ลุงชัยนั่งมองสมุดเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นอยู่เป็นชั่วโมง พลิกกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้ากระดาษเหลืองกรอบเหมือนจะสลายเป็นผงได้ทุกเวลาถูกแกหยิบจับอย่างทะนุถนอม คัดลอกบางข้อความลงไปในสมุดเล่มเล็ก สุดท้ายแกก็ปิดมันแล้วนั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามผมว่าได้มาจากไหน ผมตอบไปตามจริงว่าซื้อมาจากร้านหนังสือมือสอง
“ครั้งแรกว่ายากแล้ว ครั้งนี้ดีไม่ดีจะทำไม่สำเร็จเอา แต่ลุงว่ามันคุ้มค่าว่ะ”
ถัดไปไม่กี่วินาที อาคารรัฐสภาลอยผ่านไป เงาดำทอดบังหน้าต่างทำให้ห้องสลัวลง ด้วยขนาดที่ใหญ่เกินบรรยายเราจึงตกอยู่ในความมืดหลายนาที ลุงชัยถูกกลืนหายไปในจุดอับแสง และเมื่อตึกประหลาดหลังนั้นเคลื่อนผ่านไปผมถึงได้สังเกตเห็นว่าแววตาของแกส่องประกายระยับสุกสว่างเหมือนกับไอพ่นยานอวกาศ และผมก็หมายถึงไอพ่นยานอวกาศจริง ๆ
เวลาเจ็ดสิบกว่าปีทำให้ความจริงเรื่องหนึ่งขยายเป็นตำนานได้ไม่ยากเย็น คนที่เคยเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นบางคนไม่เชื่อจนวันตายว่ามันเคยเกิดขึ้น ที่ไปไกลกว่านั้นคือหลายคนกลับบอกว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ก็มีไม่น้อยที่ยืนยันว่าไม่ได้โกหก หลายคนยังเอาไปเล่าต่อแบบเพิ่มตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อยจนไม่รู้ว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนโม้จนทุกวันนี้
สมุดเล่มนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรื่องเมื่อค่อนศตวรรษก่อนไม่ใช่แค่คำโกหกของพวกต่อต้าน อันที่จริงพวกต่อต้านส่วนหนึ่งยังเคลมว่าขบวนการของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นจากเหตุนั้นด้วยซ้ำ
โดรนฝูงใหญ่บินตามอาคารรัฐสภาไปช้า ๆ ว่ากันว่ามันคอยตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สัญญาณดิจิตอล คลื่นวิทยุ ไปจนถึงเสียงกระซิบแผ่วเบา ‘สักวันมันจะเจาะเข้าไปในความคิดของเรา’ ลุงชัยเคยบอก ผมได้แต่หวังว่าวันนี้มันคงจะยังทำไม่ได้ เพราะถ้ามันทำได้ อีกไม่ถึงห้านาทีจะมีทีมติดอาวุธมาถีบประตูหน้าแล้วจับเราทั้งคู่ไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิด
ปิดท้ายด้วยโดรนประชาสัมพันธ์ประกาศเสียงดังก้อง “วรรณกรรมต้องห้ามของลัทธิฮิปสเตอร์ หนึ่งเก้าแปดสี่ ฟาเรนต์ไฮต์สี่ห้าหนึ่ง ฮังเกอร์เกม ผู้ดาวน์โหลดจะมีความผิดตามกฎหมาย”
สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือลุงชัยกำลังนั่งยิ้มโบกมือให้ฝูงโดรนพวกนั้น …พวกมันจะมาจับเราเพราะโบกมือให้พวกมันนี่แหละ
สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากขบวนแห่ของอากาศยานพวกนั้นลับตาไปคือเกลี้ยกล่อมให้ลุงเปลี่ยนใจ พยายามมองหาช่องโหว่ในแผนการสุดระห่ำของแกเพื่อโต้แย้ง หาทางขยายช่องเหล่านั้นให้กว้างขึ้นแล้วผลักแกลงไป
“อ่านจบแล้วใช่ไหม” ลุงชัยยกสมุดเล่มนั้นขึ้นโบก ผมพยักหน้าตอบ
“ถ้าไม่สู้เราก็แพ้มันตั้งแต่ตอนนี้ แต่ถ้ายังสู้อยู่ ก็แปลว่ายังไม่แพ้”
จนปัญญาจะโต้ตอบคำพูดโบราณที่ผ่านวันเวลามาหลายร้อยปี รูปประโยคอาจมีผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ใจความสำคัญไม่เคยเปลี่ยนไป เหมือนกับทุกตำนานที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งให้ยิ่งใหญ่เกินจริงไปเรื่อย ๆ เรื่องเล่าของคำพูดนี้ที่คนเชื่อกันมากที่สุดคือมีมนุษย์ห้าคนจากดาวที่ผืนดินแห้งระแหงยืนหยัดต่อสู้ทั้งกองทัพอย่างไม่กลัวตาย คำพูดนี้มาจากหนึ่งในอัศวินห้าคนนั้น
