วัลฮัลลา (Valhalla) – บทที่ 1 (แก้ไข สมบูรณ์)

 

บทนำ (1)

เจ้าหญิงแห่งอวกาศ

อนาสตาเซีย

 

ปี E.A. ที่ 0006 (Ender Age)

สถานที่ : สถานีขนส่งอวกาศเมอร์คิวรี่ 4

ดูสิคะ คุณแม่”

เด็กหญิงวิ่งไปยังกระจกใสที่กั้นระหว่างด้านในของสถานีกับอวกาศด้านนอก ดวงตาของเธอกลมโตเป็นประกาย ในขณะที่กำลังมองไปยังภาพที่อยู่อีกฟากของกระจก

ที่ใจกลางของความมืด กลุ่มดาวกระจุกรวมตัวกันจนเกิดเป็นกลุ่มก้อน ก่อให้เกิดแสงสว่างสว่างเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วห้วงอวกาศอันมืดมิด

ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้เท่าไหร่นะ” ผู้เป็นแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น

ขนาดคุณแม่เดินทางไปมาทั่วอวกาศแล้วยังไม่เคยเห็นเลยหรือคะ” เด็กหญิงถาม

ที่เคยเห็น กลุ่มดาวมันไม่กระจุกตัวเป็นก้อนจนเกิดแสงสว่างถึงขนาดนี้น่ะจ๊ะ”

ว้าว งั้นหนูก็โชคดีมากเลยสิคะที่ได้เห็น”

จริงด้วยนะ”

เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางมองดูภาพของหมู่ดาวเหล่านั้นอย่างร่าเริง ในขณะที่ผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนยิ้ม พลางมองดูภาพหมู่ดาวนั้นอยู่ข้างๆ

ลานพักผู้โดยสารแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินคราคร่ำ บ้างก็นั่งฆ่าเวลาเพื่อรอเที่ยวบินที่กำลังจะมาถึงยังรอบต่อไป แม้ท่าอากาศยานแห่งนี้จะค่อนข้างห่างไกลจากใจกลางความเจริญ แต่ก็นับว่าเป็นจุดพักการเดินทางที่สำคัญในเขตแดนของจักรภพรอบนอก

ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังเพลิดเพลินกับภาพของหมู่ดาวอันแสนตระการตานั้น เสียงเข้มสูงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งสอง “ขอโทษครับ คุณอานีส แอ็คเซลสินะครับ”

แม่ของเด็กหญิงหันไปตามเสียงเรียก อีกฝ่ายคือชายหนุ่มอายุราว 18-19 ปี ใบหน้าคมเข้ม ผมและดวงตาสีดำสนิท แต่งกายด้วยเครื่องแบบของนายทหารแห่งสหพันธ์มนุษย์ (Union of Human) เต็มยศ

จำผมได้ไหม” ชายหนุ่มพูด

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะร้องเสียงดัง “โทมะ!!! จริงๆเหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีเลยนะ”

เช่นกันครับ”

ไม่น่าเชื่อ เธอโตขึ้นเยอะจนฉันแทบจำไม่ได้เลย”

โทมะยิ้มรับ “คุณเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ยังดูสวยเหมือนสมัยก่อนไม่ผิด”

แหม ปากหวานจริงนะพ่อหนุ่มน้อย” อานีสพูดพลางตบไหล่เขาเบาๆ “ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันก็หลายปีแล้วนะ ตอนนั้นเธอยังเป็นแค่นักเรียนเตรียมทหารอยู่เลย แล้วนี่ถูกบรรจุเข้ากองทัพตั้งแต่เมื่อไหร่”

เมื่อต้นปีนี้เองครับ” โทมะพูดพลางแตะเครื่องหมายปีกสีเงินที่อกเสื้อ อันแสดงถึงยศร้อยตรี “แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ผู้ช่วยนักบินเท่านั้น”

อายุแค่นี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วเท่ากับว่าความฝันของเธอเป็นจริงส่วนหนึ่งแล้วสินะ ยินดีด้วยจ๊ะ”

ขอบคุณครับ…” ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนเกาะที่ขาของหญิงสาว “เด็กคนนี้คือ…”

อ้อ โทษทีนะ ยังไม่ได้แนะนำเลย” อานีสก้มตัวลงลูบที่ศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยเบาๆ “ลูกสาวฉันชื่ออนาสตาเซีย เพิ่งจะอายุครบ 6 ปีเต็มพอดี”

ชายหนุ่มเหม่อมองดูเด็กหญิงตัวน้อย เธอมีดวงตากลมโตและผมสีแดงเช่นเดียวกับอานีสผู้เป็นแม่

พี่ชื่อโทมะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มก้มตัวลงพลางยื่นมือออกมา แต่เด็กน้อยกลับปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี จนชายหนุ่มถึงกับตกใจ

ลูกทำอะไรน่ะ” อานีสเอ็ดใส่

แม่เคยบอกว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วพี่ชายคนนี้ก็ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจนี่นา”

อานีสหัวเราะลั่น “ได้ยินไหม โทมะ ลูกสาวฉันบอกว่าเธอไม่น่าไว้ใจน่ะ ดูเหมือนจะได้รับพรสวรรค์ในการอ่านใจคนจากฉันไปเต็มที่เลยนะ ”

