ขอออกตัวก่อนว่าผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเรื่องแนวนี้ไม่ควรจะนำมาลงในเว็บนี้เท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่แนวไซไฟจริงๆ แต่มันคือ “ไซไฟ-ฮอร์เรอร์” ซึ่งโดยเนื้อแท้มันอาจจะเป็น “ไซโค-ฮอร์เรอร์” ก็ได้ แต่อยากให้ลองอ่านครับเพราะนี่เป็นงานเขียนแรกใในชีวิตของผมที่เขียนตอนอายุ 15 ปี ตอนเด็กผมก็บ้าเลือดไม่น้อยเลยแฮะ
เรื่องสั้น “Dream”
“คนไข้เชิญครับ”
หมอไผ่ จิตแพทย์หนุ่มไฟแรงที่พึ่งทำงานมาได้แค่สี่เดือนเท่านั้น แต่ทุกคนก็มั่นใจในตัวหมอหนุ่มคนนี้มาก เพราะเขาได้รับรางวัลมามากมายตลอดการเรียน
ตอนนี้ เขาอยู่ในห้องตรวจของเขา แต่ละวันเขาต้องคอยฟังความเรื่อยเปื่อยของคนไข้ของเขา และเขาก็จะเล่นสนุกไปกับคนไข้ของเขาด้วยตลอก นั่นคือ จุดดีที่จิตแพทย์ทุกคนต้องมีอยู่แล้ว
ในขณะนี้เขาต้องรับคนไข้ทุกยี่สิบนาที เพราะการรักษาคนไข้ที่ป่วยทางจิตนั้นไม่เหมือนกับการรักษาโรคหวัด
คนไข้รายต่อไปเดินเข้ามา และเข้ามานั่งตรงเก้าอี้นอนโดยที่หมอไผ่ไม่ต้องพูดแนะ จนผิดสังเกต
“คุณก็ปกติดีนี่” หมอไผ่พูดขึ้น
“หือ” คนไข้รายนี้ฉงน
“ปกติ คนไข้ป่วยทางจิตรายทั่วไปจะต้องได้รับคำสั่งก่อนเสมอถึงจะแน่ใจว่าจะทำอะไร แต่คุณมานั่งเก้าอี้ด้วยตัวเองปกตินี่? คุณจะมาทำไมในเมื่อคุณไม่ได้เป็นอะไร?”
“เดี๋ยวครับคุณหมอ ผมชื่อ ไท มาพบหมอหลายครั้งแล้วแต่หมอก็ไม่เคยอยู่เลย”เขาแนะนำตัวเอง “คราวนี้ผมต้องคุยกับหมอให้ได้”
“อืม ก็ได้ครับ ผมขอรับหน้าที่เป็น ที่ปรึกษา แทนก็แล้วกัน ว่ามาเลยครับ” หมอไผ่กล่าวไป
“โอเคครับหมอ” ไทตอบรับ “ผมฝันไปหลายคืน แต่คราวนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง ผมได้ไปอนาคตมาครับหมอ”
“ว่าไงนะ” หมอไผ่ถามอีกรอบ
“ผมคิดว่า ผมได้ไปอนาคตเวลาหลับ ผมไปเห็นว่า โลกในตอนนั้นมันเปลี่ยนไปหมด ทุกอย่างเหมือนว่า จะมีสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่นมาพบปะกับเราด้วย”
หมอไผ่ ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ ดูท่าว่าที่เขาคาดการว่าคนไข้รายนี้ปกติ คงจะผิดซะแล้ว
“คุณ…ไปเห็นอนาคตมางั้นเหรอ?” หมอไผ่ถามอีกรอบ
“ว่าแล้วว่าหมอต้องไม่เชื่อผมแน่ แต่ผมไปเห็นมาจริงๆ สาบานได้เลย” ไทพูด
