มารวิทยา: อนุภาคลี้ลับ (Phasmoparticle)

เรื่องสั้นไซไฟ-ระทึกขวัญ/สยองขวัญเรื่องนี้ เป็นเรื่องแรกที่ผู้เขียนได้เขียนในบรรยากาศไสยศาสตร์แบบไทย ๆ อย่างจริง ๆ จัง ๆ และสอดแทรกประเด็นที่จะเสียดสีด้วยค่ะ

ยังไงก็สามารถติชมได้นะคะ


ยามตะวันลับขอบฟ้าเป็นสัญญาณให้สิ่งมีชีวิตยามทิวาเริ่มเข้าสู่การหลับใหล เว้นแต่สิ่งมีชีวิตยามราตรีที่ตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตท่ามกลางแสงจันทร์และมวลหมู่ดวงดารา สิ่งมีชีวิตยามราตรีเหล่านี้รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่ผู้คนต่างหวาดกลัว มาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะเกิดความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเทคโนโลยีและการศึกษา

คฤหาสน์ไม้ทรงไทยโบราณตั้งตระหง่านหลังหมู่บ้านร้างบนเนินเขาแห่งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปแม้แต่เพียงผู้เดียว เพราะเป็นที่เล่าขานกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะกับบรรดาชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงว่า ทุกชีวิตที่อย่างกรายเข้าไปก็มักลงด้วยการสูญหาย…ทั้งทรัพย์สินและชีวิต…!

แสงจันทร์สาดส่องทางหน้าต่างรูปทรงไทยโบราณ เผยให้เห็นเรือนร่างของหญิงสาวในชุดไทยโบราณโทนสีแดงเข้ม ที่เข้ากับเครื่องประดับที่บ่งบอกถึงระดับชนชั้นอันสูงส่ง ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองวิวด้านนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังเสพสมบรรยากาศธรรมชาติยามค่ำคืน

อ่านเพิ่มเติม “มารวิทยา: อนุภาคลี้ลับ (Phasmoparticle)”

มารวิทยา: ไมโครชิป ชิปแล้วหาย (Brain Enhancement Microchip)

สวัสดีค่ะ

กลับมาอีกครั้งกับเรื่องสั้นไซไฟ-ระทึกขวัญ/สยองขวัญ

เรื่องสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดรวมเรื่องสั้นมารวิทยา

ถ้าท่านเป็นผู้อ่านสายหักมุม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรบกวนบอกด้วยค่ะว่า เรื่องนี้จะหักมุมมากน้อยแค่ไหน

ส่วนผู้อ่านสายฮาสายโจ๊ก ก็ขอแน่ใจนะคะว่า เรื่องนี้จะเหมาะกับท่านจริง ๆ (ฮา)

แต่ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้อ่านไซไฟสายไหน ยังไงก็สามารถติชมได้นะคะ (เช่น เรื่องความเป็นธรรมชาติของบทสนทนา) เผื่อจะได้เป็นไอเดียในการต่อยอดเป็นนวนิยายไซไฟในอนาคตค่ะ


ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2136 ผู้คนที่นับว่าเป็นมนุษย์ชีวภาพและมนุษย์ชีวจักรกลที่มีสมองเป็นทางชีวภาพ สามารถเพิ่มขีดความสามารถของตนเองได้ด้วยการผ่าตัดฝังไมโครชิป Brain Enhancement ซึ่งไมโครชิปนี้มีประเภทที่สามารถเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ และการฟื้นฟูความทรงจำ

ไมโครชิป Brain Enhancement ประเภทเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีความสามารถในความรู้ทางด้านทฤษฎีสาขาต่าง ๆ ตามที่ต้องการ และเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ราคาของไมโครชิปประเภทนี้จะแตกต่างกันตามจำนวนสาขาของความรู้ที่ต้องการ และความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มเติมจากความรู้ในสาขานั้น ๆ ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดสำหรับไมโครชิปประเภทนี้ ส่วนใหญ่นิยมใช้กับการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่ความสามารถ (ที่มีอยู่เดิมก่อนการผ่าตัดนั้น) ไม่ควบคู่กัน

ไมโครชิป Brain Enhancement ประเภทเพิ่มศักยภาพในการจำ ช่วยให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดมีความจำที่ดีในเรื่องต่าง ๆ ตามที่ประสบพบเจอ และสามารถฟื้นฟูความทรงจำที่สูญเสียไปได้ ราคาของไมโครชิปประเภทนี้จะแตกต่างกันตามระดับความสามารถที่ต้องการจำและฟื้นฟู ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดสำหรับไมโครชิปประเภทนี้ ส่วนใหญ่นิยมใช้กับผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และผู้ที่ใช้หรือได้รับผลข้างเคียงจากยาลบความทรงจำ

อ่านเพิ่มเติม “มารวิทยา: ไมโครชิป ชิปแล้วหาย (Brain Enhancement Microchip)”

สถาบัน SCP: ความฝันเสมือนจริง(Canon:สถาบันสยองขวัญ)

สวัสดีค่ะ

นักเขียนลงงานเขียนในเว็บนี้เป็นครั้งแรก ขออภัยด้วยค่ะถ้าดูแปลกๆ

นักเขียนคิดว่าจะลงผลงานเขียนลงในเว็บนี้ด้วยนอกจากที่ปกติแล้วจะลงใน Wikidot ไม่ว่าจะเป็นบทความของวัตถุ SCPs หรือว่านิยายก็ตาม เฉพาะเรื่องที่นักเขียนมั่นใจว่าเขียนมาในสายไซไฟนะคะ ถ้านักเขียนแต่งเรื่องสั้นไซไฟอีกเรื่อง เดี๋ยวนักเขียนจะลงหน้ารวมนิยายแล้วต่อลิงก์ไปที่ทาง Wikidot โดยตรงเพื่อไม่ให้เป็นการสแปมในเว็บนี้ค่ะ

