อัลดร้า

โดย วรากิจ เพชรน้ำเอก

ลำแสงประหลาดจากเบื้องบนพุ่งลงมาเหนือบริเวณบ้านกลางท้องทุ่งอันสงบเงียบของเทวินทร์
มันเป็นแสงสีเงินระยิบระยับสวยงามยิ่งนักลำแสงนั้นเคลื่อนไปรอบๆพร้อมกับเสียงครางเบาๆจากวัตถุบางอย่างที่มีขนาดอันมโหฬารซึ่งลอยตัวอยู่เหนือยอดไม้ใหญ่

เทวินทร์ตรงรี่ไปที่หน้าต่างในขณะที่ภรรยากับลูกสาววัยรุ่นทั้งสองต่างยืนกอดกันด้วยความตื่นตระหนก
เขาเหลือบมองไปยังที่มาของลำแสงซึ่งเป็นยานบินขนาดใหญ่มากจนกระทั่งบดบังดวงอาทิตย์ราวกับร่มยักษ์
ตัวยานเปล่งแสงสีทองเรืองรองอย่างอลังการเทวินทร์จ้องมองสัญลักษณ์คล้ายกังหันหรือดาราจักรที่เขาเคยเห็นซึ่งปรากฏชัดที่พื้นผิวด้านล่างของยาน

เขาตะลึงงันกับผู้ที่มาเยือนจากห้วงอวกาศอันแสนไกลและพยายามใช้จิตสัมผัสติดต่อกับผู้ที่ขับเคลื่อนยานลำนั้น
แต่มิติแห่งกาลเวลาที่ยังเหลื่อมล้ำกันอยู่ทำให้ไม่อาจสื่อสารกันได้

“…..อัลดร้า…..” เขาเอ่ยชื่อๆหนึ่งเบาๆ
เทวินทร์เปิดประตูแล้วก้าวออกไป

เขามองดูยานอวกาศสีทองลำยักษ์ซึ่งขณะนี้ได้ลอยตัวนิ่งและหมุนรอบตัวเองอย่างช้าๆอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่เชื่อสายตา ทันใดนั้น ยานบินลำนั้นก็พร่ามัวคล้ายเป็นเพียงภาพเงาและอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า

ภาพของความทรงจำที่ประทับอยู่ในจิตใต้สำนึกปรากฏขึ้นในความนึกคิด เขาหยิบเครื่องประดับที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาดู
มันเป็นผลึกใสที่ให้ความรู้สึกเยือกเย็นและสงบเมื่อสัมผัส

“เทวินทร์”
เกตุ ภรรยาของเทวินทร์ร้องเรียกและโผเข้าหาสามีทันทีเมื่อเขากลับเข้ามาในบ้าน

“ไม่ต้องกลัว” เทวินทร์ปลอบประโลม
ลูกสาวทั้งสองวิ่งเข้ามากอดเขา ร่างกายของเด็กสาวสั่นเทา
“เกิด…อะไร…ขึ้นข้างนอกนั้น…คะ” เกตุถามเสียงละล่ำละลัก
เธอไม่เคยหวาดกลัวอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย
“อัลดร้า” เทวินทร์ตอบ
“อัลดร้า…ดวงดาวที่คุณเคยไปสำรวจเมื่อสิบห้าปีก่อนน่ะหรือคะ” เกตุถาม

สามีของเธอเคยเล่าเรื่องดวงดาวที่ชื่ออัลดร้าให้เธอฟังก่อนที่เธอกับเขาจะแต่งงานกัน

เทวินทร์พยักหน้า เขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
“พวกเขามาที่นี่ทำไมคะ” เกตุสงสัย
เทวินทร์ส่ายหน้า
“เขาจะมาอีกไหมคะ”
“เขายังไม่ได้จากไปไหน”

……………

เจ้าหน้าที่จากองค์การเพื่อการศึกษาชีวิตจากต่างดาวนับสิบในชุดคล้ายมนุษย์อวกาศเดินทางมายังบ้านของเทวินทร์แต่เช้าตรู่

