เมื่อผมลอกงาน “ภวังค์” ของคุณ อติเทพ

ขอออกตัวก่อนว่า นี่คือการลอกงาน “ภวังค์” ของคุณอติเทพ นะครับ
แต่ตัด และ ปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการเล่าเรื่อง
และตัดส่วนพลังงานจากสิ่งมีชีวิตออกไปทั้งก้อน เพราะสำหรับผม ส่วนนั้นมีแกนที่แข็งแรงพอที่จะเป็นเรื่องแยกได้ครับ
เป้าหมายที่อยากจะชี้คือ
๑. การจับแก่นของเรื่องที่จะเล่า
๒. การค้นหา style ของตนเอง
๓. การพยายาม cover คำถามที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้อ่านให้มากที่สุด (จริงๆแล้วเรื่องนี้ก็ยัง cover ไ่ม่หมดที่แน่ๆก็จุดหนึ่งล่ะ ใครหาได้บ้างเอ่ย)

คอมพิวเตอร์ปลุกผมขึ้นจากการ ไฮเบอร์เนท
มันค้นพบดวงดาวที่มีแหล่งพลังงานมหาศาล
เราเดินทางมานับพันๆปีแสงเพื่อเสาะหาแหล่งพลังงานกลับไปยังโลก
โลกมนุษย์ที่กลืนกินพลังงานทุกอย่างอย่างตะกละตะกลาม

สมิธ อยู่ในที่นั่งตรวจสอบข้อมูลก่อนผมเรียบร้อยแล้วตอนผมเดินออกมาจากแคปซูล
“รายงาน” ผมถาม
“แหล่งพลังงานไม่ทราบแน่ชัด แต่ความเข้มข้นของพลังงานสูงมาก” สมิธ รายงาน
คนอื่นๆง่วนอยู่กับการตรวจสอบสภาพยาน และค้นหาตำแหน่งปัจจุบัน
“ตรวจพบสิ่งมีชีวิต” สมิธ รายงานต่อ
แทบจะทันที ภาพโฮโลแกรมปรากฏขึ้นกลางสะพานเดินเรือ
“ยินดีต้อนรับผู้มาเยือน” ร่างต่างดาว ดู ผอมสูง โปร่งบาง ผิวขาวซีดเห็นโครงข่ายเส้นเลือด
โครงร่างโดยรวมคล้ายมนุษย์แต่ถูกยืดยาวขึ้น สอง ถึง สามเท่า จนดูผิดรูปไปหมด
“ทำไมท่านจึงสามารถพูดภาษาเราได้” ผมถาม
“เราติดตามการเคลื่อนที่ของท่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว และเราได้ทำการตรวจสอบระบบนำร่องของท่าน นั่นทำให้เราสามารถเข้าใจโครงสร้างภาษาของท่านในระดับหนึ่ง” เขาตอบ
เราโดน แฮ็ก นั่นเอง

เราลงจอดอย่างสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่มีกองกำลังคุ้มกัน ไม่มีการตรวจสอบ

พวกเราทั้งหมดถูกเชิญไปที่โถงขนาดใหญ่โดยร่างโฮโลแกรม
ผมเรียกเจ้าของร่างนั้นว่า อัลฟา ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะไม่ขัดข้องอะไร

เราเดินไปตามทางเดินโปร่งใสในทุกๆด้าน เหมือนเดินอยู่ในท่อกระจกใส อยู่สูงจากพื้นดินหลายพันเมตร จนรู้สึกเหมือนกำลังบินอยู่
อากาศในท่อเป็นแบบที่สามารถหายใจได้ เราจึงไม่ได้ใส่หมวกอวกาศ แต่ก็พกติดตัวมาเผื่อเหตุฉุกเฉิน
อีกครั้งที่ไม่มีกองกำลังคุ้มกันใดๆทั้งสิ้น แต่ผมรู้ว่าเราถูกจับตามองโดยตลอด