โธ่ อย่าแกล้งกันสิครับ” โทมะพูดเสียงอ่อย

ก็แหม เธอในสมัยก่อนมันเป็นแบบนั้นจริงๆนี่นา ฉันยังจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้นะ”

ชายหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อไม่อาจโต้แย้งได้จึงทำคอตก อานีสเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะต่อพลางขยี้ที่ศีรษะของเขาเบาๆ “แหม ที่จริงแล้วก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

อนาสตาเซียเห็นท่าทางของชายหนุ่มแบบนั้น จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วเป็นฝ่ายยื่นมือให้จับ

ไหนว่าฉันไม่น่าไว้ใจไง” โทมะขมวดคิ้ว

ก็ตอนนี้ดูน่าไว้ใจขึ้นแล้วน่ะ”

โทมะยิ้มรับแล้วจับมือตอบเบาๆ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ หนูอนาสตาเซีย”

อื้อ โทมะ”

เรียกว่าพี่นำหน้าด้วยสิ” อานีสแทรก

ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือหรอก”

งั้นก็ตามใจนะ จริงสิ…” อานีสกวาดสายตาไปรอบๆท่าอากาศยาน ซึ่งมีผู้คนนับร้อยกำลังรอยานโดยสารอยู่เช่นเดียวกับเธอ “นายทหารที่เพิ่งได้รับบรรจุอย่างเธอมาทำอะไรที่อาณานิคมห่างไกลแบบนี้ล่ะ”

ทันใดนั้น บรรยากาศสบายๆรอบตัวของโทมะพลันสลายสิ้น เขาตอบกลับด้วยใบหน้านิ่ง “เป็นภารกิจทางทหารน่ะครับ ต้องขออภัยด้วยที่ไม่อาจบอกได้”

อานีสขมวดคิ้ว แต่หลังจากกวาดสายตาดูรอบบริเวณแล้วเธอสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงถอนใจเบาๆ “เข้าใจละ”

รู้สึกตัวด้วยหรือครับ”

ก็นะ รอบบริเวณนี้มีผู้ชายหลายคนที่แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดา แต่ท่าทางของแต่ละคนดูมีพิรุธตลอดเวลาราวกับพวกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบซะนี่”

คุณยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะครับ น่าเสียดายที่…”

ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนในสังกัดของสหพันธ์มนุษย์อีกแล้วนะ”

งั้นหรือครับ…” โทมะนิ่งไปเล็กน้อย “จริงสิ แล้วนี่คุณจะเดินทางไปไหนหรือครับ”

ก็ว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักหน่อยน่ะ”

อาณานิคมไซราคหรือครับ”

ยังจำได้อีกหรือ ใช่แล้ว” ว่าแล้วเธอก็ลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ “ที่สำคัญ ฉันยังไม่เคยพาเด็กคนนี้ไปพบคุณตาทวดของแกเลย”

โทมะถึงกับตาลุก “คุณหมายถึงวีรบุรุษ เดลาส แอ็คเซลคนนั้นหรือครับ”

อานีสหัวเราะเบาๆ “แม้ท่านจะเคยได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ท่านก็อายุเฉียดร้อยปีและเป็นแค่คนชราที่มีความสุขกับชีวิตในอาณานิคมบ้านนอกเท่านั้นเอง”

จริงสิ แล้วพ่อของเด็กคนนี้ล่ะครับ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ”

ทันใดนั้น โทมะรู้สึกว่าได้ถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป เพราะใบหน้าของอานีสพลันเคร่งเครียดขึ้นทันที กระทั่งเด็กน้อยอย่างอนาสตาเซียเองก็เช่นกัน

ขอโทษครับ” โทมะรีบพูด

ไม่เป็นไร” อานีสพูดพลางลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ ใบหน้าของอนาสตาเซียผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

ทันใดนั้น ความสนใจของทั้งสาม รวมไปถึงทุกชีวิตภายในลานพักผู้โดยสารก็หันเหไปยังอวกาศด้านนอก เมื่อจู่ๆก็ปรากฏแสงสว่างหลากสีประดุจปรากฏการณ์ออโรร่าส่องแสงเจิดจ้าไปทั่ว โดยแสงนั้นมีจุดเริ่มมาจากกลุ่มก้อนของดวงดาวก่อนหน้านี้

ผู้คนตางส่งเสียงฮือฮา แล้วทันใดนั้นเสียงประกาศจากระบบคอมพิวเตอร์ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็แจ้งไปทั่วลานพักผู้โดยสาร “ขณะนี้เป็นเหตุฉุกเฉิน ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านที่อยู่ในสถานีทำการอพยพ…”

ไม่ทันที่เสียงจะประกาศจบ ทั้งสถานีก็เกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับภาพของปรากฏการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มดาวที่รวมตัวกันเมื่อครู่กลับแยกออก ในขณะที่แสงออโรร่าซึ่งสาดส่องทั่วห้วงอวกาศนั้นกลับกลับดึงดูดกลับเข้ามารวมตัวกัน ราวกับมีบางสิ่งดูดแสงสว่างนั้นเอาไว้ เมื่อมันถูกดูดเข้ามาจนกระทั่งถึงจุดศูนย์กลาง ห้วงอวกาศ ณ ตรงนั้นก็พลันปรากฏรอยแยก