พวกเขาช่วยกันติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายรวมทั้งเครื่องยิงลำแสงอำนาจทำลายล้างสูงสำหรับป้องกันตัวในกรณีถูกโจมตีซึ่งขนมาด้วยตู้คอนเทนเนอร์ถึง 5 ตู้

เทวินทร์กับเกตุและลูกๆเดินออกมาดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบริเวณบ้านของพวกเขาทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดนอนและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“เราได้รับแจ้งเรื่องวัตถุบินลึกลับเหนือบ้านของคุณ”
ดร.วรุณ หัวหน้าหน่วยสืบสวนแผนกสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวกล่าวพร้อมแสดงหมายจากศาลซึ่งอนุญาตให้เขากับเจ้าหน้าที่ทั้งหมดมีสิทธิ์เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้เจ้าของบ้านรู้ล่วงหน้า

“ใช่ครับ…แต่พวกคุณไม่จำเป็นต้องแห่กันมาเป็นกองทัพอย่างนี้เขาไม่มีอันตรายอะไร”

เทวินทร์รู้สึกไม่สู้จะพอใจเท่าไหร่นัก
แต่เขาก็ต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยการพาเดินชมรอบๆบริเวณบ้านลูกสาวทั้งสองของเขายืนดูจานรับสัญญาณที่หมุนรอบแกนอย่างช้าๆด้วยความสนใจในขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังช่วยกันวัดค่ากัมมันตภาพรังสีตามจุดต่างๆ

“ผมทราบมาว่าคุณคือนักบินอวกาศที่เคยไปปฏิบัติภารกิจนอกแกแล็กซีและประสบอุบัติเหตุบนดาวอัลดร้าเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว แต่ตามรายงานไม่ได้ระบุว่าคุณกลับมายังโลกได้ยังไง” ดร.วรุณบอก

เขาเหลือบมองท้องฟ้าใสและว่างเปล่า

“ดูเหมือนว่าวัตถุบินลึกลับนั่นมีเจตนามาหาคุณโดยเฉพาะ”
“เขามาจากอัลดร้า”
“ทำไมคุณจึงแน่ใจเช่นนั้น”
“ผมไม่เคยลืมพวกเขา”

……………

สามวันแล้วที่เจ้าหน้าที่จากองค์การเพื่อการศึกษาชีวิตจากต่างดาวยังคงปักหลักอยู่ที่บ้านของเทวินทร์
ดร.วรุณมั่นใจว่ายานอวกาศจากอัลดร้าจะต้องกลับมาอีกอย่างแน่นอนเครื่องรับสัญญาณวิทยุส่งเสียงประหลาด
มันเป็นเสียงคลื่นวิทยุที่ขาดหายเป็นช่วงๆและไม่ชัดเจนนักมันไม่ใช่คลื่นจากอวกาศ
หากแต่เป็นคลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดซึ่งเคลื่อนที่ไปมาไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก

“ทำไมพวกเขาจึงยังไม่ปรากฏตัวล่ะคะทั้งๆที่อุตส่าห์เดินทางข้ามจักรวาลมาหาคุณ”
เกตุรู้สึกกระวนกระวายใจกับการรอคอยที่ไร้กำหนดเวลา

“เขาคงรอให้มิติเวลาของเขากับของเราซ้อนทับกันสนิทเป็นมิติเวลาเดียวกันเพื่อที่เขาจะได้สามารถเข้าสู่มิติเวลาของเราได้โดยไม่เกิดพาราด็อกซ์”
“พาราด็อกซ์งั้นหรือคะ”
“ใช่ มันคือความขัดแย้งในข้อเท็จจริงระหว่างกาลเวลาที่แตกต่างกัน”

……………

กองกำลังต่อสู้อากาศยานจากกองร้อยปตอ.ที่สามพร้อมอาวุธแสงอำนาจทำลายล้างสูงนำกำลังมาสมทบตามคำสั่งของรัฐบาลเมื่อได้รับแจ้งจากดร.วรุณว่า สามารถระบุตำแหน่งยานอวกาศจากดาวอัลดร้าได้แล้วผู้คนได้รับคำสั่งให้อพยพออกจากพื้นที่ในทันที
แต่เทวินทร์กับครอบครัวยืนยันที่จะไม่ย้ายไปไหน