“เรารู้ว่าเป้าหมายที่คุณเดินทางมาก็คือ การแสวงหาแหล่งพลังงาน” อัลฟา กล่าว
“ถูกต้องแล้ว และเราพบว่า สถานที่นี้ เต็มไปด้วยพลังงานมหาศาล” ผมกล้าๆตอบไป
อาจจะเป็นเพราะท่าทีที่เป็นมิตรที่ถึงแม้จะไม่ปรากฏตัวที่แท้จริงให้เห็นก็ตาม
หรือเป็นเพราะผมรู้ว่าพวกเขาคงรู้ดีอยู่แล้ว จากข้อมูลนำร่องของเราเอง

สมิธสะกิดผมเบาๆพร้อมทั้งยื่นกล้องส่องทางไกลให้ผมดู
ห่างไปหายพันเมตรผมเห็นซากอาคารเหมือนวิหารเก่าที่พังทลายลงจนหมด
สิ่งมีชีวิตคล้ายลิงขนยาว ปะทะกัน เหมือนจะแย่งเศษซากของสิ่งมีชีวิตบางอย่างใกล้ๆนั้น
“นั่นคือร่องรอยของบรรพบุรุษของเรา” อัลฟา บอกโดยที่ผมยังไม่ทันถาม

“เราเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นเดียวกับท่าน” อัลฟา เล่าต่อ
“เราขาดแคลนพลังงานอย่างหนัก และเริ่มส่งคนออกค้นหาพลังงานในแหล่งอันไกลโพ้น เช่นเดียวกับพวกท่าน”
“ขณะที่เรายังคงบริโภคพลังงานอย่างบ้าระห่ำ ความหวังถึงแหล่งพลังงานที่ห่างไกล ก็ลางเลือนลงทุกขณะ”
“เราเผ้ารออยู่ นับพันปี ดาวของเราเข้าสู่ภาวะหนาวเหน็บ ดวงดาวที่เคยให้แสงสว่างและความอบอุ่นมอดดับลง”
“โดยไม่รู้ตัวพวกเรากลายพันธุ์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ป่าเถื่อนดุร้ายอย่างที่พวกท่านเห็น”

“พลังงานไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว การดำรงชีวิตรอดไปวันๆต่างหาก ที่เป็นเป้าหมายสูงสุด แม้ว่าจะอยู่ เพียงเพื่อพบการดับสูญ เท่านั้น”
อัลฟาหยุดเล็กน้อย
“แต่ยังคงมีบรรพบุรุษของเราอีกกลุ่มหนึ่ง ค้นพบแหล่งพลังงานใหม่”
เขาหยุด เหมือน หยุดหายใจ แต่ผมสาบานได้ว่าเขาไม่ได้หายใจ

ประตูโปร่งแสงบานใหญ่สูงเกือบหกเมตรเบื้องหน้าค่อยๆเปิดออก

ทรงกลมขนาดมหึมา ส่องแสง สว่างไสว หลังประตูบานนั้น
มันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า กิโลเมตร แต่กลับวางอยู่บนแผ่นแก้วโปร่งใสบางๆที่ทุกคนยืนอยู่
ดูราวกับลอยอยู่กลางอากาศโดยไร้น้ำหนัก

ผมปรับสายตา และพบว่า มันเป็นทรงกลมที่ประกอบไปด้วยทรงกลมเล็กๆจำนวนมากมาย แต่ละอันขนาดไม่เกินผ่ามือ