อวกาศกำลังแตก!!!” เสียงของผู้คนตะโกนดังสนั่น ท่ามกลางความชุลมุนภายในสถานีขนส่ง แล้วไม่กี่อึดใจ วัตถุขนาดยักษ์สีดำทะมึนก็ค่อยๆปรากฏออกมาจากช่องว่างของรอยแยกนั้น

อนาสตาเซียได้แต่ยืนตาค้างกับภาพที่เห็น วัตถุนั้นราวกับยานอวกาศขนาดยักษ์ มันมีรูปทรงเป็นดั่งแท่นผลึกคริสตัล ที่ปลายแหลมซึ่งนำหน้าสุดนั้นมีวงแหวนหมุนวนซึ่งก่อให้เกิดกระแสไฟขึ้น

ทันใดนั้น พลันปรากฏแสงสว่างลุกวาบขึ้นจากวงแหวนนั้น พริบตานั้น อวกาศโดยรอบสถานีพลันเกิดการบิดเบี้ยว และเริ่มเข้าบดขยี้สถานีในทันใด

เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วทั้งสถานี

หนีกันเถอะ” อานีสตะโกนบอกโทมะในขณะที่อุ้มอนาสตาเซียขึ้นมา ชายหนุ่มซึ่งตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นรีบตั้งสติ ทั้งสามวิ่งปะปนไปพร้อมกับคลื่นฝูงชนที่กำลังแตกตื่น ไปยังช่องประตูที่นำไปสู่ยานฉุกเฉิน

ประตูฉุกเฉินแออัดไปด้วยฝูงชนที่ถาโถมเข้าไป ไม่ช้า เสียงระเบิดก็เริ่มดังขึ้นจากภายในทั่วสถานี ส่งผลให้ผู้คนยิ่งตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ผลักและดึงรั้งอีกฝ่ายไว้เพื่อที่ตนเองจะได้ไปถึงยานฉุกเฉินได้ก่อน

ทางนี้” โทมะวิ่งนำสองแม่ลูกอ้อมไปอีกเส้นทาง ซึ่งแม้จะต้องเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ไม่ต้องเบียดเสียดไปกับฝูงชนมากนัก พวกเขาเร่งไปจนถึงป้ายชี้ไปยังประตูทางออกฉุกเฉินหมายเลข 6

ทั้งสามรีบตรงไปยังประตูที่จะนำไปสู่ทางเข้ายานฉุกเฉิน แต่ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังไล่ตามมาจากด้านบน ทันใดนั้น เพดานของทางเดินก็ถล่มลงมาขวางหน้าพวกเขาไว้

แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาปิดขวางเส้นทางหนี อานีสอาศัยประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนทั่วไปทำให้รับรู้ถึงอันตรายนี้ได้ทันท่วงที เธอถีบร่างของโทมะที่อยู่ด้านหน้าให้พุ่งตรงออกไปก่อนที่เพดานจะทันถล่มมาปิดทางจนหมด พร้อมกับผลักร่างของอนาสตาเซียไปให้ชายหนุ่ม จนกระทั่งทั้งสองหลุดรอดออกไปได้ทัน เว้นแต่เพียงตัวของอานีสเอง

คุณแม่!!!” เด็กหญิงมองตามหลังแล้วตะโกนสุดเสียง

มีชีวิตรอดไปให้ได้!!!” นั่นคือคำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนงดงาม ก่อนที่นั่นจะกลายเป็นภาพสุดท้ายของผู้เป็นแม่ที่ปรากฏแก่สายตาของอนาสตาเซีย ก่อนที่ซากกำแพงบนเพดานจะถล่มลงมาปิดเส้นทางระหว่างทางสองฟากเอาไว้

คุณอานีส!!!” โทมะตะโกนพลางพุ่งเข้าไปหมายจะหาทางทำลายสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า แต่แรงระเบิดก็ยังคงดังต่อเนื่อง และคราวนี้ทางเดินโดยรอบก็กำลังจะถล่มตามไปด้วย

โทมะกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซิบ เขาตัดสินใจอุ้มร่างของอนาสตาเซียขึ้นพาดไหล่แล้วพุ่งต่อไปยังทางเข้าประตูฉุกเฉินที่อยู่อีกไม่กี่เมตรข้างหน้า โดยไม่เหลียวกลับไปมองเบื้องหลังอีก

เด็กหญิงร้องตะโกน “จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ คุณแม่คุณแม่ยังติดอยู่ข้างใน กลับไปช่วยคุณแม่เดี๋ยวนี้นะ!!!”

ดวงตาสีแดงใสคู่นั้นระเบิดน้ำตาออกมาไม่หยุด เสียงของเธอเริ่มอุดอู้ ก่อนที่จะตะโกนลั่นจนสุดเสียง

คุณแม่!!!”

…………………………………………………….

