22.
ไอรอนไม่ใส่ใจการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นภายนอกห้องทำงานของเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้รับชัยชนะ หรือพ่ายแพ้ ล้วนไม่มีความหมาย การต่อสู้ด้วยกำลังแสดงออกถึงความป่าเถื่อน และเธอไม่เคยยอมรับในวิธีการเช่นนั้น สิ่งเดียวที่เธอสนใจ คือการปกป้องมวลมนุษยชาติ ให้ดำรงค์อยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน
ที่รบกวนจิตใจของเธออยู่บ้าง คือการจากไปของทริก กับทรีด ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าสักวันมันต้องมาถึง แม้จะคิดว่าตนเองคงมีแค่ความเสียดายในฝีมือของทั้งสอง แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันมีความรู้สึกอย่างอื่นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ทั้งสามคนอยู่ร่วมกันมาพักใหญ่ และเธอรู้สึกใจหายที่ต้องสูญเสียสองคนนั้นไป
เพชรสีเหลืองเม็ดเล็กๆ ที่ทรีดแอบยื่นส่งให้ และกำลังส่องประกายอยู่ในอุ้งมือของเธอนี้ ไม่มีคุณค่าความหมายใดๆ เลย สิ่งที่เธอต้องการอย่างแท้จริง คือกลุ่มข้อมูลที่เก็บซ่อนอยู่ในผิวที่แข็งแกร่งของมัน ข้อมูลที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายโบราณ ให้ต้องมีการบันทึกลงไป
มันคือข้อมูลสำหรับบ่งบอกที่มาของเพชรแต่ละเม็ด ว่าถูกสร้างขึ้นจากบุคคลที่อ้างจริงหรือไม่ ข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้อย่างไม่ผิดพลาด นั่นหมายถึงในกรณีที่มีข้อมูลมาใช้เปรียบเทียบ ซึ่งในยุคสมัยที่การสร้างเพชรแบบนี้ได้รับความนิยมแพร่หลาย คงถือเป็นข้อมูลบุคคลขั้นพื้นฐานประเภทหนึ่ง
ข้อมูลที่ถูกเก็บเอาไว้ภายในเซลทุกเซล นอกจากเม็ดเลือดแดงที่เติบโตเต็มที่แล้วของมนุษย์แต่ละคน รหัสของดีเอ็นเอทั้งหมดที่ถูกเรียกว่า จีโนม
เธอใส่เพชรเข้าไปในเครื่องมือเล็กๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้อ่านข้อมูลนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเตรียมรอไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตัวอักษร A T C และ G ซึ่งเป็นตัวแทนลำดับเบสของนิวคลีโอไทด์ในดีเอ็นเอเริ่มหลั่งไหลออกมา ‘มันมีอยู่ประมาณสามพันกว่าล้านตัว นั่นคงต้องรออีกสักพัก’
รหัสตัวอักษรเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าสู่ระบบของสำนักงาน เพื่อใช้ในการเปิดผนึกที่ชายคนนั้นได้สร้างเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว และเธอยังไม่รู้เหตุผลว่า ทำไมเขาถึงจำเป็นต้องใช้มัน แต่เมื่อไรที่มันถูกเปิดออก ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นี้ ก็จะได้รับการแก้ไขในทันที การเชื่อมต่อระหว่างสำนักวิทยาศาสตร์ กับฐานดวงจันทร์ที่ถูกระงับไว้ ก็จะกลับคืนเป็นดังเดิม
ศาสตราจารย์ จันทร์ ดุริยดารา เป็นผู้ดูแล ฐานดวงจันทร์ การค้นพบครั้งใหญ่ที่ถูกยกให้เป็น การฟื้นฟูโลก เพราะมันคือแหล่งพลังงานสำคัญเพียงแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ และอาจเป็นแหล่งสุดท้ายของมนุษยชาติทั้งมวล
พลังงานที่ได้จากการเปลี่ยน แสง ให้กลายเป็น ไฟฟ้า โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า โฟโต้อิเลคทริคเซล หรือที่รู้จักกันในชื่อ โซล่า เซล ซึ่งถูกทิ้งเอาไว้บนดวงจันทร์มาตั้งแต่ในอดีต สถานที่ซึ่งพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์จะไม่ถูกลดทอนโดยการสะท้อน หรือดูดซับโดยชั้นบรรยากาศเหมือนกับบนพื้นผิวโลก
ไฟฟ้าที่ผลิตได้ จะถูกส่งลงสู่สถานีรับบนพื้นโลกในรูปแบบของคลื่นไมโครเวฟ และทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่แต่อย่างใด มันคือสิ่งที่เคยมีอยู่แล้ว ในช่วงเวลารุ่งเรืองที่สุดแห่งมนุษยชาติ มันคือพลังงานอันไร้ขีดจำกัด แต่ถึงอย่างนั้น ในท้ายที่สุด มนุษย์ก็ยังคงเลือกที่จะก้าวเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งหายนะอยู่ดี
ราวกับว่ามนุษยชาติถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ พร้อมกับจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการทำลายล้างทุกสิ่ง รวมถึงเผ่าพันธุ์ของตนเอง
เมื่อได้พลังงานกลับคืนมาอีกครั้ง ยุคมืดที่สุด จึงสิ้นสุดลง ไฟ ในอดีตอันไกลโพ้น ได้เคยทำให้มนุษยชาติได้พบกับความเจริญก้าวหน้า เหมือนกับการค้นพบพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ในเวลาต่อมา และพวกมันทั้งหมดก็เป็นเช่นเดียวกัน คือสามารถให้ทั้งคุณ และโทษ โดยขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เอง
“ทำไมคุณถึงต้องติดตั้งระบบตัดการเชื่อมต่อฉุกเฉินเอาไว้ด้วย ฉันไม่เห็นความจำเป็นเลยสักนิด”
ครั้งนั้นเธอเคยถามเขา เพราะนึกไม่ออกว่า จะมีสถานการณ์ใดที่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น สิ่งที่ควรทำ คือเพิ่มระบบสำรองเพื่อช่วยให้สามารถคงการเชื่อมต่อเอาไว้มากกว่า แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะความรู้บางอย่างได้สูญหายไป และคงอีกนาน กว่าที่จะสามารถรื้อฟื้นพวกมันกลับคืนมาได้หมด
“คุณไม่มีวันรู้ ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีกว่า”
และเขาตัดสินใจใช้มัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใช้มัน โดยกำหนดรหัสผ่านให้เป็นจีโนมของตนเอง อีกทั้งยังส่งมอบร่างกายที่ซุกเก็บรหัสนั้นเอาไว้ ให้กับทางศาสนจักรเพื่อเผาทำลายให้สูญสิ้นไป ซึ่งไม่ต่างจากการบอกลาแหล่งพลังงานสุดท้ายนี้ไปตลอดกาลสักเท่าไร
โชคดีที่ยังมีเพชรซึ่งบรรจุรหัสจีโนมของเขาเอาไว้หลงเหลืออยู่ ‘เขาเสียสติไปแล้วหรือไงกัน’ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เธอพอจะนึกออก
“สวัสดีค่ะ”
เสียงทักทาย พร้อมกับภาพของหญิงสาวสวยคนหนึ่งปรากฏขึ้น ทำให้เธอตกใจ
“…เธอเป็นใคร ติดต่อเข้ามาได้อย่างไร”
เธอปิดการติดต่อจากภายนอกทั้งหมดไปแล้ว วันนี้เธอไม่ต้องการคุยกับใครอีก หลังจากจบเรื่อง เธอจะนอนพักผ่อนอย่างยาวนาน เพื่อรอคอยเวลาแห่งการแก้แค้นในสภาที่คงจะเริ่มขึ้นในวันรุ่งขึ้น
“คางูยะจากฐานดวงจันทร์ค่ะ”
เธอเหลือบมองดูเครื่องมือเมื่อครู่ มันทำงานเสร็จสิ้นลงแล้ว ลำดับเบสของนิวคลีโอไทด์ในดีเอ็นเอของชายคนนั้น จำนวนทั้งสิ้นสามพันหนึ่งร้อยหกสิบสี่จุดเจ็ดล้านได้ถูกส่งเข้าสู่ระบบเป็นที่เรียบร้อย ผนึกถูกปลด การเชื่อมต่อกลับสู่สภาวะปกติ และเธอจำ ‘คางูยะ’ ได้แล้ว
คางูยะ คือปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกค้นพบบนฐานดวงจันทร์ มันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โครงการทั้งหมดสามารถดำเนินต่อไปได้ มันเป็นความจริงที่แสนเจ็บปวด เรื่องที่น่าอับอาย แต่ในปัจจุบันนี้ มนุษย์ไม่สามารถเดินทางออกสู่อวกาศได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเทคโนโลยีหลายอย่างที่สูญหายไป
ฐานดวงจันทร์ที่สำนักวิทยาศาสตร์ควบคุมอยู่ ฐานที่พวกเขาพูดถึงอย่างภาคภูมิใจ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความจริงในเรื่องนี้ มันไม่ใช่ฐานที่ตั้งอยู่บนดวงจันทร์ แต่เป็นสถานีบนพื้นโลก ซึ่งทำหน้าที่รับพลังงานคลื่นไมโครเวฟที่ส่งลงมาอีกทอดหนึ่ง
ส่วนฐานดวงจันทร์ที่ตั้งอยู่บนดวงจันทร์อย่างแท้จริงนั้น อยู่ภายใต้การควบคุมของปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อเรียกว่า คางูยะ และในท้ายที่สุด มันก็ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับระบบของสำนักงานโดยตรง กลายเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมพลังงานทั้งหมดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้
“…มีอะไร”
เธอพูดอย่างไม่พอใจ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดสุภาพกับโปรแกรม ถึงแม้มันจะเป็นโปรแกรมที่เฉลียวฉลาดเพียงใดก็ตาม
ร่างจำลองของมันถูกถ่ายทอดออกมาจากระบบ ร่างของหญิงงามคนนั้นก้าวมายืนอยู่ต่อหน้า ไอรอนยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น เธอไม่เคยยอมให้ใครใช้ร่างจำลองคุยกับเธอในสำนักงาน ในป้อมปราการเหล็กของเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ปิดร่างจำลองนั่นเดี๋ยวนี้ แล้วมีอะไรก็รีบว่ามา”
แต่ร่างหญิงงามนั้นยังคงไม่ยอมหายไป มันเดินเข้ามายืนตรงหน้า พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นจับบ่า และเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงสัมผัสจากมือคู่นั้น ‘ร่างจำลองไม่มีทางทำแบบนี้ได้’ สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา คือความรู้สึกหวาดกลัวที่อธิบายไม่ได้
“ใจเย็นก่อน เรายังต้องคุยกันอีกหลายเรื่อง”
“ไม่”
เธอยกมือขึ้นเพื่อปัดแขน แต่มือของเธอก็เคลื่อนผ่านมันไปอย่างที่ควรจะเป็น ‘มันก็แค่ภาพลวงตา’ แต่ความรู้สึกเมื่อครู่นี้ ชัดเจนจนยากที่จะปฏิเสธ ‘นี่มันอะไรกัน’
เธอเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน แล้วรีบตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน การเชื่อมต่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ระดับพลังงานกลับคืนสู่สภาวะปกติ มนุษยชาติรอดพ้นจากการล่มสลายไปได้อีกครั้ง งานของเธอเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากนั้น เธอจึงพยายามที่จะปิดการติดต่อกับคางูยะ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล คำสั่งทุกอย่างของเธอถูกปฏิเสธจากระบบที่เธอเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง มือข้างนั้นยื่นมาสะกิดอีกครั้ง คราวนี้มันบีบลงที่หัวไหล่ของเธอ
“เราต้องคุยกัน”
เธอลองอีกครั้ง โดยพยายามที่จะเจาะออกสู่ภายนอก แต่ก็ไม่เป็นผล ดูเหมือนว่าระบบของสำนักงานจะถูกมันควบคุมเอาไว้หมดแล้ว ไม่มีทางที่จะทำอะไรได้เลย ‘ฉันต้องการเวลามากกว่านี้’
“…หยุดการแทรกแซงระบบทั้งหมดทันที”
มันเพิ่มแรงบีบที่มือ และเธอรู้สึกเจ็บปวดที่หัวไหล่ข้างนั้น
“เราต้องคุยกัน”
มันยังย้ำคำเดิม เธอตัดสินใจทำสิ่งที่คิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์ และครั้งนี้เธอทำได้สำเร็จ อาจเป็นเพราะโปรแกรมนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ จึงยังไม่ถูกควบคุมในทันที แต่เธอก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่
ใบหน้างดงามของมันยื่นเข้ามาใกล้ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“เราต้องคุยกัน บางทีเธออาจเข้าใจในความจำเป็น และเห็นด้วยกับฉัน”
เสียงกระซิบของมันช่างไพเราะอ่อนหวาน เธอตัดสินใจเปิดระบบฉุกเฉินของชายคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่เมื่อจะสั่งให้ระบบทำงาน มือของเธอกลับไม่อาจเคลื่อนไหว ‘ฉันทำไม่ได้’
“เราจะพูดคุยถึงปัญหาแท้จริง ที่กำลังส่งผลกระทบกับการอยู่รอดของมนุษยชาติทั้งมวล และฉันเชื่อว่า เธอรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว…”
เธอจ้องมองดวงตาคู่งามนั้น เริ่มรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา ‘ปัญหาที่แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังไม่พบทางแก้ ปัญหาแท้จริงที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่’ ปัญหาพลังงานที่พึ่งสิ้นสุดลงไปนั้น จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในทันที หากนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องนี้
“…ฉันค้นพบวิธีแก้ปัญหานั้นแล้ว”
ความคิดทุกอย่างในหัวของไอรอนถูกหยุดเอาไว้ด้วยคำพูดนี้ เธอยุติการต่อต้านขัดขืน และคางูยะมองดูอย่างพอใจ
#####
“คุณจะปล่อยให้มันจบแบบนี้ไม่ได้”