“เราค้นพบว่าจิตอันบริสุทธิ์ สามารถผลิตพลังงานอันไม่จำกัด” อัลฟา อธิบายต่อ
“เรามีสิ่งนี้อยู่ทั่วดวงดาวของเรา”
“จิตที่บริสุทธิ์ จะมีเสถียรภาพโดยตัวของมันเอง แต่เมื่ออยู่รวมกัน จะเกิดการเบี่ยงเบน และเกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น”
“ฉะนั้น การจัดสรรตำแหน่งอย่างเหมาะสม จึงสามารถสร้างเสถียรภาพใหม่ได้ ขณะเดียวกันก็สร้างแรงขับดันที่น่าสนใจเช่นกัน”
สมิธสะกิดผมอีกครั้ง ผมพยักหน้า
ผมรู้ พลังงานที่เห็นอยู่ตรงหน้ามีมหาศาลมากจริงๆ เฉพาะลูกกลมเล็กๆหนึ่งลูกตรงหน้า ปลดปล่อยพลังงานเพียงหนึ่งเสี้ยววินาทีก็เพียงพอให้ยานสำรวจนับแสนๆลำใช้งานได้เป็นเวลานับสิบปี
นั่นหมายความว่า เพียงหนึ่งลูกเล็กๆก็สามารถกู้โลกได้แล้ว

ผมเงยหน้าขึ้นมอง อัลฟา เขาตอบกลับมาโดยผมไม่ทันที่จะเอ่ยปาก
“เนื่องจากโครงสร้างปัจจุบันมีความเสถียรเป็นอย่างมาก การเคลื่อนย้ายทรงกลมลูกเล็กๆเพียงลูกเดียวสามารถสร้างวิบัติทางพลังงานได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเหมือนกับสิ่งที่พวกท่านเรียกว่า หลุมดำ”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่างที่เราบอก จิตอันบริสุทธิ์ สามารถสร้างพลังงานอันไม่จำกัด และเรายินดีสอนพวกท่านในเรื่องนั้น” อัลฟาอธิบายต่อ
น่าสนใจนะ ใช้เวลานานแค่ไหน
“แต่ละคนมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยคือหนึ่งชั่วอายุขัย”
เวรแล้วสิ
“แต่ท่านสามารถนำสิ่งที่ท่านเรียนรู้กลับไปยังดาวของท่าน เพื่อสร้างพลังงานที่ไม่รู้หมด”
ไม่จำเป็นนี่ พลังงานที่ไม่รู้หมด มีอยู่ตรงหน้าแล้ว
ผมพยักหน้าให้สัญาณ

สมิธ ใส่หมวกอวกาศ แล้วโกยอ้าวกลับไปที่ยาน ลูกเรือตามหลังเขาไปสองคน
ผมหยิบอาวุธประจำกายขึ้นมาทันที
ทุกคนในทีมที่เหลือ จัดตำแหน่งเป็นลักษณะจู่โจมอย่างรวดเร็ว

“อย่านะ พวกท่านกำลังตัดสินใจผิด” อัลฟา ร้องเสียงหลง
ผมกระโดดเข้าไป คว้าทรงกลมลูกเล็กๆมาหนึ่งลูก มันหลุดติดมืออกมาอย่างง่ายดายจนผมแปลกใจ มันคงยึดกันอยู่ด้วยพลังงานในรูปแบบอื่นที่ผมไม่เข้าใจ
“… พวก … ท่าน … เข้า …. ใจ … ผิด” ร่างของ อัลฟา เลือนหายไป ทิ้งเสียงร้องกระท่อนกระแท่นในอากาศ

พวกเราจัดกลุ่มในลักษณะคุ้มกัน ผมอยู่ตรงกลางพร้อมลูกแก้วพลังงานในมือ
เสียงบิดเบี้ยวของแก้ว และการบิดชนกันของทรงกลมพลังงาน ดังสนั่นหวั่นไหว
เรารีบเคลื่อนตัวกลับไปที่ยาน
ทางเดินแก้วเริ่มปริแตก ส่งเสียงดังแสบแก้วหู
ด้านหลัง ฝูงสิ่งมีชีวิตคล้ายลิงขนยาววิ่งไล่กวดมา ตัวมันสูงสักสามเมตรเห็นจะได้แต่ไร้ซึ่งความคิดโดยสิ้นเชิง
บางตัวล่วงหล่นไปตามรอยแตกของทางเดินแก้ว
บางตัวจับลูกเรือได้ และฉีกทึ้งเขาอยู่ตรงนั้น ก่อนจะตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง เพราะการพังทลายของทางเดิน