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ ผมเชื่อว่าคุณฝันจริงๆ แต่สิ่งที่คุณเห็นนั่น มันก็แค่ภาพในจินตนาการที่เกิดจากการฝัน การเหนื่อยกับชีวิตจริงของคุณ คุณก็เลยได้ล่องลอยไปกับโลกสมมุติในความฝันของคุณ ก็เท่านั้น
เอง” หมอไผ่อธิบาย
“นั่นไงล่ะ ว่าแล้วว่าหมอต้องพูดอย่างนี้ ผมไม่ได้ฝัน ผมได้ไปอนาคตจริงๆ ให้ตายเหอะ นี่ผมกำลังคุยเรื่องความเป็นความตายอยู่นะ” ไทโวยวาย
“คุณน่าจะไปพักสมองซักหน่อย ผมช่วยได้แค่นี้จริงๆ”
“เอ้า ก็ได้ ผมจะไม่มาหาหมออีกแล้ว แม่ง…” จากนั้น ไทก็ออกไปจากห้อง หมอไผ่รู้สึกโล่งอกที่เขาออกไปได้ซะที
หมอไผ่เอาหนังสือเกี่ยวกับความฝันมาอ่าน ว่ามันมีการทำนายอนาคตจากความฝัน แต่เขาว่ามันเป็นแค่เรื่องความเชื่อของคนบางกลุ่มเท่านั้น เขาก็เลยไม่สนใจสิ่งที่คนไข้ชื่อไทบอกมาเลย หมอไผ่ปิดออฟฟิศแล้วก็ออกไปจากห้อง
รุ่งเช้า ม่อนก็ทำงานตามปกติของตนเองไป และในตอนประมาณเที่ยงสิบห้า คนไข้ชื่อไทก็มาอีกครั้ง
“คุณหมอครับ!” เขาเปิดประตูออกมา
“ไหนคุณบอกจะไม่มาอีกแล้วไง” หมอไผ่ทวนคำพูดของไท
“ไม่ได้ครับหมอ ผมต้องคุยกับหมออีก” ไทพูด “ผมเห็นมัน! และก็เห็นชัดกว่าเดิมด้วย!”
“ความฝันน่ะเหรอ?” หมอไผ่ถาม
“ใช่แล้ว! ผมเห็นว่า มีพิธีแต่งงานระหว่างเมียผมกับมนุษย์ต่างดาว”
หมอไผ่หัวเราะออกมาเบาๆ “เดี๋ยวๆ คุณบอกคุณฝันเห็นว่า มนุษย์ต่างดาวกับภรรยาคุณแต่งงานกันเหรอ?”
“ไม่ตลกนะหมอ!” เขาตะหวาดใส่ “พอผมจะไปขัดขวางก็โดนปืนของพวกมันยิงใส่กลางหลัง จากนั้นผมก็ตื่นขึ้น ไม่เชื่อก็ดูซิ”
ไท เปิดหลังของเขาให้ดู หมอไผ่ก็ต้องประหลาดใจ หลังของเขามีแผลที่เหมือนไปถูกอะไรเผามาเป็นรอยพุพองที่เละและเฟะมาก
“คุณ…ไปโดนอะไรมาน่ะคุณไท” หมอไผ่ถาม
“ผมบอกไปแล้ว” เขายังยืนยันคำเดิม “ผมขัดขวางการแต่งการของเมียผมมา”
“แล้วตอนนี้ภรรยาคุณอยู่ไหน” หมอไผ่ถามต่อ
“เขาอยู่บ้านครับ อยู่ปกติดี” เขาตอบ “แต่ผมว่าไม่นาน ไอ้พวกต่างดาวต้องมาแน่ ผมต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ”
“ก่อนคุณจะมานี่ คุณได้ไปประสบอุบัติเหตุที่ไหนหรือเปล่า” หมอไผ่ถามอีก
“ผมไม่ได้ไปหกล้มที่ไหนแน่หมอ! ผมไปอนาคตมาจริงๆ!” เขายังคงพูดเหมือนเดิม
“งั้นเอางี้” หมอไผ่พูดขึ้น “วันนี้คุณค้างที่นี่ เพราะผมจะเฝ้าสังเกตอาการของคุณหนึ่งคืน ตกลงมั๊ย?”
