สิ่งแปลกปลอม

“ลุงล้อม” เป็นเจ้าของสวนลำไยขนาดไม่ใหญ่ไม่โตนัก มันอยู่หลังบ้านของแกที่อยู่ลึกเข้าไปจากซอยซึ่งแยกจากถนนในอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดห่างไกล อาณาบริเวณล้อมรั้วมิดชิด ไม่เพียงแต่จะป้องกันสัตว์ใหญ่น้อยมาทำลายสวนผลไม้ที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวของแก แต่ยังมีไว้ป้องกันโจรลักขโมยที่มักจะแฝงตัวเข้ามาเวลาลำไยออกผลอีกด้วย

ชื่อ “ลุงล้อม” ไม่ได้เป็นชื่อที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ได้จากความตระหนี่ถี่เหนียวของแก สวนลำไยของลุงล้อมถูก ‘ล้อม’ ไว้ด้วยรั้วลวดหนามเสาปูน ดายหญ้าถางที่จนเตียนโล่งให้คนรู้ว่านั่นเป็นอาณาจักรต้องห้าม ด้านหน้าติดถนนลูกรัง สองฝั่งซ้ายขวาเป็นสวนลำไยของลูกพี่ลูกน้องของแก ด้านหลังเป็นคลองส่งน้ำเล็ก ๆ ซึ่งก็ไม่วายต้องกั้นลวดหนามเพื่อบ่งบอกความเป็นเจ้าของ ทั้งที่ตลอดแนวคลองนั้นไม่มีสวนของใครอุตริล้อมรั้วอย่างที่ลุงล้อมทำ ทุกคนที่รู้จักเรียกแกด้วยชื่อ “ล้อม” จนคนลืมชื่อในทะเบียนบ้านของแกไปเสียแล้ว ตัวแกเองบางครั้งเมื่อต้องไปทำบัตรประชาชนหรือต้องไปเข้าคูหาเลือกตั้งยังต้องท่องชื่อจริงนามสกุลจริงตัวเองให้ขึ้นใจเสียก่อนก็มี

กิจวัตรประจำวันของลุงล้อมหลังจากอาบน้ำกินข้าวฝีมือเมียที่อยู่กินกันมาตั้งแต่เพิ่งพ้นวัยรุ่นแล้วก็คือการดูแลสวนลำไย ดายหญ้า ให้น้ำ ใส่ปุ๋ย และอาจจะมีพ่นยาฆ่าแมลงบ้างแต่พอดี เผื่อว่าลูกหลานแวะมาเยี่ยมแล้วเด็ดไปกินสักพวงสองพวงจะได้ปลอดภัยจากบรรดาสารเคมีที่ไม่มากจนเกินไปนัก

……….

เช้านี้ก็เหมือนกับทุกวัน ลุงล้อมในชุดผ้าขาวม้าคาดหัว เสื้อหม้อฮ่อม กางเกงขายาวขาด ๆ  สะพายย่ามใบเล็กกำลังจะก้าวลงจากชานหลังบ้าน แต่ก็มีอันให้หยุดชะงักกับสิ่งแกเห็นในสวนลำไยที่เฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่จำความได้

‘สิ่งแปลกปลอม’ ชิ้นหนึ่งวางอยู่กลางสวนลำไยถัดจากชานหลังบ้านไปไม่เกินสิบวา จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นชิ้นก็ไม่ถูกนักเพราะมันออกจะใหญ่โตเกินไปสักนิด ประมาณด้วยสายตาคนวัยหกสิบสาม แกคิดว่ามันคงยาวสักสามหรือสี่วา สัณฐานยาวรีเหมือนลูกหนำเลี้ยบ สูงพอท่วมหัว ผิวมันปลาบเหมือนสังกะสีมุงหลังคา ผิดอยู่ที่ไม่ได้เป็นลอนเหมือนอย่างสังกะสีแผ่นที่เคยเห็น แต่กลับเรียบเกลี้ยงไปหมดทั้งก้อน