ส่วนเรื่องที่นักเขียนจะใช้ในเชิงพาณิชย์ด้วย(โดยเฉพาะหน้าที่นักเขียนตั้งค่าให้ว่าต้องจ่ายเงินก่อน) นักเขียนจะลงแยกต่างหากไว้ที่ ReadAWrite และแน่นอนว่าต้องมีเครดิตที่มาของแหล่งอ้างอิงตามนโยบายของลิขสิทธิ์สถาบัน SCP กำกับไว้ด้วย

จุดประสงค์ที่นักเขียนอยากลงผลงานเขียนในนี้ด้วยก็คือ
1. นักเขียนอยากทราบว่างานเขียนเรื่องนี้ถือว่าเป็น Hard-Scifi หรือ Soft-Scifi
(สำหรับเรื่องนี้นักเขียนรู้ในใจแล้วว่าต้องเป็น Hard-Scifi แน่ๆ แต่เพื่อความแน่ใจค่ะ)
2. นักเขียนอยากทราบว่ามีตรงไหนที่นักเขียนดึงศัพท์วิทย์มาใช้ในแบบที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ ถ้ามีก็ขอรบกวนอธิบายพร้อมยกตัวอย่างที่ถูกต้องด้วยนะคะ

นอกเหนือจากนี้ เช่น ลักษณะการบรรยายเนื้อเรื่องของนักเขียน ก็สามารถวิจารณ์ได้เช่นกันค่ะ

เดี๋ยวคราวหน้านักเขียนจะลงหน้าที่รวมลิงก์บทความวัตถุ SCPs เฉพาะที่นักเขียนแต่งมาในสายไซไฟนะคะ

———————————————————————————————–

สถาบัน SCP
ที่มา: http://scp-th.wikidot.com/

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากสถาบัน SCP ในเรื่องนี้ได้เผยแพร่อย่างถูกต้องภายใต้ลิขสิทธิ์แบบ CC-BY-SA (Attribution-ShareAlike 3.0)(แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน)

อ่านเพิ่มเติม “สถาบัน SCP: ความฝันเสมือนจริง(Canon:สถาบันสยองขวัญ)”

รอยวิบัติ (trace)

จักรกฤษณ์ยืนอย่างสงบนิ่งอยู่บนรถไฟฟ้าที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เขากำลังเดินทางไปพบผู้ว่าจ้างของเขาโดยเลือกที่จะใช้เส้นทางซ่อมบำรุงที่ปราศจากแสงสี เพราะการใช้เส้นทางหลักในเมืองทำให้เขามีอาการเวียนศรีษะอยู่เสมอด้วยภาพทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลาในระหว่างการเดินทาง เดี๋ยวก็เป็นทิวทัศน์ชายหาด เดี๋ยวก็เป็นภาพจากตึกสูง เดี๋ยวกลางวัน เดี๋ยวกลางคืน คงเนื่องจากความโหยหาธรรมชาติในตัวทุกผู้คน แต่เนื่องจากขนาดของอาคารที่ใหญ่โตกินบริเวณหลายพัันตารางกิโลเมตร ย่อมไม่สามารถให้พื้นที่สำหรับมุมมองภายนอกได้อีกแล้ว ทุกคนจึงต่างปรุงแต่ง ทิวทัศน์ มุมมอง ตามแต่ใจปรารถนา แต่นั่นคื่อสิ่งที่ทำให้คนที่ต้องเดินทางผ่านหลายๆสถานที่เกิดอาการหลงทิศ หลงทาง และคลื่นเหียนได้อย่างน่ารำคาญ มันเป็นอาการสามัญจนมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อาการเมาตึก และ จักรกฤษณ์ก็ไม่อยากให้เกิดอาการแบบนั้นในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เขาต้องการใช้ความคิด

รถไฟฟ้าเคลื่อนผ่านผนังสีทึบไปตลอดเส้นทาง ระหว่างที่จักรกฤษณ์หวนรำลึกถึงตอนที่พบเจ้าของงานนี้เป็นครั้งแรก

“สามีของฉันหายตัวไป” หล่อนกล่าว…มีน้ำเสีงแหบพร่าเล็กๆในเสียงนั้น จักรกฤษณ์รู้สึกได้ถึงความไม่แน่ใจบางอย่าง หลังจากการทักทายกับหล่อนตามมารยาทของนักสืบทั่วไป “ทั้งหมดนี่คือข้อมูลของเขา” หล่อนยื่นแผ่นข้อมูลบางขนาดนามบัตร

จักรกฤษณ์วางมันลงบนโต๊ะ แล้วภาพแฟ้มข้อมูลทั้งหมด ก็แสดงขึ้นบนผนังห้องเบื้องหน้า
บุคคลที่หายตัวไป คือ ดร.วัชรพล เคฟเค่น ศารตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง ควอนตัมฟิสิกส์(quantum physic) ที่มีชื่อเสียง

“มีอะไรที่ผมควรรู้เป็นพิเศษไหม” จักรกฤษณ์เอ่ยถามขณะเคลื่อนมือไปบนโต๊ะ พลิกแฟ้มประวัติบนผนังไปมา “งานวิจัยที่กำลังทำอยู่, คู่แข่ง ศัตรู หรือ” เขาหยุดเล็กน้อยเหลือบมองหล่อน “ชู้รัก”

“ไม่มี” โดยปราศจากการลังเลหรือชะงักงัน ไม่แม้เพียงหนึ่งส่วนล้านของวินาที … อาจจะเร็วเกินไปเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนหล่อนเองก็จะจับอาการสงสัยนั้นได้ด้วยเช่นกัน “ถ้าคุณดูภาพที่ถูกบันทึกแล้วคุณจะเข้าใจ”

ภาพที่เขาเห็นยิ่งทำให้เขามึนงงยิ่งขึ้นไปอีก
มันเป็นภาพที่ถูกบันทึกโดยระบบ MAIDS ซึ่งแสดงภาพของ ดร.วัชรพลในห้องของเขา ขณะกำลังสาละวนกับงานเอกสารบนโต๊ะ ภาพแตกพร่าไปสักเสี้ยววินาทีเห็นจะได้ และหลังจากนั้นภาพทุกอย่างก็กลับคืนมา …
ทุกอย่าง ยกเว้น ดร.วัชรพล