“ที่ลุงจะทำนี่มันเหมือนหนีมากกว่าสู้นะลุง”
“เขาเรียกว่าการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์โว้ย”
“ว่าไงก็ว่าตามกัน” เวลานี้แววตาของผมคงเฉิดฉายเหมือนไอพ่นจรวดของลุงไปแล้ว
ภารกิจยิ่งใหญ่ของลุงชัยคือการจุดระเบิด “ครั้งที่สอง” ตอนที่มีคนทำครั้งแรกสำเร็จนั้นเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครทำมันครั้งที่สองหรอก นี่อาจเป็นเพียงเรื่องฝันเฟื่องของชายชราผู้ป่วยไข้ด้วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือคนขับแท๊กซี่ปากเสียคนหนึ่งที่อยากประชดประชันใครสักคน บันทึกเล่มที่ลุงชัยถืออยู่บอกผมแค่ว่าเขาไม่ได้บ้า
ตำนานเรื่องนี้คือเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ในวันที่ดวงดาวตกอยู่ในทุรยุค อำนาจถูกเปลี่ยนมือไปสู่ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จและตามมาด้วยการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามขนานใหญ่ อีกฝ่ายหากไม่ถูกจับไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดก็ถูกขับไล่ออกไปจากดวงดาว ทั้งที่รู้ว่าการหาตั๋วสักใบบินออกไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในสภาวะเศรษฐกิจกลับหลังหันแล้วเดินหน้าลงคลองแบบนี้
‘จะแยกอำนาจออกเป็นส่วน ๆ ไปทำไม ในเมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จสามารถเนรมิตรถนนทองคำให้ดาวทั้งดวงได้’ ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จเคยประกาศเอาไว้ แต่ทุกวันนี้ขออย่าได้ถามท่านเชียว ‘หากใครไม่พอใจก็เชิญออกไปอาศัยอยู่ในอวกาศโน่น!’
‘ท่านก็ซื้อตั๋วเรือบินอวกาศให้ผมสักใบสิ’ ตาเฒ่าผู้กำลังจะกลายเป็นตำนานเคยบอกเอาไว้ ก่อนที่อยู่มาวันหนึ่งหลังคาบ้านของแกจะเปิดออกแล้วจรวดลำจิ๋วก็พุ่งทะยานออกไปสู่ความมืดมิดเบื้องบน ทิ้งควันพวยพุ่งเป็นสายเอาไว้เบื้องหลัง เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อเจ็ดสิบสองปีก่อน
นั่นล่ะ ที่มาของเรื่องทั้งหมด
บางคนบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องแหกตา แต่พอหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาอีก ฝ่ายต่อต้านที่รวมตัวหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มนับวันนั้นเป็นวันที่หนึ่งของศักราชใหม่ปีที่หนึ่ง แต่ฝ่ายต่อต้านก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแหกตาไม่แพ้กัน ของจริงเพียงอย่างเดียวคือท่านผู้นำเบ็ดเสร็จยังมีชีวิตยืนยาวมาจนทุกวันนี้ ว่ากันว่าอวัยวะในร่างกายเกินครึ่งถูกเปลี่ยนเป็นของเทียม สมองถูกฉีดพ่นด้วยสเต็มเซลล์ให้คงความคิดสดใหม่ไว้ตลอดเวลา ดวงตาทั้งสองข้างถูกเปลี่ยนเป็นเลนส์พิเศษที่ว่ากันว่าสามารถมองทะลุลงไปถึงความกลัวในจิตใจคนอื่นได้
ลุงชัยจะทำเรื่องที่ว่าเป็นครั้งที่สองด้วยเทคโนโลยีที่ย้อนหลังไปเกือบศตวรรษ และผมกำลังจะกลายมาเป็นลูกมือของแก เหมือนขาแหย่เข้าไปในค่ายกักกันข้างหนึ่งไปแล้ว
“ข้อแรก ต้องไม่ให้โดนจับได้” ลุงชัยยกนิ้วชี้
แน่นอนครับลุง
“ข้อสอง ต้องทำให้สำเร็จ” แน่นอนอีกเช่นกันครับลุง ถ้าทำไม่สำเร็จก็จะโดนจับได้ ไม่ต้องมีข้อสองก็ได้ครับ
