ผมกับคู่หูยืนอยู่หน้าประตูรั้วคร่ำคร่าขาดการดูแล บานพับมีตะไคร่จับและเหมือนกับว่ามันพร้อมจะหลุดลอยไปตามกระแสลมที่พัดแม้เพียงแผ่วเบา มองเข้าไปในสนามหน้าบ้านเห็นต้นไม้รกครึ้มบดบังหน้าต่างจนแทบมองไม่เห็นภายใน ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่แต่ก็เล็กน้อยเต็มที อาจเป็นเงาของต้นไม้ก็ได้
“กดกริ่งสิ” คู่หูของผมพูดย้ำหลังจากผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เด็กชายวัยสี่หรือห้าขวบเปิดประตูบ้านช้า ๆ เดินเท้าเปล่ามาที่ประตูรั้วและแง้มออกเล็กน้อยหลังจากผมกดกริ่งเรียก สีหน้าของเขาเรียบเฉย
“สวัสดีจ๊ะ เจ้าของบ้านอยู่ไหมหนู ?” ผมถาม
“อยู่ในบ้านครับ” เด็กน้อยตอบ นัยน์ตาของเขาดูเลื่อนลอย จ้องหน้าผมกับคู่หูสลับไปมาแต่เหมือนจะมองผ่านไปยังท้องฟ้าสีขุ่นเบื้องหลัง
“ขอเข้าไปในบ้านได้ไหม ?” คู่หูของผมถาม
เด็กชายไม่ตอบ เขาเปิดประตูค้างเอาไว้และเดินเข้าไปในบ้าน ผมกับคู่หูมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งและเราตัดสินใจว่านั่นไม่ใช่การปฏิเสธ
เราเดินตามเด็กชายเข้าไป บ้านเป็นห้องโถงใหญ่ มุมหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่น อีกด้านเป็นมุมประกอบอาหารที่มีโต๊ะและเก้าอี้สองตัว เด็กชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มีประตูบานหนึ่งที่คงจะต่อเชื่อมไปทางหลังบ้านปิดอยู่ ทุกอย่างในห้องดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เว้นแต่ฝุ่นที่จับตัวหนาไปทุกที่ ทั้งขอบหน้าต่าง ที่เฟอร์นิเจอร์ ชั้นวางของ และทุกส่วนในห้อง ยกเว้นตำแหน่งที่เด็กคนนั้นนั่ง เขานั่งนิ่งหันมามองที่พวกผมสองคนอย่างไร้จุดหมาย คู่หูของผมดูเป็นกังวล เขาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป
“เจ้าของบ้านอยู่ไหนละหนู ?”
“คุณ พ่อหลับอยู่ในห้องนอนครับ”
เพื่อนของผมถือวิสาสะเดินไปที่ประตู ด้านหลัง ไม่ฟังเสียงคัดค้านของผมที่พยายามบอกให้เขารออีกสักครู่ เขาเปิดประตูแล้วเดินหายเข้าไปสักครู่ ทิ้งให้ผมกับเจ้าหนูจ้องหน้ากันเงียบ ๆ จากนั้นไม่นานเขาค่อย ๆ เดินถอยหลังอกมาช้า ๆ ใบหน้าตื่นตระหนกสุดขีด ค่อย ๆ ถอยมาจนเกือบจะชนเก้าอี้ที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่ เหมือนเขาจะสังเกตเห็นจากหางตา เขาถอยห่างจากเด็กชายและมองไปที่ใบหน้าเรียบเฉยนั้นอย่างหวาดกลัว
ผมเดินเข้าไปหา แตะที่แขนของเขาเบา ๆ “เป็นอะไร ?”
เขาหันมาหาผม แล้วเบือนสายตาไปในห้องด้านหลังช้า ๆ ผมมองตามไป ในห้องมีโครงกระดูกวางอยู่บนเตียงเล็ก ๆ บางส่วนของมันมีผ้าห่มผืนเก่าคลุมอยู่ กะโหลกกลมเกลี้ยงหนุนอยู่บนหมอน รูกลมลึกของกระดูกเบ้าตาสองรูหันมองมาทางประตู มันดูว่างเปล่าเหมือนนัยน์ตาของเด็กชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ผิดเพี้ยน
………………..
เขาฉุดผมมาที่มุมตรงข้ามกับเด็กชาย สูดหายใจลึกรวบรวมสติ กระซิบกับผมเบา ๆ แต่จ้องมองไปที่เด็กน้อยไม่วางตา
“มีคำอธิบายดี ๆ บ้างไหม ?”