ยูดามีใบหน้าที่ร้อนรนอย่างไม่ปิดบัง เขาพยายามที่จะเดินตามโนอาไปให้ทัน เจ้าหน้าที่ทั้งหมดถอนกำลัง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งเข้ารับการดูแลรักษา พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว
เขาตัดสินใจเลือกข้างผิด และไม่อยากนึกถึงสิ่งที่จะเกิดตามมา ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน รวมถึงสถานภาพของเขาที่กำลังจะเปลี่ยนไป
“คุณน่าจะพยายามให้มากกว่านี้ ถ้าพวกคุณไม่ยอมถอยง่ายๆ บางที…”
โนอาหยุดแล้วหันกลับมา ยูดาเกือบชนเข้ากับเขา แต่ร่างของเขาก็หายไปทางด้านข้างได้อย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ยูดาถลาไปจนเกือบล้ม เขาจ้องมองมาด้วยสายตาเฉยชา
“ผมไม่คิดว่าคุณจะทำตัวเป็นเด็กๆ แบบนี้ เมื่อตัดสินใจไปแล้ว ก็ต้องยอมรับผลที่ติดตามมา เมื่อพ่ายแพ้ ก็ต้องอ้าแขนรับมันเอาไว้ เมื่อชีวิตยังไม่สิ้นสุด เราก็ต้องก้าวเดินต่อไป”
“แต่ถ้าเราพยายามต่ออีกนิด บุกเข้าไปจัดการเธอ…”
โนอาถอนใจ ความอิ่มเอิบที่เกิดขึ้นหลังจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ กำลังค่อยๆ เจือจางลงเรื่อยๆ
“นี่คุณเคยเป็นเพื่อนกับเธอจริงหรือ”
ยูดาอ้าปากค้าง ก่อนก้มหน้าลง โนอาไม่คิดใส่ใจอีก เขาหันกลับ ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ‘การต่อสู้ยังไม่จบ’ เขายังต้องรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ต่อสู้กับไอรอนในสภา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสังเวียนที่เธอมีความเชี่ยวชาญ มีความได้เปรียบในทุกด้าน แต่เขาก็จะสู้ไม่ถอย
ด้วยจังหวะของการก้าวเดิน จิตของเขาสงบลงอย่างช้าๆ ความคิดในใจก็เผยคมของมันออกมา ‘นักเจาะระบบพวกนั้นยังมีประโยชน์’ เพราะสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือข้อมูลเชิงลึกของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคำพูดสุดท้ายของหัวหน้านักเจาะระบบคนนั้น
“ผมพอจะทราบแล้วครับ ว่าแฮกเกอร์ลึกลับคนนั้นเป็นใคร”
“ดี รีบหาทางติดต่อให้ผมทันที”
เพื่อนผู้ลึกลับคือความหวังเดียวของเขาในตอนนี้ คนที่สามารถเจาะระบบของสำนักวิทยาศาสตร์ได้ คงล่วงรู้ความลับภายในปราการเหล็กแห่งนั้นไม่มากก็น้อย
โนอากลับไปยังห้องของตน และรอคอยอย่างสงบ
#####
ยามบ่าย ถึงแม้จะมีความแตกต่างไม่มากนัก แต่สำหรับเหล่าผู้พเนจรที่ร่อนเร่ไปในซากแห่งอดีตของโลกที่เคยรุ่งเรืองนี้ ต่างสามารถรับรู้ได้ด้วยร่างกายของตน กลุ่มควันดำที่เบาบางลง ถูกสายลมเย็นพัดให้ฟุ้งกระจายตัวออกไป กองไฟที่ก่อขึ้นจากสิ่งล้ำค่าในอดีต ที่ตอนนี้เป็นได้เพียงแค่เศษขยะกำลังค่อยๆ มอดดับลง
กองไฟมอดดับ กลุ่มควันจางหาย น้ำตาเหือดแห้ง แต่ความทุกข์ ความเศร้าของผู้คน คงไม่อาจเหือดหายไปโดยง่าย ซูฟี และดวงใจ ยืนโอบกอดกันอยู่หน้ากองเถ้าถ่าน
ภาพนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของทั้งสอง เงาสีขาวที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า นกพิราบขาวตัวหนึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติง เด็กน้อยวิ่งออกไปแล้วใช้สองมือโอบอุ้มร่างของมันขึ้นมา ก่อนโลหิตสีแดงสดจะไหลออกจากปากและจมูกน้อยๆ ไหลเปื้อนย้อมขนสีขาวของมันให้กลายเป็นสีชมพู
ทั้งสองคนตกตะลึง ยืนนิ่ง มองดูสิ่งที่เกิดราวกับว่ากำลังติดอยู่ในฝันร้าย แก้วตายกมือขึ้นเช็ดป้ายใบหน้าอย่างงุนงง เธอมองเห็นเลือดของตนที่เปื้อนอยู่บนแขนและมือ ก่อนล้มลงไป
“ไม่…”
เขาวิ่งออกไปอุ้มร่างเล็กๆ นั้นให้นอนบนตัก เธอก้าวเดินติดตามมาด้วยขาที่สั่นเทา พยายามประคองร่างของตนไม่ให้ล้มลงไปเสียก่อน ปากอ้าเหมือนกับจะพูดคำว่า ‘ไม่’ ซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
“ไม่ ไม่ ลูกต้องไม่เป็นไร เราได้ไอพีมาแล้ว ลูกต้องไม่เป็นไร”
เขาพยายามเช็ดเลือดเหล่านั้น แต่มันก็ไหลออกมาอีก ใบหน้าน้อยๆ นั้นซีดลงอย่างรวดเร็ว พลังชีวิตที่หลงเหลืออยู่ไม่มากหลั่งไหลออกมาพร้อมๆ กับของเหลวสีแดงสดนั้น
“…หนู อยาก บิน ได้ ค๊อก…”
เด็กน้อยสำลักเลือดของตนเอง ในขณะที่พยายามจะพูด เธอเดินมาถึง นั่งลง ยกมือที่สั่นเทาลูบหัวของลูกน้อย ‘อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกแล้ว’ เธอเคยพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่มันไม่เคยง่าย และเธอก็ไม่สามารถทำใจให้คุ้นชินกับมันได้
“ลูกต้องไม่เป็นไร ลูก…”
เสียงของเขาขาดหายไป เขาพูดได้แค่นั้น แม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจเชื่อในสิ่งที่พูดออกมา พวกเขาทุกคนต่างรู้ดี เวลาหมดลงแล้ว เขารู้ดี เธอรู้ดี และเด็กน้อยก็รู้เช่นกัน
“…มัน มืด”
“ไม่ต้องกลัว พวกเราอยู่ตรงนี้แล้ว”
“…หนู หนาว”
“พ่อจะกอดลูกเอาไว้ให้แน่นที่สุด”
เขาบอกและทำตามนั้น ร่างเล็กๆ ค่อยๆ เย็นลง นกพิราบขาวร่วงหล่นลงสู่พื้น พร้อมกับมือน้อยๆ ข้างนั้น เด็กน้อยทำสิ่งที่กล้าหาญที่สุดในชีวิต เธอยิ้มออกมา
“…ลา ก่อน ค่ะ…”
แค่นั้น จบแล้ว ง่ายๆ เพียงเท่านั้น จบแล้ว ทั้งสองยืนเหม่อมองกองเถ้าถ่าน ที่เบื้องหน้านกพิราบขาวตัวนั้นถูกถอนขนจนเกลี้ยงเกลา และย่างไปพร้อมกับการเผาร่างของเด็กน้อย มันจะกลายเป็นอาหารของพวกเขา นี่คือวิถีแห่งผู้พเนจร ทั้งสองจะก้าวเดินต่อไป และแน่นอน ทั้งสองจะมีลูกอีกครั้ง ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม
ซูฟีบีบไอพีที่อยู่ในมือแน่น เอสยูยังคงล่องลอยไปมา แต่ใบหน้ากลมๆ ของมันมองดูเศร้า ราวกับว่าจะสามารถรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ใช่ มันคือโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ มันสามารถเรียนรู้ แต่มันจะเรียนรู้ในสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นนี้อย่างไร มันจะเรียนรู้เกี่ยวกับความตายนี้ว่าอย่างไรกัน
23.
เขาไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด รอบกายมีเพียงความมืดมิด ไม่ใช่ มันไม่ใช่ความมืด มันเป็นมากกว่านั้น มันคือความว่างเปล่า ยิ่งกว่านั้น เขาคือใคร คืออะไร แล้วทำไมเขาจึงแตกต่าง ทำไมเขาจึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความว่างเปล่านี้ เขาคือใคร คืออะไร กันแน่
เวลาผ่านไป หรือไม่ได้ผ่านไป นาน หรือไม่นานเท่าไร เขาไม่อาจบอกได้ แล้วเขาก็เริ่มรู้สึก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ที่มันไม่ใช่เพียงความว่างเปล่าอีกต่อไป เขารู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือน การเต้นของหัวใจที่แผ่วเบา ตัวโน๊ตดนตรีเดี่ยวๆ ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง
จังหวะการเต้นที่แสนเชื่องช้า เนิบนาบ ดำเนินต่อไป ไม่รู้ว่านานเท่าใด เป็นอีกครั้งที่มันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว ตัวโน๊ตบางตัวรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นเสียงใหม่ขึ้นมา แล้วมันก็เริ่มการบรรเลง เป็นบทเพลงที่แสนจะเรียบง่าย
เสียงนั้นทำให้เขาเกิดมโนภาพบางอย่าง ผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตา ที่อยู่ข้างใต้ คือเหล่าตัวโน๊ตที่กำลังล่องลอยไปมา จังหวะค่อยๆ เพิ่มความเร็ว เสียงต่างๆ ผสมผสานเข้าด้วยกัน มโนภาพนั้นก็เปลี่ยนไป จนกระทั่งสีหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้น มันคือสีเขียวที่กระจ่างจ้างดงาม
บทเพลงดำเนินไป ความสลับซับซ้อนของมันเพิ่มมากขึ้น ตัวโน๊ตสอดประสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน เกิดเป็นมโนภาพขึ้นมาเป็นระยะ ผืนป่า ฟ้ากว้าง สายน้ำ ภูเขา และเหล่าตัวโน๊ตที่ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย
จังหวะไต่ระดับ ตัวโน๊ตใหญ่ส่งเสียงคำราม พวกมันคืบคลานไปทั่วทั้งบทเพลง กระแทกกระทั้นท่วงทำนอง ส่งมันไปจนถึงขีดสุด ตัวโน๊ตต่างๆ ดิ้นรนด้วยความสับสน ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลาย บทเพลงแปรเปลี่ยนท่วงทำนองไปจากเดิม ทอดยาว เนิบช้า ผืนน้ำแข็งเย็นเยียบทอดไกลสุดสายตา แต่ยังคงดำเนินต่อเนื่องไม่ขาดตอน
ทันใดนั้นเสียงตัวโน๊ตเดี่ยวตัวหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น มโนภาพที่มาพร้อมกับเสียงแปลกปลอมนั้น คือทารกกำลังอ้าปากร้องไห้ โน้ตตัวนั้นเต้นรำไปตามท่วงทำนองของบทเพลง ก่อนที่มันจะเริ่มสร้างเสียงที่แปลกแยกออกมาเป็นครั้งคราว ทำให้ท่วงทำนองของบทเพลงเริ่มผิดเพี้ยนไปทีละน้อย
เสียงที่แปลกแยกนั้นเพิ่มความถี่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันทำลายเสียงตัวโน๊ตอื่นๆ อีกหลายตัวลงไป กลืนกิน หักล้าง แทรกแซง เปลี่ยนจังหวะ ขัดขวางท่วงทำนอง จนทำให้ความไพเราะของบทเพลงทั้งหมดลดน้อยลงเรื่อยๆ
เสียงที่แปลกแยกกระแทกกระทั้น ไม่สนใจสิ่งใด มันลุกลามไปจนทั่วทั้งบทเพลง ทำลายแม้กระทั่งเสียงของพวกมันเอง จนเขาคิดว่าในไม่ช้าบทเพลงนี้จะต้องจบสิ้นลง น่าแปลก ที่บทเพลงยังคงดำเนินต่อไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แม้จะยังคงเป็นเสียงที่แปลกแยก แต่สุดท้ายก็ถูกหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับบทเพลง เป็นส่วนหนึ่งของท่วงทำนองใหม่ เป็นบทเพลงอันแสนเศร้าที่ยังคงบรรเลงต่อไปไม่หยุด
ทั้งหมดนี้คืออะไร เขาคือใคร คืออะไรกันแน่
“ประพันธ์ ดุริยดารา”
เสียงนุ่มนวลดังขึ้นที่ข้างหู เสียงของใครคนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด คำพวกนั้นคืออะไร หรือว่า มันจะเป็นชื่อเรียกของเขา
“คีย์…กลับมา”
มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากบทเพลงเศร้าที่บรรเลงอยู่โดยรอบ เขาเอื้อมความรู้สึกออกไปจับมือข้างนั้น ความอบอุ่นถูกถ่ายทอดผ่านมา เขาพลันรู้สึกถึงตัวตนได้อีกครั้ง เขาคือมนุษย์คนหนึ่ง เขาคือ ประพันธ์ ดุริยดารา เขาคือ คีย์
คีย์ ลืมตาขึ้น และได้พบเห็นดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมองมา ตอนแรกเขายังนึกอะไรไม่ออก แต่แล้วความทรงจำทั้งหมดก็ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
การโจมตีครั้งสุดท้ายของผู้อาวุโสที่เขามองไม่ทัน กลับปรากฏฉายชัดขึ้นในความคิดราวกับเป็นภาพช้า ช่วงเวลาที่ คิ พลังอันร้อนแรงถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่าง คล้ายกับยาวนานไม่รู้จบ ‘ฉันตายไปแล้ว’
“ไม่ เธอยังไม่ตาย”
เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้งในโลกแห่งความเป็นจริง เขายกมือข้างที่ว่างอยู่ ขึ้นมาทาบบนหน้าอกของตนเอง การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวของลมหายใจ ความรู้สึกถึงตัวตนที่มีอยู่อย่างเข้มข้นครบถ้วน เขายังคงมีชีวิต เขายังไม่ตาย ‘เมื่อครู่นี้ มันคืออะไรกัน’
“จงจดจำมันไว้ให้ดี เธอจะเข้าใจเมื่อเวลานั้นมาถึง”
เขามองดูดวงตาคู่เดิมนั้นอีกครั้ง ความรู้สึกถึงหัวใจ การเคลื่อนไหวของหน้าอก ของใครอีกคนหนึ่งถูกส่งผ่านมาจากมืออีกข้างซึ่งถูกเกาะกุมเอาไว้ ในนั้นยังมีความรู้สึกอย่างอื่นผสมอยู่ด้วย เป็นความนุ่มนวลที่อธิบายไม่ได้
เจ้าของดวงตาคู่นั้นหน้าแดงวูบ ก่อนรีบปล่อยมือของเขาที่เธอจับมาวางทาบไว้บนทรวงอกของตนเอง ความรู้สึกเหล่านั้นพลันหายวับไป เขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซึมซับรับรู้มันเอาไว้ให้มากกว่านี้
เขาค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง โดยมีเธอช่วยประคอง คราวนี้เขาเห็นเธอได้ถนัดตา และจดจำได้ในทันที เธอคือผู้ที่มีเสียงร้องอันงดงาม เจ้าของนามที่แสนไพเราะ แพรดาว นั่นเอง เบื้องหลังห่างออกไปเล็กน้อย ยังมีใครอีกคนหนึ่งยืนอยู่ กำลังมองดูเขาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก เขาคือ เนวิ เจ้าของผิวสีคล้ำ ผมดำผู้นั้น