ประเด็นแรกจึงไม่ใช่ว่า ใคร ทำไม หรือ จะเป็นตายร้ายดีประการได
ประเด็นแรกคือ “อย่างไร”

อ่านเพิ่มเติม “รอยวิบัติ (trace)”

การจุดระเบิดครั้งที่สอง

ลุงชัยนั่งมองสมุดเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นอยู่เป็นชั่วโมง พลิกกลับไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้ากระดาษเหลืองกรอบเหมือนจะสลายเป็นผงได้ทุกเวลาถูกแกหยิบจับอย่างทะนุถนอม คัดลอกบางข้อความลงไปในสมุดเล่มเล็ก สุดท้ายแกก็ปิดมันแล้วนั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามผมว่าได้มาจากไหน ผมตอบไปตามจริงว่าซื้อมาจากร้านหนังสือมือสอง

“ครั้งแรกว่ายากแล้ว ครั้งนี้ดีไม่ดีจะทำไม่สำเร็จเอา แต่ลุงว่ามันคุ้มค่าว่ะ”

ถัดไปไม่กี่วินาที อาคารรัฐสภาลอยผ่านไป เงาดำทอดบังหน้าต่างทำให้ห้องสลัวลง ด้วยขนาดที่ใหญ่เกินบรรยายเราจึงตกอยู่ในความมืดหลายนาที ลุงชัยถูกกลืนหายไปในจุดอับแสง และเมื่อตึกประหลาดหลังนั้นเคลื่อนผ่านไปผมถึงได้สังเกตเห็นว่าแววตาของแกส่องประกายระยับสุกสว่างเหมือนกับไอพ่นยานอวกาศ และผมก็หมายถึงไอพ่นยานอวกาศจริง ๆ

เวลาเจ็ดสิบกว่าปีทำให้ความจริงเรื่องหนึ่งขยายเป็นตำนานได้ไม่ยากเย็น คนที่เคยเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นบางคนไม่เชื่อจนวันตายว่ามันเคยเกิดขึ้น ที่ไปไกลกว่านั้นคือหลายคนกลับบอกว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ก็มีไม่น้อยที่ยืนยันว่าไม่ได้โกหก หลายคนยังเอาไปเล่าต่อแบบเพิ่มตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อยจนไม่รู้ว่าส่วนไหนจริงส่วนไหนโม้จนทุกวันนี้

สมุดเล่มนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเรื่องเมื่อค่อนศตวรรษก่อนไม่ใช่แค่คำโกหกของพวกต่อต้าน อันที่จริงพวกต่อต้านส่วนหนึ่งยังเคลมว่าขบวนการของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นจากเหตุนั้นด้วยซ้ำ

โดรนฝูงใหญ่บินตามอาคารรัฐสภาไปช้า ๆ ว่ากันว่ามันคอยตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สัญญาณดิจิตอล คลื่นวิทยุ ไปจนถึงเสียงกระซิบแผ่วเบา ‘สักวันมันจะเจาะเข้าไปในความคิดของเรา’ ลุงชัยเคยบอก ผมได้แต่หวังว่าวันนี้มันคงจะยังทำไม่ได้ เพราะถ้ามันทำได้ อีกไม่ถึงห้านาทีจะมีทีมติดอาวุธมาถีบประตูหน้าแล้วจับเราทั้งคู่ไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิด

ปิดท้ายด้วยโดรนประชาสัมพันธ์ประกาศเสียงดังก้อง “วรรณกรรมต้องห้ามของลัทธิฮิปสเตอร์ หนึ่งเก้าแปดสี่ ฟาเรนต์ไฮต์สี่ห้าหนึ่ง ฮังเกอร์เกม ผู้ดาวน์โหลดจะมีความผิดตามกฎหมาย”

สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือลุงชัยกำลังนั่งยิ้มโบกมือให้ฝูงโดรนพวกนั้น …พวกมันจะมาจับเราเพราะโบกมือให้พวกมันนี่แหละ

สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากขบวนแห่ของอากาศยานพวกนั้นลับตาไปคือเกลี้ยกล่อมให้ลุงเปลี่ยนใจ พยายามมองหาช่องโหว่ในแผนการสุดระห่ำของแกเพื่อโต้แย้ง หาทางขยายช่องเหล่านั้นให้กว้างขึ้นแล้วผลักแกลงไป

“อ่านจบแล้วใช่ไหม” ลุงชัยยกสมุดเล่มนั้นขึ้นโบก ผมพยักหน้าตอบ
“ถ้าไม่สู้เราก็แพ้มันตั้งแต่ตอนนี้ แต่ถ้ายังสู้อยู่ ก็แปลว่ายังไม่แพ้”

จนปัญญาจะโต้ตอบคำพูดโบราณที่ผ่านวันเวลามาหลายร้อยปี รูปประโยคอาจมีผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ใจความสำคัญไม่เคยเปลี่ยนไป เหมือนกับทุกตำนานที่ถูกเสกสรรปั้นแต่งให้ยิ่งใหญ่เกินจริงไปเรื่อย ๆ เรื่องเล่าของคำพูดนี้ที่คนเชื่อกันมากที่สุดคือมีมนุษย์ห้าคนจากดาวที่ผืนดินแห้งระแหงยืนหยัดต่อสู้ทั้งกองทัพอย่างไม่กลัวตาย คำพูดนี้มาจากหนึ่งในอัศวินห้าคนนั้น

“ที่ลุงจะทำนี่มันเหมือนหนีมากกว่าสู้นะลุง”
“เขาเรียกว่าการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์โว้ย”
“ว่าไงก็ว่าตามกัน” เวลานี้แววตาของผมคงเฉิดฉายเหมือนไอพ่นจรวดของลุงไปแล้ว