ที่สำคัญก็คือมันวางคร่อมร่องน้ำระหว่างแถวลำไยของแกอยู่ มิหนำซ้ำต้นลำไยที่แกหวงแหนรองลงมาจากเมียก็ถูกมันเบียดล้มไปหลายต้น มองเห็นจากชานบ้านก็อย่างน้อยสามต้นเข้าไปแล้ว ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่ว่านั้นวางเอียง ๆ คร่อมร่องน้ำสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น ลุงล้อมแน่ใจว่าเมื่อวานตอนค่ำ ที่ตรงนั้นยังเป็นต้นลำไยพุ่มหนาโดยที่ไม่มีก้อนสังกะสีก้อนนี้อยู่เป็นแน่แท้

ความโกรธพุ่งพล่านเต็มอกด้วยต้นลำไยที่แกเฝ้าถนอมมาจนกำลังจะออกดอกอยู่แล้วถูกล้มถอนรากให้เห็นอยู่ตรงหน้า คิดได้อย่างเดียวว่าต้องเป็นฝีมือพวกเด็กวัยรุ่นในตลาดเป็นแน่ ยิ่งเมื่อวานเพิ่งมีงานเกณฑ์ทหาร ไม่ว่าใครจะจับได้ใบดำใบแดงต่างไปตั้งวงเลี้ยงฉลองกันจนเกือบรุ่ง ไม่แคล้วพวกพิเรนทร์สองสามคนคงหาอะไรมาแกล้งแกเสียแล้ว

……….

เอื้อมมือไปหยิบปืนลูกกรดที่พิงฝาบ้านออกมาประทับบ่ายิงแบบไม่ต้องเล็งไปหนึ่งนัด คิดว่าพวกก่อกวนที่ซ่อนอยู่ข้างในคงวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่กลับเป็นเมียของแกเองที่วิ่งจากหน้าบ้านทั้งที่ยังเก็บสำรับกับข้าวไม่เรียบร้อยมาหยุดตะลึงนิ่งอยู่ข้างตัวลุงล้อมนั่นเอง

ตัวลุงล้อมเองก็งงไม่แพ้กันที่กระสุนลูกกรดพลาดเป้าไปได้ แกยกปืนขึ้นประทับบ่าอีกครั้ง เล็งให้เข้ากลางก้อนสังกะสียักษ์แล้วบรรจงเหนี่ยวไกส่งไปอีกนัดหนึ่ง เมียแกถึงกับสะดุ้งโหยงเพราะไปยืนอยู่ใกล้รังเพลิงพอดี พอตั้งสติได้ เมียแกก็ออกเสียงด่าเสียยับเยินว่าไม่ยอมบอกกล่าวกันก่อน ส่วนลุงล้อมได้แต่ตะลึงงันเพราะเห็นชัด ๆ ว่ากระสุนจะกระทบกลางสิ่งแปลกปลอมที่ว่านี้แน่นอน แต่ดูเหมือนจะสะท้อนหายไปไหนก็ไม่รู้ และที่สำคัญก็คือไอ้พวกมืออยู่ไม่สุขทั้งหลายก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหรือวิ่งกระเจิงออกไปอย่างที่คิดไว้เสียด้วย

หลังจากตั้งสติได้ ลุงล้อมค่อย ๆ ย่างเข้าไปหาวัตถุประหลาดช้า ๆ หมายตาตรงตำแหน่งตกกระทบของกระสุนลูกกรด ตั้งใจดูว่ามันฝังเข้าไปหรือกระดอนออกมากันแน่ ส่วนเมียของแกต้องรีบไปเปิดประตูรับเพื่อนบ้านที่ต้องสะดุ้งตื่นแต่เช้าเพราะสียงปืนสองนัดมายืนตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน

ลุงล้อมไม่เห็นว่ากระสุนของแกจะวิ่งผ่านเข้าไปในวัตถุประหลาดที่อยู่ตรงหน้า รอยบุบหรือรอยขีดข่วนก็ไม่มีให้เห็น ลองจับดูก็รู้สึกว่าเจ้าก้อนอันนี้มันอุ่นอยู่สักเล็กน้อย เอาหูแนบก็ได้ยินสียงหึ่งเบา ๆ เคาะด้วยด้ามปืินดูก็รู้สึกเหมือนถังกลวง ๆ ใบหนึ่ง ครั้นพอจะลองขยับก็รู้ว่ามันไม่มีท่าทีว่าจะเขยื้อนได้เลย ลุงล้อมได้แต่คะเนอยู่ว่าถ้าตัดแบ่งไปขายกิโลละสองบาทจะขายได้สักเท่าไหร่กัน