เมื่ออยู่เพียงลำพังท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนและแรงระเบิดที่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจากทั่วสารทิศ อานีสก็ตัดสินใจวกกลับไปยังเส้นทางเดิม เธอยังคงพยายามดิ้นรมอย่างไม่ยอมแพ้ที่จะหาเส้นทางอื่นที่จะหนีรอดไปจากที่นี่ให้ได้

แต่เวลาไม่เพียงพอเสียแล้ว เสียงสัญญาณแจ้งเตือนภัยจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ดังต่อเนื่องมาตลอดได้หยุดลง แสดงว่าคอมพิวเตอร์หลักที่ควบคุมระบบทุกอย่างของสถานีแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว ดังนั้นต่อให้สถานีไม่ระเบิดไปจนหมด แต่ระบบยังชีพที่กำลังจะหยุดทำงาน ก็จะทำให้เธอขาดออกซิเจนจนตายอยู่ดี

ตายเพราะขาดอากาศ กับถูกแรงอัดของอวกาศด้านนอก หรือเพราะแรงระเบิด อันไหนทรมานกว่ากันนะ ไม่เคยคิดด้วยสิ” อานีสพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วเธอก็หัวเราะเสียงดัง “อย่างน้อยถ้าจะต้องตายแน่ๆแล้ว ฉันขอเลือกเองก็แล้วกัน”

ดวงตาของหญิงสาวฉายแววเป็นประกาย เธอพุ่งตรงไปยังเส้นทางที่ยังคงสามารถไปต่อได้เรื่อยๆ ระหว่างทางเธอพบเห็นผู้คนบางส่วนที่หนีไม่ทันและถูกแรงระเบิดหรือซากเพดานถล่มทับจนตายและกลายเป็นศพลอยเคว้งไปทั่ว เนื่องจากตอนนี้ระบบควบคุมแรงโน้มถ่วงหยุดทำงานไปแล้ว

อานีสเห็นศพหนึ่งถูกแท่นเหล็กซึ่งกระเด็นเพราะแรงระเบิดเสียบทะลุเข้าที่กลางอก ในขณะที่กำลังจะสวมชุดอวกาศ เธอจึงคว้าเอาชุดอวกาศนั้นมาแล้วรีบสวมแทน จากนั้นจึงมุ่งไปต่อ จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงลานพักผู้โดยสาร ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดไฟลุกท่วมจากแรงระเบิดจนแทบไม่เหลือสภาพแล้ว

หมดหนทางที่จะหนีรอดออกไป ต่อให้ออกไปได้ก็มีหวังถูกแรงอัดที่เกิดจากการบิดเบี้ยวของห้วงอวกาศเข้าบดขยี้จนไม่เหลือซาก เธอได้แต่หวังว่าโทมะจะสามารถพาอนาสตาเซียขึ้นยานฉุกเฉินแล้วหนีออกไปจากบริเวณนี้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด

จบแค่นี้หรือเนี่ยไม่สิ อย่างน้อยที่สุด…” หญิงสาวมองผ่านรอยโหว่ของกำแพงออกไปยังห้วงอวกาศ

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของเธอคือตัวการของความพินาศในครั้งนี้ วัตถุรูปทรงคริสตัลสีดำขนาดมหึมา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง แต่สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ด้วยด้วยวิทยาการของมนุษย์เลย ถ้าเช่นนั้นคำตอบมีเพียงอย่างเดียว

เผ่าพันธุ์อื่นจากนอกระบบสุริยะจักรวาลใช่ไหม” เธอพูดกับตัวเองราวกับต้องการคำตอบ แล้วผู้ที่ตอบเธอได้ล่ะ

วงแหวนที่อยู่ด้านหน้าของวัตถุขนาดมหึมานั้นเริ่มหมุนวนอีกครั้ง คราวนี้พลันปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาจากวงแหวนนั้น

อานีสพยายามเพ่งตามอง อย่างน้อยเธอก็ขอเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนี้จนถึงวินาทีสุดท้าย กระทั่งสายตาของเธอไม่อาจต้านรับแสงสว่างอันเจิดจ้านี้ได้อีก เธอจึงหลับตาลง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น เธอรู้สึกว่าได้เห็นเงาร่างของใครบางคนยืนอยู่ภายในแสงสว่างอันเจิดจ้านั้น

ใครน่ะ…”

ไม่มีคำตอบใด แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไป ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นในมโนจิตคือใบหน้าอันยิ้มแย้มของผู้เป็นแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียว

อนาสตาเซีย

บทนำ (1)

เจ้าหญิงแห่งอวกาศ

อนาสตาเซีย

 

 

ปี E.A. ที่ 0006 (Ender Age)

สถานที่ : สถานีขนส่งอวกาศเมอร์คิวรี่ 4

 

ดูสิคะ คุณแม่”

เด็กหญิงวิ่งไปยังกระจกใสที่กั้นระหว่างด้านในของสถานีกับอวกาศด้านนอก ดวงตาของเธอกลมโตเป็นประกาย ในขณะที่กำลังมองไปยังภาพที่อยู่อีกฟากของกระจก

ที่ใจกลางของความมืด กลุ่มดาวกระจุกรวมตัวกันจนเกิดเป็นกลุ่มก้อน ก่อให้เกิดแสงสว่างสว่างเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วห้วงอวกาศอันมืดมิด

ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้เท่าไหร่นะ” ผู้เป็นแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น