“ครั้งหนึ่งที่ดาวแม่ เมืองเจอมาเนียมถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นดินแดนอนุรักษ์นิยม ฝั่งตะวันตกเป็นฮิปสเตอร์ สองผัวเมียพยายามหนีจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกด้วยบอลลูนลมร้อน พวกนั้นค่อย ๆ ทยอยซื้อของที่จำเป็นทีละน้อยจากหลายแห่งมาประกอบเป็นยานบิน เราจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ทีนี้ก็เริ่มจากทำบัญชีรายการของที่ต้องใช้ก่อน”
“แล้วเขาทำสำเร็จไหมลุง”
“น่าจะทำได้ ถ้าจำไม่ผิดนะ”
ลุงชัยให้จดทุกอย่างลงกระดาษ หลังจากทำเสร็จแต่ละขั้นตอนแล้วก็ให้เผาข้อมูลส่วนนั้นทิ้งในเตาขยะหลังบ้าน ไม่มีการค้นข้อมูลออนไลน์ ไม่ีการเก็บข้อมูลดิจิตอล ไม่มีการซื้อของทางเน็ต ทั้งหมดนั้นทำให้เสียเวลามากขึ้น แต่ลุงยืนยันว่ามันเป็นมาตรการความปลอดภัยที่จำเป็น
ทยอยถอนเงินจากธนาคาร ซื้อทุกอย่างด้วยเงินสด เปลี่ยนร้านซื้อของไปเรื่อย ลุงชัยทำงานโครงสร้าง ส่วนผมรับผิดชอบซอฟท์แวร์ มันเหมือนมีอะไรสะกิดใจผมมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่ได้เอะใจ ด้วยคิดว่ามันเป็นความเครียดจากงานใต้ดินที่พร้อมจะถูกจับได้ทุกเวลา ไอ้เรื่องเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ตอนกลับออกมานี่สิ บางคนตักข้าวใส่ปากยังไม่ตรงเลย มันน่ากลัวตรงนี้นี่แหละ
กำหนดการปล่อยยานใกล้เข้ามา ลุงชัยเลือกวันกลางอากาศหนาวที่คิดว่าท้องฟ้าจะโล่งโปร่งที่สุด จังหวะเหมาะคือตอนที่อาคารรัฐสภาลอยผ่านมาตามรอบ ปกติแล้วท่านผู้นำอาศัยอยู่ในนั้นเพื่อการรักษาความปลอดภัย หวังว่าคงจะมีใครสักคนชี้ให้เขาดูว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่จรวดของเราพุ่งผ่านหน้าไป
สุดท้ายเราได้จรวดทรงกระสวยป้อม ๆ มาลำหนึ่งในที่สุด ห้องโดยสารเล็กจนตอนที่เข้าไปสอนลุงแกบังคับเครื่องนั้นต้องนั่งเบียดกันจนแทบหายใจไม่ออก ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่มันเป็นยานอวกาศที่นั่งเดี่ยวนี่หว่า
“ก็ต้นแบบมันเขียนไว้แบบนี้” ลุงชัยตอบ หน้านิ่งเหมือนเพิ่งแย่งหลานกินขนมแล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะหาให้ใหม่อีกลำ
หันกลับไปดูรอบตัว บ้านสองชั้นหลังเล็กตอนนี้มีแต่โครงข้างนอกเท่านั้นที่เป็นบ้านอยู่ ส่วนข้างในกลายเป็นแท่นปล่อยจรวดอัดแน่นจนบ้านแทบปริ ไม่ต้องคิดจะสร้างลำที่สองเลย
ลุงพาผมเข้าไปในห้องโดยสารแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง
“อันนี้เป็นเครื่องส่งสัญญาณ ใส่เพิ่มเข้ามาจากแปลนเดิม หลังจากพ้นชั้นบรรยากาศแล้วเราจะเปิดเครื่องนี้ ถ้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยรับสัญญาณได้ เขาจะส่งยานมาช่วยพาไปที่ปลอดภัย แท้งค์ข้างหลังคือไครโอแช่แข็ง เราจะอยู่ในนั้นได้หลายปีระหว่างรอความช่วยเหลือ ไอ้เครื่องนี้ก็ติดตั้งเพิ่มเหมือนกัน รอบที่แล้วตาเฒ่าแกตั้งใจบินออกไปตาย ไม่มีไครโอติดไปด้วย”
ปัญหาคือไครโอก็มีอยู่เครื่องเดียว
“เลือกเอาว่าจะอยู่หรือจะไป”
เฮ้ย เล่นกันอย่างนี้เลยเหรอลุง
“ใครอยู่ก็ไปเข้าค่าย คนไปก็เสี่ยงดวงเอา พระเจ้ากำเนิดเรามาเสรีโว้ยไอ้หลานรัก”
ให้มันได้อย่างนี้สิลุง
อาคารรัฐสภาลอยมาให้เห็นลิบ ๆ และผมต้องตัดสินใจ
??? จบแค่นี้เหรอครับ ???
รออ่านอยู่
😛
ตัดใจไม่ได้ว่าจะให้ใครอยู่ใครไปครับ เลยขอทิ้งค้างไว้แบบนี้ครับ
😀