“ดีครับ ผมนึกว่าหมอจะไม่เชื่อซะแล้ว” ไทปิดเสื้อลง ตอนนี้หมอไผ่เริ่มสับสนแล้วว่าอะไรเป็นความจริงกันแน่ เขาเลยตัดสินใจดูอาการของคนไข้รายนี้
ประมาณสามทุ่มสิบ คนไข้กำลังอยู่ในช่วงหลับลึก หมอไผ่สังเกตว่าคนไข้รายนี้หลับง่ายกว่าที่คิด ทั้งๆที่เขาไม่ได้ให้ยาอะไรเลย พอหลับไปได้ประมาณสี่สิบสองนาที ก็เกิดอาการบางอย่างขึ้นกับคนไข้
เขานอนกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด มีเหงื่อไหลตลอดเวลา
“คุณไท” หมอไผ่พูดชื่อเขาเบาๆ
จนกระทั่ง เขาทำท่าเหมือนกำลังถูกทำอะไรซักอย่าง เขานอนกระวนกระวาย ร้องโอดครวญออกมาเหมือนกำลังเจ็บปวดมากๆ…..
รุ่งเช้า ไทตื่นขึ้นมา พบว่าหมอไผ่อยู่ข้างเตียง เอากาแฟมาให้ดื่ม
“ว่าไง คุณเห็นอะไรอีก” หมอไผ่ถาม
แต่สีหน้าของไทตอนนี้ ต่างกับที่เจอกันครั้งแรกอย่างลิบลับ เขาดูสงบและปล่อยวาง “ผมถูกผ่าตัด”
“หือ” หมอไผ่สงสัย
“ผมถูกพวกมนุษย์ต่างดาวมันผ่าตัด ผมคิดจะเอาเมียผมคืนมา แต่ถูกมันจับผ่าตัด ทั้งที่มันยังไม่ได้ฉีดยาสลบหรือยาชาให้ผมเลย”
หมอไผ่พึ่งสังเกต ว่าหน้าของเขายาวขึ้นหรือเปล่า “แล้วมันผ่าตัดคุณทำไม”
“ผมก็ไม่แน่ใจนัก” เขาตอบนิ่งๆ “สงสัยมันจะจับผมย่างมั้ง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
หมอไผ่ทำเออออขำไปด้วย “ผมอยากให้คุณค้างที่นี่อีกซักคืน ได้ไหม”
“ได้เลย” เขาตอบ
ตกดึก เขาก็สังเกตคนไข้รายนี้ต่อ และคราวนี้ คนไข้ก็พูดออกมาเบาๆ
“คุณไท” หมอไผ่มาดูอาการที่เตียง คราวนี้คนไข้ยิ้มอย่างประหลาด ส่งเสียงอะไรในลำคอตลอดเวลา
คนไข้พูดออกมา แต่ฟังไม่เป็นภาษา เหมือนกับไม่ได้พูดด้วยสติสัมปชัญญะ
หรือถ้ามองกลับกัน มันอาจจะ…ไม่ใช่ภาษาของคนก็ได้
และจู่ๆ คนไข้ก็ตัวลอยขึ้นมา และหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง หมอไผ่ตะลึงกับสิ่งที่เห็นในขณะนี้ที่สุด และมีแสงสว่างออกมาจากหู ตา จมูก ปาก คนไข้
ซักพัก คนไข้ก็หล่นลงมาที่เตียงเหมือนเดิม
คนไข้ตื่นขึ้นมา ทำเหมือนกับงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก “ผมเป็นอะไร?”