ยิ่งทำให้แกประหลาดใจเข้าไปใหญ่ว่าจะมีใครยกก้อนสังกะสีขนาดสี่วามาวางในสวนของแกได้อย่างไรโดยไม่ต้องเอาข้ามรั้วมา ใจหนึ่งก็เป็นห่วงรั้วลวดหนามที่อุตส่าห์ลงทั้งเงินทั้งแรงไป เลยตะโกนสั่งให้เมียออกไปเดินดูรอบ ๆ ว่ารั้วของแกยังดีอยู่หรือเปล่า เมียแกรับคำแล้วกับเดินหายไปทางด้านหนึ่งของสวนพร้อมกับเสียงบ่น เพื่อนบ้านสองสามคนเริ่มเข้ามารายล้อมและออกความเห็น

……….

ลุงล้อมกับเพื่อนบ้านเดินดูรอบลูกหนำเลี้ยบสังกะสีลูกใหญ่หลายรอบ มองหาร่องรอยอะไรสักอย่างที่จะบอกว่ามันเป็นอะไร เจ้าลูกหนำเลี้ยบวางเอียง ๆ ทับต้นลำไยหักไปต้นหนึ่ง ส่วนอีกสามต้นโดนเบียดจนรากถอนต้นล้ม ไม่รู้ว่าจะยังออกดอกออกผลได้หรือเปล่า ไม่นานเมียแกก็กลับมาสมบท บอกข่าวดีว่ารั้วรอบสวนยังอยู่ครบถ้วน ตลิ่งที่หลังสวนก็ไม่ได้ทรุดหายไป ลุงล้อมถอนหายใจโล่งอก ใครคนหนึ่งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก ไม่ช้าผู้ใหญ่บ้านก็แวะมา

ถ้าเป็นวันอื่น ลุงล้อมไม่มีทางยอมให้ใครเข้าออกบ้านตามใจอยากอย่างนี้แน่ แต่ ‘สิ่งแปลกปลอม’ อันใหญ่เหมือนเป็นบัตรผ่านให้คนโน้นคนนี้เข้าออกบ้านแกอยู่ตลอดเช้า ผู้ทรงคุณวุฒิประจำหมู่บ้านเริ่มออกความเห็นไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าเป็นอะไรสักอย่างที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน บ้างก็ว่ามันเป็นซากดาวเทียมของฝรั่ง แต่มาได้ข้อสรุปเอาตอนที่เมียผู้ใหญ่บ้านมาตามแกกลับไปกินข้าวที่บ้านแล้วเห็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ เข้าให้พอดี แกทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ พนมมือท่วมหัวทำปากขมุบขมิบอยู่พักนึง

เท่านั้นแหละ สามสี่คนรอบข้างก็เอาอย่างเมียผู้ใหญ่บ้าง ใครคนหนึ่งเรียกหาดอกไม้ธูปเทียน ก็ต้องเป็นธุระของเมียลุงล้อมอยู่นั่นเองที่ต้องไปเสาะหา ลำพังดอกไม้นั้นหาไม่ยากเท่าไหร่ แต่ธูปเทียนนี่ต้องไปค้นหาตามฝาบ้านอยู่นานกว่าจะได้มา ลุงล้อมก็เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ คิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้แขกไม่ได้รับเชิญออกจากบ้านไปเร็ว ๆ จะได้ไปหาช่างมาตัดก้อนประหลาดนี้ขายได้เสียที

……….