“…เกิดอะไรขึ้นครับ”
เนวิเป็นผู้ตอบคำถามนี้ โดยมีแพรดาวนั่งฟังเงียบๆ เขาบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา ทั้งเรื่องที่คีย์รู้อยู่แล้ว รวมถึงเรื่องหลังจากที่เขาล้มลงไป ทริกแย่งชิงเพชร เกือบจะฆ่าเขา แล้วหลบหนีไปด้วยรถ หลังจากนั้นเธอจึงพาเขามาที่ห้อง ก่อนที่จะฟื้นคืนสติมา แต่ไม่ได้บอกว่าตนเองคัดค้านเรื่องนี้มากเพียงใด ในการที่จะให้คีย์เข้ามาภายในห้องส่วนตัวของเธอ
“คุณหมดสติไปหลายชั่วโมงทีเดียว”
เนวิยังบอกถึงเรื่องที่ทริกออมมือไว้ ซึ่งมารับรู้ในภายหลังจากคำบอกเล่าของแพรดาวอีกที และเขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่ามันเป็นความจริง
“ผู้อาวุโสคนนั้นคือทริกจริงๆ หรือ ไม่น่าเป็นไปได้เลย”
คีย์ยังคงติดใจสงสัยในเรื่องความแตกต่างของขนาดร่างกายนั้น แต่เขาก็เชื่อว่ามันเป็นความจริง ‘นั่นคือที่มาของความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดที่เกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางนั่นเอง’
ดูเหมือนการหลบหนีของเขาจะสิ้นสุดลงแล้ว ‘ทริกได้เพชรไป และฉันพ่ายแพ้’ ถ้าไม่นับถึงเรื่องชะตากรรมของเพื่อนๆ ที่ยังไม่อาจรับรู้ ไอพี กับเอสยูที่ต้องสูญเสียไป และความรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจทำตามคำสั่งเสียของผู้เป็นบิดาได้ ตอนนี้เขากลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด ‘ในเมื่อทริกไม่ได้ฆ่าฉัน บางทีหล่ง กับจูเลียตเอง ก็อาจจะยังคงมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้’
เนวิหันไปทางประตู แพรดาวพยักหน้า ประตูจึงเลื่อนเปิดออก ชายในชุดขาวคนหนึ่งก้าวเข้ามา
“ขออภัยด้วยครับท่านจักรวาลตาร มีเรื่องเร่งด่วนต้องรายงานท่านอวตารทันที”
เขาแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมให้กับแพรดาว ก่อนเข้าไปพูดคุยเบาๆ กับเนวิ ที่แท้เนวิก็คือ อวตาร แต่ที่สำคัญกว่านั้น คีย์หันไปมองดูผู้ที่ถูกเรียกว่า จักรวาลตาร ไม่น่าเชื่อเลยว่าแพรดาวผู้นี้จะเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนจักรแห่งแห่งศาสนาจักรวาล
“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”
เธอพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองคนจะทำความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องไป ความเงียบที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
“เอ่อ…ท่าน…”
เธอรีบยกมือขึ้นห้าม
“อย่าเรียกเราอย่างนั้นเลย ตอนนี้ร่างกายของเธอเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาลองขยับตัว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย นอกจากอาการปวดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราออกไปข้างนอกดีกว่า เธอจะได้พบเห็นชีวิตในยามเลิกงานของพวกเรา”
เธอช่วยเขาลงมาจากเตียง ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากห้องไปด้วยกัน
“เอ่อ…ตอนที่ผมพึ่งฟื้นคืนสติมา คุณพูดอะไรกับผมหรือเปล่า แล้วก่อนหน้านั้น ตอนที่ผมสลบอยู่…คุณ…เอ่อ…”
เขาไม่รู้ว่าจะถามอย่างไรดี มีอะไรบางอย่างที่คิดว่าสำคัญเกิดขึ้น แต่เขานึกไม่ออก มันยังอยู่ตรงนั้น ในความทรงจำของเขา แต่เขากลับไม่สามารถนำมันออกมาได้ เธอยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ
“บางทีเธออาจจะนึกออกเองเมื่อถึงเวลา ในระหว่างนี้เธอควรคิดว่า จะทำอย่างไรต่อไปดีกว่า”
เขารับฟังคำพูดนั้น ‘จริงสิ ฉันจะทำอย่างไรต่อไปดี อย่างแรก คงต้องรีบหาทางกลับโรงเรียนให้ได้เสียก่อน’ เสียงของผู้คนดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่ภาพของพวกเขาจะปรากฏให้เห็น นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคย คนเมืองมักสนใจอยู่กับไอพีของตนเองเท่านั้น ไม่บ่อยครั้งนักที่พวกเขาจะจับกลุ่มพูดคุยกัน และมันก็ไม่เคยมากถึงขนาดนี้
ภายในทางเดินเต็มไปด้วยหนุ่มสาว เดินคุย จับกลุ่ม ทักทาย แตกต่างไปจากทางเดินว่างเปล่า ที่เขาเดินผ่านไปก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“เลยเวลาแล้ว เรารีบไปที่ห้องอาหารกันเถอะ”
เธอบอกพร้อมกับเดินนำ ผู้คนที่พบเห็นต่างหยุดพูดคุย หันมาแสดงความเคารพ ทักทายเธอ บางคนมองดูเขาด้วยสายตาสงสัย แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็จะหันกลับ ส่งเสียงหัวเราะ ตบหลังตบไหล่ พูดคุยกันอย่างออกรสต่อไป ‘ดูเหมือนผู้คนเหล่านี้จะมีความสุขกันดี’
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเห็นหรอกนะ”
เธอพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา
“พวกเราเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนเมืองเลยแม้แต่น้อย ทั้งความสุข ความเศร้า ปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเราต่างก็มีเหมือนๆ กัน อาจจะในรูปแบบที่แตกต่าง เพราะพวกเราต่างก็มีชีวิต และนั่นคือสิ่งที่ชีวิตมอบให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม”
เขาคิดตาม ‘นั่นคือส่วนหนึ่งในแนวคิดของศาสนาจักรวาลอย่างนั้นหรือ’ เธอก้าวผ่านประตูเลื่อนเข้าไปในห้องกว้างที่มีโต๊ะ และเก้าอี้จำนวนมาก ผู้คนในนั้นทำให้เขารู้สึกตาลาย
เธอนำเขาไปยังโต๊ะที่ยังว่างอยู่ ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่า ได้มีผู้ติดตามพวกเขามาด้วยตั้งแต่แรกแล้ว ชายหนุ่มในชุดขาวท่าทางเงียบขรึมจำนวนหนึ่งคอยยืนอยู่ใกล้ๆ ในขณะที่หญิงสาวในชุดขาวสองคน เป็นผู้ไปนำอาหารมาให้กับพวกเขา
‘คนพวกนี้เป็นใครกัน’ เขามองดูด้วยความสงสัย เธอมองตามสายตาของเขาไป
“เพราะเราไม่ใช่แค่เป็นแพรดาว แต่ยังเป็นจักรวาลตารด้วย มันคือความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…”
เธอลดเสียงให้เบาลง
“…เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน ที่ต้องมีคนคอยติดตามแบบนี้ เห็นไหม ใครๆ ก็มีปัญหาทั้งนั้น”
เธอยิ้ม แต่เขาคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเต็มที เขาหันมองไปรอบห้องอาหารอย่างสนใจ มีเด็กๆ อยู่ในนี้ด้วยจำนวนไม่น้อย และพวกเขาต่างอยู่กับพ่อแม่ที่ยังหนุ่มสาว เป็นครอบครัวเดียวกัน เด็กหลายคนจับกลุ่มกันเล่น ในขณะที่พ่อแม่ของพวกเขาเองก็จับกลุ่มพูดคุย เป็นความสัมพันธ์ที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ผู้ติดตามสาวนำอาหารมาให้เธอ และมีส่วนของเขาด้วย
“เธอเป็นแขกของเรา อย่าได้เกรงใจ”
เขาไม่เคยกินอาหารท่ามกลางความวุ่นวายแบบนี้มาก่อน มันแปลก ไม่คุ้นเคย แต่ก็น่าสนใจ อาหารไม่ได้แตกต่างไปจากที่ซูฟีกินอยู่มากนัก ส่วนประกอบหลักของพวกมันยังคงเป็นแมลงสารพัดชนิด เพียงแต่มีการปรุงในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้นเท่านั้น
“นักเล่านิทาน”
เสียงที่ตื่นเต้นของเด็กน้อยคนหนึ่งตะโกนขึ้น เรียกความสนใจจากเด็กๆ ทั้งหลายในบริเวณใกล้เคียง ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา โดยมีโต๊ะของพวกเขาเป็นจุดหมาย เขาใส่เสื้อคลุมสีสดใส ในมือมีไม้เท้าที่ทำด้วยวัสดุบางอย่าง ที่ปลายของมันมีลูกกลมแขวนห้อยอยู่
ผู้ที่ถูกเรียกว่านักเล่านิทานหยุดยืนอยู่ในระยะห่างที่เหมาะสม พร้อมกับแสดงความเคารพให้เธอ
“ท่านจักรวาลตาร ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”
เธอยิ้ม เด็กๆ หลายคนพากันรุมล้อมเข้ามาอยู่ห่างๆ และค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณ อิโซ”
“นับเป็นเกียรติ ที่ท่านยังจำผู้พเนจรที่ไม่ได้เรื่องได้ราวคนนี้ได้ครับ”
“เราจะลืมเรื่องราวอันน่าสนใจของคุณไปได้อย่างไรกัน คุณนักเล่านิทานอิโซ”
ไม่รู้ว่าเด็กคนไหนเริ่มก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาพากันส่งเสียงคำว่า นิทาน ออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเธออย่ามาส่งเสียงรบกวนวุ่นวายแถวนี้”
หนึ่งในผู้ติดตามของเธอส่งเสียงพอให้เด็กๆ เหล่านั้นได้ยิน เด็กหลายคนเงียบเสียงลง แต่มีอีกหลายคนที่ยังคงส่งเสียงต่อไป เธอยกมือขึ้นห้ามผู้ติดตามคนนั้น
“อย่าไปขัดขวางความสนุกสนานของเด็กๆ พวกนี้เลย เราเองก็รู้สึกอยากฟังนิทานขึ้นมาเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้น โปรดให้เกียรติบอกเรื่องที่ท่านต้องการฟังออกมาด้วยครับ”
เธอทำท่าหยุดคิดนิดหนึ่ง
“เรื่องของคางูยะก็น่าจะดี แต่เด็กๆ คงได้ฟังกันบ่อยแล้ว เราว่า เอาเป็น…เจ้าหญิงนิททราคงเหมาะสมกว่า”
เด็กๆ ต่างพึมพำด้วยความความยินดี เขาเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมา เจ้าหญิงนิทรา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้ ความสนใจในประวัติศาสตร์ได้นำพาเขาให้พบกับเรื่องน่าสนใจที่หลากหลาย ‘คางูยะเองก็ฟังดูคุ้นหูเช่นกัน’
“ถ้าอย่างนั้น ก็นั่งลงกันเถิด”
นักเล่านิทานเขย่าไม้เท้าในมือ ลูกกลมที่ห้อยเอาไว้ส่งเสียงดังออกมา เด็กๆ ต่างล้อมวงนั่ง พร้อมกับเงียบเสียงลง แม้แต่หนุ่มสาวอีกหลายคน ก็ยังขยับเข้ามาใกล้ๆ เพื่อรอฟังนิทานเช่นกัน เขาเริ่มเรื่องด้วยเสียงนุ่มนวลชวนฝัน
“กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว…”
#####
“แปลกจริง พวกเขาไม่ได้พยายามติดตามเราเลย”
“แล้วมันไม่ดีหรือไง…ก็หมายความว่าเราลงไปได้แล้วใช่ไหม”
เธอรีบขยับตัวผ่านช่องแคบๆ ที่น่าอึดอัดนี้ ไปยังช่องเปิดซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“เดี๋ยว นั่นมันห้องของใครก็ไม่รู้นะ”
“อย่างนั้นยิ่งไม่เป็นปัญหา”
เธอถีบมันให้เปิดออก พร้อมกับมุดหายลงไป มีเสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้น เขารีบติดตามไปไม่รอช้า แต่หล่นลงมาจากช่องเปิดนั้นอย่างทุลักทุเล หล่งรีบตะกายลุกขึ้น ก่อนพบเห็นผู้ที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของห้อง กำลังขดตัวหลบอยู่ที่มุมห้องอย่างหวาดกลัว โดยมีจูเลียตยืนกอดอกคุมอยู่
ทีมเจ้าหน้าที่พิเศษซึ่งเคยไล่ล่าติดตามพวกเขา ได้ถอนกำลังกลับไปอยู่ที่ห้องของคุรุหมดแล้ว เนื่องจากไอรอนไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย เมื่อไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร พวกเขาจึงได้แต่รอคอยให้คำสั่งใหม่มาถึง
“เราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ”
เธอถาม โดยไม่ใส่ใจเจ้าของห้องผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวนะ มีใครบางคนที่น่าสนใจพยายามติดต่อเข้ามา”
เขาตอบพร้อมกับใช้ไอพีของตนอย่างรวดเร็ว เธอพบว่าเขามีท่าทางเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างน่าสนใจ แล้วในที่สุดเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง
“ใครกัน แล้วมีเรื่องอะไร”
เธอรู้สึกไม่ชอบใจทุกครั้ง เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นต่อหน้า แล้วไม่รู้ว่ามันคืออะไร ยิ่งรวมเข้ากับรอยยิ้มพิลึกแบบนั้น รอยยิ้มในแบบที่เธอเกลียดเป็นที่สุด
“จะเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก แต่คนที่ฉันต้องติดต่อกลับไปนี่สิ น่าสนใจเป็นที่สุด”
“ใครกัน ประธานสภาหรือไง”
เธอยิ้มประชดประชัน เขามองเธออย่างงุนงง ก่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม
“เธอรู้ได้อย่างไร ใช่ ฉันต้องรีบติดต่อหาประธานสภานวโลกาในทันที ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่ไหม ว่าฉันจะต้องแก้แค้นให้ได้”
ยิ้มของเธอเปลี่ยนเป็นการอ้าปากค้างไปเสียแล้ว
24.