“คุณถูกกระตุ้นจากจิตใต้สำนึก คราวนี้ผมเชื่อคุณแล้วล่ะ คุณไม่ได้โกหก” หมอไผ่พูด และพลางถอนหายใจ
“ผมไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องอะไรอย่างนี้ได้ มันเอ่อ…เหนือความคาดหมายมากเกินไปจริงๆ”
และคนไข้ก็หัวเราะออกมาอีก จนหมอไผ่ต้องหันไปดู
“อะไรเหรอคุณไท” หมอไผ่ถามอีกครั้งหนึ่ง
“เปล่าๆ หมอ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนใหม่ยังไงก็ไม่รู้สิ..” ตอนนี้ไทมีสีหน้าที่แปลกไป หน้าดูเต่งตึงเปล่งปลั่ง
“คุณไท” หมอไผ่สังเกตเห็นบางอย่าง
“อะไรหมอ ผมไม่ได้โกหกนะ” เขาพูด และหมอไผ่ก็ชี้ไปที่หน้าของไท
“อะไรเล่าหมอ! จ้องอยู่ได้!” และไทก็ลองจับที่หน้าตนดู หน้าของเขามีหนังลอกออกมาเป็นหนังแห้งๆ หลุดออกมาเหมือนงูลอกคราบ
“อะไรเนี่ยหมอ ผมเป็นอะไร?” ไทถาม
“ไม่รู้ ผมก็ไม่แน่ใจว่ามัน….”
“นี่น่ะเหรอผลลัพท์ของมัน!” ไทพูดขึ้น
“เอ๋?” หมอไผ่ชงัก
“พวกมันบอกว่าจะช่วยผม พวกมันอยากให้เราเป็นแบบพวกมันหมด!” ไท พูดอะไรอยู่ก็ไม่รู้
“อะไรกันคุณ หรือว่าการที่คุณถูกผ่าตัด…” หมอไผ่ไม่พูดต่อ
“ใช่ พวกมันจะมาที่โลกอีกไม่กี่สิบปี แล้วพวกมันจะเปลี่ยนพวกเรา! เป็นไงอนาคตที่ผมเห็นมา!” ไทพูด พลางเอานิ้วขูดตรงแก้มของตัวเอง มันค่อยๆลอกออกเป็นขุยๆจนเห็นเนื้อสีเขียวเข้มภายใน…มันไม่มีทางเป็นร่างกายของคนแน่นอน หมอไผ่ก็ได้แต่ตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น
“นี่ล่ะ รู้สึกดีชิบหายเลย ทำไมหมอไม่ลองดูล่ะ อ๋อใช่ เพราะหมอไปอนาคตไม่ได้ แต่ผมเสือกไปได้ซะงั้น!” เขาพูดและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น นัยต์ตาของไทก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเข้ม หมอไผ่ค่อยๆ
ถอยหลังออกไปเรื่อยๆ ไปที่ลิ้นชัก และหยิบปืนออกมาจากลิ้นชัก
“โคตรเจ๋งเลยหมอ!” เสียงของไทค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ภาษาที่พูดก็ค่อยๆเปลี่ยนไปจนแทบจะกลายเป็นคนละภาษา และระหว่างที่เนื้อหนังของเขาก็หลุดออกหมดจนกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวโดย สมบูรณ์ หมอไผ่ก็เหนี่ยวไกใส่เขาทันทีติดๆกันสี่นัด คนข้างนอกห้องต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“หมอคะ! เป็นอะไรคะหมอ! หมอคะ!” นางพยายาลข้างนอกออกมาเคาะประตู และเอายามมาช่วยกันงัดประตูเข้าไปให้ได้
“หมอคะ! รออีกนิดเดียว พวกเราจะเข้าไปแล้วค่ะ!” นางพยาบาลกับยามข้างนอกพยายามตะโกนเข้าไป
หมอไผ่นั่งคิดอยู่คนเดียว ข้างเท้าของเขามีศพของ ไท ชายที่อ้างว่าไปเห็นอนาคตมา ตายอยู่ เขาเขียนจดหมายจ่าหน้าว่า “ถึงมนุษย์” และวางไว้ข้างๆตน หมอไผ่เชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาไปพบกับอนาคตมาจริงๆ และใน
อนาคตที่ว่านั่น…
จะมีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกของเราจริงๆดั่งที่หวังไว้ ทำให้วิทยาการของเราไปได้ไกลขึ้น จนที่สุด…
มันก็จะเปลี่ยนเราด้วยวิทยาการของมัน ทำให้เรากลายเป็นแบบที่พวกมันเป็น…
และในเมื่ออนาคตเป็นเช่นนั้นจริง มันจะมีประโยชน์อะไรอีก?
