
…..นัยน์ตาของเจสเบิกโพลง…..
…..เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกดังโหยหวนขึ้น…..
…..เพียงไม่กี่นาทีแห่งความมหัศจรรย์ในมิติที่หก…..
…..มันได้ขโมยกาลเวลาของเขาไป…..จนหมดสิ้น…..
ขออภัยครับ หายหน้าหายตาไปนาน ลองอ่านลองวิจารณ์ดูนะครับ
วรากิจ
😀
มิกล้า ครับ
เข้ามาลงชื่อด้วยครับ เรื่อง “กาล-อวกาศ-มิติ” นั้นเป็นเรื่องที่สามารถเล่นได้ทั้งเนื้อหา มุมมอง แนวคิด และการหักมุมตอนจบให้คนอ่านได้ลุ้นดีครับ อ่านแล้วลื่นไหลดีครับ
อ่านจบแล้วนึกถึงนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น “อุราชิมาทาโร่” ที่ไปอยู่ในปราสาทใต้ทะเลแล้วพอกลับขึ้นมาเวลาก็ผ่านไปสามร้อยปี ส่วนตัวเองก็กลายเป็นคนแก่ไปในตอนจบครับ