บันทึกผจญภัยสีชาด ตอนที่ 5 บทเรียนมหัศจรรย์

         ณ โรงอาหาร ระดับมัธยมต้น

 บรรยากาศ ห้องโถงสี่เหลี่ยมกว้างขวาง วางโต๊ะเก้าอี้ไม้ยาวขนานกับกำแพง ไฟบนเพดานให้ความสว่าง อากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศตามแบบฉบับโรงอาหารทุกยุคทุกสมัย เว้นแต่ ตามผนังบางจุดมีป้ายดิจิตอลแสดงข้อความไปมาและคนขายอาหารนั้นเป็นตู้จักรกล  เด็กหนุ่มกำลังยืนต่อแถวอันยาวเหยียด ปล่อยลอร่านั่งจองโต๊ะเพียงลำพัง ส่วนอิวานขอไปเข้าห้องน้ำก่อน

คนในแถวมีทั้งชาย หญิง รวมถึงเพศที่ 3 ที่ออกกิริยา น้ำเสียงวี้ดว้ายอย่างชัดเจนคละเคล้ากันไป สนทนากันเองกับพรรคพวกของตน

ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มยกกำไลข้อมือประจำตัวจากครูเฟ่ยตาตี๋ตรวจยอดเงินทั้งหมด

ยอดทั้งหมด 100 มาร์สินะ คิดตรวจทานยอดทั้งหมดในใจไปด้วยเพื่อความมั่นใจ

พอถึงคิวของตนก็นำกำไลข้อมือประจำตัวไปจ่อหน้าเครื่องขายอาหาร กดสั่งอาหารชุด  2 ชุดสำหรับตัวเองและลอร่าทันที ยอดทั้งหมด 100 มาร์พอดี  เสร็จเรียบร้อย ชุดอาหารร้อนฉ่าน่ารับประทานทั้งสองชุดออกมา ลอร่ายกมันวางบนถาด หยิบช้อนส้อม เดินเบียดเสียดกลุ่มชนกลับไปยังโต๊ะที่ลอร่านั่งจองไว้อย่างรีบเร่ง
อ่านเพิ่มเติม “บันทึกผจญภัยสีชาด ตอนที่ 5 บทเรียนมหัศจรรย์”

บันทึกผจญภัยผลึกสีชาดตอนที่ 4 สู่อวกาศครั้งแรก (แก้ไขแล้ว)

ยานอวกาศจอดเทียบท่าเรียงรายกันอย่างนุ่มนวลเลื่อนเปิดประตูท้ายลำ โปรยบันไดยี่สิบขั้นลงมาต้อนรับ เด็กบริเวณนั้นทยอยตั้งแถวเดินเรียงรายขึ้นยานอย่างเป็นระเบียบ รวมถึงราเอล ลอร่า กับ เด็กหนุ่มผมดำหางม้าด้วย

บนตัวยานทั้งสามแลเห็นบรรยากาศทางเดินภายใน คล้ายอุโมงค์สี่เหลี่ยมแต่ผนังนั้นโค้งรีหน่อย  พื้นผนังล้วนบุด้วยวัสดุคล้ายพลาสติคสีขาวงาช้าง ปรากฏลำโพงและตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรสลักตามผนังบางจุด หลอดไฟบนฝ้าให้ความสว่าง  ที่นั่งแบ่งเป็นแถวกระดานนับไม่ถ้วน  แถวนึงประมาณ สิบที่นั่งเว้นที่ตรงกลางไว้สำหรับเดิน

เด็กหนุ่มผมดำหมุนตัวกวาดสายตาบรรยากาศรอบข้างอย่างตื่นตาตื่นใจ
อ่านเพิ่มเติม “บันทึกผจญภัยผลึกสีชาดตอนที่ 4 สู่อวกาศครั้งแรก (แก้ไขแล้ว)”

บันทึกผจญภัยผลึกสีชาด ตอนที่ 3 โรงเรียนม.ต้นหลังขอบฟ้า (แก้ไข)

อาทิตย์ลับฟ้าท้องฟ้าโปร่งแลเห็นจันทราเยือกแข็งสีฟ้าครามเริงร่า เจิดจรัสเคียงข้างเหล่าสหายดาวดวงน้อยนับไม่ถ้วนบนม่านนภายามราตรี