“ผมไม่ขอรับชะตากรรมแบบนั้นคุณไท” หมอไผ่พูดขึ้น
ในที่สุดยามก็เจอกุญแจห้องของหมอไผ่ และเมื่อเปิดเข้าไปได้
ก็พบว่า หมอไผ่ ยิงตัวตาย เสียชีวิตในห้องทำงานของตนเอง
END.
ขออนุญาตใส่ tag more นะครับ
sci-fi horror เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้บ่อย เช่น แฟรงเก้นไสตน์, มนุษย์ต่างดาวบุกโลก, ผี ที่มาจากต่างมิติ, นักวิทยาศาสตร์วิปลาศ, หุ่นยนต์เสียสติ, ฯลฯ
sci-fi horror ต่างจาก pure horror อย่างไร?
โดยส่วนตัวผมก็คงเป็นเรื่องคำอธิบาย และ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ที่ใช้ นั่นเอง
และโดยส่วนใหญ่ sci-fi horror จะมีความเป็น soft sci-fi มากๆ เพราะจะมีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์น้อยอยู่แล้ว (นอกจาก แฟรงเก้นไสตน์ ที่ผมมองว่า เป็น hard sci-fi)
เรื่องนี้ตอนอ่านให้ความรู้สึกเหมือนอ่าน sci-fi horror แบบญี่ปุ่นมากๆ
(ผมสังเกตุว่า ญี่ปุ่น สุดท้ายมักจะกลายเป็น sci-fi ซึ่งผมเดาเอาว่า โดยพื้นฐาน คนญี่ปุ่น เป็นพวกที่ใช้ เหตุผล นั่นเอง)
เรื่องนี้ผมติดอยู่สองอย่างคือ
วิธีการเล่าเรื่อง กับ รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง
ในตอนจบ ศพของไท อยู่ในสภาพใด? มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่? หรือโดนยิงหัวกระจุย ไม่เหลือหลักฐาน? หรือ ไม่มีแม้แต่ คุณไท ตั้งแต่แรก ???
ประเด็นนี้ สำคัญอย่างไร?
เพราะมันเป็นตัวแบ่ง sci-fi horror กับ psycho thriller (ผมรู้สึกว่า ถ้าเป็น psycho ก็ไม่น่าจะเป็น horror น่ะครับ (ความเห็นส่วนตัว))
ถ้า ไท มีการกลายสภาพจริง มันจะเป็น sci-fi horror ครับ
แต่ถ้าไม่มีหลักฐานใดๆหลงเหลือ มันจะกลายเป็นคำถามว่า จริงๆ หมอไผ่ คิดไปเองหรือไม่ ซึ่งถ้าเลือกทางนี้ มีเรื่องที่ต้อง clear กันอีกเยอะ
พูดง่ายๆก็คือ ยังอาจจะสรุปไม่ได้ ต้องลงในรายละเอียดอีกหลายๆจุด (อาจจะเป็น sci-fi horror หรือ psycho thriller หรือ pure horror ก็ได้)
เนื่องจากไม่มีข้อความใดที่ผู้เขียน เขียนเพื่อหักล้างสิ่งที่บรรยายมาก่อนหน้า ฉะนั้นผมจะสรุปว่า ไท มีการกลายร่างจริง นะครับ
ฉะนั้น นี่ถือเป็น sci-fi horror ที่มีสัดส่วนของ sci-fi ค่อนข้างน้อย นะครับ
จะเป็น time travel, parallel universe, dimension, etc. ก็แล้วแต่
ฉะนั้น ในระดับ โครงสร้างของเรื่อง ผมไม่มีปัญหา ครับ
สิ่งที่ผมขัดใจ น่าจะเป็นวิธีการเดินเรื่อง และ รายละเอียดปลีกย่อย เล็กๆน้อยๆ
๑. รางวัลตลอดการเรียน กับ ผลงานระหว่างทำงาน มันคนละเรื่องกันนะครับ ประโยคแนะนำคุณหมอ ดูจะไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไร ครับ