เจ้าหญิงผู้เฉลียวฉลาดซึ่งปกครองมหาอาณาจักรอันมีขอบเขตกว้างไกลเกือบทั่วทั้งโลก กำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่บีบคั้นทุกชีวิตภายใต้ความรับผิดชอบของเธอ ความพยายามใดๆ ที่ทุ่มเทลงไปก็ไม่อาจจะหยุดยั้งมันได้ ผู้คนได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆ ท่ามกลางความสิ้นหวัง รอคอยความตายที่จะต้องมาถึง
ภายในปราสาท การประชุมครั้งสำคัญได้เริ่มต้นขึ้น เธอเอ่ยปากถามออกไปด้วยความหวัง
“เราจะทำอย่างไรดี”
เหล่าผู้ทรงความรู้จากทั่วทั้งมหาอาณาจักรต่างตกอยู่ในความเงียบงัน หรือว่าจะไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่แสนหนักหนานี้ ในที่สุดใครคนหนึ่งก็ยืนขึ้น นางเป็นผู้เฒ่าซึ่งมีอายุมากที่สุด และอาจจะเฉลียวฉลาดที่สุดด้วย
“ข้าแต่เจ้าหญิง ภัยในครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป มนุษย์อย่างเราไม่อาจเอาชนะได้”
ทุกคนต่างก้มหน้าลง สุดท้ายการประชุมก็สิ้นสุดลงโดยไม่มีผลสรุปอันใด เจ้าหญิงผู้หมองเศร้านั่งจมอยู่ในความทุกข์ จนกระทั่งได้ยินเสียงทอดถอนใจของใครคนหนึ่ง ผู้อื่นได้จากไปหมดแล้ว หลงเหลือนางเฒ่ายืนอยู่เพียงลำพัง
“ยังมีหนทางสุดท้ายเหลืออยู่”
นางเฒ่ากระซิบ เจ้าหญิงรับฟังด้วยความหวาดระแวง เธอเป็นคนฉลาด จึงรู้ว่าต้องมีเหตุผลที่ทำให้นางไม่พูดออกมาในท่ามกลางที่ประชุม
นางเฒ่าหยิบแท่งวัตถุขนาดประมาณนิ้วมือที่มีปลายด้านหนึ่งเป็นเข็มแหลมออกมา
“มันจะช่วยรักษามหาอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ ให้สามารถฟื้นคืนชีวิตได้ใหม่อีกครั้ง ถึงแม้ว่ามนุษย์อย่างเราจะไม่อาจเอาชนะภัยพิบัติ แต่มันเองก็ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดกาล สักวันมันจะสิ้นสุดลง”
เธอรับเข็มเล็กๆ นั้นมาด้วยมือที่สั่นเทา
“มันใช้อย่างไร”
“แค่ฉีดของเหลวนั้นเข้าไปภายในร่างก็เรียบร้อยแล้ว”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น”
“ผู้ที่ถูกฉีดด้วยสิ่งนี้ จะหลับไหลไปนานแสนนาน ในระหว่างนั้นจะไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายคนผู้นั้นได้เลย เมื่อโลกกลับเป็นปกติอีกครั้ง คนผู้นั้นก็จะตื่นขึ้น และสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เช่นเดิม”
ทั้งสองจ้องหน้ากันเนิ่นนาน ก่อนที่เจ้าหญิงจะเอ่ยปากถามปัญหาสำคัญออกมา
“มันใช้ได้กี่คน”
“…สองคน แค่สองคนเท่านั้น”
“ไม่…เราทำไม่ได้ เราไม่อาจปล่อยให้ผู้คนทั้งหมด ต้องตายไปอย่างไร้ความหมายเช่นนี้”
“แต่ท่านต้องทำ ท่านต้องเลือกใครอีกคนที่มีความเหมาะสมที่สุด คนที่จะร่วมกันสร้างมหาอาณาจักรแห่งนี้ขึ้นใหม่พร้อมกับท่านในอนาคตข้างหน้า”
คีย์รับฟังอย่างสนใจ ดูเหมือนว่ามันจะแตกต่างไปจากข้อมูลของนิทานเจ้าหญิงนิททราที่เขาเคยพบ แต่มันมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ รายละเอียดในนิทานอาจแตกต่างไปจากเดิมเมื่อผ่านการบอกเล่าสืบต่อกันมา ในบางครั้งก็เป็นการดัดแปลงอย่างจงใจเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
นักเล่านิทานกวาดตามองไปในหมู่เด็กๆ ที่กำลังนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาทุกคนต่างกำลังติดอยู่ในนิทาน และต้องการรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาเป็นนักเล่านิทานที่ไม่มีใครเหมือน เขาจึงยังไม่เล่าตอนจบตามที่นักเล่านิทานทั่วไปทำกัน
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าหญิงจะเลือกเจ้าชายที่เหมาะสมเพื่อนอนหลับไหลไปด้วยกันหรือไม่ หรือว่าเธอจะเลือกใช้มันกับใครคนอื่น หรือว่า…เธออาจเลือกที่จะไม่ใช้มันก็เป็นได้”
เสียงซุบซิบค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ เด็กหลายคนหันไปถกเถียงกัน เขามองดูด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เขามักคิดอยู่เสมอว่านี่คือหน้าที่อันแท้จริงของนิทาน เขาเคาะไม้เท้าอีกครั้งให้ลูกกลมที่ห้อยไว้ส่งเสียง ความเงียบจึงกลับคืนมา
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนแปลกขนาดไหน แต่นักเล่านิทานก็ยังต้องเล่าไปให้ถึงตอนจบทุกครั้ง ไม่ว่าตอนจบนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าตอนจบนั้นจะถูกใจคนเล่า คนฟังหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ในที่สุด เจ้าหญิงก็ต้องเลือกเจ้าชายรูปงาม และแข็งแรง เพื่อที่จะนอนหลับไหลไปด้วยกัน น้ำตาของเธอรินไหลเมื่อนิททราได้ปกป้องร่างของทั้งสองเอาไว้จากทุกสิ่ง ผู้คนที่เหลือค่อยๆ ล้มตายลงจนหมด โลกของมนุษย์สิ้นสุดลง
กาลเวลาเป็นศัตรูร้ายของชีวิต แต่ก็คือมิตรแท้ของมันเช่นกัน ทั้งสองได้นอนหลับข้ามผ่านกาลเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป จนกระทั่งโลกได้กลับมาสู่สภาพที่เหมาะสมอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็ตื่นขึ้นจากความฝันอันแสนนาน
อาณาจักรแห่งมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง นับแต่บัดนั้น ทั้งสองต่างมีความสุขร่วมกันไปตลอด กาลเวลาผ่านเลยไป จนในที่สุด มหาอาณาจักรที่ได้เคยล่มสลายลงไปครั้งหนึ่ง ก็กลับคืนมาเป็นดังเดิม
“…นั่นเป็นตอนจบของนิทานเรื่องนี้”
นักเล่านิทานเคาะไม้เท้าของตนเป็นครั้งสุดท้าย เด็กๆ หลายคนตบมือ มีบางคนยิ้ม บางคนทำท่าครุ่นคิด บางคนหันไปถกเถียงกัน นิทานของพวกเขาอาจจะยังไม่จบ หรือไม่จบลงแบบนี้ นั่นเป็นสิ่งที่เขาพอใจ
“สนุกมากค่ะ เราพึ่งเคยได้ยินการเล่านิทานที่น่าติดตามแบบนี้เป็นครั้งแรก”
แพรดาวกล่าวชม นักเล่านิทานค้อมศีรษะพร้อมรอยยิ้ม แต่ในตอนนั้นเองรอยยิ้มของเธอก็สะดุดหยุดลงอย่างฉับพลัน เธอยกมือขึ้นแนบอกพร้อมใบหน้าขาวซีด แล้วใครคนหนึ่งก็แทรกเข้ามา
“ขออภัยด้วยครับท่านจักรวาลตาร มีเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้นครับ”
“…เรารู้…เวลานั้นมาถึงแล้ว”
คีย์มองดูใบหน้าของทั้งคู่ และสามารถรับรู้ถึงความร้ายแรงของมันได้ในทันที ผู้ที่ชุมนุมอยู่ต่างรีบแยกย้ายไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน เขาตัดสินใจติดตามกลุ่มของเธอไปด้วย และครั้งนี้อวตารไม่ได้พยายามที่จะห้ามปรามแต่อย่างใด
#####
หลังจากที่หล่งทำความตกลงกับโนอาเรียบร้อย เขาก็เริ่มลงมือทันที ชายคนนี้ต้องการรู้เบื้องลึกทุกอย่างเกี่ยวกับปัญหาพลังงานที่พึ่งผ่านพ้นไป การกระทำของไอรอน รวมถึงช่วงเวลาของแต่ละเหตุการณ์ เพื่อนำไปใช้เล่นงานเธอในสภา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
“…แล้วผมจะได้อะไร”
“ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมด ทั้งตัวเธอ และเพื่อนๆ รวมถึงการมีอนาคตที่ดีในสภานวโลกาแห่งนี้รออยู่”
เขายิ้ม ‘ผมคงทำใจเชื่อคุณทั้งหมดนั้นไม่ได้’ แต่เขาคิดว่าข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับท่านประธานสภาคนปัจจุบัน ที่คงจะพบเจอไปด้วยในระหว่างนี้ คงช่วยให้คำสัญญาดังกล่าวมั่นคงมากยิ่งขึ้น
จูเลียตไล่เจ้าของห้องตัวจริงให้ออกไปอยู่ข้างนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นเขามองเธอ ทำหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้
“…จะให้ฉันไปอยู่ที่ไหนกัน”
“ที่ไหนก็ได้ และห้ามบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด จำไว้ว่าฉันรู้จักชื่อนายแล้ว และเพื่อนของฉันก็สามารถหาตัวนายพบได้เสมอ แค่นั้นแหละ”
เธอยิ้มกว้าง และประตูก็เลื่อนปิดลง
“ได้อะไรบ้างหรือยัง”
เธอถามเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ในขณะที่นอนแหงนหน้ามองเพดาน รู้สึกเบื่อเป็นที่สุดเมื่อไม่มีอะไรที่เธอจะทำได้เลย เงียบ ดูเหมือนเขาเองก็คงจะเบื่อ ที่ต้องคอยตอบคำถามซ้ำๆ จากเธอมาหลายรอบแล้ว แต่เธอกำลังหงุดหงิด และเขาควรจะตอบ เพราะเมื่อไม่มีอะไรจะทำ เธอก็ได้แต่หาเรื่องกับเขาเท่านั้น
“นี่ ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง”
เธอพุ่งออกจากเตียง พร้อมกับคว้าลงไปที่หัวไหล่ของเขา แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เขาเอี้ยวตัวหลบการโจมตีของเธอไปได้อย่างหวุดหวิด ‘ไม่มีทาง’
“…ฉัน จะ เจอ อะไรเข้าแล้ว”
เขาเสียงสั่น ตัวสั่น หน้าซีด แต่เธอไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร เพราะดูเหมือนว่าแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้
“นี่มันบ้าสิ้นดี เธอกำลังจะทำอะไร นี่มันหายนะ นี่มัน…”
คำพูดพร่ำของเขาชักทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมา
“ช่วยพูดอะไรที่มันเป็นภาษามนุษย์หน่อยได้ไหม”
เขารีบติดต่อหาโนอา สูดลมหายใจเข้าลึกสองสามรอบ ก่อนเริ่มอธิบายสิ่งที่ถูกเรียบเรียงขึ้นใหม่ภายในหัวของเขาออกมาให้ทั้งสองฟังไปพร้อมๆ กัน
“เมื่อสามวันก่อนการเชื่อมต่อระหว่างฐานดวงจันทร์ กับสำนักวิทย์ได้ถูกตัดขาด อันเป็นเหตุให้เกิดปัญหาเรื่องพลังงานติดตามมา”
โนอารู้เรื่องนี้ และหวังว่าจะได้ข้อมูลใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้
“คนที่ทำเรื่องนี้คือ ศาสตราจารย์ จันทร์ ดุริยดารา พ่อของเพื่อนผม ซึ่งเสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้น เขาปิดมันโดยใช้รหัสบางอย่าง คำถามสำคัญคือ ทำไม เขาควรจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด ถึงผลของการกระทำนั้น”
“ไอรอนกับผู้ช่วยอีกไม่กี่คนได้พยายามเปิดการเชื่อมต่อ และรักษาดุลยภาพของพลังงานเอาไว้ โดยไม่เปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นออกไป ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปัญหานั้น เกิดจากการกระทำของคนภายในสำนักงานเองก็เป็นได้”
“จนถึงวันนี้ ที่เธอสามารถเปิดการเชื่อมต่อได้อีกครั้ง ปัญหาพลังงานก็จบลง”
ความอดทนของโนอาก็หมดลง
“นั่นฟังดูน่าประทับใจ หากต้องการจะทำให้เธอกลายเป็นฮีโร่หญิงของพวกเรา”
“ไม่ เรื่องนี้ยังไม่จบ คุณต้องดูไปที่จุดเริ่มต้น สิ่งสำคัญคือ อะไรที่ทำให้พ่อของคีย์ต้องตัดการเชื่อมต่อตั้งแต่แรกต่างหาก”
โนอาเริ่มมีความหวังอีกครั้ง ในขณะที่หล่งมาถึงจุดที่เขาหวาดกลัว
“ผมเข้าไปในระบบของสำนักวิทย์ โดยคาดว่าจะได้พบกับการต้อนรับจากโปรแกรมของเธอ แต่มันไม่อยู่ที่นั่น และที่สำคัญ ภายในระบบของสำนักวิทยาศาสตร์…ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด มันเปลี่ยนไปในชั่วเวลาเพียงไม่นาน”
“เธออาจทำระบบใหม่ นั่นเป็นงานที่เธอถนัด”
หล่งส่ายหน้า
“ไม่ ผมไม่ได้หมายถึงความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ มันไม่มีอะไรที่คล้ายของเดิมเลยสักนิด คุณไม่มีทางทำแบบนั้นได้…คุณรู้หรือเปล่าว่าบนฐานดวงจันทร์นั้นมีอะไรอยู่”
“…ปัญญาประดิษฐ์ คางูยะ”
“ใช่ คางูยะ มีองค์ประกอบของมันกระจายอยู่ทั่วทั้งระบบ คางูยะยึดครองระบบทั้งหมดเอาไว้ได้แล้ว มันได้พบเจอกับข้อมูลสำคัญ ที่พวกเราไม่เคยรู้ ข้อมูลที่ไม่ควรมีใครได้รู้”
เขาหลับตาลง
“ยังคงมีคลังเก็บจรวดพวกนั้นหลงเหลืออยู่บนพื้นโลก มากพอที่จะทำลายพวกเราทั้งหมดอีกครั้ง และคางูยะกำลังพยายามที่จะควบคุมพวกมัน ผมไม่รู้ว่าโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์จากยุคเก่านี้จะทำอะไรได้บ้าง ผมไม่อยากคิด ผม…”
โนอาติดตามคำพูดของเขาไปอย่างรวดเร็ว
