หลังจากเฝ้ามองแบบจำลองการทำงานของเครื่องกำหนดฝันเป็นเวลาติดต่อกันกว่า 72ชั่วโมง ข้าพเจ้ารู้สึกถึงอาการปวดกระบอกตาอย่างรุนแรง และอาการเกร็งกล้ามเนื้อที่ต้นคอจนเกือบจะไม่สามารถขยับนิ้วได้
แต่นี่เป็นหนทางในการเอาชีวิตรอด เพียงหนึ่งเดียวของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้า รองศาสดราจารย์ด๊อกเตอร์ ศุทธิวิสุตร์ คงประสาทวิสัย ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาท หนึ่งในทีมผู้คิดค้นและจัดสร้างเครื่องกำหนดฝันนี้ขึ้นมา
จากตอนแรกที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการรักษาผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับ ข้าพเจ้ากลับมารู้ทีหลังว่าเงินทุนทั้งหมดนั้น กลับมาจากกระทรวงกลาโหม
มันไม่น่าเกี่ยวข้องกันได้ จนข้าพเจ้าเริ่มสังเกตพบความบังเอิญอันน่าตกใจ
การเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุของนักข่าวที่โจมตีรัฐบาล…
การตายอย่างเป็นปริศนานักการเมืองฝ่ายค้านบางคน…
ซ้ำร้ายเพื่นร่วมงานของข้าพเจ้าก็เริ่มเสียชีวิตไปทีละคน ในลักษณะอาการที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
เช่น สาธิต เพื่อนของข้าพเจ้าเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายขณะหลับ
เขาอายุ 27ปีและไม่มีประวัติอาการทางโรคหัวใจมาก่อน
และตามมาด้วยการเสียชีวิตของเพื่อนร่วมงานอีกถึงแปดคน … ในลักษณะที่น่าสงสัยพอๆกัน
ข้าพเจ้าตัดสินใจขโมยโปรแกรมการทำงาน… ทำลายหลักฐานทั้งหมดและหนีออกมา
มันเป็นเวลากว่า สามปีแล้วที่ข้าพเจ้าปกปิดร่องรอยและหายสาบสูญไปจากสังคม
แต่ข่าวการเสียชีวิตแบบแปลกๆ ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ที่ต่อต้านรัฐบาล
ข้าพเจ้ายังคงตกเป็นเป้าโจมตีของพวกมันอยู่ … ข้าพเจ้ารู้ตัวดี
หลายครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกกระตุกที่กล้ามเนื้อ… ได้ยินเสียงหึ่งๆในหู และเริ่มฝันแปลกๆ
นั่นเป็นสัญญาณของการต้องทิ้งถิ่นฐาน… นั่นเป็นสัญญาณว่า พวกมัน พบข้าพเจ้าเข้าแล้ว
แต่ข้าพเจ้าหนีไปตลอดไม่ได้ … ข้าพเจ้าต้องหาวิธีแก้ไข … ข้าพเจ้าต้องหาวิธีสู้กับเครื่องจักรสังหาร ที่ ข้าพเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้น
เครื่องจักรสังหารที่ทำให้การฆาตกรรมไม่สามารถพิสูจน์ได้
…
ห่างออกไปบนถนนฝั่งตรงข้าม รถแวนสีขาวจอดติดเครื่องนิ่งอยู่
ภายในรถคันนั้น คนสี่คนกำลังทำงานอยู่กับเครื่องจักรกลที่ทันสมัยที่สุดในโลก
ภาพบนจอ มอนิเตอร์ เบื้องหน้าแสดงภาพคลื่นความถี่สูง ที่กำหนดทิศทางเข้าสู่ร่างกายเป้าหมายตามตำหน่งที่ระบุแน่นอนตายตัว
ด้านหลังคอ ที่จุดรวมประสาท
กกหูทั้งซ้ายและขวา
ปลายมือ ปลายเท้า
กลางหน้าหน้าผากบริเวณสมองส่วนหน้า