ภารกิจยิ่งใหญ่ของลุงชัยคือการจุดระเบิด “ครั้งที่สอง” ตอนที่มีคนทำครั้งแรกสำเร็จนั้นเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครทำมันครั้งที่สองหรอก นี่อาจเป็นเพียงเรื่องฝันเฟื่องของชายชราผู้ป่วยไข้ด้วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือคนขับแท๊กซี่ปากเสียคนหนึ่งที่อยากประชดประชันใครสักคน บันทึกเล่มที่ลุงชัยถืออยู่บอกผมแค่ว่าเขาไม่ได้บ้า

ตำนานเรื่องนี้คือเมื่อเกือบร้อยปีก่อน ในวันที่ดวงดาวตกอยู่ในทุรยุค อำนาจถูกเปลี่ยนมือไปสู่ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จและตามมาด้วยการกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามขนานใหญ่ อีกฝ่ายหากไม่ถูกจับไปเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดก็ถูกขับไล่ออกไปจากดวงดาว ทั้งที่รู้ว่าการหาตั๋วสักใบบินออกไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ในสภาวะเศรษฐกิจกลับหลังหันแล้วเดินหน้าลงคลองแบบนี้

‘จะแยกอำนาจออกเป็นส่วน ๆ ไปทำไม ในเมื่ออำนาจเบ็ดเสร็จสามารถเนรมิตรถนนทองคำให้ดาวทั้งดวงได้’ ท่านผู้นำเบ็ดเสร็จเคยประกาศเอาไว้ แต่ทุกวันนี้ขออย่าได้ถามท่านเชียว ‘หากใครไม่พอใจก็เชิญออกไปอาศัยอยู่ในอวกาศโน่น!’

‘ท่านก็ซื้อตั๋วเรือบินอวกาศให้ผมสักใบสิ’ ตาเฒ่าผู้กำลังจะกลายเป็นตำนานเคยบอกเอาไว้ ก่อนที่อยู่มาวันหนึ่งหลังคาบ้านของแกจะเปิดออกแล้วจรวดลำจิ๋วก็พุ่งทะยานออกไปสู่ความมืดมิดเบื้องบน ทิ้งควันพวยพุ่งเป็นสายเอาไว้เบื้องหลัง เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อเจ็ดสิบสองปีก่อน

นั่นล่ะ ที่มาของเรื่องทั้งหมด

บางคนบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องแหกตา แต่พอหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นเขาอีก ฝ่ายต่อต้านที่รวมตัวหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มนับวันนั้นเป็นวันที่หนึ่งของศักราชใหม่ปีที่หนึ่ง แต่ฝ่ายต่อต้านก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแหกตาไม่แพ้กัน ของจริงเพียงอย่างเดียวคือท่านผู้นำเบ็ดเสร็จยังมีชีวิตยืนยาวมาจนทุกวันนี้ ว่ากันว่าอวัยวะในร่างกายเกินครึ่งถูกเปลี่ยนเป็นของเทียม สมองถูกฉีดพ่นด้วยสเต็มเซลล์ให้คงความคิดสดใหม่ไว้ตลอดเวลา ดวงตาทั้งสองข้างถูกเปลี่ยนเป็นเลนส์พิเศษที่ว่ากันว่าสามารถมองทะลุลงไปถึงความกลัวในจิตใจคนอื่นได้

ลุงชัยจะทำเรื่องที่ว่าเป็นครั้งที่สองด้วยเทคโนโลยีที่ย้อนหลังไปเกือบศตวรรษ และผมกำลังจะกลายมาเป็นลูกมือของแก เหมือนขาแหย่เข้าไปในค่ายกักกันข้างหนึ่งไปแล้ว

“ข้อแรก ต้องไม่ให้โดนจับได้” ลุงชัยยกนิ้วชี้
แน่นอนครับลุง

“ข้อสอง ต้องทำให้สำเร็จ” แน่นอนอีกเช่นกันครับลุง ถ้าทำไม่สำเร็จก็จะโดนจับได้ ไม่ต้องมีข้อสองก็ได้ครับ

“ครั้งหนึ่งที่ดาวแม่ เมืองเจอมาเนียมถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นดินแดนอนุรักษ์นิยม ฝั่งตะวันตกเป็นฮิปสเตอร์ สองผัวเมียพยายามหนีจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกด้วยบอลลูนลมร้อน พวกนั้นค่อย ๆ ทยอยซื้อของที่จำเป็นทีละน้อยจากหลายแห่งมาประกอบเป็นยานบิน เราจะทำแบบนั้นเหมือนกัน ทีนี้ก็เริ่มจากทำบัญชีรายการของที่ต้องใช้ก่อน”

“แล้วเขาทำสำเร็จไหมลุง”
“น่าจะทำได้ ถ้าจำไม่ผิดนะ”

ลุงชัยให้จดทุกอย่างลงกระดาษ หลังจากทำเสร็จแต่ละขั้นตอนแล้วก็ให้เผาข้อมูลส่วนนั้นทิ้งในเตาขยะหลังบ้าน ไม่มีการค้นข้อมูลออนไลน์ ไม่ีการเก็บข้อมูลดิจิตอล ไม่มีการซื้อของทางเน็ต ทั้งหมดนั้นทำให้เสียเวลามากขึ้น แต่ลุงยืนยันว่ามันเป็นมาตรการความปลอดภัยที่จำเป็น

ทยอยถอนเงินจากธนาคาร ซื้อทุกอย่างด้วยเงินสด เปลี่ยนร้านซื้อของไปเรื่อย ลุงชัยทำงานโครงสร้าง ส่วนผมรับผิดชอบซอฟท์แวร์ มันเหมือนมีอะไรสะกิดใจผมมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ไม่ได้เอะใจ ด้วยคิดว่ามันเป็นความเครียดจากงานใต้ดินที่พร้อมจะถูกจับได้ทุกเวลา ไอ้เรื่องเข้าค่ายปรับเปลี่ยนแนวคิดนั้นไม่เท่าไหร่หรอก ตอนกลับออกมานี่สิ บางคนตักข้าวใส่ปากยังไม่ตรงเลย มันน่ากลัวตรงนี้นี่แหละ