ขนาดคุณแม่เดินทางไปมาทั่วอวกาศแล้วยังไม่เคยเห็นเลยหรือคะ” เด็กหญิงถาม

ที่เคยเห็น กลุ่มดาวมันไม่กระจุกตัวเป็นก้อนจนเกิดแสงสว่างถึงขนาดนี้น่ะจ๊ะ”

ว้าว งั้นหนูก็โชคดีมากเลยสิคะที่ได้เห็น”

จริงด้วยนะ”

เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางมองดูภาพของหมู่ดาวเหล่านั้นอย่างร่าเริง ในขณะที่ผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนยิ้ม พลางมองดูภาพหมู่ดาวนั้นอยู่ข้างๆ

ลานพักผู้โดยสารแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินคราคร่ำ บ้างก็นั่งฆ่าเวลาเพื่อรอเที่ยวบินที่กำลังจะมาถึงยังรอบต่อไป แม้ท่าอากาศยานแห่งนี้จะค่อนข้างห่างไกลจากใจกลางความเจริญ แต่ก็นับว่าเป็นจุดพักการเดินทางที่สำคัญในเขตแดนของจักรภพรอบนอก

ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังเพลิดเพลินกับภาพของหมู่ดาวอันแสนตระการตานั้น เสียงเข้มสูงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งสอง “ขอโทษครับ คุณอานีส แอ็คเซลสินะครับ”

แม่ของเด็กหญิงหันไปตามเสียงเรียก อีกฝ่ายคือชายหนุ่มอายุราว 18-19 ปี ใบหน้าคมเข้ม ผมและดวงตาสีดำสนิท แต่งกายด้วยเครื่องแบบของนายทหารแห่งสหพันธ์มนุษย์ (Union of Human) เต็มยศ

จำผมได้ไหม” ชายหนุ่มพูด

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะร้องเสียงดัง “โทมะ!!! จริงๆเหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีเลยนะ”

เช่นกันครับ”

ไม่น่าเชื่อ เธอโตขึ้นเยอะจนฉันแทบจำไม่ได้เลย”

โทมะยิ้มรับ “คุณเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ยังดูสวยเหมือนสมัยก่อนไม่ผิด”

แหม ปากหวานจริงนะพ่อหนุ่มน้อย” อานีสพูดพลางตบไหล่เขาเบาๆ “ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันก็หลายปีแล้วนะ ตอนนั้นเธอยังเป็นแค่นักเรียนเตรียมทหารอยู่เลย แล้วนี่ถูกบรรจุเข้ากองทัพตั้งแต่เมื่อไหร่”

เมื่อต้นปีนี้เองครับ” โทมะพูดพลางแตะเครื่องหมายปีกสีเงินที่อกเสื้อ อันแสดงถึงยศร้อยตรี “แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ผู้ช่วยนักบินเท่านั้น”

อายุแค่นี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วเท่ากับว่าความฝันของเธอเป็นจริงส่วนหนึ่งแล้วสินะ ยินดีด้วยจ๊ะ”

ขอบคุณครับ…” ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนเกาะที่ขาของหญิงสาว “เด็กคนนี้คือ…”

อ้อ โทษทีนะ ยังไม่ได้แนะนำเลย” อานีสก้มตัวลงลูบที่ศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยเบาๆ “ลูกสาวฉันชื่ออนาสตาเซีย เพิ่งจะอายุครบ 6 ปีเต็มพอดี”

ชายหนุ่มเหม่อมองดูเด็กหญิงตัวน้อย เธอมีดวงตากลมโตและผมสีแดงเช่นเดียวกับอานีสผู้เป็นแม่

พี่ชื่อโทมะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มก้มตัวลงพลางยื่นมือออกมา แต่เด็กน้อยกลับปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี จนชายหนุ่มถึงกับตกใจ

ลูกทำอะไรน่ะ” อานีสเอ็ดใส่

แม่เคยบอกว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วพี่ชายคนนี้ก็ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจนี่นา”

อานีสหัวเราะลั่น “ได้ยินไหม โทมะ ลูกสาวฉันบอกว่าเธอไม่น่าไว้ใจน่ะ ดูเหมือนจะได้รับพรสวรรค์ในการอ่านใจคนจากฉันไปเต็มที่เลยนะ ”

โธ่ อย่าแกล้งกันสิครับ” โทมะพูดเสียงอ่อย

ก็แหม เธอในสมัยก่อนมันเป็นแบบนั้นจริงๆนี่นา ฉันยังจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้นะ”

ชายหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อไม่อาจโต้แย้งได้จึงทำคอตก อานีสเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะต่อพลางขยี้ที่ศีรษะของเขาเบาๆ “แหม ที่จริงแล้วก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

อนาสตาเซียเห็นท่าทางของชายหนุ่มแบบนั้น จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วเป็นฝ่ายยื่นมือให้จับ

ไหนว่าฉันไม่น่าไว้ใจไง” โทมะขมวดคิ้ว

ก็ตอนนี้ดูน่าไว้ใจขึ้นแล้วน่ะ”

โทมะยิ้มรับแล้วจับมือตอบเบาๆ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ หนูอนาสตาเซีย”

อื้อ โทมะ”

เรียกว่าพี่นำหน้าด้วยสิ” อานีสแทรก

ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือหรอก”

