ตอนที่ 8
ณอห์นติงแอลลี่ว่าควรทานให้เยอะกว่านี้ แต่เธอไม่ชอบอาหารมื้อแรกบนอวกาศเลย บางอย่างสีขาวข้น จับตัวกันเละๆ เหนียวๆ อยู่ในชาม ดูไปดูมาคล้ายกาว แถมกลิ่นยังเหมือนอีก ยิ่งรสชาติไม่ต้องพูดถึง เธอถึงกับสงสัยว่าเพื่อนร่วมกลุ่มกินลงไปได้อย่างไร
ผิดกับพวกทหารที่ดูเจริญอาหารกันดี มื้อแรกของพวกเขาบนยานลำนี้มาในแบบจัดเต็ม ทั้งเนื้อสัตว์ แป้ง ผลไม้ อาหารเหล่านี้รวมทั้งกลุ่มของแอลลี่ ถูกแบ่งประเภทจากลักษณะการดำเนินชีวิตบนยาน พวกทหารจะทำงานตลอดเวลาจนกว่าจะถึงจุดหมาย แต่กับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร ถัดจากทานอาหารเสร็จอีกราวหนึ่งชั่วโมง ทุกคนจะเข้าเครื่อง ‘ภาวะหยุดนิ่ง’ เพื่อเลี่ยงจากการเดินทางผ่านม่าน ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนมา ได้รับผลเสียข้างเคียงจากการเดินทางผ่านม่านดังกล่าว ทั้งอาเจียน มีไข้ขึ้น อาจมีผลข้างเคียงหนักมากถึงขั้นสมองเสื่อม
ดังนั้นของเละๆ เหนียวๆ ในชามของแอลลี่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่งแล้ว อาหารมื้อนี้จะให้พลังงานแก่ร่างกายแทนพลังงานต่างๆ ในภาวะร่างกายปกติ และช่วยชะลออาการอยากขับถ่าย เมื่อณอห์นเห็นแอลลี่ทานน้อย เขาจึงติงแอลลี่อย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
ทีมงานวิทยาศาสตร์และวิศกร ก่อนจะมารับภารกิจนี้ ต่างได้รับการฝึกอบรมมาระดับหนึ่งแล้ว สิ่งหนึ่งที่กระตุ้นความสนใจของทุกคนก็คือ การเดินทางผ่านม่านอวกาศ
ม่านอวกาศคือหนึ่งในสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของมนุษยชาติยุคนี้ หน้าที่ของมันคือใช้ถ่ายโอนวัตถุ จากม่านหนึ่งสู่อีกม่านหนึ่ง เหมือนปีนเข้าหน้าต่างบานหนึ่ง แล้วไปโผล่ออกอีกบานหนึ่ง
บรรพบุรุษของมนุษยชาติได้ออกเดินทางท่องไปในอวกาศ และได้สร้างเส้นทางลัดโดยกำหนดจุดแต่ละตำแหน่งไว้ จากนั้นปล่อยให้ยานเดินทางอัตโนมัติผ่านแต่ละจุดด้วยความเร็วสูงสุด กาลเวลาล่วงเลย วิวัฒนาการของมนุษย์รุดหน้า ไม่นานหลังจากนั้นมนุษย์ได้เรียนรู้ที่จะเอาทุกจุดมารวมกันเป็นจุดเดียว และสร้างทางเข้า-ทางออก รวมทั้งกำหนดสิทธ์ให้เพียงยานของมนุษย์เท่านั้นที่เดินทางผ่านเข้าไปได้ มนุษย์ตั้งชื่อมันว่า …ม่านอวกาศ
ม่านอวกาศถูกวางตำแหน่งไว้ 4 ชั้น คือเข้าจากจุดแรก ไปโผล่ยังจุดที่สอง ต่อจากนั้นเดินทางอีก 3 วันเพื่อเข้าจากจุดที่สามไปโผล่ยังจุดสุดท้ายคือม่านที่ 4 มียานเพียงไม่กี่ลำที่เคยออกมาไกลขนาดนี้ ส่วนใหญ่เป็นยานเบทิวเดียวที่ได้รับมอบภารกิจค้นหาพื้นที่ในอวกาศ เพื่อสร้างระบบสุริยะจักรวาลใหม่