บนถนนคอนกรีตสายนึงป้ายดิจิตอลข้างทางกำกับข้อความ  “ ถนนหลวง 907 ”  ปะปนไปกับป้ายบอกทางอื่น ลุงวาชิลลี่บิดมอไซต์ต้านแรงโน้มถ่วงลอยเหนือพื้น คันเดิมเปิดไฟหน้าสว่างจ้า แถบพลังงานวงล้อสีเหลืองเห็นเด่นชัดในบรรยากาศมืดเช่นนี้

ลอร่า นั่งซ้อนท้ายเกาะเอวแกเด็กหนุ่มนั่งบนเก้าอี้พิเศษพ่วงเข้ากับท้ายมอไซต์วาง ร่างไร้สติของสุนัขจรจัดตัวนั้นที่ตัก ตั้งปืนยาสลบไว้ข้างกาย ทั้งสามสวมหมวกกันน็อคและแว่นกันลม ทำจากพลาสติคแบบพิเศษที่เบาแต่ทนทานสูง บัดนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าค่ายทหารสถานแห่งความเหนื่อยยาก เข้มงวด แต่สำหรับพวกเขามันคือบ้านอันแสนสุขพักพิงมาตลอด 13 ปี

เด็กหนุ่มซดข้าวที่ชาวบ้านเลี้ยงไปประมาณ 3 จานอย่างตะกระตะกราม อิ่มแปร้พุงออก เขา นั่งพาดแขนขวาบนเบาะที่นั่ง มองวิวข้างทางที่ผ่านไปเข้ามาแล้วลับตาในพริบตา ดังเส้นทางชีวิตที่ก้าวไปแล้วไม่มีหวนกลับมาได้  ต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า รถยนต์ลอยเหนือพื้นแบบ สี่ที่นั่งวิ่งสวนทางมาคันแล้วคันเล่า ทุกคันล้วนมีแถบวงล้อพลังงานเรืองแสงหลากสีแวววาวเข้าตา

มองบนฟ้ายานอวกาศบินผ่านชั้นบรรยากาศมามุ่งหน้าเข้าตัวเมืองเป็นระยะจะมี เพียงพระจันทร์และหมู่ดาวเท่านั้นที่ไล่พวกเขาไปทุกที่

พอมองยานหลายลำชวนให้เด็กหนุ่มคิด
อ่านเพิ่มเติม “บันทึกผจญภัยผลึกสีชาด ตอนที่ 3 โรงเรียนม.ต้นหลังขอบฟ้า (แก้ไข)”

ตอนที่ 2 วันที่แสนวุ่นวาย

12  ปีต่อมา  ดาวเคราะห์ลำดับที่ 9 ธรา

               ท้องฟ้ายามผีตากผ้าเหลืองอร่าม อาทิตย์ดวงโตสีส้มใกล้ลับฟ้า นกฝูงใหญ่โหวกเหวก โบยบินกลับรัง มุ่งสู่ภูเขาใหญ่ที่เลือนลาง ณ ขอบฟ้า

ลึกเข้าไปในหมู่บ้านเล็กแถบชานเมืองแห่งหนึ่งท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีไพศาล ทุ่งสวนสำหรับปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารออกผลอย่างอุดม  ยี่สิบครัวเรือนใช้ชีวิตในหมู่บ้านแห่งนี้ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมพืชผลและปศุสัตว์

ณ ใจกลางหมู่บ้าน ปรากฏโรงไฟฟ้าขนาดตู้ไปรษณีย์คอยผลิตไฟฟ้าให้คนในหมู่บ้านถนน ทางออกหมู่บ้านตัดผ่านทุ่งหญ้าเชื่อมกับถนนใหญ่
แม่น้ำใสแจ๋วสายเล็กขนาบเลียบ ส่งน้ำจากต้นน้ำบนยอดเขา หล่อเลี้ยงหมู่บ้านมากมายตลอดจนตัวเมืองใหญ่  ปลาเล็กใหญ่บ้างแหวกว่ายไปมา ยื่นปากขึ้นมาพะงาบ  บ้างดีดตัวขึ้นมา พืชน้ำหลากหลายพันธุ์ทั้งพืชตามธรรมชาติและที่ออกผลเป็นเนื้อปลาหลากหลาย พันธุ์ลอยบนผิวน้ำ
ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ต้นนึง ริมถนนใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้าน
“   อยู่นิ่งๆ สิจ๊ะ   ”   สาวน้อยวัยสิบสาม   โครงหน้าเรียวได้รูป ผิวขาวสนิทดังชนชาติฝรั่ง นัยต์ตาน้ำตาลส้ม คิ้ว ขนตาดำเข้ม ผมดำปรกหน้าผาก ยาวถึงต้นคอ หน้าตาน่ารักพอตัว  สวมชุดกระโปรงสีขาว รองเท้าผ้าสีชมพูติดเข็มกลัดดอกไม้เล็กจิ๋วน่ารัก เธอนั่งเหยียดขา งอเข่าวางบอร์ดรองกระดาษวาดรูป มือซ้ายจับบอร์ดให้อยู่กับที่
อ่านเพิ่มเติม “ตอนที่ 2 วันที่แสนวุ่นวาย”

ภาคแรกหนทางสู่นักรบจิต : ตอนที่ 1 ตำหนักพระแม่เทร่า

….. และแล้วสายธารแห่งกาลเวลาได้นำพามวลมนุษย์ยังอนาคต

ศตวรรษที่ 36  ณ โลกได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นพระแม่เทร่า ( Holy mother Terra  ) ดาวแม่แห่งมวลมนุษย์ทั้งปวง ถูกห้อมล้อมด้วยป้อมปราการ เรือรบอวกาศ ดาวเทียม จำนวนมากป้องกันอย่างหนาแน่น

ลึกเข้าไปทวีปทั้งหมดได้รวมเป็นหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทรสีครามเหมือนกับ ทวีป แพนเกียในยุคดึกดำบรรพ์ ร่องรอยความเสียหายจากมหาสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่มวลมนุษย์ต่อสู้เพื่อแย่งชิงยานอวกาศหนีออกนอกโลกก่อนจะเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่

ซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้าง อารยธรรมที่บ่งบอกว่าเคยมีผู้คนพลุกพล่านในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน บัดนี้มวลมนุษยชาติได้ออกไปตั้งรกรากยังดาวเคราะห์อื่นๆ 14 ดวงบางส่วนยังคงเร่ร่อนตามอวกาศ

บัดนี้พระแม่เทร่าเป็นดาวเคราะห์มีไม่มีประชาชนธรรมดาอาศัยอยู่ มีเพียงเกรทเซียร์ (Great seer ) ผู้ล่วงเห็นอนาคตคอยมอบคำทำนายเพื่อความคงอยู่ของอาณาจักรมนุษย์ ผู้อารักขาชาญฝีมือ และ บุคคลสำคัญระดับสูงของอาณาจักรเท่านั้นที่จะมีสิทธ์เข้ามายังพระแม่เทร่าเพื่อกระจายคำทำนายไปทั่วอาณาจักร
อ่านเพิ่มเติม “ภาคแรกหนทางสู่นักรบจิต : ตอนที่ 1 ตำหนักพระแม่เทร่า”

บันทึกผจญภัยผลึกสีชาด : ตำนานบทที่หนึ่ง นักรบจิตเลือดกินรี (Sci fi fan) บทเกริ่น บุตรแห่งกินรีมโนราห์

ณ กระท่อมหวายหลังเล็กๆ ในป่าหิมพานต์

ท่ามกลางป่าเขาอันเงียบสงัด แว่วเสียงบรรยากาศรอบข้าง ทั้งสายชลไหลริน สายลมพัดผ่าน แม้กระทั่งนกแห่งขุนเขา แมลงเรไรนับไม่ถ้วนประสานเสียงเป็นเสียงบรรเลงแห่งธรรมชาติ

ภายในกระท่อมอันโกโรโกโส ชายชราท่านนึงผิวเหี่ยวย่น ผมขาวหงอก สวมเสื้อผ้าไหมเก่าคร่ำครึเต็มไปด้วยรอยปะกำลังนอนบนเตียงไม้ไผ่ที่ปูด้วย ผ้าไหม รองหัวด้วยหมอนขวานสีน้ำเงินลวดลายทองวิจิตรไทยกับสตรีนางหนึ่งผิวขาวนวลผด ผ่อง เรียบเนียนปราศจากริ้วรอยใดๆ ผมดำเงางามเรียบมัน รวบมัดเป็นจุกตามแบบฉบับสตรีไทยโบราณ สวมผ้าแพรพันรอบอก ผ้าถุงลายไทย นั่งพับเพียบปรนนิบัติข้างเตียง