ผมเหลือบดูลูกแก้วพลังงาน และผมสาบานได้ว่า ผมเห็นบางสิ่งเคลื่อนที่ผ่านไปมาเหมือนสิ่งมีชีวิต
“จิตบริสุทธิ์สร้างพลังงานที่ไม่จำกัด” คำพูดของ อัลฟา ล่องลอยเข้ามาในสมองของผม ทำให้ผมขนลุก
หรือนี่คือทรงกลมที่เก็บกักวิญญาณ หรือเราเรียกสิ่งนี้ว่า นรก

ลิงขนยาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า แต่เรายิงฝ่ามันไปได้ไม่ยาก
อากาศเริ่มแปรปรวนอย่างหนักราวกับโลกาวินาศ
เสียงวิทยุเรียกเข้ามา
สมิธ นั่นเอง
“เรา… ผิดพลาดหมดแล้ว … หัวหน้า” สมิธ ละลำ ละลัก
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคลื่นรบกวนหรือเพราะการออกเสียงของสมิธเอง
“เรา ฉิบหาย แล้ว” สมิธ ย้ำ แต่ผมไม่เข้าใจ
“ตั้งพิกัดเดินทางกลับหรือยัง” ผม ตัดสินใจยิงคำถามที่ผมต้องการคำตอบ
“ตั้ง … เสร็จ … แล้ว” สมิธตอบ
“ดีแล้ว เรากำลังไป” ผมสั่ง
“ไม่ต้องแล้ว” สมิธตอบกลับมา
“เราถึงบ้านแล้ว”

ผมชะงัก
การค้นหาตำแหน่งปัจจุบัน มักมีความยุ่งยากซับซ้อน เนื่องจากต้องคำนวณจากตำแหน่งดาวบริบท รอบข้าง แล้วคำนวณย้อนกลับทั้งระบบเพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลหลังสุดที่เรามี เพราะเราไม่รู้ว่าแต่ละดวงดาวที่เห็นคือดาวอะไร
เมื่อเทียบกับการคำนวณหาดาวจุดหมายปลายทาง ที่คิดคำนวณจากแนวทางการเคลื่อนที่ของดาวเป้าหมายเทียบจากอดีตเท่านั้น
ยิ่งเมื่อไม่มีดวงอาทิตย์ให้เปรียบเทียบตำแหน่งปัจจุบันแล้ว

สิ่งที่เคลื่อนไหวในทรงกลมพลังงาน พยายามกรีดร้อง
ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัว แต่พยายามบ่งบอกอะไรบางอย่างกับผม
แต่มันสายเกินไปแล้ว

จบ

6 ความเห็นบน “เมื่อผมลอกงาน “ภวังค์” ของคุณ อติเทพ”

  1. คุณขอบโลก ครับ
    ตอนนั้นมัน แวบ ขึ้นมาจริงๆ
    พอผมนึกย้อนดู สิ่งที่ผมสะดุดในเรื่อง คือ
    ๑. ที่มาของ “ปีศาจ”
    ๒. การค้นพบ ว่า ดาวดวงนี้คืออะไร
    ๓. ฉากตอนต้นของเรื่อง

    คือถ้าคง จุดหักมุม เอาไว้ (ดาวอะไร)
    ผมมีความรู้สึกว่า ปรับอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง
    แต่เป็นการใส่รายละเอียด เล็กๆน้อยๆ ลงไปในหลายๆจุด (และตัดบางส่วนออก)
    คือ ถ้าเป็น comment มันจะยาว เพราะมันหลายจุด
    เลยใช้วิธี เขียนขึ้นมาใหม่แทน

    แต่อย่างที่บอกนะครับ
    style การเขียนมันคนละ style กันนะครับ
    ฉะนั้น อยากให้ดูที่ โครงสร้างเป็นหลัก
    (ในความรู้สึกผม มันนิดเดียวนะ แต่บางคนอาจจะบอกว่า โห นี่รื้อ เรื่องกันเลยนี่ แต่ผมมองในแง่โครงสร้าง ผมว่ายังเป็นโครงสร้างเดิม นะครับ)