จากนั้น คลื่นตัวที่สองก็จะถูกยิงเข้ามาในตำแหน่งเดียวกันจากมุมที่ต่างกัน 25องศา
กระบวนการกระตุ้นการรับรู้จะเกิดขึ้นทันที โดยการปรับช่วงคลื่นและความสูงต่ำของคลื่น เพื่อทำให้เกิดการแทรกสอด เพื่อสร้างการขยายหรือลดทอนกันเอง
คลื่นตัวที่สาม จะส่งเข้ามาในมุมที่ต่างออกไปอีกเล็กน้อยเพื่อคอยรักษาสมดุล
กระบวนการเหล่านี้ จะต้องถูกทำทั้งหมดอย่างน้อยสามครั้ง เพื่อติดตามผล และ ประเมินปฏิกิริยาตอบสนอง เพื่อระบุวิธีการตีความของแต่ละบุคคลอย่างชัดเจน ก่อนลงมือสังหาร
ด้วยความซับซ้อนยุ่งยาก ของการกำหนดตำแหน่ง ของระบบประสาทซึ่งจะผิดพลาดได้ไม่เกิน 0.001ไมโครเมตร จึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโจมตีเป้าหมายที่เคลื่นไหวอยู่
เวลานอน หรือช่วงเวลาที่นั่งนิ่งๆจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
แลกกับการสังหารบุคคลทางการเมืองได้โดยไม่มีหลักฐานหรือพยานใดๆ
ด้วยเงินลงทุน พันล้านเหรียญ ยังถือว่าคุ้มค่าอยู่
…
ข้าพเจ้ารู้สึกเพลียอย่างรุนแรง
ไม่น่าแปลกอะไร ข้าพเจ้าเฝ้าดูแบบจำลองกว่า 72ชั่วโมงแล้ว … เอ ข้าพเจ้าบอกท่านไปแล้วใช่ไหม
ซ้ำร้ายข้าพเจ้าไม่ได้นอนติดต่อกันมากว่า 5วันแล้ว
ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าจะเดินพล่านไปทั่วห้อง
ข้าพเจ้าไม่สามารถสงบสติอารมณ์ให้อยู่กับที่ที่หนึ่งเฉยๆเป็นเวลานานๆได้
ข้าพเจ้ากลัว
นี่ข้าพเจ้านั่งอยู่กับที่มานานเกินกว่า 3นาทีหรือยังนี่
แต่ข้าพเจ้าล้าเหลือเกิน
รู้สึกถึงอาการกระตุกเบาๆที่หลังต้นคอ
ช่างเพลียเสียเหลือเกิน
อาการเย็นเฉียบอย่างฉับพลันที่ปลายนิ้ว
เสร็จกัน… พวกมันพบข้าพเจ้าเข้าแล้ว
ข้าพเจ้าพยายามขยับเขยื้อนร่างกาย แต่สายเกินไปแล้ว … หลังจากขั้นตอนการกำหนดตำแหน่งของระบบประสาทบนร่างกายสมบูรณ์แล้ว เป้าหมายก็ไม่ต่างอะไรกับยุงตัวน้อยบนใยแมงมุมเหนียวแข็ง
ได้แต่รอความตาย
แต่ข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย … มีเรื่องอีกมากมายที่ข้าพเจ้าต้องทำ … มีเรื่องอีกมากมายที่ข้าพเจ้าต้องเปิดโปง
มันเป็นหน้าที่
แต่ข้าพเจ้าเหนื่อยเหลือเกิน … ล้าเหลือเกินแล้ว
ภาพห้องเริ่มบิดเบี้ยว ฝาผนังเบื้องหน้าแตกร้าว หลุดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนระเบิดกระจายรุนแรง เปิดผนังผืนใหญ่เป็นช่องกว้าง ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นอันมหึมากระชากมันออกไป
ทิวทัศน์เบื้องหน้าไม่ใช่ ตึกรามบ้านช่องหนาแน่นอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเป็นกำแพงหินห่างออกไปเพียงสองถึงสามเมตร ซึ่งเต็มไปด้วยธารน้ำตกของหินหลอมเหลวสีแดงร้อนระอุ
หินเหลวร้อนแดง ค่อยๆ เอ่อล้นเข้ามาในห้องความร้อนระอุส่งเข้าไปสู่ปอดจนข้าพเจ้าสำลัก
จบกันที … ในช่วงเวลาที่น่าจะรู้สึกหวาดกลัว ข้าพเจ้ากลับได้แต่นึกถึงความความรู้สึกเก่าๆในวัยเยาว์