ม่านสองชั้นแรกจะมีทั้งหมด 16 ม่าน ประจำอยู่ ณ. ระบบสุริยะทั้ง 8 แห่งจำนวน 8 ม่าน และที่เหลือ 8 ม่านในชั้นที่ 2
ส่วนม่านชั้นที่ 3 และ 4 มีจำนวน 8 ม่าน แบ่งออกชั้นละครึ่ง
หากนับตามระยะเวลา เซอุสอยู่ห่างจากม่านที่ 4 อยู่ราว 3 วันเดินทาง รวมระยะเวลาที่ยานเบทิวเดียว 113 จะไปถึงยานงูใหญ่ของเซอุส กินเวลากว่า 6 วัน กัปตันจึงภาวนา ขอแค่เซอุสไม่ย้ายไปไหนก็พอ
***************************************************************
แอลลี่เตรียมพร้อมเข้าสู่ภาวะหยุดนิ่งแล้ว เธอสวมชุดสบายๆ กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาว ทีมงานคนอื่นล้วนอยู่ในชุดที่ไม่แตกต่างกันเท่าไร
แคปซูลเครื่องหยุดภาวะตั้งเรียงตัวแถวละสิบเครื่อง เมื่อแอลลี่ลองนับแล้วมีทั้งหมด 30 เครื่อง ลักษณะเป็นหลอดแก้วยาว ผู้ที่เข้าสู่ภาวะหยุดนิ่งจะนอนหลับอยู่ในนั้น
แสงสว่างในห้องเริ่มลดลง ฝาแคปซูลเปิดออก
“เครื่องควบคุมภาวะหยุดนิ่งพร้อมทำงานครับ ” เสียงจอห์นดังก้องขึ้น “ขอเชิญทุกท่านเข้าสู่แคปซูล”
แอลลี่ยกก้นวางบนที่นอนในแคปซูลก่อน แล้วจึงยกขาทั้งสองข้างขึ้นตาม เธอค่อยๆ เอนราบลงนอน ยอมรับว่ามันเป็นที่นอนเยี่ยมสุดเท่าที่เคยสัมผัสมา ความมืดเริ่มคืบคลาน มีเพียงแสงสีส้มจากทั่วมุมห้องเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่เป็นหย่อมๆ
ถัดจากนั้นจอห์นก็สร้างสิ่งมหัศจรรย์แก่นักวิทยาศาสตร์และวิศกรทุกคนในห้องนี้ รอบห้องเริ่มเปลี่ยนฉากเป็นท้องอวกาศ ผิวยานด้านนอกรับภาพแล้วส่งกลับมายังผิวยานด้านใน จักรวาลอยู่ตรงหน้าแล้ว แสงดาวนับล้านระยิบระยับอยู่ทั่ว แอลลี่มองเห็นทางช้างเผือก มีทั้งสีฟ้า สีชมพู สีม่วง มันสวยงามมาก ดาวดวงหนึ่งวิ่งผ่านเห็นแสงสีขาวยาวตามเป็นหาง แอลลี่ยิ้ม …ขอพรได้ไหมนะ…หญิงสาวคิด แล้วหลับตาลง
***************************************************************
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ” เอ็มเอ่ยถามขึ้น กัปตันแม็กซ์นั่งอยู่เบื้องหน้าเขา สีหน้าดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย หลังจากนั่งนิ่งอยู่บนแท่นควบคุมยานกว่า 6 ชั่วโมง กระทั่งเพิ่งได้หยุดพักเมื่อยานออกจากม่านที่ 2 แล้ว ทั้งคู่อยู่ในห้องพักส่วนตัวของกัปตันแม็กซ์เอง
“นั่งก่อนสิเอ็ม”
หัวหน้ากลุ่มทหารดึงเก้าอี้ออกแล้วก้าวเข้าไปนั่ง