    ส่วนถ้าจะเล่นเรื่อง”ปีศาจ”ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้พลังงานเลย
    ผมว่าควรเล่าเรื่องอยู่บนโลกมากกว่า
    แล้วเล่าไปตั้งแต่ การสร้าง(ประเด็นเชิงมนุษยธรรม) และ ความผิดพลาดจนมันยึดครองโลก
    เลยดีกว่า ครับ
    จะได้น้ำ ได้เนื้อ มากกว่า

    ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่า ผู้เขียน คิดอะไร
    คือ “ภาพ” ชายหนุ่ม ที่กอดรูปภรรยาตนเอง อยู่ในยานอวกาศที่กำลังถูกทำลาย
    แต่ในใต้ดินลึกลงไป มีรูปภรรยา(รูปเดียวกัน) จมอยู่
    เป็นภาพที่(น่าจะ)สวย และ กินใจ
    แต่มันดันกลายเป็น กับดัก ที่ทำให้เนื้อเรื่องทั้งหมด “เสีย” อย่างน่าเสียดาย ครับ
    (อันนี้ผมเดาเอาเองนะครับ ถ้าผิดพลาดก็ขอภัยด้วยนะครับ)

    ว่าแต่คุณขอบโลกหมายถึงเรื่องไหน ล่ะครับ

  2. ภาพถ่ายคงมี 2 ใบ แบ่งเก็บไว้กันคนละใบ

    เมื่อนำแนวคิดเดิมมาแก้ไขเปลี่ยนใหม่ ก็กลายเป็นเรื่องใหม่ขึ้นมา

    ว่าแต่ แอลฟ่า นี่ อยู่ในมิติหรือช่วงเวลาเดียวกับลิงขนยาวหรือเปล่า

  3. จาก …
    “โดยไม่รู้ตัวพวกเรากลายพันธุ์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ป่าเถื่อนดุร้ายอย่างที่พวกท่านเห็น”
    “พลังงานไม่ได้สำคัญอีกต่อไปแล้ว การดำรงชีวิตรอดไปวันๆต่างหาก ที่เป็นเป้าหมายสูงสุด แม้ว่าจะอยู่ เพียงเพื่อพบการดับสูญ เท่านั้น”
    อัลฟาหยุดเล็กน้อย
    “แต่ยังคงมีบรรพบุรุษของเราอีกกลุ่มหนึ่ง ค้นพบแหล่งพลังงานใหม่” …

    ผมกำหนดให้ อัลฟ่า และ ลิงขนยาว ล้วนมีรากเหง้าการวิวัฒนาการเดียวกัน (ตามโครงเรื่องก็คือมนุษย์นั่นเอง)
    แต่เนื่องจากผมนำเสนอ อัลฟ่า เป็น โฮโลแกรม
    ฉะนั้น ผมเองก็ไม่ได้ กำหนดรายละเอียดตรงนี้ให้กระจ่างชัดว่า กายที่เห็น คือ รูปลักษณะของร่างๆจริงๆ หรือเป็นเพียงร่างสมมุติ เพราะกลุ่มที่วิวัฒนาการ กลายรูปเป็น พลังงานไปหมดแล้ว และเก็บกักอยู่ในทรงกลมนั้น การแสดงตนในรูปของร่างพลังงานก็น่าจะสามารถกระทำได้

    จุดหลงลืมที่น่าจะหนักหนาที่สุด น่าจะเป็น เรื่องการตรวจวัด และการนำพลังงานไปใช้
    เนื่องจากผมไม่ได้อธิบายว่า พลังงานที่ถูกตรวจพบ ถูกตรวจวัดได้อย่างไร
    และการที่มันเป็นลูกแก้วเกลี้ยงๆไม่มีความร้อน และสามารถยกแยกออกจากทรงกลมรวมได้โดยปราศจากแรงดึงดูด
    มานึกอีกที ก็นึกไม่ออกว่า โดยเทคโนโลยี่ที่ต่างกันมากๆ จะเอาไปใช้งานอย่างไร 😀
    (ไม่เหมือนขโมยเพชร หรือ ทอง)