เสียงครางเบาๆดังขึ้นเหนือยอดเขาที่ห่างออกไปไม่ไกลเมฆหนาทึบบนท้องฟ้าดูปั่นป่วนราวกับท้องทะเลที่บ้าคลั่งก่อนที่จะแหวกออกเป็นช่องวงกลมขนาดมหึมาและมองเห็นความมืดมิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทั้งๆที่ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงเจิดจ้า

ลำแสงสีเงินพุ่งลงมาสู่พื้นผ่านช่องเมฆนั้น บางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นยานบินอันใหญ่โตมโหฬารลอยผ่านช่องเมฆลงมาเผยให้เห็นพื้นผิวโลหะเปล่งประกายสีทองอร่ามสวยงามราวกับยานพาหนะของเทพเจ้ายานอวกาศจากอัลดร้าแหวกเมฆลงมาอย่างช้าๆ
ความยิ่งใหญ่ตระการตาทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นแทบจุหยุดหายใจด้วยความตื่นตะลึง

เทวินทร์มองดูยานอวกาศจากอัลดร้าที่บัดนี้ได้ลอยลำนิ่งอยู่เหนือศีรษะเขาจำสัญลักษณ์ใต้ท้องยานบินนั้นได้ดี
มันไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเขาเลยแม้วันเวลาจะล่วงเลยไปถึง 15 ปี

“มันเป็นยานโดยสารสำหรับบุคคลสำคัญของอัลดร้า” เทวินทร์บอกกับดร.วรุณ “พวกคุณจะต้องไม่ทำอันตรายเขา”

ยานอวกาศจากอัลดร้าหมุนรอบตัวเองช้าๆ เทวินทร์โบกมือให้เขาสงสัยว่าอาจจะเป็นเธอที่เดินทางข้ามจักรวาลเพื่อมาหาเขาเขาย้อนรำลึกไปในอดีตเมื่อ 15 ปีก่อน

เขาเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถเดินทางไปถึงดาวอัลดร้าถึงแม้พื้นผิวภายนอกของดวงดาวจะแห้งแล้งกันดารราวกับดวงดาวที่ตายแล้วและไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกถึงการมีสิ่งมีชีวิตอันทรงภูมิปัญญาบนดาวดวงนั้นเลยสักนิด ในขณะนั้น

ยานสำรวจอวกาศของเขากำลังเดินทางไปถึงขอบของแกแล็กซีทางช้างเผือก

ระบบขับเคลื่อนของยานขอเขาขัดข้องและแกแล็กซีได้เหวี่ยงยานของเขาให้หลุดพ้นจากแรงดึงดูดแล้วล่องลอยไปในอวกาศอย่างไร้จุดหมายด้วยความเร็วอนันต์ คล้ายกับกาลเวลาของเขาได้หยุดนิ่งไประยะหนึ่งและเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกลับเป็นปกติ เขาได้พบว่ายานสำรวจได้ผ่านเข้าสู่วงโคจรเหนือดวงดาวสีน้ำตาลดวงหนึ่งซึ่งพื้นผิวมีเพียงหลุมอุกกาบาตและภูเขาไฟ

ยานของเขาได้พุ่งผ่านชั้นบรรยากาศอันเบาบางแต่คล้ายกับว่ามีแรงบางอย่างช่วยชะลอความเร็วของยานให้ตกลงสู่หลุมอุกกาบาตขนาดยักษ์หลุมหนึ่งอย่างไม่รุนแรงนัก สติสัมปชัญญะของเขาดับวูบลง จนกระทั่ง

“ท่านปลอดภัยแล้ว ท่านจงพักผ่อนจนกว่าท่านจะแข็งแรง”
เสียงอันก้องกังวานและอ่อนโยนของใครบางคนพูดกับเขา

