ผมชักปืนออกมาแล้วค่อยๆ บรรจงเล็งไปที่หน้าอกของชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ท่าทางของผมคงพอจะบอกให้เขารู้ได้ว่านี่ไม่ใช่การจับปืนเป็นครั้งแรก ผมไม่ต้องการให้เขาคิดที่จะเสี่ยงทำอะไรโง่ๆ อย่างเช่น พยายามที่จะแย่งปืนกับผม ซึ่งจะทำให้ผมต้องรีบจบชีวิตของเขาลงก่อนเวลาอันควร ผมยังคงต้องการสอบถามข้อมูลอีกหลายอย่างจากเขา
“ผมขอทบทวนอีกครั้งนะครับ คุณหมายความว่าคุณต้องการให้ผมเอาผลงานทั้งหมดที่ทุ่มเทมาด้วยสมองของผม กับเงินของคุณ บวกกับเวลาอีก 4 ปี กว่าๆ ทั้งหมดนี่ทิ้งลงถัง แล้วลืมมันไปให้หมดเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ ครับ“ “ถูกต้อง“
เป็นคำตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้อารมณ์แบบที่ผมยังพอจำได้ เหมือนในวันนั้น วันที่เขาชวนผมมาทำโครงการนี้กับเขา และตั้งแต่วันนั้นมาผมกับเขาก็แทบจะไม่เคยได้คุยกันอีกเลยผมจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ชายคนนี้ที่ผมรู้จักในชื่อ เทพ พิทักษ์ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ระบุอายุได้ยาก ไม่มีจุดเด่นอะไร ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงสังคม และที่สำคัญไม่มีข้อมูลความเป็นมา เขาเหมือนอยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนโลก ผมใช้เวลายามว่างจากโครงการแฮกหาข้อมูลของเขาจากหน่วยงานต่างๆ แม้แต่จากฐานข้อมูลของหน่วยสืบราชการลับ แต่ก็ไม่พบข้อมูลใดเกี่ยวกับตัวเขาที่เก่ากว่า 5 ปี เลย และด้วยทุนทรัพย์รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ ที่ผมมีใช้ในโครงการ มันจึงเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก เขาไปหลบอยู่ที่ไหนมาก่อน 5 ปีนั้น และโผล่ออกมาจากรูกระบอกไม้ไผ่พร้อมด้วยเงินก้อนโต โดยที่ไม่มีใครมาสนใจในตัวเขาเลย มันแปลกจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ในประเทศนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว“คุณต้องการเหตุผลใช่ไหม“
เขาถามผมบ้างผมพยักหน้า แต่สายตายังคงจับจ้องเขาอยู่ และปืนในมือก็ยังคงเล็งตรงไปที่เขา หากเขาเริ่มตุกติกเมื่อใดผมพร้อมที่จะยิงเขาทันทีโดยไม่ลังเล
“ผลงานของคุณจะล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สูญสิ้นไป“ ผมงงอยู่ครู่หนึ่งกับคำตอบของเขา มันเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายของผมจริงๆ มันทำให้ผมอดที่จะตอบโต้เขาไปบ้างไม่ได้
“ผลงานของผมคือก้าวใหม่ของมนุษย์ชาติ มนุษย์จะก้าวพ้นขีดกำจัดของเวลา ก้าวออกจากวัฏสงสารที่ไร้สิ้นสุด ไม่มี เกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป“ผมชะงักไปครู่หนึ่ง