งั้นก็ตามใจนะ จริงสิ…” อานีสกวาดสายตาไปรอบๆท่าอากาศยาน ซึ่งมีผู้คนนับร้อยกำลังรอยานโดยสารอยู่เช่นเดียวกับเธอ “นายทหารที่เพิ่งได้รับบรรจุอย่างเธอมาทำอะไรที่อาณานิคมห่างไกลแบบนี้ล่ะ”

ทันใดนั้น บรรยากาศสบายๆรอบตัวของโทมะพลันสลายสิ้น เขาตอบกลับด้วยใบหน้านิ่ง “เป็นภารกิจทางทหารน่ะครับ ต้องขออภัยด้วยที่ไม่อาจบอกได้”

อานีสขมวดคิ้ว แต่หลังจากกวาดสายตาดูรอบบริเวณแล้วเธอสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงถอนใจเบาๆ “เข้าใจละ”

รู้สึกตัวด้วยหรือครับ”

ก็นะ รอบบริเวณนี้มีผู้ชายหลายคนที่แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดา แต่ท่าทางของแต่ละคนดูมีพิรุธตลอดเวลาราวกับพวกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบซะนี่”

คุณยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะครับ น่าเสียดายที่…”

ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนในสังกัดของสหพันธ์มนุษย์อีกแล้วนะ”

งั้นหรือครับ…” โทมะนิ่งไปเล็กน้อย “จริงสิ แล้วนี่คุณจะเดินทางไปไหนหรือครับ”

ก็ว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักหน่อยน่ะ”

อาณานิคมไซราคหรือครับ”

ยังจำได้อีกหรือ ใช่แล้ว” ว่าแล้วเธอก็ลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ “ที่สำคัญ ฉันยังไม่เคยพาเด็กคนนี้ไปพบคุณตาทวดของแกเลย”

โทมะถึงกับตาลุก “คุณหมายถึงวีรบุรุษ เดลาส แอ็คเซลคนนั้นหรือครับ”

อานีสหัวเราะเบาๆ “แม้ท่านจะเคยได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ท่านก็อายุเฉียดร้อยปีและเป็นแค่คนชราที่มีความสุขกับชีวิตในอาณานิคมบ้านนอกเท่านั้นเอง”

จริงสิ แล้วพ่อของเด็กคนนี้ล่ะครับ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ”

ทันใดนั้น โทมะรู้สึกว่าได้ถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป เพราะใบหน้าของอานีสพลันเคร่งเครียดขึ้นทันที กระทั่งเด็กน้อยอย่างอนาสตาเซียเองก็เช่นกัน

ขอโทษครับ” โทมะรีบพูด

ไม่เป็นไร” อานีสพูดพลางลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ ใบหน้าของอนาสตาเซียผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

ทันใดนั้น ความสนใจของทั้งสาม รวมไปถึงทุกชีวิตภายในลานพักผู้โดยสารก็หันเหไปยังอวกาศด้านนอก เมื่อจู่ๆก็ปรากฏแสงสว่างหลากสีประดุจปรากฏการณ์ออโรร่าส่องแสงเจิดจ้าไปทั่ว โดยแสงนั้นมีจุดเริ่มมาจากกลุ่มก้อนของดวงดาวก่อนหน้านี้

ผู้คนตางส่งเสียงฮือฮา แล้วทันใดนั้นเสียงประกาศจากระบบคอมพิวเตอร์ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็แจ้งไปทั่วลานพักผู้โดยสาร “ขณะนี้เป็นเหตุฉุกเฉิน ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านที่อยู่ในสถานีทำการอพยพ…”

ไม่ทันที่เสียงจะประกาศจบ ทั้งสถานีก็เกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับภาพของปรากฏการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มดาวที่รวมตัวกันเมื่อครู่กลับแยกออก ในขณะที่แสงออโรร่าซึ่งสาดส่องทั่วห้วงอวกาศนั้นกลับกลับดึงดูดกลับเข้ามารวมตัวกัน ราวกับมีบางสิ่งดูดแสงสว่างนั้นเอาไว้ เมื่อมันถูกดูดเข้ามาจนกระทั่งถึงจุดศูนย์กลาง ห้วงอวกาศ ณ ตรงนั้นก็พลันปรากฏรอยแยก

อวกาศกำลังแตก!!!” เสียงของผู้คนตะโกนดังสนั่น ท่ามกลางความชุลมุนภายในสถานีขนส่ง แล้วไม่กี่อึดใจ วัตถุขนาดยักษ์สีดำทะมึนก็ค่อยๆปรากฏออกมาจากช่องว่างของรอยแยกนั้น

อนาสตาเซียได้แต่ยืนตาค้างกับภาพที่เห็น วัตถุนั้นราวกับยานอวกาศขนาดยักษ์ มันมีรูปทรงเป็นดั่งแท่นผลึกคริสตัล ที่ปลายแหลมซึ่งนำหน้าสุดนั้นมีวงแหวนหมุนวนซึ่งก่อให้เกิดกระแสไฟขึ้น

ทันใดนั้น พลันปรากฏแสงสว่างลุกวาบขึ้นจากวงแหวนนั้น พริบตานั้น อวกาศโดยรอบสถานีพลันเกิดการบิดเบี้ยว และเริ่มเข้าบดขยี้สถานีในทันใด

เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วทั้งสถานี

หนีกันเถอะ” อานีสตะโกนบอกโทมะในขณะที่อุ้มอนาสตาเซียขึ้นมา ชายหนุ่มซึ่งตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นรีบตั้งสติ ทั้งสามวิ่งปะปนไปพร้อมกับคลื่นฝูงชนที่กำลังแตกตื่น ไปยังช่องประตูที่นำไปสู่ยานฉุกเฉิน

ประตูฉุกเฉินแออัดไปด้วยฝูงชนที่ถาโถมเข้าไป ไม่ช้า เสียงระเบิดก็เริ่มดังขึ้นจากภายในทั่วสถานี ส่งผลให้ผู้คนยิ่งตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ผลักและดึงรั้งอีกฝ่ายไว้เพื่อที่ตนเองจะได้ไปถึงยานฉุกเฉินได้ก่อน

ทางนี้” โทมะวิ่งนำสองแม่ลูกอ้อมไปอีกเส้นทาง ซึ่งแม้จะต้องเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ไม่ต้องเบียดเสียดไปกับฝูงชนมากนัก พวกเขาเร่งไปจนถึงป้ายชี้ไปยังประตูทางออกฉุกเฉินหมายเลข 6

ทั้งสามรีบตรงไปยังประตูที่จะนำไปสู่ทางเข้ายานฉุกเฉิน แต่ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังไล่ตามมาจากด้านบน ทันใดนั้น เพดานของทางเดินก็ถล่มลงมาขวางหน้าพวกเขาไว้

แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาปิดขวางเส้นทางหนี อานีสอาศัยประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนทั่วไปทำให้รับรู้ถึงอันตรายนี้ได้ทันท่วงที เธอถีบร่างของโทมะที่อยู่ด้านหน้าให้พุ่งตรงออกไปก่อนที่เพดานจะทันถล่มมาปิดทางจนหมด พร้อมกับผลักร่างของอนาสตาเซียไปให้ชายหนุ่ม จนกระทั่งทั้งสองหลุดรอดออกไปได้ทัน เว้นแต่เพียงตัวของอานีสเอง

คุณแม่!!!” เด็กหญิงมองตามหลังแล้วตะโกนสุดเสียง

มีชีวิตรอดไปให้ได้!!!” นั่นคือคำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนงดงาม ก่อนที่นั่นจะกลายเป็นภาพสุดท้ายของผู้เป็นแม่ที่ปรากฏแก่สายตาของอนาสตาเซีย ก่อนที่ซากกำแพงบนเพดานจะถล่มลงมาปิดเส้นทางระหว่างทางสองฟากเอาไว้

คุณอานีส!!!” โทมะตะโกนพลางพุ่งเข้าไปหมายจะหาทางทำลายสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า แต่แรงระเบิดก็ยังคงดังต่อเนื่อง และคราวนี้ทางเดินโดยรอบก็กำลังจะถล่มตามไปด้วย

โทมะกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซิบ เขาตัดสินใจอุ้มร่างของอนาสตาเซียขึ้นพาดไหล่แล้วพุ่งต่อไปยังทางเข้าประตูฉุกเฉินที่อยู่อีกไม่กี่เมตรข้างหน้า โดยไม่เหลียวกลับไปมองเบื้องหลังอีก

เด็กหญิงร้องตะโกน “จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ คุณแม่คุณแม่ยังติดอยู่ข้างใน กลับไปช่วยคุณแม่เดี๋ยวนี้นะ!!!”

ดวงตาสีแดงใสคู่นั้นระเบิดน้ำตาออกมาไม่หยุด เสียงของเธอเริ่มอุดอู้ ก่อนที่จะตะโกนลั่นจนสุดเสียง

คุณแม่!!!”

 

…………………………………………………….

 

เมื่ออยู่เพียงลำพังท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนและแรงระเบิดที่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจากทั่วสารทิศ อานีสก็ตัดสินใจวกกลับไปยังเส้นทางเดิม เธอยังคงพยายามดิ้นรมอย่างไม่ยอมแพ้ที่จะหาเส้นทางอื่นที่จะหนีรอดไปจากที่นี่ให้ได้

แต่เวลาไม่เพียงพอเสียแล้ว เสียงสัญญาณแจ้งเตือนภัยจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ดังต่อเนื่องมาตลอดได้หยุดลง แสดงว่าคอมพิวเตอร์หลักที่ควบคุมระบบทุกอย่างของสถานีแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว ดังนั้นต่อให้สถานีไม่ระเบิดไปจนหมด แต่ระบบยังชีพที่กำลังจะหยุดทำงาน ก็จะทำให้เธอขาดออกซิเจนจนตายอยู่ดี

ตายเพราะขาดอากาศ กับถูกแรงอัดของอวกาศด้านนอก หรือเพราะแรงระเบิด อันไหนทรมานกว่ากันนะ ไม่เคยคิดด้วยสิ” อานีสพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วเธอก็หัวเราะเสียงดัง “อย่างน้อยถ้าจะต้องตายแน่ๆแล้ว ฉันขอเลือกเองก็แล้วกัน”