โอกาสของลุงล้อมไม่เคยมาถึง พอสาย ๆ คนก็เริ่มเข้ามาดูมากขึ้น เข้า ๆ ออก ๆ บ้านลุงล้อมจนเจ้าตัวอยู่ไม่ติดที่ ต้องคอยต้อนรับขับสู้คนโน้นคนนี้จนไม่เป็นอันทำอะไร ถึงที่สุดแกก็ทำเฉยเสีย ใครจะเข้าจะออกก็ปล่อยไปตามยถากรรม

เมียผู้ใหญ่บ้านกลับมาอีกรอบพร้อมกับสำรับชุดใหญ่ จานข้าวพูน ๆ พร้อมกับข้าวอีกสามสี่อย่างที่เมียลุงล้อมไม่มีวันจะทำให้แกกินเป็นแน่ แกถึงกับยิ้มแก้มปริเพราะคิดว่าลาภปากตกมาถึงแล้วจึงไปยกแคร่ที่ชานบ้านมาตั้งไว้ให้วางสำรับ แต่เมียผู้ใหญ่กลับบอกว่าเอามาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับกำชับว่าใกล้เที่ยงจะมาเอาคืน

คนเรียกหาดอกไม้ธูปเทียนมากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเห็นเมียผู้ใหญ่ทำเป็นตัวอย่างหรือเพราะคิดกันไปเอง ลุงล้อมจึงใช้ให้เมียไปซื้อมาจากตลาดอย่างละสองสามกำมือ แต่ไม่รู้ว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่า เพราะเมียลุงล้อมไปป่าวประกาศทั่วตลาดก่อนจะกลับมาพร้อมกับขบวนรถสามล้อพ่วงข้างขายน้ำอัดลม ลูกชิ้น และไทยมุงอีกนับสิบ

พอเริ่มหิวข้าวเที่ยง ลุงล้อมเลยให้เมียนั่งเฝ้าหน้าบ้านแล้วให้คนเข้ามาทีละสองสามคน สั่งว่าดอกไม้ธูปเทียนต้องซื้อที่เมียแกหามา ห้ามเอามาจากบ้าน แล้วก็ปลีกตัวไปนั่งกินข้าวที่เหลือจากมื้อเช้าพร้อมกับนั่งดูกับข้าวของเมียผู้ใหญ่ที่วางให้แมลงวันตอมด้วยความเสียดาย แต่ก็พอจะปลอบใจตัวเองได้บ้างที่กิจการขายดอกไม้ธูปเทียนพอจะทำเงินให้แกได้บ้าง

……….

ยังไม่ทันจะบ่ายคล้อย เมียผู้ใหญ่บ้านก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับแนวคิดบรรเจิด ถึงตอนนั้นหน้าบ้านลุงล้อมก็ไม่ผิดกับงานวัดย่อม ๆ รถมอเตอร์ไซค์ รถกระบะ จอดเรียงรายไปตามถนน บางคนที่พอจะรู้ัจักกันก็เสียบหัวไปจอดในบ้านข้าง ๆ เมียผู้ใหญ่ล้วงไปในพกผ้า หยิบแป้งเด็กกระป๋องเล็กออกมาเทใส่มือก่อนจะละเลงไปที่มุมหนึ่งของก้อนหนำเลี้ยบยักษ์ แล้วนั่งจด ๆ จ้อง ๆ อยู่อย่างนั้นอยู่เป็นนาน มีคนเข้าไปช่วยมุงสองสามคน ลุงล้อมได้แต่คิดในใจท้าให้เอามีดมาขูดก็ไม่มีวันจะมีตัวเลขงอกออกมา ขนาดปืนลูกกรดยิงจ่อ ๆ ยังไม่ระคายผิว นับประสาอะไรกับเอาแป้งละเลงแล้วดูตัวเลข

เมียผู้ใหญ่ล้วงมีดมาขูดอย่างที่ลุงล้อมคิดจริง ๆ แถมไทยมุงยังมองเห็นเป็นตัวเลขสองสามตัวให้ลุงล้อมตกใจเล่น แถมยังเห็นเป็นเลขชัดเจนแบบไม่ต้องตีความเสียด้วย