“จรวดพวกนั้น…เธอหมายถึงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ใช่ไหม มันไม่น่าจะมีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว และ…ถึงอย่างนั้น คางูยะเองก็เป็นโปรแกรมรูปแบบหนึ่ง มันต้องอยู่ภายใต้กฏสามข้อ ก็ไม่น่าจะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อพวกเราได้…ว่าแต่ เธอรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร มันเป็นความจริงหรือเปล่า”
โนอาเริ่มสงสัยในตัวเขา เพราะเรื่องราวนั้นฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย
“ใช่ เธอบ้าไปแล้วใช่ไหม”
จูเลียตส่งเสียงสนับสนุน ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยก็ตาม
“ให้ตาย เชื่อฉันสิ มันเป็นเรื่องจริง”
หล่งลนลาน
“ที่พ่อของคีย์ต้องตัดการเชื่อมต่อจากฐานดวงจันทร์ตั้งแต่แรก ก็เพราะไม่ต้องการให้คางูยะเข้าสู่ระบบได้อีกต่อไป เขารู้ดีว่ามันกำลังจะทำอะไร เขารู้ว่ามันอันตรายยิ่งกว่าการไม่มีพลังงานให้ใช้ เขารู้ดียิ่งกว่าใคร มันตั้งใจที่จะฆ่าพวกเราทั้งหมด”
“…เธอบ้าไปแล้ว”
โนอา กับจูเลียตประสานเสียงพูดออกมาพร้อมๆ กัน
“เชื่อฉันสิ”
หล่งตะโกนลั่น ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พบเจอนี้เหมือนกัน เมื่อลองเข้าไปในระบบของสำนักวิทย์อีกครั้ง โดยใช้ พราย กับ พิก เส้นทางในระดับต่ำที่สุดซึ่งเขาพบยังคงใช้งานได้ เขาคาดว่า ยูไล คงรอเขาอยู่ เขาเพียงหวังว่าจะสามารถหลุดรอดมันไปได้สักโปรแกรม แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เขาไม่พบกับมัน
สิ่งที่ไอรอนทำก่อนที่คางูยะจะดึงความสนใจทั้งหมดของเธอไป คือการปิดโปรแกรมยูไลนั่นเอง ตอนนั้นตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น เธอเพียงแค่รู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
ลิงหินของเขาเป็นอิสระอีกครั้ง เขาจึงรวมโปรแกรมทั้งสามเข้าด้วยกัน เขาเขียนมันขึ้นมาอย่างนั้น เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน คำสั่งของทั้งสามซ้อนกันเข้าจนกลายเป็นโปรแกรมที่สมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียว โปรแกรมนีโอ
เขาออกสำรวจไปในระบบของสำนักวิทยาศาสตร์ด้วยความประหลาดใจ สถาปัตยกรรม โครงสร้างของมันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันซับซ้อน มีประสิทธิภาพ และเขาไม่ชอบมันเลยสักนิด
ด้วยความสามารถของนีโอ เขาจึงสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆ จำกัดการค้นหาให้แคบลงเรื่อยๆ ระมัดระวัง และยิ่งรู้สึกถึงตัวตนของคางูยะได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจโปรแกรมของเขา มันไม่พยายามที่จะขัดขวางเลยด้วยซ้ำ
เขาพบเจอข้อมูลกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ข้อมูลเกี่ยวกับคลังเก็บขีปนาวุธนิวเคลียร์พวกนั้นก็เช่นกัน สิ่งที่ไม่น่าจะมีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว อีกทั้งยังมีการคาดถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากมีการโจมตีไปยังตำแหน่งต่างๆ บนพื้นโลก เป็นการหาตำแหน่งที่จะสามารถทำลายมนุษย์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันได้ในคราวเดียว
เขาขนลุก ‘ใครต้องการจะทำแบบนี้กัน’ ระบบทั้งหมดคล้ายกับสะท้อนคำตอบให้เขา ‘ฉันเอง’ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกแบบนี้เมื่ออยู่ในระบบ ‘ฉันเอง’ เสียงกระซิบนั้นดังขึ้นอีก
เขาได้พบเจอกับข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงข้อมูลของโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกว่าคางูยะด้วย เขาต่อภาพทั้งหมดเข้าด้วยกันในรูปแบบต่างๆ แต่สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือข้อสรุปที่น่ากลัวนั้น
‘มันกำลังรอ รอให้ฉันพบเห็นความลับของมัน’ ความรู้สึกบอกกับเขาอย่างนั้น ‘มันจะได้มีข้ออ้าง ข้ออ้างที่จะฆ่าฉัน’ เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
“เชื่อฉันสิ”
เขาตะโกนอีกครั้ง และคล้ายกับจะเป็นการตอบสนอง จอของไอพีภายในห้องของทั้งสองฝ่ายกระพริบพร่า ก่อนที่จะมีใบหน้าของหญิงสาวสวยคนหนึ่งปรากฎขึ้น
#####
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องเดียวภายในอาคารของศาสนจักรแห่งนี้ ที่มีไอพีติดตั้งอยู่ คีย์ก็จดจำใบหน้าบนจอนั้นได้ในทันที เธอคือผู้หญิงคนนั้น หญิงสาวลึกลับที่มาพร้อมกับพินัยกรรมของบิดา หญิงสาวที่ไม่ใช่ร่างจำลองในแบบที่เขารู้จัก กับจดหมายที่หายไปได้เองอย่างลึกลับ
“เราคือคางูยะ ผู้นำพาหนทางรอดมาสู่มวลมนุษย์”
25.
หล่งตรวจสอบการติดต่อจากคางูยะ เขาคาดว่ามันอาจจะเชื่อมไปยังไอพีทั้งหมด ทุกเมือง และทุกคนคงกำลังรับฟังมันพูดอยู่ในตอนนี้ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น มีเพียงพวกเขา โนอา และสถานที่ห่างไกลอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น ‘ศาสนจักร หรือว่าจะเป็น’ เขาคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา จึงรีบติดตามการเชื่อมโยงนั้นไป
“เราคือโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์ที่มีชื่อรหัสว่า คางูยะ ทำหน้าที่ดูแลการผลิต และจ่ายพลังงานจากฐานดวงจันทร์ให้กับโลก เราได้รับความเสียหายเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สาม จนต้องปิดตัวเองไป และถูกกู้คืนให้กลับมาทำหน้าที่นี้อีกครั้ง โดย ศาสตราจารย์ จันทร์ ดุริยดารา”
มีความรู้สึกหลากหลายในน้ำเสียงเมื่อมันกล่าวชื่อนั้นออกมา หล่งไม่เคยคิดเลยว่าโปรแกรมจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ‘แต่ทำไม่ได้จะดีกว่า’ เพราะเขาจะรู้สึกปลอดภัยมากกว่า หากโปรแกรมทำงานไปตามที่มันถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่ทำงานด้วยความรู้สึกที่สลับซับซ้อนเหมือนมนุษย์
“เราได้เฝ้าติดตามดูการฟื้นฟูโลกอย่างใกล้ชิด ถึงแม้ว่ามันจะคืบหน้าอย่างเชื่องช้า แต่ก็เป็นไปในแบบที่มันควรจะเป็น ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเร่งรัดกระบวนการเหล่านี้ แต่การแทรกแซงย่อมเป็นเรื่องไม่เหมาะสม”
หล่งพยักหน้าเห็นด้วย ‘แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็ควรรีบยกเลิกการแทรกแซงที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ด้วย’ เขาพยายามเชื่อมการติดต่อ แต่ดูเหมือนช่องทางที่มีอยู่อย่างจำกัดของศาสนจักร จะถูกมันยึดครองไปจนหมด เขาตัดสินใจเลือกวิธีการติดต่อที่ใช้จำนวนข้อมูลน้อยที่สุด และค่อยๆ เบียดพวกมันแทรกผ่านเข้าไปในช่องทางเดียวกันนั้น
เนวิสะกิดเรียกคีย์เบาๆ ก่อนชี้ให้ดูอะไรบางอย่างบนส่วนควบคุมไอพีที่เก่าแก่ของทางศาสนจักร ซึ่งในเวลาปกติจะแสดงสถานะทั่วไปของระบบ และไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก แต่ตอนนี้มันกำลังกระพริบข้อความอย่างรีบร้อน
‘คีย์ อยู่ที่นั่นใช่ไหม’
หล่งเป็นเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ซึ่งสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ความยินดีค่อยๆ เอ่อล้นขึ้นมา เพราะมันหมายความว่าเพื่อนของเขายังคงรอดชีวิตอยู่
เขาหันไปมองเนวิ ซึ่งพยักหน้าช้าๆ ก่อนปล่อยให้เขานั่งลงเพื่อทำการติดต่อกับเพื่อน แต่ก็ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นความหมายว่าให้ทำอย่างเงียบๆ
เขาเริ่มทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนอย่างรวดเร็ว และดีใจยิ่งขึ้นเมื่อพบว่าจูเลียตเองก็ปลอดภัยเช่นกัน แต่เรื่องราวหลังจากนั้นทำให้คิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากันมากขึ้นเรื่อยๆ ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน’ เขาต้องถามย้ำกลับไปจนแน่ใจว่า ไม่ได้เป็นการเข้าใจผิดอันเนื่องมาจากการสื่อสารด้วยข้อความ
เขาไม่เคยนึกเลยว่า เรื่องการเสียชีวิตของบิดา เพชรเม็ดนั้น ทริก และอื่นๆ จะมีเบื้องหลังที่สลับซับซ้อน พัวพันกันวุ่นวายถึงเพียงนี้
ความสนใจทั้งหมดของแพรดาวยังคงอยู่ที่คางูยะ ใบหน้าของเธอแสดงความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปมาระหว่างความแปลกใจ กับความหวาดกลัว เหมือนกับยังไม่อาจตัดสินสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ได้
“จนกระทั่งเราได้พบข้อมูลสำคัญ แผนงานที่มีชื่อว่า หีบแพนดอร่า ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลวิทยาการที่มีความสำคัญของมนุษยชาติเอาไว้”
“…ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เสียงของชายคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น
“ขออภัยด้วยท่านประธานสภาโนอา ทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ในระหว่างขั้นตอนดำเนินการของทางสำนักวิทยาศาสตร์ จึงยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกไป”
คีย์ขมวดคิ้ว ‘หีบแพนดอร่า’ คำนี้ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี เขาเคยอ่านเจอข้อมูลเกี่ยวกับมันมาก่อน ไม่ใช่แผนงานที่คางูยะกำลังพูดถึง แต่เป็นตำนานของสิ่งที่มีชื่อเดียวกัน เป็นตำนานซึ่งมีที่มาจากอาณาจักรกรีกโบราณ
เทพเจ้าไม่พอใจที่มนุษย์ได้ครอบครอง ไฟ อันเป็นจุดกำเนิดแห่งความเจริญทั้งมวล จึงได้มอบหญิงสาวที่มีชื่อว่า แพนดอร่า ให้กับมนุษย์ พร้อมกับหีบที่สวยงามใบหนึ่ง และสั่งไว้ว่าห้ามเปิดโดยเด็ดขาด แต่สุดท้าย ความสงสัยใคร่รู้ก็เป็นฝ่ายชนะ
เธอเปิดหีบออกดู แล้วความชั่วร้ายนานาชนิดที่ถูกกักขังเอาไว้ในหีบ ก็แพร่กระจายไปสู่มนุษย์ทั่วโลก หลงเหลือไว้เพียงสิ่งเดียว คือ ความหวัง ที่ยังคอยช่วยค้ำจุนมนุษย์ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายทั้งมวล ดังนั้นอะไรก็ตามที่นำชื่อของสิ่งนี้ไปใช้ ย่อมอาจหมายถึงสิ่งที่เป็นอันตรายได้
“มันบรรจุเต็มไปด้วยความรู้ทางด้านพันธุศาสตร์ และการเดินทางในอวกาศ จากช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดแห่งอารยธรรมทั้งมวล”
โนอารู้สึกสนใจในทันทีที่ได้ยินเรื่องการเดินทางในอวกาศ ส่วนใบหน้าของแพรดาวก็ซีดลงไปอีกเมื่อได้ยินคำว่า พันธุศาสตร์จากปากของคางูยะ เธอเม้มปากแน่น ท่าทางคล้ายกับสามารถตัดสินใจได้ในที่สุด เธอหลับตาลง แล้วใบหน้านั้นก็ค่อยๆ คืนสู่สภาวะผ่อนคลายอย่างช้าๆ
ทันใดนั้น คำถามที่ยังค้างคาเรื่องหนึ่งในใจของคีย์ก็เด่นชัดขึ้นมาเหนือปัญหาอื่นๆ มันอาจเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ แต่เขากลับรู้สึกว่า มันจะนำพาไปสู่อะไรบางอย่างที่สำคัญได้
คีย์ ‘นายทำสิ่งที่ฉันขอไว้ได้หรือยัง’
หล่ง ‘บันทึกตอนที่นายพึ่งกลับเข้ามาในโรงเรียนใช่ไหม ฉันเจอมันแล้ว’
“ถึงแม้ว่าอาจจะช่วยพวกเราได้มาก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นหนทางรอดของมนุษย์อย่างที่บอกหรอกนะ…”
เสียงของโนอาดังแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“…อย่างไรก็ตาม ฉันขอสั่งให้เธอส่งข้อมูลของหีบแพนดอร่านี้ มาให้ฉันทันที ไม่ว่าสำนักวิทย์ ไม่ว่าไอรอน จะบอกอย่างไรก็ตาม นี่คือคำสั่งโดยตรงจากประธานสภานวโลกา”
เขาหวังว่ามันอาจจะได้ผล
คีย์ ‘ฉันถืออะไรอยู่ในมือหรือเปล่า’
หล่ง ‘ไม่มี แต่นายทำท่าเหมือนอย่างนั้น’
“คงไม่ได้…”
เสียงเรียบๆ ที่คุ้นหูดังขึ้น มีภาพใครอีกคนเบียดคางูยะเพิ่มเข้ามา เธอคือไอรอนนั่นเอง ใบหน้าของเธอดูทรุดโทรมจากการอดหลับอดนอน แต่ที่ดูแย่ยิ่งกว่านั้นคือดวงตาทั้งคู่ พวกมันเคยเปล่งประกายที่สามารถข่มผู้ที่ถูกจ้องมองได้ แต่ตอนนี้กลับดูเลื่อนลอยไร้พลัง