เทวินทร์พยายามลืมตาขึ้นมองหาที่มาของเสียงนั้น ภาพนั้นเลือนรางและค่อยๆชัดเจนขึ้นเมื่อสายตาสามารถปรับสภาพกับบรรยากาศซึ่งมีแสงนวลๆได้ดีขึ้น

เขาได้เห็นเรือนร่างอันสูงสง่าของหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเตียงนอนของเขา ใบหน้าของเธองดงามเหลือเกินจนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาคงจะตายไปแล้วและกำลังอยู่ในสรวงสวรรค์

ผิวของเธอเป็นประกายราวกับไข่มุก เรือนผมสีทองและละเอียดอ่อนรากับเส้นไหมยาวสลวยตลอดแผ่นหลังของเธอ เขาพยายามจะลุกขึ้น แต่เธอกลับประคองให้เขานอนลงอีก

“ท่านควรพักผ่อนให้มาก” หญิงสาวบอกกับเขา
เทวินทร์สังเกตเห็นว่าริมฝีปากบางๆของเธอปิดสนิทและอันที่จริงเขาไม่ได้ยินเสียงของเธอที่ควรจะเปล่งออกจากริมฝีปากแต่เขากลับได้ยินเสียงของเธอผ่านทางจิตสัมผัส

“ผมอยู่ที่ไหน” เทวินทร์ถาม
“อัลดร้า…ท่านเป็นชีวิตนอกดาวของเราชีวิตแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่” เธอตอบ “ท่านคงชื่อเทวินทร์”
“คุณรู้ได้ยังไง” เทวินทร์สงสัย
เธอชี้ไปที่ชื่อซึ่งปักอยู่บนชุดนักบินอวกาศของเขาแทนคำตอบและหัวเราะ
“ค…คุณอ่านชื่อผมออก”
“จิตสัมผัสบอกเราทุกสิ่งทุกอย่าง”
“คุณเป็นใคร”
“ข้าชื่อราห์” เธอแนะนำตัว
“ทำไมคุณพูดภาษาของผมได้”
“ข้าไม่ได้พูดกับท่านด้วยภาษาใดๆ ข้าพูดกับท่านด้วยอำนาจแห่งจิตสัมผัส”

……………

เทวินทร์อยู่ที่อัลดร้านานเท่าใด เขาเองก็ไม่อาจตอบได้แต่ราห์ดูแลเขาเสมือนว่าเขาคืออาคันตุกะคนสำคัญของเธอเธอพาเขาไปทั่วทั้งดวงดาวของเธอ

มันไม่ใช่ดวงดาวอันแห้งแล้งกันดารอย่างที่เขาเห็นด้วยตาในทีแรกหากแต่มีมหานครอันสวยงามและอุดมสมบูรณ์แฝงอยู่ในอีกมิติหนึ่งมันดูราวกับเมืองในเทพนิยาย

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดจากภูมิปัญญาอันล้ำเลิศของชาวอัลดร้าซึ่งได้เนรมิตมหานครแห่งนี้ขึ้นมาด้วยวิทยาการอันล้ำยุค

แม้แต่ชาวอัลดร้าทุกคนที่เขาได้พบเห็นและรู้จักทุกคนต่างมีใบหน้าที่สวยงามเหมือนภาพวาดในจินตนาการและมีผิวพรรณเป็นประกายเหมือนผิวไข่มุก เส้นผมของชาวอัลดร้าก็ดูคล้ายกับเส้นใยที่ทำจากทองคำ

“ดวงดาวของคุณเป็นดวงดาวที่สวยงามและสงบสุขอย่างมาก”
เทวินทร์เอ่ยชมในระหว่างการเดินเล่นบนหาดทรายสีทอง

“แต่เราก็มีกองทัพที่เข้มแข็งยิ่งกว่าที่โลกของท่านมี”
สีของเม็ดทรายทำให้เทวินทร์ต้องนั่งลงและกอบทรายขึ้นมาราห์ยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตะลึงงันของอาคันตุกะของเธอ