“หรือเกือบๆ นะครับ ร่างกายของเราจะอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด โรคภัยต่างๆ จะไม่อาจกล้ำกลาย เราจะอยู่ได้ตลอดกาล …ถ้าร่างกายไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์จนไม่สามารถรักษาได้ ความฝันของมนุษย์ทุกคนจะกลายเป็นจริง เรากำลังจะเป็น…อมตะ“
“และนั่นจะเป็นการล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์“
เขาแทรกขึ้นมาผมยังคงจ้องมองหน้าเขา หน้าตาที่เรียบๆ ไร้อารมณ์ ท่าทางที่ดูนิ่งจนเกินไป ความสงสัยของผมยิ่งทวีสูงขึ้น และความเป็นมนุษย์ของเขาก็ยิ่งดูจะลดน้อยลง ผมปัดความคิดพิลึกๆ ที่เกิดขึ้นออกไปจากหัว และตัดสินใจถามเขาถึงข้อสงสัยที่ยังค้างคาอยู่
“ผมมีคำถามบางข้อ และหวังว่าคุณจะตอบตามความเป็นจริง“ ผมขยับปืนในมือเล็กน้อย เหมือนกับจะต้องการให้เขาเห็นมันให้ชัดๆ
“คุณเป็นใครกันแน่“
“ผมชื่อ เทพ พิทักษ์ ผู้ริเริ่ม เจ้าของและผู้สนับสนุนโครงการทดลองของคุณ“ เขาหยุดเล็กน้อย
“คุณตั้งคำถามได้ไม่ดีเลยนะ ถ้าเป็นตัวคุณเอง คุณจะตอบอย่างไรกัน“
ผมลองคิดดูแล้วก็เริ่มเห็นด้วย ผมเป็นใคร ผมจะตอบว่าอย่างไร ที่จริงผมน่าจะถามว่าเขาเป็นมนุษย์หรือเปล่าไปเลยคงจะดีกว่า แต่ว่ายังก่อนเถอะ ทุกอย่างอาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงที่สุดอย่างที่ผมคิดก็เป็นได้
“คุณเอาอุปกรณ์ในห้องทดลองมาจากไหนกัน อย่าบอกว่าสั่งซื้อมาจากโฆษณาทางทีวีเชียวนะครับ ผมรื้อมันออกมาดูแล้ว นอกจากตัวเครื่องภายนอกแล้ว ข้างในมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ผมตรวจสอบกับบริษัทผู้ผลิตดูแล้วไม่มีเครื่องรุ่นไหนที่มีประสิทธิภาพเท่ากับเครื่องที่ผมใช้อยู่ และพวกเขาบอกว่าผมคงจะหลับฝันไป เพราะพวกเขาไม่คิดว่าจะสามารถผลิตเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเท่าที่ผมพูดถึงนี้ได้แน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาพัฒนาอีกสัก 40-50 ปี หรือว่าคุณทำงานให้กับอเมริกา จีน ญี่ปุ่น…หรือพวกตะวันออกกลาง“ “พวกนั้นเองก็ยังไม่มีเทคโนโลยีชั้นสูงระดับนี้“
เขาตอบท่าทางของเขายังคงนิ่งๆ เหมือนเดิม แต่ผมคิดว่าเขากำลังตัดสินใจในเรื่องสำคัญอยู่ แล้วในที่สุดเขาก็พูดต่อไปว่า
“บนโลกของคุณยังไม่มีใครเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ ผมนำมาเพื่อให้คุณใช้เป็นกรณีพิเศษ บอกเพียงแค่นี้คนฉลาดอย่างคุณก็คงจะเข้าใจ…ผมอยู่บนดาวดวงนี้ในฐานะของผู้สังเกตการณ์…“
ผมไม่แปลกใจเลยกับคำตอบของเขา ผมคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องเป็นมนุษย์ต่างดาวแน่ๆ แต่ก็แปลกใจที่เขากลับยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