๒. วิธีการที่ จิตแพทย์ พูดกับคนไข้ มันดูแปลกๆ นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพยายามใช้เหตุผลกับคนที่มาปรึกษาจิตแพทย์
“คุณน่าจะไปพักสมองซักหน่อย ผมช่วยได้แค่นี้จริงๆ” ประโยคนี้ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ นะครับ
๓. ช่วงต้นของเรื่อง จนถึงเริ่มสังเกตุอาการ ดูเยิ่นเย้อ นะครับ
ถ้าปรับเป็น เริ่มเรื่องที่ ไท โดนจับ(จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่) แล้วหมอ ถูกเชิญมาสังเกตุอาการ จากรอยไหม้ หรือให้มาประเมินอาการโรคจิตเลย น่าจะดีกว่านะครับ
(รวมถึงการบอกว่า “พยายามพบคุณหมอหลายครั้ง” ซึ่งผมไม่เห็นความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง ครับ)
อันนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ เพราะมันมีเรื่องของ style ส่วนตัว ปะปนอยู่ด้วย
อีกอย่าง ถ้าคนไข้เชื่อว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นเรื่องจริง เขาจะมาพบจิตแพทย์ หรือครับ?
ถ้าเขาเชื่อว่าสิ่งที่เห็นเป็นจริง เขาควรจะทำอย่างไร? ไปหาตำรวจ ไปหาทหาร ไปหานักวิทยาศาสตร์ หรือลงมือทำอะไรสักอย่าง?
ถ้าเขามาพบจิตแพทย์ แสดงว่า เขาก็ไม่แน่ใจ และ น่าจะอยู่ในอาการกังวลว่าตนเองกำลังจะเป็นบ้า ใช่หรือไม่?
ลองคิดประเด็นนี้ดูนะครับ
๔. รายละเอียดปลีกย่อยเล็กๆน้อยๆ เช่น “…คนข้างนอกห้องต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น…” อันนี้ ไม่ต้องมีก็ได้มั้งครับ
๕. การสรุปจบให้ตัวละครฆ่าตัวตาย ผมว่ามันอ่อนไปหน่อยครับ (พื้นฐานของตัวละครตัวนี้เป็นอย่างไร? อ่อนไหวขนาดไหน?)
…
อยากจะบอกว่า มันขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยระหว่างการเดินทาง(เล่าเรื่อง) ซึ่งอยู่ที่การวางแผนของผู้เขียน ครับ
ถ้าใส่ความหดหู่อย่างรุนแรงให้เป็นพื้นฐานของหมอ(depress) และวันๆยังต้องมาเจอกับคนไข้ที่มีอาการชวนปวดหัว และขัดแย้งต่อตรรกะพื้นฐาน
ค่อยๆสร้างอาการผะอืดผะอมต่อผู้อ่านอย่างช้าๆ จนมาเจอคนไข้ประหลาดที่เน้นย้ำความสิ้นหวังในอนาคต จนคุณหมอตัดสินใจฆ่าตัวตาย และทุกคนเข้ามาพบว่า คนไข้คนนั้นไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงๆ
ก็จะกลายเป็น psycho thriller ที่ดีได้เลยทีเดียว (แม้จะไม่ใช่ plot ที่แปลกใหม่ ก็ตาม)
แต่ถ้าจะเป็น sci-fi horror ละก็
เข้าเรื่องให้เร็วอีกนิดหนึ่ง จะได้มีเวลาใส่เหตุผลให้กับ การผ่าตัดและการเดินทางข้ามเวลา ผ่านการหลับ
เช่น การเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมอง ที่สัมพันธ์กับความถี่ของโพรงหนอน(Wormhole) จึงสามารถเดินทางผ่านเวลา(ผ่านการรับรู้ ไม่ใช่การเดินทาง ทางกายภาพ)ในช่วงความถี่นั้นได้