มารดาข้าพเจ้าเคยพาข้าพเจ้าไปเข้าวัดในวัยเด็ก … เคยสอนให้ข้าพเจ้านั่งสมาธิ แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เคยทำตามที่ท่านสั่งสอนได้เลย
“ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถควบคุมได้อย่างแท้จริง … มีเพียงจิตใจของเจ้าเองเท่านั้นที่พอจะสามารถควบคุมได้” มารดาเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ข้าพเจ้าผ่อนลมหายใจยาว รู้สึกสงบอย่างประหลาด
…
ชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบ นั่งจับจ้องอยู่หน้าแผงควบคุมที่แสนจะซับซ้อน เฝ้าติมตามผลของเป้าหมาย อยู่ในรถแวนสีขาวที่จอดอยู่บนถนนหน้าตึกของเป้าหมายนั่นเอง
ศุทธิวิสุตร์ เป็นเป้าหมายที่ติดตามยากพอสมควร เนื่องจากเป้าหมายเป็นคนวงใน … นั่นทำให้เขารู้ว่าเขาต้องระวังในสิ่งใดบ้าง
ทุกๆครั้งที่มีอาการบ่งชี้ที่ต้องสงสัยเขาจะย้ายหนีทันที … ไม่มีอาการลังเล … ไม่มีอาการสงสัย
ต้องขอบคุณการพัฒนาในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เครื่องมือมีความแม่นยำขึ้นมาก และสามารถใช้การได้แม้จะต้องส่งสัญญาณผ่านสิ่งกีดขวางเป็นจำนวนมาก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่สามารถกระทำได้
“มีบางอย่างผิดปกติ” ชายตัวเล็กคนทางขวาสุดร้องออกมาเบาๆ
“เป็นอะไร … เครื่องทำงานผิดพลาดหรือ” ชายคนกลางผู้มีอาวุโสที่สุดร้องถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าในงานครั้งนี้
“ไม่นี่ครับ ระดับพลังงานถูกต้อง ระดับคลื่นทั้งสามก็ถูกต้อง ตำแหน่งบนร่างกายก็ได้รับการยืนยันว่าถูกต้องแล้ว” ชายหนุ่มคนทางซ้ายร้องเกือบจะเป็นเสียงหลง
“แต่ปฎิกิริยาทางประสาทของเป้าหมายไม่ตอบสนองเลยครับ” ชายคนทางขวายืนยัน
“ไม่ตอบสนอง หมายความว่าอย่างไร … เป้าหมายเสียชีวิตแล้วหรือ” ชายคนกลางยื่นหน้าเข้าไปที่จอภาพ
“มิได้ครับ … การทำงานของร่างกายยังสมบูรณ์ดี … เพียงแต่เป้าหมายไม่ตอบสนองต่อสัญญาณที่เราส่งเข้าไป ครับ” ชายร่างเล็กรายงาน
“ดูเหมือนร่างกายของเป้าหมาย เลือกที่จะตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆแตกต่างกันออกไป” คนทางซ้ายรายงานเสริม
ทั้งหมดได้แต่งุนงงต่อผลที่เกิดขึ้น … พวกเขาจะต้องตัดสินใจว่าจะต้องทำสิ่งใดต่อไป…
หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายย่อมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
…
“พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า หากเป็นทุกข์ ก็ต้องหาเหตุแห่งทุกข์นั้น จากนั้นจงหาวิธีการที่จะกำจัดทุกข์นั้นออกไป และจงลงมือปฏิบัติเพื่อขจัดทุกข์นั้นเสีย” เสียงมารดาเอ่ยอย่างอ่อนโยน ภาพของหล่อนที่กำลังนั่งพนมมือ อยู่ในพื้นที่วัดแห่งหนึ่ง ช่างแจ่มชัดเสียเหลือเกิน … แต่ข้าพเจ้ากลับจำไม่ได้ว่าเป็นที่แห่งใด