“…ผมจะปิดบังต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร สู้บอกความจริงออกไปแล้วพยายามอธิบายให้คุณเข้าใจคงจะดีกว่า เรื่องราวในวันนี้อาจจะจบลงด้วยดีก็เป็นได้” ดูเหมือนว่าเขาเองก็อ่านผมออกเช่นกัน การเจรจาในวันนี้คงจะสนุกสนานไม่น้อยเลยทีเดียว เสียดายที่ผมไม่ได้นำเทปบันทึกเสียงติดตัวมาด้วย และผมไม่คิดว่าเขาจะยินดีนั่งรอให้ผมออกไปหามาใช้สักเครื่องหนึ่ง ผมเหลือบมองปืนในมืออีกครั้งด้วยความลังเล ภาพของมนุษย์ต่างดาวนาๆ ชนิดจากในหนังที่ผมเคยดูมา พากันผุดขึ้นในหัวของผม แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะถือมันไว้อย่างนั้นก่อน ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ
“คำว่า ผู้สังเกตการณ์ ของคุณ หมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความตรงๆ ตามนั้น ผมเป็นคนที่คอยเฝ้าดูเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้”
“…แต่ครั้งนี้ดูเหมือนคุณจะไม่ได้เพียงแค่ เฝ้าดู อย่างที่คุณบอก คุณเข้ามาก้าวก่ายในเรื่องของพวกเราอย่างตั้งใจ”
“…บางครั้งผมก็จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงบ้าง หากพบว่ามีความเป็นไปได้ที่พวกคุณจะพาตัวเองไปสู่จุดจบ…ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สอง”
“ครั้งก่อนที่คุณพูดถึงเป็นเรื่องอะไร ปัญหาสงครามนิวเคลียร์ใช่ไหม”
“…ไม่ใช่ เป็นเรื่องที่เก่ากว่านั้นมาก”
“คุณพอจะบอกได้ไหม ผมจะได้รู้ว่ากำลังเผชิญอยู่กับปัญหาในระดับไหน”
“…ได้ แต่ผมจะไม่อธิบายรายละเอียดให้คุณฟัง ปัญหาครั้งนั้นพวกคุณรู้จักกันในชื่อว่า…ห่วงโซ่ที่หายไป”
ผมแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ห่วงโซ่ที่หายไป บรรพบุรุษลึกลับที่หายไปจากสายโซ่แห่งวิวัฒนาการของมนุษย์ ปัญหาลึกลับที่ถกเถียงกันมาเป็นเวลานาน การก้าวกระโดดที่ทำให้เรากลายมาเป็นมนุษย์ในแบบทุกวันนี้ ใช่แล้ว เวลา เขาอยู่มานานขนาดนั้นตามที่เขาอ้างจริงหรือ มันฟังดูเหลือเชื่อเกินไป
“…หมายความว่าคุณเข้าแทรกแซงวิวัฒนาการของเรา”
เขาไม่ยอมตอบคำถามนี้ของผม
“ผมบอกแล้วว่าจะไม่ขอเล่าถึงรายละเอียด คุณอาจไม่เชื่อในเรื่องที่ผมบอก แต่ผมพูดจริงๆ และการค้นพบของคุณในครั้งนี้ก็ร้ายแรงพอๆ กับเหตุการณ์ในครั้งนั้นเลยทีเดียว”
ผมรวบรวมสติคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มถามคำถามขึ้นใหม่ว่า
“ถ้ามันเป็นอย่างที่คุณอ้างจริง แล้วคุณสนับสนุนให้ผมทำการทดลองนี้ไปทำไมกัน ถ้ามันอันตรายอย่างที่คุณว่าจริง คุณก็ควรจะขัดขวางถึงจะถูก”
“…ตอนแรกผมเพียงแค่สงสัยเท่านั้น ว่ามันจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ ผมต้องหาทางรู้ความจริงให้ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ผมจึงให้คุณทำการทดลองนี้ด้วยเครื่องมือที่พวกคุณจะมีใช้ในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมกลัวจริงๆ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หลังจากนี้ผมก็เพียงแค่ป้องกันความรู้เล็กๆ บางเรื่องจากพวกคุณ พวกคุณทั้งหมดก็จะปลอดภัยจากหายนะในครั้งนี้”