กำหนดการปล่อยยานใกล้เข้ามา ลุงชัยเลือกวันกลางอากาศหนาวที่คิดว่าท้องฟ้าจะโล่งโปร่งที่สุด จังหวะเหมาะคือตอนที่อาคารรัฐสภาลอยผ่านมาตามรอบ ปกติแล้วท่านผู้นำอาศัยอยู่ในนั้นเพื่อการรักษาความปลอดภัย หวังว่าคงจะมีใครสักคนชี้ให้เขาดูว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่จรวดของเราพุ่งผ่านหน้าไป

สุดท้ายเราได้จรวดทรงกระสวยป้อม ๆ มาลำหนึ่งในที่สุด ห้องโดยสารเล็กจนตอนที่เข้าไปสอนลุงแกบังคับเครื่องนั้นต้องนั่งเบียดกันจนแทบหายใจไม่ออก ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่มันเป็นยานอวกาศที่นั่งเดี่ยวนี่หว่า

“ก็ต้นแบบมันเขียนไว้แบบนี้” ลุงชัยตอบ หน้านิ่งเหมือนเพิ่งแย่งหลานกินขนมแล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะหาให้ใหม่อีกลำ

หันกลับไปดูรอบตัว บ้านสองชั้นหลังเล็กตอนนี้มีแต่โครงข้างนอกเท่านั้นที่เป็นบ้านอยู่ ส่วนข้างในกลายเป็นแท่นปล่อยจรวดอัดแน่นจนบ้านแทบปริ ไม่ต้องคิดจะสร้างลำที่สองเลย

ลุงพาผมเข้าไปในห้องโดยสารแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง

“อันนี้เป็นเครื่องส่งสัญญาณ ใส่เพิ่มเข้ามาจากแปลนเดิม หลังจากพ้นชั้นบรรยากาศแล้วเราจะเปิดเครื่องนี้ ถ้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยรับสัญญาณได้ เขาจะส่งยานมาช่วยพาไปที่ปลอดภัย แท้งค์ข้างหลังคือไครโอแช่แข็ง เราจะอยู่ในนั้นได้หลายปีระหว่างรอความช่วยเหลือ ไอ้เครื่องนี้ก็ติดตั้งเพิ่มเหมือนกัน รอบที่แล้วตาเฒ่าแกตั้งใจบินออกไปตาย ไม่มีไครโอติดไปด้วย”

ปัญหาคือไครโอก็มีอยู่เครื่องเดียว

“เลือกเอาว่าจะอยู่หรือจะไป”
เฮ้ย เล่นกันอย่างนี้เลยเหรอลุง

“ใครอยู่ก็ไปเข้าค่าย คนไปก็เสี่ยงดวงเอา พระเจ้ากำเนิดเรามาเสรีโว้ยไอ้หลานรัก”

ให้มันได้อย่างนี้สิลุง
อาคารรัฐสภาลอยมาให้เห็นลิบ ๆ และผมต้องตัดสินใจ

เทพเจ้าจากบรรพกาล (เรื่องสั้นไซไฟ-แฟนตาซี)

ผมเขียนเรื่องนี้ไว้สักพักแล้วครับ เอาวางลงที่นี่ให้อ่านกัน อ่านแล้วคิดว่ามันดีหรือมีจุดที่ต้องปรับปรุงตรงไหนผมรบกวนขอคำวิจารณ์ด้วยครับ ไม่ต้องเกรงใจหรืออึดอัดที่จะแนะนำ ผมยินดีรับฟังทุกคำวิจารณ์แนะนำ

ขอบคุณครับ

0gravity

เทพเจ้าจากบรรพกาล

เสียงคำรามอย่างดุร้ายจนทำให้ผู้ที่ได้ยินหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก ดังออกมาทางลำโพงตรงผนังห้องกระจกในตัวอาคารวิศวกรรมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของศูนย์พันธุวิศวกรรมศาสตร์แห่งโลก เสียงอันน่าสะพรึงกลัวนี้เป็นเสียงที่มาจากสิ่งมีชีวิต รูปร่างงดงาม ปราศจากอาภรณ์ใดๆ ซึ่งบัดนี้พวกมันนับพันตัวกำลังยืนแออัดยัดเยียด อลหม่านตรงลานกว้างด้านล่าง

เสียงดังกล่าวทำให้ด็อกเตอร์กัลลิเวอร์ รู้สึกขนหัวลุก เขากำลังยืนที่ตรงหน้าหน้ากระจกใสบานใหญ่ จ้องมองสิ่งมีชีวิตที่มีรยางค์สี่ชิ้นงอกจากลำตัว เขาคือคนที่ปลุกชีพพวกมันขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าของโลก พวกมันถูกหมายมั่นให้เป็นความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติ เพื่อการดำรงอยู่และสืบเผ่าพันธุ์

ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆด็อกเตอร์นักวิทยาศาสตร์พันธุวิศวกรรมคือชายร่างใหญ่ผู้มีอำนาจที่สุดในโลก เขาคือผู้ปกครองโลกที่มีหน้าควบคุมดูแลสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้ในยุคสมัยหลังจากสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์

“ท่านจะให้เวลาผมอีกนานแค่ไหน” ด็อกเตอร์กัลลิเวอร์หันไปถามชายผู้เป็นผู้ปกครองโลก

“จนถึงอาทิตย์หน้า” ชายรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ตอบเสียงเข้ม ด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เราเสียเวลามามากพอแล้ว บางทีสิ่งที่คุณสร้างขึ้นมามันอาจจะเป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆที่ผลาญเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ จริงๆแล้วเราสมควรยอมรับชะตากรรมของเราซะด้วยซ้ำ”