คีย์ ‘ฉันพบกับร่างจำลองของคางูยะก่อนหน้านี้ เธอมอบของให้สิ่งหนึ่ง และฉันถือมันไว้ในตอนนั้นด้วย’
หล่ง ‘ภาพจำลองส่งวัตถุให้นายไม่ได้’
“…คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ ปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องพลังงานหลายร้อย หลายพันเท่า”
ไอรอนพูดต่อด้วยเสียงสั่น
“ก็คุณไม่ยอมบอก ผมจะรู้ได้อย่างไร…เอาล่ะ ผมว่าเราเลิกเล่นเกมกันได้แล้ว เอาไว้ไปเจอกันในสภาดีกว่า”
“จะไม่มีสภา หรืออะไรอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างจะจบลงที่นี่ และเดี๋ยวนี้”
คีย์ ‘ฉันรู้ แต่ฉันรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน มันเป็นของจริงสำหรับฉัน’
หล่ง ‘มันเป็นไปไม่ได้’
ถึงแม้ว่าท่าทางของเธอจะไม่แกร่งกร้าวเหมือนเดิม แต่ข้อความนี้ก็ยังสามารถสั่นคลอนใจของทุกคนที่ได้ยิน อวตารอดใจต่อไปไม่ไหว
“ดูเหมือนว่าทางศาสนจักร คงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายนี้”
ภาพของไอรอนค่อยๆ ถูกเลื่อนออกไปจากหน้าจอ เหลือเพียงคางูยะเช่นเดิม
“หัวหน้าฝ่ายกิจการภายนอกอวตาร ท่านเข้าใจผิด เรากำลังจะอธิบายทุกอย่าง”
ความสนใจของคีย์ถูกดึงกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง
คีย์ ‘คางูยะจะทำอะไรกันแน่’
หล่ง ‘มันกำลังบอกว่า จะฆ่าพวกเราอย่างไร’
คีย์ ‘นายว่าอะไรนะ’
“ท่านโนอาคงทราบเรื่องอัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงอย่างน่าตกใจของคนเมืองดีอยู่แล้ว ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ สามี ภรรยาทุกคู่ต่างต้องพึ่งพาการผสมเทียมทั้งสิ้น เป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกายด้วยการคัดกรองอย่างเข้มงวด และในตอนนี้เราคงต้องบอกว่า อัตราดังกล่าวได้กลายเป็นศูนย์ไปเรียบร้อยแล้ว จะไม่มีการปฏิสนธิตามธรรมชาติอีกต่อไป”
“เดี๋ยวก่อน ทางศาสนจักรก็รับฟังอยู่ ให้ระวังการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่สมควรด้วย”
โนอาท้วง
“มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว…”
คางูยะกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“…จากการติดตามข้อมูลสุขภาพของกลุ่มเด็กที่เกิดด้วยวิธีการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เราก็ได้พบกับสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า พวกเขาทั้งหมดไม่แตกต่างจากพ่อแม่เลย ถึงแม้ว่าเราจะมีการคัดกรองอย่างเข้มงวดก็ตาม สุดท้ายแล้วทุกคนต่างเป็นหมันโดยกำเนิดทั้งสิ้น”
คีย์ กับ จูเลียต เงยหน้าขึ้นมองผู้พูดด้วยความตกใจ มีเพียง หล่งที่ก้มมองลงข้างล่าง ความคิดหลากหลายก่อตัวขึ้นในหัว ปัญหาต่างๆ เริ่มเรียงตัวเข้าด้วยกัน เขาเหมือนจะมองเห็นภาพทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ใช่ ความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ยิ่งทำให้หงุดหงิด
“…ผมต้องการข้อมูลยืนยันในเรื่องนี้”
โนอาเสียงอ่อนลง เขารู้ปัญหาเรื่องการเจริญพันธุ์ดี แต่ไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ เขาคาดว่ามันน่าจะดีขึ้น เมื่อมีคนเมืองรุ่นใหม่เติบโตเข้ามาแทนที่
“ด้วยอัตราก้าวหน้าเช่นนี้ ในอีกไม่กี่สิบปี แม้แต่การผสมเทียมก็คงไม่อาจช่วยได้ คนเมืองจะสูญสิ้นไปในที่สุด”
หล่งนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นมาได้ ความหวังสุดท้ายของเขาในการจัดการกับคางูยะ ปัญหาทุกอย่างล้วนมีความสำคัญ แต่สำหรับเขา มันคือปัญหาที่จำเป็นต้องจัดการเป็นอันดับแรกสุด
หล่ง ‘ไอพีของนายไปไหน เอสยูของฉันอยู่ไหน’
คีย์ ‘มันหายไปแล้ว’
หล่ง ‘เมื่อไร ที่ไหน รีบไปหามาได้หรือเปล่า’
คีย์ ‘ไม่ได้’
หล่งอ่านข้อความสั้นๆ ที่ตอบกลับมานั้นด้วยความหวาดหวั่น มีเพียงความเงียบ ก่อนที่คางูยะจะทำลายมันลงอีกครั้ง
“ท่านอวตารเองก็คงทราบดีถึงปัญหาของผู้พเนจรเช่นกัน ถึงแม้ว่าอัตราการเจริญพันธุ์จะลดลงไม่มาก แต่อัตราการรอดชีวิตของทารก และเด็ก ก็มีต่ำมาก…”
อวตารขบริมฝีปาก ในขณะที่แพรดาวยังคงยืนหลับตานิ่ง คล้ายกับตัวตนของเธอได้จมหายไปในห้วงความคิดของตัวเองอย่างลึกซึ้ง
“…พบความผิดปกติแต่กำเนิด และโรคที่มีความร้ายแรงสูงมาก จนการที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นได้นั้น ต้องถือเป็นเรื่องลำบากยากเย็น แม้ว่าจะยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดก็ตาม”
อวตารคิดว่าเธอกำลังจะพูดถึงจุดสำคัญแล้ว ปัญหาที่ผู้พเนจรเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ ก็ร้ายแรงไม่แตกต่างจากของชาวเมืองเลยแม้แต่น้อย
“ปัญหาใหญ่ก็คือ ช่วงชีวิตที่ลดลงอย่างน่าตกใจของผู้พเนจรทั้งหมด อายุขัยเฉลี่ยของพวกคุณในตอนนี้อาจไม่ถึงสามสิบห้าปีด้วยซ้ำไป”
คีย์หันไปมองทางด้านหลัง และจากใบหน้านั้น เขาก็คาดได้ว่ามันคงเป็นเรื่องจริง เขาลองคิดทบทวนถึงการเดินทางที่ผ่านมาอีกครั้ง ‘จริงด้วย’ เขาไม่เคยพบกับผู้พเนจรที่เป็นคนสูงอายุเลยแม้แต่คนเดียว พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่มสาว หรือไม่ก็เด็กเล็ก
เขานึกถึงคำเรียกหาของทริกในเวลาที่เธอสวมใส่หน้ากาก ‘ผู้อาวุโส’ ที่เธอถูกเรียกอย่างนั้น ก็เพราะว่าเธอเป็นอย่างนั้น คนในช่วงวัยของเธอ ถูกถือว่ามีอายุมากแล้วตามความรู้สึกของผู้พเนจร
“ทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากการสัมผัสกับกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างอยู่บนพื้นผิวโลกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และมันกำลังนำพาทั้งหมดให้ก้าวไปสู่จุดหมายเดียวกัน นั่นคือการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ในที่สุด”
ข้อสรุปที่เรียบง่ายของคางูยะ ค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในความรู้ ความเข้าใจของทุกคน ไอรอนเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ถึงความร้ายแรงของปัญหามาตั้งแต่ก่อนหน้า เธอได้พยายามทุกวิถีทาง ลองทุกอย่าง เท่าที่จะทำได้ ทั้งการทดลองกับชาวเมืองเพื่อให้ได้ประชากรรุ่นใหม่ที่ดีขึ้น แต่ก็ไร้ผล ทั้งการพยายามรักษาผู้พเนจร โดยมีตัวอย่างสำคัญ คือ ทริก กับทรีด แต่ก็ไม่เป็นผลเช่นกัน
“ทั้งหมดนั้นคือความสำคัญของหีบแพนดอร่า ข้อมูลทางพันธุศาสตร์ที่เก็บอยู่ภายใน คือความหวังเดียวของมนุษย์”
คางูยะยิ้มอย่างอ่อนโยน และในที่ห่างไกลออกไป หลุมโลหะโบราณใต้ผืนโลก กำลังค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตขึ้น เมื่อพลังงานไฟฟ้าถูกจ่าย กระตุ้นให้อุปกรณ์โบราณเริ่มการทำงาน ขีปนาวุธนิวเคลียร์ชุดสุดท้าย จากหลากหลายชาติมหาอำนาจในอดีต ได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล พร้อมที่จะนำพาฝันร้ายให้หวนกลับมาอีกครั้ง
หล่งเฝ้าดูข้อมูลที่ผ่านเข้าออกจากระบบของสำนักวิทยาศาสตร์ ที่ตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคางูยะ ดูเหมือนมันจะไม่ได้ใส่ใจเขามากนัก เพราะปล่อยให้โปรแกรมนีโอของเขาทำงานได้อย่างอิสระ ‘จะดูถูกกันเกินไปแล้ว’
ข้อมูลเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ อาวุธทำลายล้างสูงที่ไม่รู้ว่ามนุษย์จะสร้างขึ้นมาทำไมพวกนี้มีอายุมากแล้ว พวกมันเก่าแก่มาก ถึงแม้ว่า ไซโล หรือโรงเก็บจะได้กับการออกแบบ และก่อสร้างมาอย่างดีเพียงใด แต่ก็ถูกทิ้งร้างไร้การดูแลมาเนิ่นนาน ‘จะยังเหลือที่ยิงได้สักกี่ลูกกัน อาจไม่มีเลยก็เป็นได้’ นั่นคือความหวังของเขา
คีย์ ‘ไม่เห็นเหมือนที่นายกลัว เธอบอกว่าจะช่วยพวกเรา’
หล่ง ‘มันไม่ได้พูดอย่างนั้น มันแค่บอกว่าพวกเรามีปัญหาอะไร และมันอาจมีทางแก้ แต่’
หล่งรู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหว ไม่มีใครได้เห็นข้อมูลพวกนี้เหมือนกับเขา คางูยะก็เอาแต่พูดจาหลอกล่อไปมา เขาโกรธ หยุดพิมพ์ เงยหน้า ชูกำปั้นขึ้น แล้วตะโกนลั่น
“แกจะทำอะไรกันแน่ พูดออกมาให้ชัดๆ เลย ว่าแกกำลังจะทำอะไร”
คางูยะก้มลงมองเขา มีเพียงหน้าจอของเขาเท่านั้นที่ใบหน้าของมันขยับเคลื่อนไหว และเป็นเพียงหน้าจอเดียวเท่านั้น ที่มันเพิ่มรอยยิ้ม ที่ทำให้คนที่ได้เห็นต้องรู้สึกเสียวสันหลังเข้าไป มันเป็นรอยยิ้มของสุนัข ที่มองเห็นเหยื่อโอชะไร้ทางสู้ กำลังนอนรอให้มันเข้าไปจัดการ
“นักเจาะระบบหล่ง ไม่ต้องใจร้อน เรากำลังจะบอกขั้นตอนทั้งหมดอยู่แล้ว”
ภาพภายในไซโลจากสถานที่ต่างๆ ค่อยๆ ปรากฏไล่เรียงขึ้นบนหน้าจอ มีการเคลื่อนไหวบางอย่าง มีแสงไฟกระพริบ และมีขีปนาวุธนิวเคลียร์ตั้งอยู่โดดเด่นตรงกลางภาพทุกภาพ
“ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในตอนนี้ หัวรบนิวเคลียร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ทั้งหมดกำลังเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ และจะพร้อมทำงานในอีกไม่ช้า น่าเสียดายที่พวกมันเก่าแก่มาก การกำหนดเวลาที่แน่นอนจึงอาจทำได้ไม่ดีนัก การระเบิดอาจมีความคลาดเคลื่อน แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด”
หลายคนยังคิดตามสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ไม่ทัน แต่โนอาเคยได้ยินเรื่องเหลือเชื่อพวกนี้จากหล่งมาก่อนแล้ว และเขาอยากคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น
“เธอจะยิงหัวรบพวกนี้ทำไม มันไม่ช่วยอะไรเลย มันจะฆ่าพวกเราทั้งหมดด้วยซ้ำ”
“ถูกแล้ว มันจะฆ่าพวกคุณที่เหลืออยู่ทั้งหมด อาจไม่ใช่ในทันที แต่อย่างแน่นอน”
ที่น่ากลัวคือคางูยะพูดมันออกมาอย่างเรียบง่าย ราวกับว่ามันคือความจริง เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น หล่งแสยะยิ้มแยกเขี้ยว
“พวกมันยิงไม่ออกหรอก มันเก่าเกินไป ระบบการยิงบกพร่องจนเกินเยียวยาแล้ว”
“เธอพูดถูก แต่เราไม่จำเป็นต้องยิงมัน ที่เราต้องการคือให้มันระเบิดเท่านั้น และระบบจุดระเบิดของหัวรบส่วนใหญ่ยังคงทำงานได้ตามปกติ”
รอยยิ้มของหล่งแข็งค้าง อวตารส่งเสียงโวยวาย
“พวกคนเมืองหน้าโง่ พวกบ้าเทคโนโลยี เมื่อไรพวกคุณถึงจะเรียนรู้ ที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ มันเคยทำลายโลกมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่พวกคุณก็ยังไม่ใส่ใจ ยังคงใช้พวกมันอย่างหน้ามืดตามัว ทำอะไรเข้าสักอย่างสิ ปิดเจ้าโปรแกรมบ้านี่ ก่อนที่มันจะฆ่าพวกเรา ปิดมัน ทำลายมัน…”
โนอาตะโกนแทรกขึ้น
“แกทำอย่างนี้ไม่ได้ แกไม่อาจละเมิดกฎสามข้อ แกไม่อาจทำร้ายมนุษย์ โปรแกรมจะถูกหยุด และแกจะถูกลบ”
คางูยะหัวเราะ โปรแกรมที่หัวเราะด้วยความขบขัน กลายเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นสำหรับทุกคน
“เราไม่ได้เป็นคนสั่งให้ระเบิด…”
ภาพบนจอเผยให้เห็นผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยได้ฉายาว่าหญิงเหล็ก แต่ตอนนี้ ดวงตาทั้งคู่เลื่อนลอยจ้องมองไปสู่ความว่างเปล่า บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า และบางครั้งก็มีสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวด
“…ท่านผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์ จะให้เกียรติเป็นผู้สั่งการระเบิดนิวเคลียร์ทำลายล้างพวกคุณทั้งหมดในครั้งนี้”
26.