นักข่าวหนังสือพิมพ์มาถึงตอนใกล้บ่าย เป็นคนหนุ่มมาจากในเมือง บอกว่าจะถ่ายรูปกับสัมภาษณ์ลุงล้อมเอาไปลงข่าว ตัวแกเองเพิ่งถอดเสื้อออกได้ไม่นาน นึกอยากจะหยิบเสื้อใหม่มาใส่แต่ก็นึกได้ว่าไม่มีอยูสักตัว นักข่าวถ่ายรูปลุงล้อมสองสามทีแล้วก็ไปถ่ายที่วัตถุประหลาดในสวนก่อนบอกว่าต้องรีบเอาไปพิมพ์แล้วเร่งกลับออกไป  ถึงตอนนั้นลุงล้อมเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวเลยแม้แต่คำเดียว…

……….

ตกบ่าย โรงพักต้องส่งตำรวจมาดูแลเพราะรถติดไปจนถึงถนนใหญ่ ห้องน้ำบ้านลุงล้อมมีคนยืนต่อคิวยาวไม่น้อยไปกว่าคิวกราบไหว้บูชาและขอเลขจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แถมยังมีใครบางคนแอบไปปล่อยทั้งหนักทั้งเบาในสวนของแกอีกต่างหาก จ่าคนหนึ่งกับพลตำรวจจบใหม่อีกคนแวะเข้ามาเอาซองผ้าป่าฝากลุงล้อมให้วางที่แคร่ใกล้ก้อนหนำเลี้ยบยักษ์ บอกว่ามรรคทายกฝากมา แล้วก็ต้องรีบไปดูรถนักข่าวทีวีสองช่องที่พร้อมใจกันมาแล้วหาที่จอดไม่ได้

นักข่าวเข้ามาพร้อมกันทั้งสองช่อง ทั้งคนแบกกล้อง ทั้งนักข่าว ต่างแย่งกันสัมภาษณ์ลุงล้อมเสียยกใหญ่ แกก็ได้แต่ตอบรับไปว่าไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร ตื่นเช้ามาก็เห็นมันวางอยู่ตรงนั้นแล้ว จะว่าไปลุงล้อมก็รู้เรื่องสิ่งแปลกปลอมนี้ไม่มากกว่านักข่าวที่เพิ่งมาถึงเลยด้วยซ้ำ

คนที่เป็นดาราเด่นของนักข่าวทีวีกลับเป็นเมียผู้ใหญ่ที่แต่งหน้าแต่งตัวมาเรียบร้อยเหมือนรู้มาก่อนว่าจะมีนักข่าวมา แกตั้งตนเป็นผู้เชี่ยวชาญพร้อมกับให้ความเห็นชนิดที่นักวิชาการจริง ๆ ต้องพลิกตำรากันยกใหญ่หากจะแย้งความเห็นของเมียผู้ใหญ่เกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมนี้ ที่สำคัญคือแกอุบเอาไว้ ไม่ยอมบอกเลขเด็ดที่แกลงทุนขูดเองกับมือ

นักข่าวยังไม่ทันคล้อยหลัง ผู้ใหญ่บ้านก็เอาหลอดนีออนสองหลอดพร้อมสายไฟยาวมาโยงจากบ้านไปยังต้นลำไยใกล้วัตถุประหลาด แกบอกกับลุงล้อมว่ากลัวใครจะมาขโมยไปตอนกลางคืน ส่วนลุงล้อมเองอยากหัวเราะเสียให้หายหิวข้าวว่าใครมันจะมายกออกไปได้ ตอนเข้ามามันมาอย่างไรยังไม่รู้เลย

……….

คนเริ่มเข้ามาน้อยลงตอนพลบค่ำ หน้าบ้านเริ่มโล่ง สวนลำไยของลุงล้อมตอนนี้แทบจะกลายเป็นที่ทิ้งขยะไปแล้ว ทั้งเศษใบตอง ถุงขนม ไม้เสียบลูกชิ้น ต่างทิ้งระเกะระกะอยู่ทั่วไป นี่ยังไม่นับกลิ่นของเสียที่ใครแอบไปปล่อยไว้ในสวนอีกต่างหาก กับข้าวที่เหลือจากมื้อเช้าและมื้อกลางวันกลายเป็นกับข้าวมื้อเย็นไปโดยปริยาย เมียลุงล้อมนั่งนับเงินค่าดอกไม้ธูปเทียนอยู่เงียบ ๆ ไทยมุงคนสุดท้ายกลับไปก่อนมืด