“มีอะไรรึเปล่าครับ” เอ็มถามย้ำอีกครั้ง
กัปตันแม็กซ์มีเรื่องบางอย่างในใจจนแสดงออกผ่านทางสีหน้าให้เห็น เขาวางมือประสานกันบนโต๊ะ ถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วพูดออกมา
“เรื่องของแอลลี่”
เอ็มยิ้ม เขารู้ว่ากัปตันหมายถึงอะไร
“ผมจะคอยดูแลเธอเองครับ กัปตันไม่ต้องเป็นห่วง”
กัปตันดึงมือเข้ามา-ปล่อยลงข้างตัว แล้วเอนหลังพิงพนักอย่างเหนื่อยล้า
“ผมรู้สึกสังหรณ์ใจ” กัปตันว่า “มันเป็นภารกิจที่ดูสมบุณณ์แบบเกินไป”
เอ็มพยักหน้ารับ เขาเองก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ภาคทฤษฎีดูเหมือนง่าย แต่เมื่อลองจำแนกออกเป็นขั้นตอนปฏิบัติแล้ว ทุกอย่างมันยากไปหมด มีอาวุธยุโธปกรณ์ครบครัน มีการเตรียมตัวดีพร้อม ประสบการณ์ทหารเท่านั้นที่บอกกับเขาว่า ความผิดผลาดเพียงข้อเดียว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จด้วย แต่ภารกิจนี้ อะไรๆ ล้วนลงล็อคเป๊ะทั้งนั้น
“ผมไม่น่าดึงแอลลี่เข้ามาเสี่ยงด้วยเลย” กัปตันประสานมือไว้ที่ท้ายทอย ถอนหายใจอีก
“ไม่น่า…” เขาย้ำกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมถึงเลือกเธอเข้ามาครับ” เอ็มถามแบบตรงๆ เหตุผลมันต้องมีน้ำหนักมากกว่าการที่เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของกัปตันวาสเซล คุก เอ็มเดาอย่างนั้น
“เพราะทูทูโพโบ…” กัปตันตอบทันที “เธอสร้างมันขึ้นมา ทำสำเร็จตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ก่อนหน้านี้เธอมีความสนใจในแร่ X อยู่แล้ว เธอเป็นคนฉลาดมาก เหมือนกับพ่อเธอ”
เอ็มยอมรับว่าทึ่ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าสุดยอดอาวุธสังหารชิ้นนี้ จะเป็นผลงานของผู้หญิงรูปร่างอ้อนแอ้นแบบแอลลี่ เธอสร้างมันทั้งที่อายุยังน้อยๆ อยู่ด้วยซ้ำ เห็นทีบางอย่างบนยานนี้ จะตัดสินจากสายตาไม่ได้อีกแล้ว โง่นัก…เขาด่าตัวเองในใจ
เธอจะกลายเป็นบุคลากรทหาร ประเภทมันสมองชั้นยอดในอนาคต เอ็มเดาอย่างนั้น แอลลี่…เธอเสี่ยงมากที่มากับยานลำนี้ แต่ทำไงได้ เธอมาแล้ว อยู่ที่นี่แล้ว นอนหลับนิ่งอยู่ในเครื่องสร้างภาวะหยุดนิ่งแล้ว เขาจะรับปากดูแลเธอลอยๆ ไม่ได้ กัปตันต้องกังวลเรื่องนี้อยู่ด้วยแน่ๆ ถึงได้เรียกเขามา
“ผมจะคอยดูแลเธออย่างดีที่สุดเอง” เอ็มเอ่ยขึ้น เขาหมายความตามที่พูดจริงๆ “ผมรับปาก”
กัปตันจ้องเขานาน ยิ้มออกมา