เธอกำลังบดสมุนไพรด้วยครกยา เบื้องหลังของเธอมีหม้อกระเบื้องสีดำห้อยบนกิ่งไม้ กำลังต้มน้ำให้เดือดด้วยไฟจากกองฟืน
อ่านเพิ่มเติม “บันทึกผจญภัยผลึกสีชาด : ตำนานบทที่หนึ่ง นักรบจิตเลือดกินรี (Sci fi fan) บทเกริ่น บุตรแห่งกินรีมโนราห์”

Michael Crichton เสียชีวิต ด้วยวัย 66 ปี

ข่าวล่ามาช้า
นับเป็นการสูญเสียในวงการ นิยายวิทยาศาสตร์ อีกครั้ง
เมื่อ Michael Crichton เจ้าของผลงาน Jurassic Park ที่ทุกคน(น่าจะ)รู้จัก ได้เสียชีวิตลงด้วยวัยเพียง 66 ปี
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา
เข้าเยี่ยมชม website ของเขา

วัลฮัลลา (Valhalla) – บทที่ 1 (แก้ไข สมบูรณ์)

 

บทนำ (1)

เจ้าหญิงแห่งอวกาศ

อนาสตาเซีย

 

ปี E.A. ที่ 0006 (Ender Age)

สถานที่ : สถานีขนส่งอวกาศเมอร์คิวรี่ 4

ดูสิคะ คุณแม่”

เด็กหญิงวิ่งไปยังกระจกใสที่กั้นระหว่างด้านในของสถานีกับอวกาศด้านนอก ดวงตาของเธอกลมโตเป็นประกาย ในขณะที่กำลังมองไปยังภาพที่อยู่อีกฟากของกระจก

ที่ใจกลางของความมืด กลุ่มดาวกระจุกรวมตัวกันจนเกิดเป็นกลุ่มก้อน ก่อให้เกิดแสงสว่างสว่างเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วห้วงอวกาศอันมืดมิด

ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้เท่าไหร่นะ” ผู้เป็นแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น

ขนาดคุณแม่เดินทางไปมาทั่วอวกาศแล้วยังไม่เคยเห็นเลยหรือคะ” เด็กหญิงถาม

ที่เคยเห็น กลุ่มดาวมันไม่กระจุกตัวเป็นก้อนจนเกิดแสงสว่างถึงขนาดนี้น่ะจ๊ะ”

ว้าว งั้นหนูก็โชคดีมากเลยสิคะที่ได้เห็น”

จริงด้วยนะ”

เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางมองดูภาพของหมู่ดาวเหล่านั้นอย่างร่าเริง ในขณะที่ผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนยิ้ม พลางมองดูภาพหมู่ดาวนั้นอยู่ข้างๆ

ลานพักผู้โดยสารแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินคราคร่ำ บ้างก็นั่งฆ่าเวลาเพื่อรอเที่ยวบินที่กำลังจะมาถึงยังรอบต่อไป แม้ท่าอากาศยานแห่งนี้จะค่อนข้างห่างไกลจากใจกลางความเจริญ แต่ก็นับว่าเป็นจุดพักการเดินทางที่สำคัญในเขตแดนของจักรภพรอบนอก

ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังเพลิดเพลินกับภาพของหมู่ดาวอันแสนตระการตานั้น เสียงเข้มสูงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งสอง “ขอโทษครับ คุณอานีส แอ็คเซลสินะครับ”

แม่ของเด็กหญิงหันไปตามเสียงเรียก อีกฝ่ายคือชายหนุ่มอายุราว 18-19 ปี ใบหน้าคมเข้ม ผมและดวงตาสีดำสนิท แต่งกายด้วยเครื่องแบบของนายทหารแห่งสหพันธ์มนุษย์ (Union of Human) เต็มยศ

จำผมได้ไหม” ชายหนุ่มพูด

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะร้องเสียงดัง “โทมะ!!! จริงๆเหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีเลยนะ”

เช่นกันครับ”