“ทรายบนอัลดร้าทั้งหมดเป็นผงทองคำบริสุทธิ์” เธอบอก
“โอ…ไม่น่าเชื่อ มันมากมายเหลือเกิน…มันมากพอที่จะซื้อโลกของผมได้ทั้งโลกทีเดียว”
เทวินทร์พูดอย่างไม่เชื่อสายตา เขาไม่เคยคิดฝันว่าเขาจะมีโอกาสได้เห็นทองคำมากมายมหาศาลขนาดนี้

“มันคือโลหะพิเศษสำหรับยานพาหนะของเราเพื่อการเดินทางข้ามจักรวาล”
เทวินทร์มองดูยานอวกาศทองคำลำหนึ่งกำลังทะยานขึ้นสู่ห้วงอวกาศใต้ท้องของมันประดับด้วยสัญลักษณ์คล้ายรูปดาราจักรอันแปลกตา
“แต่สำหรับยานรบเราสร้างด้วยโลหะดำซึ่งได้จากดาวบริวารของเรามันเป็นยานรบที่ไม่มีใครสามารถทำลายได้”

……………

ราห์พาเทวินทร์ไปยังหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งเย็นยะเยือกและมีหมอกบางๆเรี่ยพื้น
เขาเห็นกลุ่มโดมแก้วระยิบระยับมากมายเรียงรายอยู่ภายในหุบเขานั้นมองดูราวกับเป็นเมืองที่สร้างขึ้นจากฟองสบู่

ราห์พาเขาเข้าไปในโดมแก้วที่ใหญ่ที่สุด
ภายในโดมเรืองรองไปด้วยประกายของจุดแสงเล็กๆที่แวววาวตระการตาอย่างที่ไม่อาจจินตนาการออกมาเป็นคำพูดใดๆได้

ชายชราร่างสูงใหญ่ปรากฏกายขึ้นเมื่อลำแสงสีเงินลำหนึ่งซึ่งพุ่งลงมาจากยอดโดมค่อยๆเลือนหายไป

ชุดเสื้อคลุมซึ่งถักทอด้วยเส้นใยทองคำของชายชรากับบุคลิกที่สง่างามทำให้เขาดูเหมือนกับจักรพรรดิหรือพระราชาแห่งจักรวาล

ดวงตาของชายชราดูทรงพลังเมื่อเพ่งมองมาที่เทวินทร์ทำให้เขาถึงกับร่างเย็นเฉียบ

“ท่านคือบิดาของข้าและประมุขแห่งอัลดร้า” ราห์บอก

“ขอต้อนรับอาคันตุกะจากโลก ท่านคงได้เรียนรู้เกี่ยวกับดวงดาวของเรามากเท่าที่ท่านต้องการ ลูกสาวของเรามีความสุขมากที่ได้ดูแลท่าน” ประมุขแห่งอัลดร้าพูด

จิตสัมผัสของเทวินทร์รู้สึกได้ว่าเสียงนั้นช่างทรงพลังอำนาจอย่างยิ่งมันยังคงก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทของเขาตราบจนกระทั่งบัดนี้

เขาท่องเที่ยวไปบนดวงดาวอันมหัศจรรย์ที่ชื่ออัลดร้า วันแล้ววันเล่าโดยมีราห์อยู่เคียงตลอดเวลาเธอทำให้เขามีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน

แววตาอันอบอุ่นเมื่อจ้องมองเขาทำให้หัวใจของเขาสั่นรัวและอดใจไม่ได้ที่จะกุมมือของเธอไว้แนบอก

เทวินทร์จ้องมองราห์อย่างลืมตัว เขาจุมพิตเธอแผ่วเบาและรู้สึกได้ว่าริมฝีปากบางๆของเธอที่เขาได้สัมผัสนั้นเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพอย่างท่วมท้น มันเป็นมิตรภาพที่เธอได้มอบให้แก่ผู้ที่สามารถกุมหัวใจของเธอไว้ได้เท่านั้น