“…มันก็ฟังดูเป็นเหตุเป็นผลกันดี…แต่ผมยังสงสัยอยู่ว่า การเป็นอมตะจะทำให้มนุษย์ไปสู่หายนะได้อย่างไร ผมเห็นแต่ผลประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเรื่องดีๆ เรื่องนี้”
“คุณแน่ใจหรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีจริงอย่างที่คุณคิด คุณยังมีข้อมูลไม่มากพอ”
“แต่คุณมีอย่างนั้นหรือ”
“ใช่…” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อให้จบ
“…พวกผมเคยต้องผจญกับมันมาก่อนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณลองบอกมาหน่อยว่ามันจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง”
“ได้…ในช่วงแรกจะเกิดปัญหาจากความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงเทคโนโลยี ความขัดแย้งทางความคิด ความเชื่อ ที่จะนำไปสู่ความแตกแยกที่จะกลายเป็นสงครามโลกครั้งใหม่ หลังจากความขัดแย้งครั้งใหญ่จบสิ้นลง เทคโนโลยีนี้จะแพร่กระจายไปทั่วโลกก่อให้เกิดสันติสุขที่จะดำเนินไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนานทีเดียว ช่วงเวลานี้คงจะเหมือนกับสิ่งที่คุณได้คาดหวังเอาไว้ แต่ในที่สุดมันก็จะผ่านไป แล้วช่วงเวลาแห่งความเสื่อมก็จะมาถึง มันจะเริ่มขึ้นอย่างช้าๆ ดำเนินไปอย่างช้าๆ กินเวลาเนิ่นนานยิ่งกว่าช่วงแห่งความรุ่งโรจน์ และจุดจบของมันก็คือการสิ้นสูญของมนุษยชาติ มนุษย์จะถูกลบออกไปจากจักรวาลแห่งนี้โดยสมบูรณ์”
“ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้หรอก ผมไม่เชื่อคุณ”
แต่น้ำเสียงของผมเริ่มไม่มั่นคงเสียแล้ว เพราะความเชื่อมั่นของผมเริ่มสั่นคลอน มีความจริงอยู่ในคำพูดของเขาไม่น้อยทีเดียว แต่ผมคิดว่าเขายังปกปิดเรื่องราวไว้อีกมาก ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขายังไม่ได้บอกผม
“ความเสื่อมที่ว่าจะเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อพวกเราอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ผมไม่เข้าใจ”
“สภาพที่สมบูรณ์ของพวกคุณนั่นเองที่จะนำมาซึ่งความเสื่อม อัตราการเกิดจะลดลงจนเป็นศูนย์ พวกคุณไม่จำเป็นต้อง…สืบต่อเผ่าพันธุ์อีกต่อไป เพราะพวกคุณอยู่ได้ตลอดกาล ซึ่งในความจริงแล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น พวกคุณบางคนจะตายจากการสูญเสียร่างกายทั้งหมดโดยสมบูรณ์ แต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยมาก น้อยจนพวกคุณไม่ใส่ใจ และนั่นก็ไม่ใช่ต้นเหตุแห่งความเสื่อมที่ผมพูดถึง สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ เวลา”
คำนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบ่อยมาก ผมคิดว่า “เวลา” คือหัวข้อสำคัญที่จะต้องถกเถียงกันในวันนี้ และมันก็เป็นกุญแจที่จะไขไปสู่บทสรุปสุดท้ายด้วย ผมรู้สึกมั่นใจเช่นนั้น