ดวงตาของหญิงสาวฉายแววเป็นประกาย เธอพุ่งตรงไปยังเส้นทางที่ยังคงสามารถไปต่อได้เรื่อยๆ ระหว่างทางเธอพบเห็นผู้คนบางส่วนที่หนีไม่ทันและถูกแรงระเบิดหรือซากเพดานถล่มทับจนตายและกลายเป็นศพลอยเคว้งไปทั่ว เนื่องจากตอนนี้ระบบควบคุมแรงโน้มถ่วงหยุดทำงานไปแล้ว

อานีสเห็นศพหนึ่งถูกแท่นเหล็กซึ่งกระเด็นเพราะแรงระเบิดเสียบทะลุเข้าที่กลางอก ในขณะที่กำลังจะสวมชุดอวกาศ เธอจึงคว้าเอาชุดอวกาศนั้นมาแล้วรีบสวมแทน จากนั้นจึงมุ่งไปต่อ จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงลานพักผู้โดยสาร ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดไฟลุกท่วมจากแรงระเบิดจนแทบไม่เหลือสภาพแล้ว

หมดหนทางที่จะหนีรอดออกไป ต่อให้ออกไปได้ก็มีหวังถูกแรงอัดที่เกิดจากการบิดเบี้ยวของห้วงอวกาศเข้าบดขยี้จนไม่เหลือซาก เธอได้แต่หวังว่าโทมะจะสามารถพาอนาสตาเซียขึ้นยานฉุกเฉินแล้วหนีออกไปจากบริเวณนี้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด

จบแค่นี้หรือเนี่ยไม่สิ อย่างน้อยที่สุด…” หญิงสาวมองผ่านรอยโหว่ของกำแพงออกไปยังห้วงอวกาศ

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของเธอคือตัวการของความพินาศในครั้งนี้ วัตถุรูปทรงคริสตัลสีดำขนาดมหึมา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง แต่สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ด้วยด้วยวิทยาการของมนุษย์เลย ถ้าเช่นนั้นคำตอบมีเพียงอย่างเดียว

เผ่าพันธุ์อื่นจากนอกระบบสุริยะจักรวาลใช่ไหม” เธอพูดกับตัวเองราวกับต้องการคำตอบ แล้วผู้ที่ตอบเธอได้ล่ะ

วงแหวนที่อยู่ด้านหน้าของวัตถุขนาดมหึมานั้นเริ่มหมุนวนอีกครั้ง คราวนี้พลันปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาจากวงแหวนนั้น

อานีสพยายามเพ่งตามอง อย่างน้อยเธอก็ขอเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนี้จนถึงวินาทีสุดท้าย กระทั่งสายตาของเธอไม่อาจต้านรับแสงสว่างอันเจิดจ้านี้ได้อีก เธอจึงหลับตาลง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น เธอรู้สึกว่าได้เห็นเงาร่างของใครบางคนยืนอยู่ภายในแสงสว่างอันเจิดจ้านั้น

ใครน่ะ…”

ไม่มีคำตอบใด แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไป ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นในมโนจิตคือใบหน้าอันยิ้มแย้มของผู้เป็นแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียว

อนาสตาเซีย

 

 

 

 

11 ความเห็นบน “วัลฮัลลา (Valhalla) – บทที่ 1 (แก้ไข สมบูรณ์)”

  1. ขออนุญาต ใส่ < ! --more-- > เพื่อตัดการแสดงผลในหน้าแรกนะครับ
    จะได้เปิดพื้นที่ สำหรับบทความอื่นๆ ด้วย

    ขอบคุณมากมากครับ สำหรับผลงาน

  2. พล็อตเรื่องแปลกและสนุกดีครับ ดูเหมือนจะยังมีตอนต่อไปใช่ไหมครับ
    ขออนุญาตนำลงพิมพ์ใน Sci-Fi Club ของชมรมนิยายวิทยาศาสตร์ไทยได้ไหมครับ

  3. ขอบคุณครับ ยังมีต่อครับ เขียนไปหลายตอนแล้วแต่ต้องขออภัยนิดหน่อยตรงที่ผมขอเวลาอีกสักพักในการนำมาลงต่อ เพราะคิดว่าอยากแก้ไขที่ลงไปแล้วด้วย

    ดังนั้นขออย่าเพิ่งเอาไปตีพิมพ์เลยครับ ขอผมเขียนจนเรื่องมันลงตัวมากที่จะไม่ต้องกลับมาปรับแก้ตอนแรกๆ

    คิดว่าอีกสัก 2 อาทิตย์จะทยอยลงตอนต่อไปที่เวปครับ

  4. วางโครงเรื่องเสียขนาดนี้
    sci-fi fantasy เรื่องยาว แน่ๆเลยใช่ไหมครับครับ
    (ประมาณ พจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตย์ฯ สัก หก-เจ็ด เล่ม :D)
    ปูเสื่อรอครับ

  5. คิดว่ากว่าจะเขียนจบคงหลายเดือนอยู่ครับ เซ็ตโครเรื่องไว้หมดแล้ว และจะพยายามไม่ให้ยาวมาก ผมแปลนไว้ว่าน่าจะประมาณ 200 หน้า A4 ก็คงประมาณ 20 กว่าตอน

ใส่ความเห็น