ไม่น่าเชื่อ เธอโตขึ้นเยอะจนฉันแทบจำไม่ได้เลย”

โทมะยิ้มรับ “คุณเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ยังดูสวยเหมือนสมัยก่อนไม่ผิด”

แหม ปากหวานจริงนะพ่อหนุ่มน้อย” อานีสพูดพลางตบไหล่เขาเบาๆ “ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันก็หลายปีแล้วนะ ตอนนั้นเธอยังเป็นแค่นักเรียนเตรียมทหารอยู่เลย แล้วนี่ถูกบรรจุเข้ากองทัพตั้งแต่เมื่อไหร่”

เมื่อต้นปีนี้เองครับ” โทมะพูดพลางแตะเครื่องหมายปีกสีเงินที่อกเสื้อ อันแสดงถึงยศร้อยตรี “แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ผู้ช่วยนักบินเท่านั้น”

อายุแค่นี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วเท่ากับว่าความฝันของเธอเป็นจริงส่วนหนึ่งแล้วสินะ ยินดีด้วยจ๊ะ”

ขอบคุณครับ…” ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนเกาะที่ขาของหญิงสาว “เด็กคนนี้คือ…”

อ้อ โทษทีนะ ยังไม่ได้แนะนำเลย” อานีสก้มตัวลงลูบที่ศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยเบาๆ “ลูกสาวฉันชื่ออนาสตาเซีย เพิ่งจะอายุครบ 6 ปีเต็มพอดี”

ชายหนุ่มเหม่อมองดูเด็กหญิงตัวน้อย เธอมีดวงตากลมโตและผมสีแดงเช่นเดียวกับอานีสผู้เป็นแม่

พี่ชื่อโทมะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มก้มตัวลงพลางยื่นมือออกมา แต่เด็กน้อยกลับปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี จนชายหนุ่มถึงกับตกใจ

ลูกทำอะไรน่ะ” อานีสเอ็ดใส่

แม่เคยบอกว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วพี่ชายคนนี้ก็ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจนี่นา”

อานีสหัวเราะลั่น “ได้ยินไหม โทมะ ลูกสาวฉันบอกว่าเธอไม่น่าไว้ใจน่ะ ดูเหมือนจะได้รับพรสวรรค์ในการอ่านใจคนจากฉันไปเต็มที่เลยนะ ”

โธ่ อย่าแกล้งกันสิครับ” โทมะพูดเสียงอ่อย

ก็แหม เธอในสมัยก่อนมันเป็นแบบนั้นจริงๆนี่นา ฉันยังจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้นะ”

ชายหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อไม่อาจโต้แย้งได้จึงทำคอตก อานีสเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะต่อพลางขยี้ที่ศีรษะของเขาเบาๆ “แหม ที่จริงแล้วก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

อนาสตาเซียเห็นท่าทางของชายหนุ่มแบบนั้น จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วเป็นฝ่ายยื่นมือให้จับ

ไหนว่าฉันไม่น่าไว้ใจไง” โทมะขมวดคิ้ว

ก็ตอนนี้ดูน่าไว้ใจขึ้นแล้วน่ะ”

โทมะยิ้มรับแล้วจับมือตอบเบาๆ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ หนูอนาสตาเซีย”

อื้อ โทมะ”

เรียกว่าพี่นำหน้าด้วยสิ” อานีสแทรก

ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือหรอก”

งั้นก็ตามใจนะ จริงสิ…” อานีสกวาดสายตาไปรอบๆท่าอากาศยาน ซึ่งมีผู้คนนับร้อยกำลังรอยานโดยสารอยู่เช่นเดียวกับเธอ “นายทหารที่เพิ่งได้รับบรรจุอย่างเธอมาทำอะไรที่อาณานิคมห่างไกลแบบนี้ล่ะ”

ทันใดนั้น บรรยากาศสบายๆรอบตัวของโทมะพลันสลายสิ้น เขาตอบกลับด้วยใบหน้านิ่ง “เป็นภารกิจทางทหารน่ะครับ ต้องขออภัยด้วยที่ไม่อาจบอกได้”

อานีสขมวดคิ้ว แต่หลังจากกวาดสายตาดูรอบบริเวณแล้วเธอสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงถอนใจเบาๆ “เข้าใจละ”

รู้สึกตัวด้วยหรือครับ”