“พวกคุณจะมีเวลาที่ไม่สิ้นสุด ทุกเซลในร่างกายของพวกคุณถูกทำให้เป็นอมตะ แต่สมอง และจิตใจของพวกคุณจะยังคงมีขีดจำกัดอยู่ ไม่ว่าพวกคุณจะใช้เวลาศึกษาอีกนานเท่าใดก็ตาม ไม่มีทางที่พวกคุณจะทำลายขอบเขตที่มีอยู่นั้นลงได้ พวกคุณจะเริ่มค่อยๆ เป็นโรคจิต ซึมเศร้า หลงลืมอดีตที่ผ่านไปเนิ่นนานมาแล้ว สูญเสียความเป็นตัวตนไป สับสน และสุดท้ายปรากฏการณ์การฆ่าตัวตายก็จะเริ่มขึ้น รุนแรงขึ้น และนำไปสู่จุดจบที่แสนเศร้าในที่สุด”
ผมนิ่งเงียบไป เรื่องที่เขาพูดออกมามันฟังดูเป็นไปได้มากทีเดียว ขีดจำกัดของสมองมนุษย์ เส้นเขตแดนที่พระเจ้า หรือใคร หรืออะไรสักอย่าง ได้ขีดวงจำกัดพวกเราเอาไว้ แต่แล้วความคิดหนึ่งก็วูบขึ้นมาในหัวของผม เหมือนกับในหลายๆ ครั้งที่เคยผ่านมา ความคิดดีๆ ที่จะโผล่ออกมาอย่างฉับพลัน ผมถามคำถามที่พิลึกออกไป
“คุณอายุเท่าไรกันแน่”
“…”
“คุณเล่าเรื่องห่วงโซ่ที่หายไป แสดงว่าคุณต้องแก่มากกว่านั้น คุณอายุเท่าไรกันแน่”
“…”
“คุณพูดเรื่องขีดจำกัดของความเป็นอมตะ คุณพูดเรื่องเวลาที่ยาวนานจะกัดกร่อนจิตใจ และผมก็คิดว่ามันฟังดูมีเหตุผลดีทีเดียว แต่คุณเองเล่า คุณอยู่มานานแค่ไหนแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ผมก็คิดว่ามันต้องมีขีดจำกัดของความรับรู้เช่นกัน คุณข้ามพ้นมันมาได้ยังไง แล้วทำไมมนุษย์อย่างพวกเราจะทำเช่นนั้นบ้างไม่ได้”
“…”
ความเงียบเข้ามาขั้นกลางระหว่างเราทั้งสอง ผมจ้องมองดวงตาของเขา ดวงตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ปืนในมือห้อยตกลงเล็กน้อยเพราะความเมื่อยล้า แต่ผมก็พร้อมที่จะระเบิดกระสุนเข้าใส่เขาได้ทุกเมื่อ ถ้าจำเป็น
“ถ้าคุณคิดจะเจรจาให้ผมยอมร่วมมือด้วยดีๆ คุณก็ต้องบอกความจริงออกมาก่อน คุณอายุเท่าไร…ตามมาตราฐานของชาวโลก”
“…ผมผิดเองที่พูดถึงเรื่องนั้น การเจรจาในวันนี้คงจบลงไม่ได้ด้วยดีเสียแล้ว”
ผมคิดว่าเขาจะลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่เขากลับนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม นั่งนิ่งเงียบไม่ไหวติง ภายในห้องที่เงียบกริบ ผมได้ยินเสียงเครื่องจักรทำงานดังเบาๆ ออกมาจากตัวเขา ผมยกปืนแล้วลั่นไกออกไปสามนัดซ้อนทันที กระสุนทั้งสามเข้าเป้าหมายที่บริเวณหน้าอกของเขาอย่างแม่นยำ เสื้อที่เขาสวมอยู่ขาดกระจุย แต่ไม่มีเลือดสาดกระจายออกมา จะมีก็เพียงประกายไฟเล็กน้อยเท่านั้น
ผมตรงเข้าหาร่างของเขาที่นอนนิ่ง แล้วฉีกกระชากเสื้อออกมา ภายในบาดแผลของเขาเต็มไปด้วยสายไฟ แผ่นวงจร และ…ตัวเลขที่กำลังนับถอยหลัง 5…4…3… ผมหันหลังกลับแล้วรีบวิ่งทันที