……………

ราห์ดูเศร้าเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเทวินทร์ในวันนี้
เธอถอดเครื่องประดับซึ่งเป็นเหมือนคริสตัลรูปดวงดาวที่เปล่งแสงเป็นประกายจากคอของเธอแล้วสวมให้แก่เขา เธอบอกให้เขาสวมมันไว้ตลอดเวลา

เทวินทร์เข้าใจได้ในทันทีว่านี่คือการพบกันเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างเขาและเธอ เขาใจหายวาบทั้งๆที่รู้ว่า ในที่สุด วันนี้ต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็วราห์บอกกับเขาว่า เขาไม่สามารถอยู่ที่อัลดร้าตลอดไปได้เพราะมิติแห่งกาลเวลาของที่นี่แตกต่างจากมิติแห่งกาลเวลาของโลกโดยสิ้นเชิง

สภาพร่างกายของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเขาจะต้องมีชีวิตอย่างเจ็บปวดและทรมานเกินกว่าที่จะอยากมีชีวิตอยู่
การรอคอยให้มิติเวลาของโลกทั้งสองทับซ้อนกันเป็นหนึ่งเดียวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับชาวโลก
มีเพียงชาวอัลดร้าเท่านั้นที่สามารถทำได้เมื่อชาวอัลดร้าเดินทางไปสู่โลกพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ในโลกของมนุษย์อย่างเทวินทร์ได้ตราบจนชั่วชีวิต

เทวินทร์ถอดแหวนเงินที่แม่ของเขามอบให้ก่อนที่เขาจะขึ้นสู่ห้วงอวกาศ
เขาสวมมันเข้ากับนิ้วกันเรียวงามของราห์และจุมพิตมืออันอ่อนนุ่มของเธอ

เธอพาเขาไปยังลานกว้างซึ่งมียานอวกาศทองคำจอดเรียงรายอยู่ที่นั่น
มันเป็นยานอวกาศที่ใหญ่โตมโหฬารเมื่อเขาเข้าไปยืนอยู่ข้างใต้มันยานลำนี้มีสัญลักษณ์รูปดาราจักรเช่นเดียวกับยานทุกลำของอัลดร้า
ทันใดนั้น ลำแสงสีเงินระยิบระยับลำหนึ่งก็พุ่งลงมาจากโดมแก้วมันคลุมร่างของเทวินทร์ไว้แล้วเลือนหายไปพร้อมๆกับร่างของเขา

บัดนี้ เทวินทร์ได้เข้าไปอยู่ในยานอวกาศเรียบร้อยแล้วและสติสัมปชัญญะของเขาก็ดับวูบลง

……………

เทวินทร์ลืมตาขึ้นและมองดูรอบๆ มันเป็นภาพที่คุ้นเคยมาก่อน
เขาพบว่าเขากำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเขากลับถึงบ้านแล้ว

มีคนพบเขากำลังนั่งอยู่บ้างถนนสายหนึ่งในสภาพเหม่อลอยไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาได้อย่างไร

ทั้งๆที่ยานสำรวจของเขาได้สูญหายไปในการสำรวจอวกาศเมื่อ 6 เดือนก่อน

……………

ยานอวกาศสีทองลอยลำอยู่เหนือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ห่างจากบ้านของเทวินทร์ออกไปเล็กน้อย

มันลดระดับลอยต่ำลงมาอย่างช้าๆและหยุดนิ่งที่ระดับยอดไม้
ลำแสงสีเงินพุ่งลงมายังพื้นเบื้องล่าง ร่างของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้น
จิตสัมผัสของเขากับเทวินทร์สามารถสื่อสารกันได้ในทันทีทันใดผู้มาเยือนจากอัลดร้าเดินตรงมาหาเทวินทร์

เขาเป็นเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งซึ่งมองดูคล้ายเด็กชาวโลกซึ่งมีอายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น

ผิวของเขาเป็นประกายไข่มุกเช่นเดียวกับชาวอัลดร้าที่เทวินทร์รู้จัก
แต่เส้นผมอันละเอียดอ่อนกลับเป็นสีดำแทนที่จะเป็นสีทองเช่นชาวอัลดร้าทั่วไป ใบหน้าของเด็กน้อยทำให้เขานึกถึงราห์
มันเป็นใบหน้าที่เขาไม่เคยลืมเลือนจากความทรงจำเลย