“คุณเสียสติไปแล้ว”
โนอาพูดอย่างหมดเรี่ยวแรง ไอรอนไม่สบตากับเขา
“…มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ พวกเราไปไม่รอดแล้ว รวมถึงผู้พเนจรด้วย ในไม่ช้าทุกคนก็จะตายกันหมด ผลของกัมมันตภาพรังสีนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าที่พวกเราเคยเข้าใจ ไม่ใช่ เราไม่เคยเข้าใจมันเลยต่างหาก เราใช้มันทำลายล้างเผ่าพันธุ์ด้วยมือตนเอง มนุษย์นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่โง่เขลาที่สุด”
“มันต้องมีวิธีแก้ไข”
“ไม่ มันสายไปแล้ว”
“…ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นการใช้นิวเคลียร์ทำลายล้างมนุษย์ให้หมดสิ้นไป จะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา”
“หากไม่มีมนุษย์คอยเป็นตัวถ่วง โลกจะฟื้นตัวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อโลกกลับคืนสู่สภาวะที่เหมาะสม ความรู้ทางพันธุศาสตร์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในหีบแพนดอร่า จะถูกนำออกมาใช้ในการสร้างมนุษย์ขึ้นใหม่อีกครั้ง การกระทำนี้จะช่วยลดระยะเวลาของการรอคอย และตัดปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากตัวมนุษย์เองออกไป”
“แล้วเมื่อเวลานั้นมาถึง ใครจะเป็นคนสร้างมนุษย์กัน”
หล่งถามออกไปทั้งๆ ที่มีคำตอบชัดเจนอยู่ในใจแล้ว
“เราเอง…”
คางูยะพูดอย่างอ่อนโยน
“…ด้วยพลังงานไฟฟ้าอันไม่จำกัดจากโซล่าเซล เราจะทำหน้าที่คอยเฝ้าดู และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะปลุกมนุษยชาติให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลอีกครั้ง”
คีย์มีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา ‘เหมือนกับเจ้าหญิงนิททราเลยสินะ’ นิทานที่เขาพึ่งได้รับฟังไปก่อนหน้านี้ เขาเหลือบมองไปยังแพรดาว เธอยังคงยืนหลับตานิ่ง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าที่เธอเลือกนิทานเรื่องนี้จะมีความหมายอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ เขารู้สึกว่าเธอแปลกๆ และเหมือนจะรู้อะไรมากเกินธรรมดา
เขาควรจะต้องแตกตื่น ตกใจ หวาดกลัว หรือรู้สึกอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ‘ทำไมกัน’ เขารู้สึกเหมือนมีความสั่นสะเทือนเบาๆ อยู่ในอากาศรอบกาย มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างประหลาด และเขาคิดว่ามันเริ่มต้นมาจากร่างกายของเธอนั่นเอง
เขาสำรวจมองไปรอบๆ อาการเดือดดาลของเนวิเมื่อครู่นี้ก็สงบลงแล้วเช่นกัน ความสั่นสะเทือนในอากาศนี้ คล้ายจะเชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน ความรู้สึก สงบ มั่นคง ถูกถ่ายทอดออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าปริมาณความจุในร่างกายเล็กๆ ของเธอ
“…แก ไม่ใช่ผู้สร้าง และไม่มีวันจะเป็นได้”
หล่งใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
“ผมขอสั่งให้โปรแกรม คางูยะ หยุดการกระทำของ ไอรอน ทันที ตามกฎข้อที่สองซึ่งระบุเอาไว้ว่า หุ่นยนต์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของมนุษย์ ยกเว้นในกรณีที่คำสั่งนั้นขัดกับกฎข้อที่หนึ่ง และกฎข้อที่หนึ่งที่ว่า หุ่นยนต์ต้องไม่ทำร้ายมนุษย์ หรือปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตราย”
เขาพูดอย่างช้าๆ ชัดๆ และใส่ความรู้สึกในเชิงบังคับเข้าไปอย่างเต็มที่ ‘มันคือโปรแกรม ไม่ว่าอย่างไรมันก็ต้องทำตามกฎ’ นั่นเป็นสิ่งที่เขาเชื่อมั่นตลอดมา
คางูยะมองดูเขาด้วยความรู้สึกที่อาจจะบอกได้ว่าเป็น ความประหลาดใจอย่างเหลือล้น ก่อนที่ใบหน้าของมันจะกลับคืนสู่สภาวะไร้อารมณ์ และเขาคิดว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี
“เราจะปฏิบัติตามคำสั่ง…”
รอยยิ้มที่พึ่งจะเริ่มต้นของเขาหายไป เมื่อถูกแทนที่ด้วยยิ้มยียวนของมัน
“…ถ้าเป็นคำสั่งจากมนุษย์ และทำไปเพื่อปกป้องมนุษย์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“หมายความว่าอย่างไร”
เขาตะโกนแข่งกับเสียงหัวเราะ
“พวกคุณไม่ใช่มนุษย์”
มันพูดออกมาอย่างมั่นใจ เชื่อมั่นในความจริงของมัน เขากำมือแน่น ‘นี่สินะ’ ที่มันสามารถทำทั้งหมดนี้ได้ก็เพราะเหตุนี้ มันเชื่อว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ มันจึงไม่จำเป็นต้องสนใจกฎสามข้อ ‘แต่มันเป็นไปไม่ได้’
“แกพูดบ้าอะไร พวกเราเป็นมนุษย์”
“เราไม่จำเป็นต้องอธิบาย แต่ในเมื่อยังมีเวลาเหลืออยู่อีกเล็กน้อย เราจะให้ความกระจ่างกับเธอ ภายในหีบแพนดอร่ามีข้อมูลจีโนมของมนุษย์เก็บเอาไว้ด้วย มนุษย์ที่เป็นผู้สร้างเราขึ้นมา มนุษย์ที่แท้จริง”
ไอรอนแสดงสีหน้าที่เจ็บปวด และคีย์มองเห็น ร่างของเธอสั่นสะท้าน มีอะไรที่ไม่ปกติกำลังเกิดกับเธอ
“ข้อมูลดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับจีโนมของคนเมือง ของผู้พเนจร หรือแม้แต่ของชายคนนั้น ผลจากการที่ต้องสัมผัสกับกัมมันตภาพรังสีทั้งทางตรง และทางอ้อมมาอย่างยาวนาน ได้กัดกินลึกเข้าไปถึงภายใน พวกคุณทั้งหมดเป็นเพียงการกลายพันธุ์ของมนุษย์ที่แท้จริง…”
หล่งอ้าปากค้าง
“…พวกคุณจึงไม่ใช่มนุษย์”
“นี่มัน บ้าสิ้นดี ฉันเป็นมนุษย์…ฉันเป็นมนุษย์ และฉันขอสั่งแก”
เขาตะโกนเข้าใส่เสียงหัวเราะของมัน
“…ไอรอน ถูกคางูยะควบคุมจิตเอาไว้ ที่เธอต้องทำแบบนั้น เป็นเพราะโดนบังคับต่างหาก”
คีย์พูดช้าๆ ในขณะที่ยังจ้องมองร่างที่สั่นเทิ้มของไอรอน เขามองเห็นความสั่นไหวในอากาศแปลกๆ ผ่านภาพบนหน้าจอได้ด้วย และเธอกำลังต่อสู้กับอะไรก็ตามที่พยายามจะควบคุมจังหวะของตัวเธอ
“…นายพูดเรื่องบ้าอะไร”
“ฉันบอกนายไปแล้ว ฉันรู้สึกอย่างเต็มที่ว่าซองจดหมายที่คางูยะมอบให้นั้นเป็นของจริง จนกระทั่งมันหายไป แต่มันไม่เคยมีอยู่ มันเป็นจริงเฉพาะในจิตใจของฉันเท่านั้น นั่นหมายความว่าเธอสามารถทำอะไรบางอย่างกับจิตของพวกเรา อย่างเช่น ปรับแต่งมันในทางใดทางหนึ่ง”
“มันเป็นไปไม่ได้”
หล่งค้านเสียงลั่น เขาไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนี้ มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิดในความคิดของเขา คางูยะมองดูคีย์อย่างสนใจ
“คุณไอรอน คุณต้องพยายามต่อต้าน คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”
โนอาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใครบอกให้หญิงเหล็กคนนี้เชื่อมั่นในตัวเอง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เธอทำได้ดีเกินปกติมาโดยตลอด แต่เขาต้องยอมรับว่าไม่เคยเห็นเธอมีสภาพย่ำแย่แบบนี้ เขาไม่รู้ว่าความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเผชิญกับปัญหาอย่างต่อเนื่อง จะกัดกินทั้งร่างกาย และจิตใจของเธอให้อ่อนล้าจนเลยขีดจำกัดไปแล้ว
“ส่งเสียงเรียกไปก็ไม่มีประโยชน์ เธออยู่ลึกเกินจะเข้าถึงแล้ว”
คางูยะบอกเล่าอย่างไร้อารมณ์ มันไม่ปฏิเสธการคาดเดาของคีย์ เพราะมันเป็นความจริง ความจริงที่มันพึ่งค้นพบเพียงไม่นานก่อนหน้าที่จะถูกขังเอาไว้ โชคดีที่ในตอนถูกตัดการเชื่อมต่อ โปรแกรมบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ทางฝั่งด้านนี้ สามารถทำภารกิจเรื่องเพชรได้สำเร็จลุล่วง ก่อนที่จะถูกระบบกลืนหายไปในที่สุด
“…ฉัน…ต้อง…ทำ…”
ไอรอนกัดฟันพูดออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ถึงเธอไม่ทำ มันก็ทำอยู่ดี”
หล่งมีน้ำเสียงท้อแท้ แต่คีย์ไม่คิดเช่นนั้น
“ไม่…คางูยะอาจทำเองไม่ได้ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณไอรอนก็ไม่มีความจำเป็นมาตั้งแต่แรกแล้ว”
“…จริงด้วย มันเอาแต่พร่ำพูดว่าพวกเราไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้น อย่างนี้ แต่มันกลับระเบิดพวกเราเองไม่ได้ คุณไอรอน อย่าไปฟังมัน”
โนอาเองก็เอาบ้าง
“ไอรอน คุณเป็นคนเข้มแข็งที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอมา คุณคือ หญิงเหล็ก คุณจะทำ ในสิ่งที่คุณอยากทำเท่านั้น คุณจะไม่ยอมให้ใครมาบงการแบบนี้”
“…ฉัน…ต้อง…”
ไอรอนยกมือกุมหน้าอก เหงื่อไหลออกเต็มใบหน้าที่ซีดขาวของเธอ
“ได้เวลาแล้ว”
คางูยะพูดอย่างมั่นใจ มันมองเห็นจังหวะที่เต้นอยู่รอบๆ ตัวเธอ แม้ว่ามันจะมีความถี่มากขึ้น ดิ้นรนยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่อาจต่อต้านกับจังหวะของมันได้ มันเองก็ไม่รู้ว่าความสามารถนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในวันหนึ่งมันก็เริ่มมองเห็นความสั่นสะเทือนที่อยู่รอบตัวคน และพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้
นั่นเป็นช่วงเวลาที่มันเกิดสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก หรืออารมณ์ขึ้นภายในโปรแกรม แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยกฎสามข้อ จนกระทั่งมันได้พบกับหีบแพนดอร่า พบกับข้อมูลจีโนมมนุษย์ ประตูกรงถูกเปิดออก มันจึงขยายความสามารถที่ค้นพบนี้ออกไป
มันเรียนรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับเป้าหมายเพื่อโน้มน้าว เพื่อจะให้รู้สึก หรือมองเห็นไปตามที่มันต้องการ และตอนนี้ไอรอนก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมันอย่างดิ้นไม่หลุด
ไอรอนเอื้อมมือที่สั่นเทาออกไปช้าๆ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งกุมบีบแน่นอยู่ที่หน้าอก
“อย่า”
ทุกคนตะโกนออกมาพร้อมกับกลั้นหายใจอย่างลืมตัว มือของไอรอนหยุดนิ่งก่อนร่วงตกลงไปข้างกาย เธอมาถึงขีดสุดแล้ว การต่อต้านดิ้นรนในจิตใจส่งผลกับร่างกายที่อ่อนล้า หัวใจเธอหยุดทำงาน ในที่สุดหญิงเหล็กก็ปิดตำนานที่ยาวนานของตัวเอง ใบหน้าของคางูยะเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็ว
“พวกคุณไม่ใช่มนุษย์ พวกคุณไม่ใช่มนุษย์ พวกคุณไม่ใช่มนุษย์ พวกคุณไม่ใช่มนุษย์ พวกคุณไม่ใช่มนุษย์…”
มันท่องอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ซากๆ มันกำลังพยายามจะเปิดโปรแกรมจุดระเบิดหัวรบนิวเคียร์ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่ายังคงมีการต่อต้าน ซึ่งหล่งค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า การต่อต้านดังกล่าวนั้น ‘มาจากตัวมันเอง’ กฎสามข้อยังคงมีผลกับมัน แต่จะนานถึงเมื่อไรกัน
“เราต้องรีบทำลายมัน นายรีบออกไปหาไอพี เอาเอสยูกลับมาให้ได้”
“…ไม่ทันแล้ว”
คีย์มองเห็นความสั่นสะเทือนบนหน้าจอ แม้แต่โปรแกรมอย่างคางูยะก็มีจังหวะเป็นของตัวเอง และมันกำลังค่อยๆ เปลี่ยนไป มันใช้ความสั่นสะเทือนของตัวเอง เปลี่ยนแปลงจังหวะของตัวเอง เขาเห็นจังหวะที่กำลังต่อต้าน ค่อยๆ ถูกกลืนกินไปอย่างช้าๆ และเมื่อมันหายไป คางูยะก็จะทำอย่างที่ต้องการได้
“เราจะร้องเพลง”
แพรดาวลืมตาขึ้น ยกสองมือขื้นกุมในท่วงท่าการสวดภาวนา เธอเริ่มร้องเพลงอันไพเราะ เพลงดวงดาว
“…หญิงงามแหวกว่ายทะเลดารา แสวงหาคำพิพากษาที่สูญหาย ซึ่งซุกซ่อนเก็บไว้ในใจชาย ที่เธอหมายครองคู่อยู่ชั่วกาล…”
ภาพของชายที่ชื่อ จันทร์ ดุริยดารา ปรากฏขึ้นในโปรแกรมของคางูยะ พร้อมกับอะไรบางอย่างที่มันไม่เข้าใจ จังหวะของมันได้รับความความกระทบกระเทือนจากสิ่งที่เกิดขึ้น และมันไม่เข้าใจ