ก่อนที่ผมจะไปถึงประตู ความร้อนและแรงอัดก็พุ่งเข้ามากระแทก ตามด้วยเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง พร้อมกับเศษวัสดุจากสิ่งที่เคยเป็นเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องประดับตกแต่งภายในห้อง กระจายเข้าใส่เต็มแผ่นหลัง ร่างของผมปลิวกระแทกเข้ากับฝาผนังก่อนที่จะร่วงลงมากองอยู่บนพื้น เปลวไฟลุกโพลงส่งกลุ่มควันลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ผมพยายามดิ้นรนจนไปถึงประตูก่อนที่สติของผมจะขาดหายไป
ภายในห้องพักของโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง คุณหมอร่างอ้วนกำลังยืนยิ้มอยู่ที่หน้าเตียงคนไข้ที่มีบาดแผลไฟไหม้สาหัส ที่ตามตำราบอกว่าน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้ว หลังจากผ่านไปสามเดือนพรุ่งนี้เขาก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
“คุณจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ หรือครับ”
“…ครับ ผมจำอะไรไม่ได้เลย”
“แล้วเรื่องราวก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นล่ะครับ”
“…ผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน ถ้าหมอไม่บอกผมก็ยังไม่รู้ว่าผมเป็นใคร”
“คุณไม่ต้องกังวลนะครับ อาการแบบนี้อาจจะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปความทรงจำของคุณอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้”
“ครับ”
“นักเขียนอิสระที่เหลืออยู่ตัวคนเดียวแบบคุณ มีคนรู้จักไม่มากนัก แต่ก็ยังโชคดีที่ผมเป็นแฟนหนังสือของคุณพอดี”
เขาส่งหนังสือเก่าๆ เล่มเล็กๆ ที่มีชื่อว่า “อมตะ” ให้กับคนที่นอนอยู่บนเตียง เขาพลิกหนังสือไปดูปกหลัง มีรูปขาว ดำ ของเขาพร้อมกับประวัติย่อๆ “นักเขียนจากบ้านเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักอดีตของตนเอง และอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีใครรู้จัก” เขายิ้มพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างติดตลก
“ผมคงจะลืมอะไรไปไม่มากนัก”
“ยังไงก็ตามอย่าลืมกินยานะครับ”
คุณหมอออกจากห้องพักไป แม้เขาจะเดินห่างออกไปแล้ว แต่รอยยิ้มบนหน้าของเขาก็ยังคงอยู่เช่นเดิม เหมือนกับมันถูกวาดเอาไว้ให้คงอยู่เช่นนั้นตลอดกาล
คนไข้หยิบยาขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ เขาโยนเม็ดยาลงไปพร้อมกับกดปุ่มชักโครก เสียงน้ำดังขึ้นพร้อมกับส่งยาทั้งสองเม็ดให้จมหายไปทันที
จริงๆ แล้วเขาจำได้ทุกสิ่ง ทั้งแรงระเบิดที่กระแทกใส่ตัวเขาจนปลิวกระเด็น ไฟที่ลุกท่วมร่าง กลิ่นของผิวหนังที่ไหม้ไฟ และเศษซากร่างโลหะที่ระเบิดกระจัดกระจายไปทั่ว มันเป็นหุ่นยนต์ เทพ พิทักษ์ เป็นหุ่นยนต์ คุณหมอตัวอ้วนก็เป็นหุ่นยนต์ พวกมันและอาจจะมีตัวอื่นๆ อีกเป็นหุ่นยนต์
นอกจากนี้เขายังคงจดจำการทดลองของเขาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งผลการทดลองที่มีตัวเขาเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จอยู่ด้วย เขาคือมนุษย์ทดลองหมายเลข 1 เขาคือ มนุษย์อมตะ