    เนื่องจากตอนที่เริ่มเขียน(ลอก) ผมพยายาม บาลานซ์ เนื้อหาเรื่องพลังงาน กับฉากแอ๊คชั่น การอธิบายกำเนิดของ ลิงขนยาว (ซึ่งผมโยนให้เป็นการวิวัฒนาการไปเลย) และการค้นพบว่าเป็นโลก

    ซึ่งผมมองว่าการค้นหารูป มันไม่น่าจะลงตัวในบรรยากาศลักษณะนั้นเสียเท่าไร(ระหว่างหลบหนี) … จริงๆุถ้าให้เป็นวัตถุพยานที่ถูกค้นพบเป็นอันดับแรกๆ(ต้นเรื่อง)แล้วรอการตรวจพิสูจน์อยู่ ซึ่งขั้นตอนการตรวจพิสูจน์ สำเร็จเสร็จสิ้นในตอนท้ายของเรื่องพอดี ก็ยังพอจะยอมรับได้อยู่ (แต่น่าจะเป็นการทำให้ถูกเดาออกตั้งแต่ต้นๆเรื่องเช่นกัน)

    โดยแก่นของเรื่อง อาจจะเป็นเรื่องของความเสียสละ(กลุ่มที่วิวัฒนาการกลายเป็นพลังงาน)กับความเห็นแก่ตัว(การขโมย หรือ กลุ่มของลิงขนยาว) แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากนัก เพราะตอนเริ่มเขียนเรื่อง การวางโครงเรื่องและแก่นของเรื่องไม่ได้ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก แต่มุ่งหวังเพื่อพยายามเติมช่องว่างที่ผมรู้สึกว่าขาดหายไป เท่านั้น

  4. สำนักพิมพ์สมมติเพิ่งเอา the time machine ของ H.G. Wells มาตีพิมพ์ใหม่
    http://www.se-ed.com/eshop/Products/Detail.aspx?No=9786167196084
    เค้าโครงเรื่อง (รวมถึงตัวประหลาดแขนยาวขนปุย) ก็เทียบเคียงได้คล้าย ๆ กันครับ
    เพียงแต่ในเรื่อง time machine นั้นมันเป็น dystopia กว่ามาก
    คือคนเดินทางไปในอนาคตแล้วมองเห็นอารยธรรมที่ก่อร่างสร้างตัวมานานว่าเป็นเช่นไรในอนาคต
    มันให้ความหดหู่เพราะรู้ตั้งแต่้แรกว่านี่คือโลกที่เราเพียรสร้างมันมาตลอดทุกช่วงอายุของเรา

    เรื่องนี้ผมชอบแนวคิดที่คุณนิราจ “มองตาม” หลังจากเขียนเสร็จครับ ที่ว่า…

    “ไม่ได้อธิบายว่า พลังงานที่ถูกตรวจพบ ถูกตรวจวัดได้อย่างไร
    และการที่มันเป็นลูกแก้วเกลี้ยงๆไม่มีความร้อน
    และสามารถยกแยกออกจากทรงกลมรวมได้โดยปราศจากแรงดึงดูด
    มานึกอีกที ก็นึกไม่ออกว่า โดยเทคโนโลยี่ที่ต่างกันมากๆ จะเอาไปใช้งานอย่างไร”

    อันนี้แหละครับที่พอถึงเวลาลงมือเขียนจริง ๆ แล้วสามารถแยกแยะได้ว่างานมีความละเมียดขนาดไหน
    ถ้าสามารถอธิบายส่วนนี้ในเรื่องได้ จะทำให้ความสมเหตุสมผลมีมากขึ้น อ่านแล้วไม่ติดค้างครับ

ใส่ความเห็น