“ผมไว้ใจคุณนะ ถึงเลือกคุณมา” กัปตันเอามือมาประสานบนโต๊ะตามเดิม สีหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง “ผมดูประวัติคุณแล้ว มันเยี่ยมมาก ทั้งกับพวกเคอร์คิเจียนและพวกโดรน”
พวกโดรน… เอ็มคิด สำหรับเขาแล้วไม่ใช่ภารกิจที่ดี ไม่ใช่เพราะรอยแผลใต้ราวนมข้างขวาที่ทำเอาเขาเคยเกือบตาย แต่เป็นเรื่องของสภาพจิตใจ โดรนไม่มีจิตใจ พวกมันไร้ความรู้สึก มนุษย์คิดกับมันแค่เพียงของเล่นชนิดหนึ่ง ที่หาญลุกขึ้นต่อสู้กับผู้สร้างมันขึ้นมาเท่านั้น และในฐานะของเล่นที่ได้เรียนรู้การเข่นฆ่า เอ็มได้เห็นสิ่งที่มันทำกับคน เขาไม่เคยลืมภาพพวกนั้น มันยังติดตาคอยหลอนอยู่ในความฝันของเขาเสมอ
“เซอุสยังอยู่พิกัดเดิมหรือเปล่าครับ” เอ็มเปลี่ยนเรื่องคุยดื้อๆ เขาไม่ชอบคุยเรื่องโดรน ยอมรับว่ามันแทงใจ
“ป้วนเปี้ยนอยู่แถวเดิม” กัปตันแม็กซ์เลื่อนจอกระจกของตนที่วางอยู่ข้างโต๊ะไปให้เอ็มดู “เลยจากม่านที่ 4 ไปราว 3 วัน”
เอ็มก้มดู จุดเล็กๆ บนจอยังคงอยู่บริเวณเดิม เขานึกถึงภาพเดียวกันนี้ตอนประชุม
“ถ้าภารกิจสำเร็จ คุณจะกลายเป็นตำนาน” กัปตันเอ่ยขึ้น
“แต่ถ้าไม่สำเร็จ” เอ็มจ้องลงไปในแววตากัปตัน “เราอาจได้มหาสงครามแทน”
“พวกคุณมีเวลาหนึ่งชั่วโมง เราเจอบางอย่างเข้า กัปตันอยากให้พวกคุณรีบไปดู” เคทประกาศขึ้น แล้วตรงเข้าไปประคองแอลลี่ลุกขึ้นยืน
9 วัน แอลลี่เหลือบมองเวลาที่แสดงตรงจอกระจกของแคปซูล เธอหลับไปสัปดาห์กว่าๆ
แอลลี่รีบทำทุกอย่างให้ไวสุด ทานอาหาร อาบน้ำ เธอออกมารอณอห์ณและกลุ่มเป็นคนแรก เดินวนไปมาอย่างร้อนใจ ให้ตาย…เธออยากรู้ชะมัดว่ายานเบทิวเดียม 113 เจออะไรเข้า
เมื่อทุกคนพร้อม ก็รีบตรงดิ่งมาทีห้องควบคุมยานทันที
กัปตันแมกซ์ เจ้าหน้าที่เดฟกับนิโก้และเอ็ม กำลังยืนหารือกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ตรงกลางห้อง ทั้งสี่เมื่อเห็นทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเดินเข้ามาจึงหยุดสนทนากันชั่วครู่
“เกิดอะไรขึ้นคะกัปตัน” แอลลี่ไม่ยอมเสียเวลาทักทาย เปิดฉากถามขึ้นก่อน เอ็มลอบมองเธอ แม้เวลา 9 วันในแคปซูลจะทำให้หญิงสาวผอมลงไปบ้าง แต่น้ำเสียงฟังดูแข็งแรง กำลังใจเธอยังดีเยี่ยมอยู่
“เราเจอสองอย่างเข้าพร้อมกัน” กัปตันส่งจอกระจกให้ดู ทั้งทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเดินเข้ามามุง “อย่างแรก… เราเจอเซอุสแล้ว”
“ส่วนอย่างที่สอง…”กัปตันชี้นิ้วบนจออีกจุดไม่ห่างจากจุดแรกมากนัก “เราเจอม่านปริศนา”