ข้าพเจ้าจำได้แต่เพียงว่า ข้าพเจ้าพยักหน้ากลับไปอย่างแกนๆ โดยไม่เคยเข้าใจคำพูดเหล่านั้นแม้เพียงสักเล็กน้อย
“น่าเสียดายที่คนเราเฝ้าแต่มองออกไปนอกตัวเอง เฝ้าแต่กล่าวหาว่าผู้อื่นเป็นเหตุแห่งทุกข์ จนลืมมองย้อนกลับมาที่ตนเอง” หล่อนพนมมือมองออกไปเบื้องหน้า ดูเหมือนจะมีน้ำตาเอ่อคลอเบ้า “เฝ้าแต่หาข้ออ้างต่างๆนานา สร้างความทุกข์อย่างต่อเนื่องในสังคม”
…
“ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เจ้าสามารถควบคุมได้อย่างแท้จริง … มีเพียงความคิดของเจ้าเท่านั้นที่เจ้าพอจะสามารถควบคุมได้”
…
“หากเป็นทุกข์ ก็ต้องหาเหตุแห่งทุกข์นั้น จากนั้นจงหาวิธีการที่จะกำจัดทุกข์นั้นออกไป และจงลงมือปฏิบัติเพื่อกำจัดทุกข์นั้นเสีย”
…
“พลังงานกำลังลดลงครับ” ชายหนุ่มทางซ้ายร้องเสียงหลง
“โปรแกรมหยุดทำงานครับ เหมือนกับโดนไวรัส หรืออะไรสักอย่าง” ชายหนุ่มทางขวาร้องขึ้นมาบ้าง
“นี่มันบ้าอะไรกันว่ะ” ชายคนกลางร้อง ก่อนไฟในรถจะดับวูบลง
เครื่องจักรสังหารที่ปราศจากโปรแกรมสั่งงานอย่างถูกต้อง และข้อมูลอันมหาศาลก็ไม่ต่างอะไรจากก้อนเหล็กตันๆก้อนหนึ่งเท่านั้น และตอนนี้ ข้อมูล และ โปรแกรมเหล่านั้น กำลังถูกย่อยสลายไปอย่างช้าๆโดยที่เขาไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย … เครื่งต้นแบบของเขา … ผลงานของเขา …
…
นับว่าโชคดีที่เครื่องนี้ยังคงเป็นเครื่องต้นแบบ และ รายละเอียดการสร้างอื่นๆนั้นข้าพเจ้าได้ทำลายไปก่อนหน้านี้แล้ว
ข้าพเจ้ารู้สึกสงบอย่างประหลาด
ในที่สุดข้าพเจ้าได้เข้าใจบางสิ่ง … สิ่งซึ่งข้าพเจ้าควรจะเข้าใจได้เมื่อนานมาแล้ว หากข้าพเจ้าไม่หาข้ออ้างอันงมงายหลอกตัวเองมาตลอด … ข้ออ้างที่ข้าพเจ้าอ้างสังคม … อ้างเสียงส่วนใหญ่ … อ้างหน้าที่
สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าควรคำนึงถึงคือการ ไม่สร้างทุกข์ให้เกินขึ้นในสังคมโลก ไม่ว่าแก่ผู้ใดก็ตาม
นี่จึงเป็นหน้าที่อันแท้จริงต่อมนุษยชาติ
ข้าพเจ้าไม่ได้ฟื้นขึ้น
ร่างของข้าพเจ้านอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม
แต่ข้าพเจ้าพบหนทางแล้ว
…
จบ
ไม่แน่ใจว่า ระหว่างการอ่าน จะมีความสับสนเรื่อง สถานที่(ฉากของเหตุการณ์) บ้างหรือเปล่า
คือจะเรียกว่าเป็นงานทดลองก็ว่าได้
ปัญหาก็คือ ผมอยากจะเล่าความรู้สึกของภาพที่เห็นด้วย บุคคลที่๑ เพราะน่าจะบรรยายความรู้สึกได้ดีกว่า
แต่นั่นสร้างความขัดแย้ง ต่อการเล่าเรื่อง กรณีที่ บุคคลที่หนึ่งนั้น ไม่อยู่ในเหตุการณ์ (กรณีนี้คือ ฉากในรถ)
ผมจึงอยากทดลองดูว่า พอจะทำได้หรือไม่ (ซึ่งโดยหลักการณ์ วิธีนี้ไม่ควรทำ)
ก็ลอง comment กันดูครับ ว่า ใครอ่านแล้ว รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง เข้าใจ ไม่เข้าใจ อย่างไรกันบ้าง นะครับ