ด็อกเตอร์กัลลิเวอร์ไม่ต่อปากต่อคำ ดวงตายังคงมองทะลุกระจกใสไปยังภาพสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องล่าง เขาเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดออกมา “ผมอยากจะลองดูอีกสักหน่อย ถ้าเราล้มเหลวจริงๆ ผมจะทำลายพวกมันทิ้งทั้งหมด”

นักวิทยาศาสตร์ผู้เก่งกาจไม่เคยคิดยอมแพ้ต่อชะตากรรม เขาเชื่อว่าเรื่องของเทพเจ้าที่มีเรือนร่างงดงามไม่ใช่เรื่องตำนานเล่าขานเฉยๆ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ในอดีตกาลบนโลกเรามีเทพเจ้าเดินดินอยู่จริงๆ

            ผู้ปกครองแห่งโลกพยักหน้าตอบรับสั้นๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง

————————-

อ่านเพิ่มเติม “เทพเจ้าจากบรรพกาล (เรื่องสั้นไซไฟ-แฟนตาซี)”

วิวัฒนาการหุ่นยนต์

ผมเขียน ร็อบบี้ เรื่องสั้นเกี่ยวกับหุ่นยนต์เรื่องแรกขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ.1939 ตอนนั้นผมมีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น

เพื่อที่ทำให้มันแตกต่างจากเรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์เรื่องอื่นๆ ซึ่งถูกเขียนขึ้นก่อนหน้านี้  ผมตั้งใจสร้างหุ่นยนต์ในแบบของผมเอง   พวกเขาจะไม่มีลักษณะที่จะทำให้มนุษย์โกรธแค้น  พวกเขาไม่ใช่ตัวอย่างของความพยายามของมนุษย์ที่จะล่วงล้ำเข้าไปในงานของพระเจ้า  พวกเขาจะไม่กลายเป็นหอคอยแห่งบาเบลแห่งใหม่ที่ต้องถูกสำเร็จโทษในภายหลัง

ไม่แม้แต่จะมองให้หุ่นยนต์เป็นเพียงชนชั้นสอง   พวกเขาจะไม่ใช่สิ่งที่น่าสงสารซึ่งถูกสร้างขึ้นมาแล้วก็ถูกประหัตประหารอย่างไร้ซึ่งความยุติธรรม  เฉกเช่นเรื่องของอีสปที่เขียนถึงพวกยิว คนดำหรือชนชั้นอื่นๆ ในสังคม

 —ไอแซค อาซิมอฟ—
บางตอน จาก “My Robots”

อ่านเพิ่มเติม “วิวัฒนาการหุ่นยนต์”

แดรก, มนุษย์ล่องหน

  • ไม่มีใครเคยใส่ใจแดรก เลย แม้แต่ตอนที่เขาสวมรองเท้าใหม่ที่ขัดซะวาววับ ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น
    ไม่มีใครเคยเลือกให้เขาเป็นผู้นำขบวนดุริยางค์เดินรอบสนามเด็กเล่นเลยสักครั้ง
  • ทุกๆ วัน เด็กทั้งห้องจะจัดขบวนดุริยางค์เดินเล่นรอบสนามเด็กเล่น   เด็กทุกคนต่างก็จะเล่นเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้นยกเว้นผู้นำขบวน   ผู้นำขบวนจะควงคฑา อยู่ด้านหน้า
  • แดรก มักจะอยู่ด้านหลังสุดเสมอ เขาต้องเล่น ไตรแองเกิล[1]  มีอยู่วันหนึ่ง แดรกหกล้ม   เด็กคนอื่นๆ ก็ยังคงเดินตามขบวนกันต่อไป  ไม่มีใครใส่ใจที่จะสังเกตเห็นเขา  แดรก อยากที่จะหายตัวไปจากตรงนั้นซะเลย อ่านเพิ่มเติม “แดรก, มนุษย์ล่องหน”

คำตอบ

ดวาร์ อีฟ กำลังดำเนินพิธีการเชื่อมต่อในขั้นสุดท้ายด้วยทองคำ มีสายตามากมายไม่รู้กี่คู่ที่เฝ้ามองเขาอยู่ผ่านกล้องโทรทัศนานับโหลและผ่านทางเครือข่ายซับอีเธอร์ทั่วทั้งจักรวาล เพื่อจับจ้องในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่

เขายืนตรงและหันไปพยักหน้าให้กับ ดวาร์ เรย์น แล้วเคลื่อนตัวไปยืนด้านข้างสวิทช์ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้สนธิสัญญานั้นสมบูรณ์หากว่าเขาโยกมันขึ้น เจ้าสวิทช์นี้ก็จะทำการเชื่อมโยง และในทันใดนั้น มหาเครื่องจักรคอมพิวติ้งที่มีอยู่ทั้งมวลในทุกพิภพทั่วทั้งจักรวาลเก้าสิบหกพันล้านดาวเคราะห์จะเชื่อมต่อกันผ่านอภิมหาวงจรซึ่งจะโยงพวกมันเข้าด้วยกันเป็นอภิมหาเครื่องคำนวณหนึ่งเดียว เป็นเครื่องจักรไซเบอร์เนติคเพียงหนึ่งเดียวที่จะผสมผสานทุกองค์ความรู้ที่มีอยู่ในทุกกาแลคซี
อ่านเพิ่มเติม “คำตอบ”

ปัญหาปู่

บรรยากาศในห้องบรรยายดูอบอุ่นและเงียบสงบ ขณะที่ ศจ.เธดเดออุส ฟิท์ช
กำลังง่วนอยู่กับการเขียนบนกระดานดำ บรรดานักศึกษาด้านหลังของเขาก็ง่วนอยู่กับการจดบันทึกตามเช่นกัน ท่ามกลางเสียงขีดของดินสอลงบนสมุด เสียงเขย่าเท้า เสียงสั่นของหลอดฟลูออเรสเซนท์ และเสียงเพลงของ เดอะบีชบอยส์ แว่วมาจากทางหน้าต่างที่เปิดอยู่