กลุ่มของแอลลี่ต่างหน้าเหวอไปตามๆ กัน มันปริศนาที่ว่า…ใครคือผู้สร้าง ของสิ่งนี้ถูกฝั่งความเชื่อว่ามีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นที่มีสิทธ์สร้างได้ ความมั่นใจในอารยธรรมของตน ทำให้มนุษย์เปรียบตัวเองให้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเป็น
“เป็นม่านที่ดูคล้ายของเรา แต่ไม่ใช่ของเรา” เดฟให้ความเห็นบ้าง
“แล้วก็ไม่ใช่ของพวกเคอร์คิเจียน พวกมันไม่มีทางสร้างของแบบนี้ได้แน่” นิโก้เสริมเข้ามา
“ถ้าวัดจากระดับความสามารถในการสร้างม่านนี้ ใครก็ตามที่ทำได้ จะต้องมีระดับมันสมองเทียบเท่ากับเรา หรืออาจดีกว่าด้วยซ้ำ” เดฟพูดต่อ
…เอ็มยืนกอดอกฟังอยู่นิ่งๆ … เอาแล้วไง เขาคิด
แอลลี่ยังไม่หายตกใจ เธอพยายามรวบรวมความรู้ นึกถึงทุกสิ่งที่เคยได้เล่าเรียนมา มันไม่ได้มีแค่มนุษย์กับพวกเคอร์คิเจียนอีกแล้ว จักรวาล-ยังมีเผ่าพันธิ์อื่นอยู่ด้วย
“ฉันกับทีมงานขอไปสำรวจ”
“ผมไปมาแล้ว” เอ็มเปิดปากพูดครั้งแรก
กัปตันพยักหน้าส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่บนยานคนหนึ่ง ชั่วครู่ภาพม่านขนาดใหญ่ก็พลันไปปรากฏกลางจอภาพของห้องควบคุมยาน
ทีมงานของแอลลี่เดินเข้าไปใกล้เหมือนต้องมนต์สะกด สายตาทุกคนจับนิ่งที่วัตถุนั้น
“ใครสร้าง…” ณอห์นพึมพำ
“คล้ายของเรามาก” หญิงสาวอีกคนในทีมงานวิทยาศาสตร์เอ่ย
“มันมีความเกี่ยวข้องกับเซอุสมั้ยคะ” แอลลี่ถาม
…ฉลาดถาม…เอ็มนึกชมเธอ เขาเองก็สงสัยด้วย
“เรายังไม่รู้แน่ชัด ยานพวกมันจอดนิ่งอยู่นี่มาเดือนครึ่งแล้ว มันก็น่าคิด ถ้าพวกมันไม่รู้ว่ามีม่านนี่อยู่” เดฟอาสาตอบ เขาหันมามองกัปตันแวปหนึ่ง แล้วค่อยหันมาหาแอลลี่ต่อ
“เหมือนพวกมันรออะไรบางอย่าง อะไรที่จะออกมาจากม่านนั่น”
“รอ…ไหนว่ามันหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วไง” ณอห์นโพล่งออกมา
ไร้คำตอบ…ทุกคนเงียบ
“แล้วเรื่องยานของเซอุสล่ะ” ณอห์นถามอีก
“ก่อนที่พวกคุณตื่น เราแสดงตัวให้พวกมันรู้แล้วว่าเรามา” เดฟว่าต่อ “ยานพวกมันเหมือนเป็นยานร้าง เราจึงตัดสินใจติดต่อไป แต่เราสแกนยานดูแล้ว มีพวกมันอยู่บนนั้นแน่นอน”
“ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นบนนั้น” กัปตันสันนิษฐาน “มันไม่เคยยอมแพ้แบบนี้ ไม่เคยยอมโดยที่ไม่ทำอะไร”
ทั้งห้องเงียบอีกครั้ง คำถามมีเยอะเกินไป และยังไร้คำตอบอยู่มาก เอ็มคิด
“ทำไมพวกมันเลือกมาจอดใกล้ม่าน” เอ็มถามบ้าง อีกสักข้อคงไม่เป็นไร เขายังคงกอดอกนิ่ง ตามองตรงไปที่เจ้าหน้าที่เดฟ
“สงสัยต้องเป็นคุณแล้วล่ะ” เดฟตอบ “คุณกับลูกทีมเท่านั้น ที่จะเฉลยทุกคำถามได้”