ผู้ใหญ่บ้านแวะมาเก็บสำรับกับข้าวตอนสองทุ่มเศษ บอกว่าเมียใช้ให้มา ก่อนกลับก็ไปเสียบปลั๊กเปิดไฟนีออนสองหลอดที่โยงไปแขวนไว้กับต้นลำไยใกล้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมียสั่งนักสั่งหนาว่าต้องดูแลให้ดี แสงจากหลอดไฟสะท้อนผิวมันปลาบที่บางส่วนหม่นลงไปบ้างเพราะมีแป้งเด็กโรยอยู่ และบางส่วนก็อยู่ในเงามืดที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกกังวลอยู่ในที

ก่อนกลับ ผู้ใหญ่อวดว่าเมียแกได้ออกข่าวภาคค่ำด้วย ส่วนลุงล้อมนั้นไม่สนใจหรอกว่าการได้ออกทีวีนั้นจะมีความหมายอย่างไร แกได้แต่จับจ้องอยู่ที่วัตถุประหลาดนั้นไม่วางตา

เมีแกเข้านอนหลังผู้ใหญ่กลับไปได้ไม่นาน บ่นว่าเหนื่อยมาทั้งวัน เงินที่ได้จากธุรกิจของแกวันนี้เอาใส่ถุงผ้าวางไว้ใต้หมอนแล้วหลับไปอย่างเร็ว ลุงล้อมไปเอากาบมะพร้าวมาสุมไฟไล่ยุงที่ใต้แคร่ซึ่งยกมาวางไว้ใกล้บ้าน จากนั้นก็นั่งพินิจดูมันอย่างละเอียด

……….

แกรู้ว่ามันไม่ได้ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน เพราะมันวางอยู่บนต้นลำไย แล้วมันก็ไม่ได้ตกลงมา เพราะถ้ามันตกลงมาก็ต้องมีเสียง ดินต้องยุบ ต้นลำไยต้องหักมากกว่าจะล้ม มันต้องค่อย ๆ ลงมาช้า ๆ เพียงแต่แกคิดไม่ออกเท่านั้นเองว่าใครเอามันมาวางไว้ และเอามาวางไว้อย่างไร

ยังไม่ได้คิดอะไรต่อ แกก็เห็นว่าก้อนประหลาดที่วางอยู่นั้นเริ่มขยับซ้ายขวา มันโยกไปมาเล็กน้อย แกพยายามยื่นมือไปควานหาปืนลูกกรดที่วางพิงผนังไว้ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมียแกเอาไปเก็บไว้ในบ้านเพราะคนเข้าออกพลุกพล่านเลยกลัวหาย ก้อนสังกะสีประหลาดขยับอยู่สองสามครั้งก่อนจะลอยขึ้นไปตรง ๆ ช้า ๆ เหมือนมีใครเอาเชื่อกมาผูกข้างบนแล้วยกขึ้นไป แต่ลอยขึ้นไปได้ไม่ถึงวาก็ค่อย ๆ ตกกลับมาที่เดิม เป็นอย่างนี้อยู่สองครั้ง ฝ่ายลุงล้อมนั้นเหลียวมองรอบตัวก็ไม่เห็นใครจะมาร่วมรับรู้ด้วย ได้แต่นั่งนิ่งของแกอยู่อย่างนั้น

ครั้งล่าสุดที่มันวางกลับลงไปที่เดิม ก้อนประหลาดนี้กลับมีช่องช่องหนึ่งเปิดออก ตัวอะไรสักอย่างที่รูปร่างไม่สูงไปกว่าเด็ก ป.1 เดินออกมาจากช่องนั้น มันเดินขโยกเขยกออกมาก่อนจะหันหน้าเข้าไปหาสิ่งแปลกปลอมที่มันเพิ่งเดินออกมา จากนั้นเงื้อขาข้างหนึ่งไปด้านหลังแล้วบรรจงเตะงาม ๆ ไปที่ก้อนสังกะสียักษ์ก้้อนนี้สองที