ขณะเดียวกัน ก็โดนใช้คลื่นความถี่ที่สัมพันธ์กับ atom ของ DNA ดัดแปลงพันธุกรรมเช่นกัน (อะไรประมาณนี้)
ถ้ามีรายละเอียดเหล่านี้เพิ่มเข้ามา ก็จะมีความเป็น sci-fi ที่ชัดเจนขึ้น
นะครับ
ขอบคุณครับ เป็นความจริงหมดเลย พอมาอ่านดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราไม่ได้เหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์เลย อีกทั้งตอนนั้นผมยังเด็กอาจจะไม่ใส่ในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเท่าที่ควร อาจเพราะตอนนั้นแค่คิดจะเขียนนิยายน่ากลัวขึ้นมา โดยไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแนวอะไรเลย
ปัญหาเรื่องข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สำหรับผมนี่ ผมยังเรียนรู้ไม่เต็มที่เลย เป็นสิ่งต้องใช้ทั้งจินตนาการและความรู้ทางวิทยาศาตร์ประกอบด้วย เดี๋ยวจะลองแก้ไขดูครับ ขอบคุณครับ
เป็นเรื่องธรรมดาครับ
งานเขียน เป็นการสื่อสารประเภทหนึ่ง ต้องใช้เวลาและการสังเกตุการณ์ ในการพัฒนา ครับ
กว่าผมจะเริ่มเขียนเป็น ก็ตอนที่เริ่มทำงานแล้ว(เพราะ memo ให้เพื่อนร่วมงานแล้วเขาอ่านไม่รู้เรื่อง :D) ปัจจุบันก็ยังคงต้องพัฒนาอยู่ ครับ
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เอง จริงๆแล้วก็ยังเป็น ทฤษฎี กันอยู่มาก (อย่างกรณี Wormhole เอง)
ฉะนั้น ผมกลับมองว่า อย่าไปสร้างความเครียดให้ตนเอง ว่า เขียนนิยายวิทยาศาสตร์ ต้องเก่ง วิทยาศาสตร์ หรือต้องรู้ลึกมากๆ อาจจะถือเป็นความได้เปรียบได้ แต่ก็ไม่ใช่ข้อกำหนดตายตัวครับ
ผมว่าใน step แรกๆ (ทั้งในแง่งานเขียนทั่วไปและนิยายวิทยาศาสตร์)
๑. จับพฤติกรรมมนุษย์ ให้ได้ (การตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆของคนทั่วๆไป)
๒. จับอารมณ์ให้ได้ เริ่มจากการจับอารมณ์ตนเองก่อน (เศร้า,เหงา,ร่าเริง,ฯลฯ) เราตอบสนองต่อมันอย่างไร? มีพฤติกรรมอย่างไร?
๓. ฝึกการใช้ ตรรกะ เพราะทุกอย่าง มีตรรกะ มีเหตุมีผล ของมันเสมอ (จริงๆนะ)
๔. เปิดกว้างต่อทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
๕. อ่านเยอะๆในทุกๆสาขางานเขียน เพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์ ให้ตนเอง (อันนี้ผมเองก็ยังทำไม่ค่อยได้เลย 😛 )
ตอนนี้ นึกออกเท่านี้ ครับ
อย่าพึ่งท้อนะครับ
เพราะจริงๆแล้ว งานเขียนมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต(ตามปกติ)ของเราด้วยนะครับ
ผมชอบเรื่องนี้นะครับ ทำให้ผมรู้สึกติดตามได้เรื่อยๆอย่างไม่มีสะดุด มีอะไรให้ลุ้นอยู่
แต่ลองแก้ตอนจบหน่อยนะครับ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
แต่ก็พอเข้าใจว่ารวมๆแล้วว่าต้องการสื่ออะไร และสนุกครับ