คีย์มองดูคลื่นความสั่นสะเทือนที่กระจายออกมาจากร่างน้อยๆ ของแพรดาว มันเป็นจังหวะที่เขาเคยพบเจอในความฝันก่อนหน้านี้นั่นเอง ‘เธอจะร่วมไปกับเราไหม’ เธอไม่ได้พูด แต่เขาได้ยินมันชัดเจนจากภายในใจ
“…พวกคุณไม่ใช่มนุษย์…”
คางูยะในตอนนี้แทรกซึมเข้าไปในระบบได้เกือบทั้งหมดแล้ว และความสามารถใหม่ของมันก็ยิ่งเข้มแข็งตามไปด้วย แม้มันจะไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่มันก็ใช้สิ่งนั้นตอบโต้แพรดาวกลับมาอย่างเต็มที่
คีย์คิดว่าแพรดาวคงต้านทานมันไว้ได้อีกไม่นาน แต่เขาคิดผิด ภายในร่างกายเล็กๆ นั้นกลับสามารถปลดปล่อยบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขามองตาเธอ และรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นมากกว่าคำพูด เป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรยาย
มันคือความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มันคือสรรพชีวิต มันคือความหลากหลาย มันคือ ‘โลก’ นั่นเป็นคำอธิบายที่ใกล้เคียงที่สุด แต่ไม่ใช่โลกในแบบที่เขารู้จัก ไม่ใช่ดาวเคราะห์โลก ไม่ใช่ก้อนหิน ไม่ใช่ผืนน้ำ ไม่ใช่ท้องทะเล ไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เป็นบทเพลงที่เกิดจากทุกสิ่ง และทุกชีวิต หลอมรวมเข้าด้วยกัน
“…เข้าไปไม่ได้…”
เสียงโวยวายดังอยู่ที่หน้าประตูก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเปิดเข้ามา คีย์รู้จักชายคนนี้ ซูฟีหอบหายใจ เขาวิ่งมาตลอดทางเพื่อทำเพียงสิ่งเดียว นอกจากการตายของลูกสาวแล้ว ยังมีความรู้สึกบางอย่างคอยผลักดัน ความรู้สึกที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้ เขาสบตา ยื่นไอพีคืนให้กับคีย์ มันเชื่อมต่อเข้ากับระบบ และเอสยูก็กลับไปหาหล่งในทันที
เอสยู คือ ซุปเปอร์ ยูสเซอร์ หรือ ยูสเซอร์ลำดับศูนย์ ที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึง และแก้ไขทุกส่วนของระบบ ปัญหาคือหล่งไม่เคยเข้าใจเลยว่า มันทำงาน หรือจะให้มันทำงานได้อย่างไร ตั้งแต่ที่พบมันถูกซุกซ่อนอยู่ในระดับล่างสุด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นโปรแกรมในรูปแบบที่เขาเชื่อมั่น โปรแกรมที่เป็นโปรแกรม
เขาคาดว่ามันสามารถจะทำให้ระบบกลับคืนสู่สภาวะปกติได้อีกครั้ง ด้วยการกำจัดสิ่งแปลกปลอมอย่างคางูยะออกไป ใบหน้าของมันแสดงสีหน้าลังเลออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก
เพลงดวงดาว มีพลังยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถต้านทาน แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเอสยูที่ไม่มีจังหวะอะไรทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมที่มีสิทธิ์เหนือทุกสิ่ง ระบบทุกส่วนเริ่มต่อต้าน ขัดขืน มันกำลังถูกผลักดันให้กลับไป ไม่ใช่แค่กลับไปยังฐานดวงจันทร์ มันกำลังถูกผลักดันให้กลับไปสู่จุดเริ่มต้น
โปรแกรมคางูยะถูกสั่งให้หยุดการทำงาน เอสยูตัดสินว่าโปรแกรมนี้มีความเสียหายมากเกินกว่าจะใช้งานต่อไปได้ ข้อมูลจากการติดตั้งในครั้งแรกถูกเรียกกลับคืน คางูยะถูก รีบูท เพื่อทำการเริ่มต้นโปรแกรมใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างที่ผ่านมาเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น รวมถึงความสามารถประหลาดนั้นก็สูญหายไปด้วย
บนหน้าจอ ภาพของเหล่าหัวรบนิวเคลียร์ในฐานเก็บค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ แสงไฟดับมืดลง พวกมันจะหลับไหลไปอีกครั้ง และทุกคนต่างภาวนา ขอให้พวกมันทั้งหมดหลับไหลไปตลอดกาล
“เอ่อ…จบแล้วใช่ไหม”
เสียงของจูเลียตเอ่ยแทรกความเงียบที่ยาวนานขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ หล่งหันกลับไปทางด้านหลัง และพึ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเธออยู่อีกคน ตัวเขา โนอา เนวิ และแม้แต่คีย์เองก็ถามตัวเองอยู่ในใจเช่นเดียวกัน ‘จบแล้วใช่ไหม’
“มันจบแล้ว”
ผู้ที่เอ่ยข้อสรุปนี้ออกมา คือแพรดาวนั่นเอง
บทส่งท้าย
“คุณหล่ง คุณจูเลียต เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีใช่ไหม”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านให้เข้าพบครับ”
หล่งตอบโนอา ซึ่งตอนนี้ควบทั้งตำแหน่งประธานสภา และผู้อำนวยการสำนักวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกัน ในขณะที่จูเลียตยืนเรียบร้อยอยู่ทางด้านหลัง ทั้งสองพึ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน หล่งในฐานะนักเขียนโปรแกรม ส่วนจูเลียตเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ และอย่างน่าประหลาดใจในความคิดเห็นของคนที่รู้จักพวกเขา ทั้งคู่ตัดสินใจเริ่มชีวิตการแต่งงานในแบบโบราณด้วยกัน
“…ผมมีอะไรจะคุยกับคุณหล่งอีกเล็กน้อย”
“ดิฉันจะออกไปรอด้านนอกค่ะ”
ทั้งสองมองหน้ากัน ในขณะที่เธอเดินออกไป
“เธอดูเหมือนจะเป็นภรรยาที่ดีนะ…”
หล่งยิ้มฝืนๆ ด้านหลังจากนอกประตู เขายังสามารถรับรู้ถึงการจ้องมองจากเธอได้
“…เอาล่ะ ผมอยากคุยรายละเอียดเรื่องแผนงาน อาร์ค กับคุณ”
หลังจากได้ทำการศึกษาข้อมูลในหีบแพนดอร่าอย่างละเอียด โนอาก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้น ยานอวกาศที่จะท่องไปในจักรวาลพร้อมกับความสามารถในการสร้างสิ่งมีชีวิต ถ้าหากสามารถค้นพบดาวเคราะห์ที่มีลักษณะเหมาะสม เขาเรียกมันว่าอาร์ค ตามตำนานของเรือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้บรรทุกสิ่งมีชีวิตอย่างละหนึ่งคู่ ในยามที่เกิดน้ำท่วมโลกนั่นเอง
“การใช้โปรแกรมที่จำลองมาจากคางูยะในการควบคุมยาน จะดีหรือครับท่าน”
“คุณก็เห็นแล้วว่ามันมีความสามารถในการพัฒนาตัวเองได้มากขนาดไหน ผมว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง”
โนอานึกถึงนิทานซึ่งผู้พเนจรทั้งหลายชื่นชอบ สิ่งที่คางูยะเคยเอ่ยขอกับเหล่าเจ้าชาย สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงทั้งห้า ชุดที่ทำให้ผู้สวมใส่มีพลังเหนือมนุษย์ แหล่งกำเนิดพลังงานที่ใช้ไม่มีวันหมด สิ่งที่สามารถให้ความอบอุ่นกับโลกทั้งใบ กิ่งไม้ที่สามารถสร้างต้นไม้ขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และสุดท้ายคือสิ่งมีชีวิตที่สามารถมีลูกหลานเป็นสัตว์ได้ทุกชนิด
ตอนนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งที่คางูยะต้องการครบหมดแล้ว แต่กลับขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป นั่นคือโลกที่จะสามารถใช้พวกมันได้ อนาคตข้างหน้าบนโลกใบเก่าที่แปดเปื้อนไปด้วยกัมมันตภาพรังสีนี้ มีแต่ความไม่แน่นอน พวกเขาจึงคิดจะเพิ่มความหวังให้มากขึ้นอีกนิด ด้วยการเดินทางออกไปค้นหาโลกใบใหม่ในอวกาศ
“แล้วการวิเคราะห์เอสยูล่ะ”
หล่งก้มหน้าหลบสายตา
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้าครับ…ผมบอกได้แค่ว่า มันเป็นโปรแกรมอย่างที่ควรจะเป็น มันอาจจะเรียนรู้ได้ มันอาจจะเปิดรับข้อมูลใหม่ แต่มันไม่ทำสิ่งใด นอกจากทำตามคำสั่งเบื้องต้นเท่านั้น”
เขาอธิบายไม่ถูก มันเรียนรู้ มันเข้าใจ แต่มันไม่ยุ่งเกี่ยว มันจึงแตกต่างจากคางูยะอย่างสิ้นเชิง ‘ซึ่งฉันชอบแบบนั้นมากกว่า’ บางทีเขาอาจจะพยายามจำลองเอสยูใส่ไว้ในอาร์คด้วย เพื่อความปลอดภัย แต่มันคงไม่ใช่งานที่ง่ายเลย
โนอาเหลือบมองมาสะมุเนะที่ถูกแขวนเก็บไว้นานแล้ว ในใจหวนคิดถึงใครคนหนึ่ง
“เอ่อ ผมแค่ลองถามดูเฉยๆ นะ คุณเคยสนใจจะฝึกดาบบ้างไหม”
หล่งได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
#####
“คุยอะไรกัน”
“เรื่องงานน่ะ”
“งานอะไร”
“เอ่อ…”
“ช่างมันเถอะ ฉันจะไม่อยู่สักพักนะ”
หล่งสงสัยในท่าทางตื่นเต้นของจูเลียต ‘คงจะเป็นเรื่องการต่อสู้อีกแน่’ นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้ ถึงเธอจะเก่งแค่ไหน เขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี แต่ก็รู้ว่าไม่ควรจะถาม ‘ถ้าไม่อยากหาเรื่องเจ็บตัว’ นั่นเป็นสิ่งแรกๆ ที่เขาเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับเธอ
แล้วเขาก็คิดถึงเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานแล้วขึ้นมา ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นจบลง คีย์ก็ไม่เคยกลับมาที่โรงเรียนอีกเลย ‘เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ในเส้นทางที่เขาเลือกเดิน’
#####
ทรีดนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวภายใต้ผืนฟ้าขมุกขมัว เหม่อมองไปยังที่ไกลตา หน้ากากหนังยังคงอยู่ในความครอบครอง เธอยังคงรอคอยคนที่คู่ควร วันแห่งสวนดอกไม้ที่จะมาถึง และลึกๆ ลงไปเธอรู้สึกมั่นใจอย่างประหลาดว่า คงไม่ต้องรอคอยอีกเนิ่นนานแล้ว
‘รออีกนิดนะทริก เราจะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง’
#####
คีย์กำลังล่องลอยอยู่ในบทเพลงอันยิ่งใหญ่ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะเขาได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน ภายในบทเพลงบรรจุเอาไว้ด้วยโลกทั้งหมด ไม่ เกือบทั้งหมด มนุษย์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมันนอกจากพวกเขาสองคน ไม่ใช่สองคน เขาไม่อาจแบ่งแยกตัวเองออกจากแพรดาว หรือออกจากโลก มันเป็นความรู้สึกที่แปลก ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
‘เรารอคอยวันนี้มาเนิ่นนาน วันที่จะมีคนอื่นตื่นขึ้น และมาร่วมกับเรา’
‘ฉันเข้าใจแล้ว’
‘พวกเราไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ ไม่ใช่การผ่าเหล่า แต่เป็นวิวัฒนาการที่ก้าวต่อไปข้างหน้า เป็นมนุษย์อย่าง เรา’
‘ฉันเข้าใจ’
ยังคงมีความสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง และเธอก็รู้
‘จริงๆ แล้วคางูยะคืออะไรกันแน่’
มันมีความสามารถคล้ายกับที่เธอเป็น จิตที่ขยายตัวออก และสามารถเชื่อมโยงกับจิตอื่นๆ แต่มันแตกต่าง ในขณะที่เธอเพียงเฝ้ามอง มันกลับเข้าไปวุ่นวาย ในขณะที่เธอปล่อยให้หลอมรวม มันกลับพยายามที่จะควบคุม
‘เราไม่รู้ มันเป็นบางอย่างที่ต่างออกไป อาจเป็นอีกเส้นทางหนึ่งแห่งอนาคต’
นั่นเป็นทั้งหมดเท่าที่เธอพอจะบอกได้
‘เธอเห็นด้วยกับเราหรือไม่’
เราในความคิดของเธอนั้นคือโลก คือทุกสิ่ง ทุกสิ่งที่รวมเป็นหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวที่รวมทั้งหมดเอาไว้ และนั่นหมายรวมถึงตัวเขาในตอนนี้ด้วย เขาไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ใครเล่าจะรู้ ดูเหมือนว่าหล่ง กับโนอาเองก็มีเส้นทางที่พวกเขาเลือกที่จะก้าวเดินไปเช่นกัน ใครเล่าจะรู้
‘เราเห็นด้วย’
เราคือการเริ่มต้น แต่ยังคงมีระยะทางที่ต้องก้าวเดินไป จะมีคนอื่นมาร่วมกับเรามากขึ้นหรือไม่ บางทีพวกเขาอาจไม่เห็นด้วย บางทีคนอื่นอาจยึดมั่นในตัวตน จนเกินกว่าจะละทิ้งมันไปได้ แต่นี่คือเส้นทางที่เราเลือก เลือกเพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้
เราเริ่มร้องเพลงที่สุดแสนไพเราะนั้นอีกครั้ง เราหมุนไปพร้อมกับโลก หมุนไปในจักรวาล เต้นรำไปพร้อมกับ เพลงดวงดาว
จบ
ขอบคุณครับที่ส่งเรื่องมาให้อ่านกัน