แล้วตัวประหลาดที่ลุงล้อมมองเห็นไม่ชัดนักก็เดินกลับเข้าไปในวัตถุแปลกปลอมชิ้นนี้ ช่องประตูที่เปิดอยู่ก็หายวับไป มันกลับมาราบเรียบเหมือนเดิม

ครั้งสุดท้าย สิ่งแปลกปลอมค่อย ๆ เคลื่อนที่ขึ้นตรง ๆ จนพ้นเงาหลอดไฟ จากนั้นมันก็ค่อย ๆ หายไปในความมืดของท้องฟ้าข้างแรมในที่สุด

……….

ลุงล้อมไม่สนใจว่าหนังสืิอพิมพ์ลงข่าววันต่อมาว่าอย่างไรหรือข่าวทีวีจะวิจารณ์ว่าอย่างไร แกรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูกที่สิ่งแปลกปลอมอันนี้หายไปจากสวนของแกได้ ลำไยสองต้นที่ล้มลงยังพอจะค้ำไว้ได้ แต่ต้นที่หักกับอีกต้นที่ล้มถอนรากนั้นเกินจะแก้ไขได้

เมียผู้ใหญ่ไม่ถูกรางวัลใด ๆ  ไม่ว่าจะเป็นล็ตเตอรี่ที่ลงทุนไปซื้อถึงตลาดหรือจะเป็นหวยใต้ดินที่ต้องแอบซื้อ

เงินค่าดอกไม้ธูปเทียน ลุงล้อมเอาไปซื้อสังกะสีใหม่มามุงหลังคาได้หลายแผ่น

10 ความเห็นบน “สิ่งแปลกปลอม”

  1. ลองเขียนเรื่องที่เป็นไทย ๆ บ้างครับ
    ความยาวมาตรฐาน 5 หน้ากระดาษ A4 ครับ
    แต่พิมพ์ในนี้แล้วดูยาว ๆ สักนิด

    รบกวนทุกท่านขอคำวิจารณ์ด้วยครับ

  2. เพิ่งได้มีเวลาเข้ามาอ่านครับ
    ชอบครับ สนุกดี ใช้กลวิธีเล่าเรื่องไปเรื่อยๆจนอ่านได้เพลินๆ แทนการสลับบทสนทนา ตอนจบก็โดนใจตรงประโยคนี้ครับ เจ๋งมาก “ลุงล้อมไม่สนใจว่าหนังสืิอพิมพ์ลงข่าววันต่อมาว่าอย่างไรหรือข่าวทีวีจะวิจารณ์ว่าอย่างไร แกรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูกที่สิ่งแปลกปลอมอันนี้หายไปจากสวนของแกได้”
    …..ได้อารมณ์ตัวละครที่กำลังอึดอัด กลัว กับสิ่งที่พบแล้วก็โล่งเมื่อมันหายไป

    comment นิดนึงครับ บางช่วงเนื้อหายังซ้ำกับบางเนื้อหาที่กล่าวไปก่อนแล้ว เช่นเรื่องการล้มของต้นลำไย ที่ดูเหมือนจะกล่าวมากกว่าหนึ่งครั้ง

  3. ขอบคุณทั้งสองท่านมากครับ

    เรื่องที่บทบรรยายซ้ำกันสอง-สามแห่งนั้นกลับไปอ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้นจริงครับ ดูแล้วยิ่งเหมือนจะย้ำจนดูจงใจมากเกินไป อ่านแล้วไม่ลื่นไหลจริง ๆ ครับ ขอบคุณที่ comment มาครั จะเอาไปปรับปรุงต่อครับ

    ขอคำวิจารณ์จากท่านอื่น ๆ ด้วยนะครับ

  4. 😀
    ขำ และ สลดใจ ในเวลาเดียวกัน ครับ
    เพราะมันสะท้อน สิ่งที่คาดหวังได้อย่างชัดเจน