เด็กน้อยเดินผ่านกลุ่มคนนับร้อยกับทหารที่ถืออาวุธซึ่งมองตามเขาทุกฝีก้าวอย่างระแวดระวังจนกระทั่งเด็กน้อยหยุดยืนตรงหน้าของเทวินทร์เขาสัมผัสเครื่องประดับคริสตัลรูปดวงดาวที่ห้อยคอเทวินทร์อยู่แล้วยิ้ม
เด็กน้อยยื่นมือให้เทวินทร์

สิ่งที่เทวินทร์ได้เห็นประดับอยู่ที่นิ้วของเด็กน้อยทำให้เขาถึงกับน้ำตาเอ่อล้น มันเป็นแหวนที่เขาได้มอบไว้ให้กับราห์ก่อนที่จะจากมา
เขาคุกเข่าลงแล้วกอดเด็กน้อยจากดาวอัลดร้าไว้แน่นพลางร่ำไห้
เกตุกับลูกสาวทั้งสองของเทวินทร์มองดูผู้เป็นสามีและพ่ออย่างงุนงง
พวกเธอไม่รู้ว่าเด็กจากต่างดาวผู้นี้คือใคร

“ข้าชื่อทรอน” เด็กชายจากอัลดร้ากล่าวกับเทวินทร์
“ข้ามาตามหาท่านผู้เป็นพ่อของข้า”

ทันใดนั้น ทหารห้าคนเล็งอาวุธมาที่เด็กน้อยที่ชื่อทรอน
พวกเขาดึงตัวทรอนออกมาจากอ้อมกอดของเทวินทร์และพาตัวเด็กน้อยไปยังรถตู้สีดำคันหนึ่ง
“อย่าจับเขาไป”
เทวินทร์ร้องห้ามและพยายามแย่งทรอนกลับคืนมา “พวกคุณจะเอาลูกของผมไปไหนไม่ได้”

ดร.วรุณก้าวเข้ามาขวางทางเทวินทร์ไว้
“ลูกของคุณจะถูกควบคุมตัวไว้ก่อนจนกว่าเราจะแน่ใจว่าเขาจะไม่ได้นำอันตรายใดๆมาสู่โลกของเรา”

อาวุธลำแสงอำนาจทำลายล้างสูงทุกกระบอกหันไปยังยานอวกาศจากอัลดร้าในทันที
“พ่อ…ช่วยข้าด้วย”

“พวกคุณกำลังทำความผิดพลาดครั้งใหญ่นะ” เทวินทร์ตะโกนอย่างโกรธแค้น

ทันใดนั้น
ลำแสงประหลาดเจิดจ้าหลายลำสาดส่องลงมาจากเบื้องบนเหนือหมู่เมฆที่กำลังปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่ง
คลื่นความร้อนอันรุนแรงแพร่กระจายลงมาจากท้องฟ้า

ทุ่งหญ้าลุกพรึ่บเป็นไฟขึ้นอย่างน่ากลัวพร้อมกับกระแสลมพายุที่พัดโหมกระหน่ำให้เปลวไฟลุกลามไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

คลื่นความร้อนพุ่งเข้าใส่อาวุธที่เล็งตรงขึ้นมายังท้องฟ้ารวมทั้งกองทหารที่กำลังอยู่ในอาการตื่นตระหนก

อาวุธและยานพาหนะหลอมละลายราวกับขี้ผึ้งและเหล่าทหารต่างมอดไหม้เป็นจุณในพริบตา

ฝูงยานอวกาศสีดำทะมึนปรากฏตัวขึ้นจากเมฆที่แหวกตัวออก
สัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ใต้ท้องของยานอวกาศเหล่านั้นทำให้เทวินทร์ถึงกับชาไปทั้งตัว
“น…นั่นมัน…ยานรบของอัลดร้า”

……………

ใส่ความเห็น