“…และดังนั้น” เขาบรรยายต่อ “การเดินทางย้อนเวลาจะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหตุและผล ด้วยเหตุนี้มันจึงดูราวกับว่าเป็นไปไม่ได้” เขาหันหน้ากลับมาทางด้านชั้นเรียน “ปัญหาดังกล่าวนี้ มักถูกเรียกว่า ‘ปัญหาปู่

ลองคิดตามดูนะ หากว่าผมมีเทคโนโลยีที่สามารถย้อนเวลากลับไปเยี่ยมเยือนปู่ของตัวเอง ซึ่งกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม แล้วอะไรกันล่ะ ที่จะมาหยุดไม่ให้ผมฆ่าปู่ ก่อนที่เขาจะมีโอกาสที่จะมีลูก แล้วถ้าผมทำสำเร็จละ ใครเล่า ใครกันที่จะเป็นผู้เดินทางย้อนเวลา…
อ่านเพิ่มเติม “ปัญหาปู่”

1-800-บริการ-โคลน


  • ขอบคุณค่ะ ที่เรียกใช้บริการโคลนไลน์ เราภูมิใจที่จะนำเสนอบริการโคลนนิ่งที่สมบูรณ์แบบในราคาที่เหมาะสม กรุณาเลือกสิ่งที่ท่านต้องการตามตัวเลือกต่อไปนี้ค่ะ
  • ถ้าท่านต้องการสั่งโคลนนิ่งใหม่ กรุณาสั่งว่า “สร้างใหม่
  • ถ้าท่านได้รับตัวโคลนแล้ว กรุณาสั่งว่า “บริการ” เพื่อสอบถามข้อมูลด้านการบริการและการชำระเงิน
  • หากท่านต้องการทราบระยะเวลาในการส่งของแต่ละ คำสั่งโคลนที่สั่งไว้แล้ว กรุณาสั่งว่า “จัดส่ง”
  • เข้ามาใช้บริการทำสำเนาฝาแฝดของเรา เพียงแค่สิบดอลลาร์ คุณอาจจะเป็นคนต่อไปที่เป็นผู้ชนะรางวัลใหญ่ ผู้โชคดีมากกว่าหนึ่งร้อยคนได้รับรางวัลบริการโคลนนิ่งชั้นพิเศษของเรา อย่าพลาดโอกาสที่คุณจะมีฝาแผด เพียงแค่สั่งว่า “ฝาแฝด” เท่านั้น
  • หากท่านต้องการทวนตัวเลือกอีกครั้ง กรุณาสั่งว่า “ทวนซ้ำ
  • สร้างใหม่
  • ขอบคุณที่ท่านไว้วางใจสั่งผลิตภัณฑ์ของโคลนไลน์ เราปรารถนาที่จะช่วยท่านมากเกินกว่าที่ท่านจะคาดฝันไว้ กรุณาเลือกตามตัวเลือกต่อไปนี้ค่ะ

อ่านเพิ่มเติม “1-800-บริการ-โคลน”

ผู้ชาญฉลาด

าลครั้งหนึ่งในอดีตนานมาแล้ว นานก่อนที่ผมจะถือกำเนิด เป็นช่วงเวลาที่ปราศจากคอมพิวเตอร์แม้แต่เครื่องเดียว ไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ในการคำนวณ ไม่มีสมองกลที่จะออกแบบผังเมืองหรือยานอวกาศใหม่ๆ ไม่มีหุ่นยนต์สถาปนิก ไม่มีหุ่นยนต์คนงาน ไม่มีหุ่นยนต์แม้ว่าจะในแบบใดๆ ก็ตาม

ผู้คนผู้ดำรงอยู่โดยปราศจากคอมพิวเตอร์นั้นต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง พวกเขาต้องทำอาหารเอง พวกเขาต้องตัดเย็บเสื้อผ้าเอง และพวกเขาต้องสร้างบ้านด้วยตนเอง พวกเขาต้องคอยกำหนดเวลาที่ต้องตื่นในตอนเช้า ต้องคิดว่าจะทำอะไรบ้างในแต่ละวัน และต้องใคร่ครวญว่าจะสนทนาเรื่องอะไรกัน

ผู้คนเหล่านั้นต่างก็มีความชาญฉลาด พวกเขาต้องอ่าน ต้องเขียน และต้องทำสิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขาบางคนต้องทำในหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะชาญฉลาด แต่พวกเขามักจะเศร้าโศกอยู่เสมอ พวกเขาคิดว่าตนน่าจะมีความสุขมากกว่านี่ถ้าหากว่าสิ่งที่ต้องทำมากมายนั้น ลดน้อยลง ดังนั้นพวกเขาก็เริ่มสร้างรถลากเพื่อใช้บรรทุกของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้เร็วขึ้น สร้างเครื่องทอผ้าเพื่อทอผ้า และสร้างเครื่องโม่เอาไว้โม่แป้งแทนพวกเขา

แต่พวกเขาก็ยังคงทุกข์ยาก พวกเขาสร้างเครื่องจักรต่างๆ อีกมากมาย พวกเขาสร้างรถไฟ สร้างสถานีพลังงานเพื่อผลิตไฟฟ้า และสร้างรถเพื่อที่จะได้ไปไหนมาไหนได้สะดวกรวดเร็ว เครื่องจักรกลที่ใช้ตัดหญ้าในสนามแทนพวกเขา ที่ใช้ล้างจานชามแทนพวกเขา ใช้เล่นเพลงให้พวกเขาฟัง และแสดงภาพยนตร์ให้พวกเขาชมและแล้วพวกเขาก็สร้างคอมพิวเตอร์รุ่นแรกขึ้นมา

แต่พวกเขาก็ยังคงไม่มีความสุข พวกเขาจึงออกแบบคอมพิวเตอร์ให้ทำงานแทนพวกเขา เพื่อเลือกเพื่อนให้กับพวกเขา จำลองเหตุการณ์เทียมเพื่อความสนุกสนานของพวกเขา ทำงานเล็กๆน้อยๆ ต่างๆ แทนพวกเขา