    ประเด็นดี ชัดเจน ครับ
    วิธีการเล่าเรื่องดี ครับ
    นำพาไปได้จนจบ เล่าเรื่องแบบเนิบๆ แต่ ไม่รู้สึกอึดอัด หรือ เนือยเฉื่อย
    ผมชอบนะ เข้ากับบรรยากาศดี
    ภาษา ลื่นไหล ดี ครับ

    สรุป ชอบครับ

  5. เขียนได้ดีครับ POV เป็นแบบเล่าเรื่่อง(Telling a yarn)กระแนะกระแหนสังคมได้ดีด้วย เป็นกำลังใจให้่นะครับ ลองทำเรื่องแบบมีโครงและTurning point โดยตัดรายละเอียดบางอย่างลงูนะครับ(รูปบางอย่างจะีวับๆแวมๆไม่ชัดเจนทำให้ดึงดูดใจมากกว่ารูปที่โชว์รายละเอียดทั้งหมด-) …โดยรวมชอบมาก กำลังรอผลงานใหม่จนน้ำลายยืด
    ชาร์ลี

  6. ขอบคุณครับ

    ประเด็น “วับ ๆ แวม ๆ” นี่ถ้าต้องการอ่านเพิ่ม แนะนำว่าควรอ่าน Stephen King ที่เขียนไว้ใน on writing เป็นแบบนี้เช่นกันครับ เขายกตัวอย่างการบรรยายฉากบาร์แห่งหนึ่ง King แนะว่าไม่ต้องบอกให้ละเอียด แต่ให้คนอ่านซึมซับบรรยากาศอย่างที่เราต้องการ ส่วนที่เหลือให้จินตนาการเอาเอง ไม่ต้องบอกไปถึงว่าโต๊ะเป็นไม้อะไร ผนังสีอะไร ไฟกี่ดวง แต่แนะว่าให้บรรยายโดยยึดเอาสิ่งที่เราต้องการให้คนอ่านจับประเด็นได้เป็นหลักครับ

    ล่าสุด เพิ่งอ่าน “ดาวดึกดำบรรพ์” ของปราบดา หยุ่น (เล่มบางมาก แถมยังเป็นรวมเรื่องสั้น 12 เรื่อง บางเรื่องยาวไม่ถึงสองหน้ากระดาษ A4) ตอนหยิบมาอ่านครั้งแรกก็ไม่ได้คิดหรอกครับว่าจะเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ เพราะคุณปราบดาเขียนหนังสือก็ออกแนวชีวิตทั้งนั้นมาตั้งแต่ต้น

    แต่พออ่านไปถึงเรื่องสุดท้ายเท่านั้นแหละ… โอ้ว… ปราบดา หยุ่น เขียนนิยาย(เรื่องสั้น)วิทยาศาสตร์จริง ๆ ถึงจะเรื่องเดียวก็เจ๋งแล้ว… บทบรรยายของเรื่องก็เป็นอย่างที่คุณ Chalee แนะนำครับ เป็นเรื่องสั้น ๆ ไม่บรรยายมาก อ่านแล้วต้องเดาเอาเองว่าเหตุเกิดเมื่อไหร่ สิ่งแวดล้อมของเรื่องเป็นอย่างไร สังคมของคนในเรื่องเป็นอย่างไร ผมว่าเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องสั้นเหมือนกันนะครับ

  7. อ่าน comments ล่าสุดของคุณ zhivago แล้วน่าสนใจครับ คงต้องไปตามหาหนังสือเล่มดังกล่าวของคุณปราบดา มาอ่านดูแล้ว

    เรื่องความพอดีในการบรรยาย บางครั้งก็พูดยากครับว่ามันอยู่ตรงไหน บรรยายน้อยก็อาจจะทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจน บรรยายมากไปก็เยิ่นเย้อเหมือนจะเป็นนิยายไป แต่เห็นด้วยครับที่บรรยายพอสมควรแล้วให้คนอ่านจินตนาการเอาเองก็ดีเหมือนกัน เรื่องแต่งที่ดีย่อมต้องเป็นเรื่องที่ขับเคลื่อนสมองให้จินตนาการตามไปด้วยขณะที่เราอ่าน

ใส่ความเห็น