ผมพยายามกลืนน้ำย่อยรสเปรี้ยวที่ท้นมาถึงลำคอด้วยความยากลำบาก สมองหมุนติ้วและเริ่มปวดหัวตุ๊บ ๆ ส่ายหัวไปมาเพราะตรรกะทั้งหลายที่ขัดแย้งกันกำลังต่อสู้กันอยู่ข้างใน ย้อนกลับไปคิดถึงสาเหตุที่พาพวกเราสองคนเดินทางดั้นด้นมาที่นี่…
“เรามาทำอะไรที่นี่ ?” ผมถาม
คู่หูกระตุกสายตามองกลับมาที่ผม เหมือนกับจะระเบิดอารมณ์เข้าใส แต่เขาคงรู้สึกถึงความตึงเครียดและรู้ว่าผมไม่ได้ถามด้วยอารมณ์ประชดประชัน เขาหยุดคิดชั่วครู่และบอกข้อมูลที่เราทั้งสองรู้กันอยู่แล้ว
“ทนายบริษัทส่งเรามาหาท่านประธานเพราะมีเรื่องต้องให้ท่านตัดสินใจเอง หน้าที่เราคือเอาหนังสือมาให้ท่าน รอรับบันทึกการตัดสินใจแล้วก็กลับ… ใครจะคิดว่ามาเจอศพแบบนี้” ประโยคสุดท้ายเหมือนเขาจะพูดกับตัวเอง
“งั้นก็โทรไปถามบริษัทว่าจะเอาอย่างไร หรือไม่ก็แจ้งตำรวจแล้วค่อยโทรไปบริษัทก็ได้” ผมเสนอความคิดเห็นแบบเหวี่ยงแห หวังให้เขาทำอะไรสักอย่างแล้วเราจะได้ออกไปจากที่นี่กันเสียที
“แล้วเด็กนั่นล่ะ ไม่แปลกใจหรือว่าเด็กนั่นอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไรตั้งนาน… นานแค่ไหนกว่าคนตายจะเน่าจนเหลือแต่กระดูกอย่างนั้น ?”
“คงเป็นปี หรือไม่ก็หลายปี” ผมเดา
“เด็กนั่นไม่ใช่คน” คู่หูของผมตอบ คราวนี้สายตาที่เขามองดูเด็กคนนั้นดูแข็งกร้าวขึ้น
………………..
เราย้ายไปนั่งข้างเด็กชาย ผมยึดเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่าง ส่วนเขานั่งย่อเข่าลงข้าง ๆ
“นี่หนู คุณพ่อหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ?”
“ตั้งแต่เมื่อวานครับ” …เป็นไปไม่ได้ ผมหันไปมองคู่หู เรื่องนี้เขาเชี่ยวชาญมากกว่าผม น่าจะหาคำตอบดี ๆ ได้
“ไม่แปลก ไอ้หนูอาจถูกสอนมาแบบนี้” เขาเปรยขึ้นมา จากนั้นหยุดชั่วครู่แล้วพูดกับผม “มีความจำบางเรื่องอยู่ติดตัว แต่พอหลับแล้วตื่นขึ้นมาเช้าวันต่อไปก็ถูกลบความจำที่เรียนรู้มาเมื่อวานไป หรือไม่ก็ใช้ชีวิตตามกิจวัตรประจำวันแบบไม่ต้องเรียนรู้อะไร พอตื่นขึ้นมาก็จะเจอเช้าวันเดิมทุกครั้ง”
“เช้านี้กินข้าวกับอะไรละหนู ?” เขาถามอีกคำถาม ดูท่าทางเป็นกันเองมากขึ้น
“ยังไม่ได้กินอะไรครับ ต้องรอพ่อตื่นมาทำกับข้าวให้”
“แล้วตอนที่รอพ่ออยู่ หนูทำอะไรบ้าง ?”
“นั่งรอที่โต๊ะกินข้าวครับ” เพื่อนคู่หูของผมมีแววตาสลดลง เขาก้มหัวลงเล็กน้อย ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังจะร้องไห้
“เจ้านี่ตื่นขึ้นมานั่งรอพ่ออยู่ที่เก้าอี้ตัวนี้ทุกวันมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ คงจะนั่งรอตั้งแต่เช้าถึงเย็น จากนั้นก็ไปนอน แล้วก็ตื่นขึ้นมานั่งรอที่เดิม”
ไม่ผิดแน่ ฝุ่นผงเต็มห้องกับสนามหน้าบ้านเป็นหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้
โทรศัพท์มือถือของผมดัง มันขึ้นหมายเลขของสำนักงานใหญ่ ระหว่างที่ผมรับโทรศัพท์นั้นคู่หูของผมเดินไปสำรวจที่ห้องด้านหลัง เขากลับมาพร้อมกับที่ผมวางสาย
………………..
“สำนักงานใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง ?” คู่หูถาม
“กำลังแจ้งตำรวจให้มาตรวจสถานที่กับให้คนมาระบุตัวบุคคล ทางโน้นบอกว่าท่านประธานไม่ติดต่อเข้าสำนักงานมาสามปีกว่าแล้ว ปกติจะบริหารผ่านทีมงานแล้วก็ให้ตัวแทนธุรกิจตัดสินใจไป ถ้าไม่มีเรื่องควบรวมกิจการก็คงไม่ต้องส่งพวกเรามาวันนี้” ผมอธิบายรวบรัดเท่าที่จะบอกได้ คิดอยากไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด
“นับดูแล้วช่วงที่ท่านตายก็คงประมาณนั้นแหละ” คู่หูผมเหลียวไปมองในห้องนอนอีกครั้ง “น่าแปลกนะที่คนมีเงินขนาดนี้กลับมาใช้ชีวิตเงียบเหงาอยู่ตัวคนเดียว แทบไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรเลย”
“พวกทีมงานกับตัวแทนธุรกิจนี่ก็แปลกพิลึก ทำเงินให้คนตายอยู่ได้ตั้งหลายปี” ผมเสริม
“ตราบใดที่ยังได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ทำกันต่อไป ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่แน่ว่าท่านประธานอาจต้องการแบบนี้ก็ได้” เขาพูดพร้อมกับมองไปที่เด็กชายตัวเล็ก “หนูเปิดประตูให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านแบบนี้ไม่ดีนะ”
“พ่อบอกว่าถ้าพ่อไม่อยู่ห้ามเปิดประตูรับคนแปลกหน้าครับ” เด็กชายตอบ ก็สมเหตุสมผลดี เขาเปิดประตูรับพวกเราสองคนเพราะพ่อยังนอนหลับอยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรที่ผิดตรรกะ
………………..
“กลับกันเถอะ ?” ผมเร่งเร้า
“แล้วไม่ต้องรอตำรวจหรือ ?”
“กลับได้เลย บริษัทจะเคลียร์กับตำรวจเอง”
เด็กน้อยยังนั่งอยู่ที่เดิม …ถ้าพ่อยังไม่ตื่นนอนเขาก็ยังจะไม่ไปไหน ไม่สนใจบทสนทนาที่ระเบิดโลกของเขาออกเป็นเสี่ยง ๆ
“แล้ว…” ผมทิ้งคำพูดไว้แต่เหลือบตาไปมองเด็กชาย
“ที่เตียงเด็กมีเครื่องชาร์ทประจุอยู่ มันจะชาร์ทพลังให้ทุกคืนตอนที่เด็กไปนอนเตียง ผมปิดมันไปแล้ว” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไม่ทิ้งร่องรอยของอารมณ์พลุ่งพล่านตอนแรกอยู่เลย
จะไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเด็กชายอีกต่อไป………..
………………..
เราจากดาวดวงนั้นมาในที่สุด ดาวโดดเดี่ยวอันเป็นสมบัติส่วนตัวชิ้นสุดท้ายของอดีตมหาเศรษฐีผู้ปลีกตัวออกจากสังคม ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขา “เลี้ยง” หุ่นยนต์เด็กไว้ตัวหนึ่ง อาจเพื่อชดเชยความเหงาในวัยชรา หรืออาจเพราะเขาเคยสูญเสียใครคนหนึ่งไป ช่างมันเถอะ ไม่มีใครเหลือให้โศกเศร้าเสียใจกับมันอีกต่อไป
ช่องว่างของสังคม
คนแปลกหน้าที่อยู่ข้างบ้าน
ญาติใกล้ชิดที่ไม่เคยรู้จักกัน
วิถีชีวิตยุคใหม่ที่ถูกถ่างกว้างออกไปถึงในจักรวาล
เป็นเรื่องแนวหุ่นยนต์ที่ใช้ได้เลยครับ
ขอบคุณครับ ผมเขียนเรื่องนี้สั้น ๆ เพราะรู้สึกว่าทุกวันนี้คนเราต่างคนต่างอยู่กันมากเกินไป นึกถึงนิยาย The Naked Sun ของไอแซค อาซิมอฟ ที่ถ่ายทอดภาพในมุมกลับ ก็เลยเขียนเื่รื่องสั้นเรื่องนี้ขึ้นมาครับ