พวกเขาสร้างเครื่องจักรที่จะทำให้ผลิตของได้มากกว่าเดิม, ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า, และเร็วกว่า แต่ในที่สุดก็ไม่เหลือสิ่งใดที่พวกเขาต้องการอีก เวลาผ่านไปพวกเขาสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาพอใจ แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะพึงพอใจอย่างแท้จริง

ท้ายที่สุด พวกเขาก็ป้อนคำถามให้คอมพิวเตอร์ช่วย

อ่านเพิ่มเติม “ผู้ชาญฉลาด”

สิ้นสุดแห่งกาลเวลา (The End of All Days) – มิเชล เค. อีโวลิท

สิ้นสุดแห่งกาลเวลา(The End of All Days)
แต่งโดย มิเชล เค. อีโวลิท
แปลโดย Chaya Yaowarattanaprasert

เมื่อกาเบรียลหวนกลับมาจากการเดินทางของเขา ก็เหลือเวลาน้อยเต็มทีแล้วสำหรับทั้งเขาและโลกใบนี้ สิ่งหนึ่งซึ่งเดินทางพาดผ่านระบบสุริยะมาพร้อมการทำลายล้างทุกสิ่งบนเส้นทางที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงของมัน ในขณะนี้มันอยู่ห่างจากโลกไม่ถึง 2 หน่วยดาราศาสตร์แล้ว กว่าหลายเดือนแล้วที่ริ้วลายสีแดงสดแผ่ขยายย้อมผ่านสรวงสวรรค์ และวังวนแรงโน้มถ่วงขนาดมหึมาซึ่งฉีกกระชากดาวพฤหัสมาแล้วปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ทว่าในตอนนี้ ฟากฟ้ากลับเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนอันงดงามดุจดั่งฤดูใบไม้ผลินับครั้งไม่ถ้วนในอดีต ราวกับจะลวงหลอกให้คิดว่าโลกยังคงมีเวลาเหลืออยู่อีกยาวนาน อ่านเพิ่มเติม “สิ้นสุดแห่งกาลเวลา (The End of All Days) – มิเชล เค. อีโวลิท”

ห้องสมุดแดนสนธยา โดย ชัยวัฒน์ คุประตกุล

จาก http://bookmoby.com http://bookmoby.com/2014/05/29/libarry-babel/
โดยขออนุญาตจัดวรรคตอน นะครับ

มีเรื่องราวเล่าขานในม่านหมอก ที่ขอบนอกจักรวาลอันกว้างใหญ่
“ห้องสมุดแดนสนธยา”อ่าอำไพ ที่รวมเทพนักขายจินตนาการ
อยู่ที่นั่นได้พบแน่”จูลส์ เวิร์น” คุยให้เพลินเปิดใจกว้างไพศาล
“ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์”สุดอัศจรรย์ จูลส์ เวิร์นมั่นตั้งใจสื่อคืออะไร
“เอช.จี.เวลส์” ก็รออยู่เป็นคู่ถก ถึงเรื่องราวของโลกเป็นเป้าหมาย
“กองทัพจากดาวอังคาร”มุ่งทำลาย ถล่มโลกให้วอดวายเป็นธุลี
อยากจะพบ”ไอแซก อาสิมอฟ” อยากจะสอบอยากจะถามให้เต็มที่
“เรื่องมนุษย์เรื่องหุ่นยนต์” เป็นคดี มีเส้นแบ่งเขตวิถีอยู่ที่ใด
แม้นอยากพบ “อาเธอร์ ซี คลาร์ก” ล่ะ อย่างแน่นอนก็จะพบอย่างใจหมาย
จะถกเรื่อง”2001”เชิญตามใจ “สตาร์ไชลด์”หรือไปเรื่อง “ประตูดาว”
อยากจะพบ”บิดาไซไฟไทย” เชิญพบได้ในแคว้นแดนหมอกขาว
“จันตรี ศิริบุญ-รอด”สกาว “มนุษย์คู่”ซ่อนเรื่องราวบอกอะไร
ถ้าจะถามหาทางไปยัง“ห้อง- สมุดแดนสนธยา” ว่าอยู่ไหน
จงมองหาดาวสว่างกลางดวงใจ แล้วตามไปทางขอบของจักรวาล

และพบกับ Bookmoby Review issue 2 มิถุนายน ไซไฟ
ที่ร้าน Bookmoby หอศิลปกรุงเทพฯ ชั้น4…

รหัสสังหาร

แรงบันดาลใจจากเรื่อง ทรงจำ โดย นทธี ศศิวิมล เจ้าของรางวัลชนะเลิศการประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ รางวัลมติชนปีที่๒

………
ในห้องคอนกรีตเล็กคับแคบและเหม็นอับ ผนังกระจกเงาบานใหญ่สะท้อนภาพชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะโลหะฝั่งตรงข้าม เขานั่งเอนตัวมาข้างหน้าท่อนแขนวางอยู่บนโต๊ะและเฝ้ามองกระจกเงาบานนั้นด้วยสายตาที่แข็งกระด้างและเย็นเยียบพอๆกับผิวโต๊ะโลหะนั้น

เบื้องหลังกระจกเงา ชายสองคนในชุดสูทสีเข้มที่เฝ้าสังเกตุการณ์ยังอดรู้สึกเสียวสันหลังจากสายตาเขม็งเกร็งนั้นไม่ได้แม้ว่าจะผ่านงานตำรวจมากว่ายี่สิบปีและเจอฆาตกรโรคจิตมานักต่อนัก

“มันมองเหมือนมันเห็นพวกเรา” หมวดสุชาติเอ่ยปากด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจ
หมวดมานะหัวเราะตอบ”ไม่เอาน่า… นี่อย่าบอกนะว่าหมอนั่นทำให้นายรู้สึกกลัว”

หมวดวีระพันธ์เดินเข้าห้องสอบสวนพร้อมแฟ้มปึกใหญ่ในมือ การปรากฎตัวของเขาช่วยลดความอึดอัดลงได้เล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่
อ่านเพิ่มเติม “รหัสสังหาร”