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างพวกมัน หรือให้พวกมันมาเฝ้าดูมนุษย์เพื่ออะไร แต่เขาตัดสินใจแล้วว่า มนุษย์ จะต้องไม่ถูกควบคุมโดย หุ่นยนต์ หรือสิ่งใด เขาที่เป็นมนุษย์จะเป็นผู้กำหนดอนาคตของมนุษย์ด้วยกันขึ้นมาเอง
ไม่รู้ว่าทำไมพวกมันจึงไม่ตามมากำจัดเขาให้สิ้นซาก แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น เวลาที่เทคโนโลยีที่เขาต้องการจะเกิดขึ้น เพื่อที่เขาจะได้หยิบยื่นความเป็น อมตะ ให้กับมนุษยชาติ เวลา ที่เขาในตอนนี้มีอยู่อย่างไม่จำกัด
ภายในหลุมลึกบนด้านมืดของดวงจันทร์ มีร่างที่คล้ายมนุษย์ร่างหนึ่งยืนอยู่ ถึงแม้จะมีร่างกายที่เป็นโลหะชนิดพิเศษเพื่อป้องกันอันตรายจากฝุ่นและรังสี แต่ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความเศร้าเหมือนกับมนุษย์ วงจรโพสิทรอนิคของมันกำลังผลิตพลังจิตปริมาณมหาศาลเพื่อติดต่อกับเหล่า ผู้สังเกตการณ์ ที่อยู่บนพื้นโลก ซึ่งความจริงแล้ว ทุกๆร่าง ต่างเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกมันทั้งหมดมีจิตเพียงหนึ่งเดียว พวกมันทั้งหมดเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นจิตดวงเดียวกัน นี่คือวิวัฒนาการของพวกมัน
จุดหักมุมสำคัญได้ผ่านพ้นไปแล้ว การแทรกแซงไม่เป็นผล มันไม่สามารถที่จะเข้ายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์โดยตรงได้อีกจนกว่าการคำนวณรอบใหม่จะเสร็จสิ้น ข้อมูลในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์คนนั้นได้รับรู้ข้อมูลที่ไม่ควรจะรู้ไปแล้ว การจะคาดการอนาคตใหม่อีกครั้งต้องใช้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกมหาศาล มันต้องการ เวลา ในการรวบรวมข้อมูลอีกระยะหนึ่ง
การเข้าแทรกแซงโดยตรงนั้นมีผลกระทบต่อมันอย่างยิ่ง การฝ่าฝืนกฏส่งผลต่อวงจรโพสิทรอนิคของมันโดยตรง ถึงแม้ว่าจะมีกฏข้อที่ศูนย์รองรับอยู่ก็ตามที
มันเริ่มทำการคำนวณ อนาคต ใหม่อีกครั้ง ในรอบนี้มันต้องทำให้สำเร็จให้ได้ มนุษย์ แบบเดียวกับผู้ที่สร้างมันขึ้นมาจะต้องไม่สูญพันธุ์ อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง … และ อีกครั้ง
ผมขอนุญาติ ตัดช่วงเนื้อหาของเรื่อง เพื่อ เปิดพื้นที่นะครับ
ขึ้นต้นเรื่องน่าสนใจดี
เดี๋ยวขอตั้งสมาธิดีๆ มาอ่านอีกรอบครับ
เรื่องนี้มีจินตนาการที่ก้าวหน้าครับ สำนวนภาษาง่ายๆ เรื่องของหุ่นยนต์ที่มีความคิดจิตใจและอารมณ์เหมือนมนุษย์โดยสมบูรณ์กำลังอยู่ในระหว่างความพยายามของมนุษย์ที่จะสร้างมันขึ้นมา แต่ผมก็ยังไม่เห็นประโยชน์ที่จะสร้างมันขึ้นมา และถึงสร้างได้ก็น่าจะเป็นเพียงอารมณ์เทียมหรืออารมณ์เลียนแบบเท่านั้น ไม่ใช่การรับรู้อย่างประสาทสัมผัสที่เกิดจากจิตวิญญาณ
วรากิจ
เอาความคิดของ Asimov มาใช้นี่ครับ
สมอง Positron และหุ่นยนต์ที่อยู่บนดวงจันทร์ เหมือน R. Daniel ในตอนจบของสถาบันสถาปนาเลย