ก็นะ รอบบริเวณนี้มีผู้ชายหลายคนที่แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดา แต่ท่าทางของแต่ละคนดูมีพิรุธตลอดเวลาราวกับพวกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบซะนี่”

คุณยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะครับ น่าเสียดายที่…”

ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนในสังกัดของสหพันธ์มนุษย์อีกแล้วนะ”

งั้นหรือครับ…” โทมะนิ่งไปเล็กน้อย “จริงสิ แล้วนี่คุณจะเดินทางไปไหนหรือครับ”

ก็ว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักหน่อยน่ะ”

อาณานิคมไซราคหรือครับ”

ยังจำได้อีกหรือ ใช่แล้ว” ว่าแล้วเธอก็ลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ “ที่สำคัญ ฉันยังไม่เคยพาเด็กคนนี้ไปพบคุณตาทวดของแกเลย”

โทมะถึงกับตาลุก “คุณหมายถึงวีรบุรุษ เดลาส แอ็คเซลคนนั้นหรือครับ”

อานีสหัวเราะเบาๆ “แม้ท่านจะเคยได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ท่านก็อายุเฉียดร้อยปีและเป็นแค่คนชราที่มีความสุขกับชีวิตในอาณานิคมบ้านนอกเท่านั้นเอง”

จริงสิ แล้วพ่อของเด็กคนนี้ล่ะครับ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ”

ทันใดนั้น โทมะรู้สึกว่าได้ถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป เพราะใบหน้าของอานีสพลันเคร่งเครียดขึ้นทันที กระทั่งเด็กน้อยอย่างอนาสตาเซียเองก็เช่นกัน

ขอโทษครับ” โทมะรีบพูด

ไม่เป็นไร” อานีสพูดพลางลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ ใบหน้าของอนาสตาเซียผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

ทันใดนั้น ความสนใจของทั้งสาม รวมไปถึงทุกชีวิตภายในลานพักผู้โดยสารก็หันเหไปยังอวกาศด้านนอก เมื่อจู่ๆก็ปรากฏแสงสว่างหลากสีประดุจปรากฏการณ์ออโรร่าส่องแสงเจิดจ้าไปทั่ว โดยแสงนั้นมีจุดเริ่มมาจากกลุ่มก้อนของดวงดาวก่อนหน้านี้

ผู้คนตางส่งเสียงฮือฮา แล้วทันใดนั้นเสียงประกาศจากระบบคอมพิวเตอร์ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็แจ้งไปทั่วลานพักผู้โดยสาร “ขณะนี้เป็นเหตุฉุกเฉิน ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านที่อยู่ในสถานีทำการอพยพ…”

ไม่ทันที่เสียงจะประกาศจบ ทั้งสถานีก็เกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับภาพของปรากฏการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มดาวที่รวมตัวกันเมื่อครู่กลับแยกออก ในขณะที่แสงออโรร่าซึ่งสาดส่องทั่วห้วงอวกาศนั้นกลับกลับดึงดูดกลับเข้ามารวมตัวกัน ราวกับมีบางสิ่งดูดแสงสว่างนั้นเอาไว้ เมื่อมันถูกดูดเข้ามาจนกระทั่งถึงจุดศูนย์กลาง ห้วงอวกาศ ณ ตรงนั้นก็พลันปรากฏรอยแยก

อวกาศกำลังแตก!!!” เสียงของผู้คนตะโกนดังสนั่น ท่ามกลางความชุลมุนภายในสถานีขนส่ง แล้วไม่กี่อึดใจ วัตถุขนาดยักษ์สีดำทะมึนก็ค่อยๆปรากฏออกมาจากช่องว่างของรอยแยกนั้น

อนาสตาเซียได้แต่ยืนตาค้างกับภาพที่เห็น วัตถุนั้นราวกับยานอวกาศขนาดยักษ์ มันมีรูปทรงเป็นดั่งแท่นผลึกคริสตัล ที่ปลายแหลมซึ่งนำหน้าสุดนั้นมีวงแหวนหมุนวนซึ่งก่อให้เกิดกระแสไฟขึ้น

ทันใดนั้น พลันปรากฏแสงสว่างลุกวาบขึ้นจากวงแหวนนั้น พริบตานั้น อวกาศโดยรอบสถานีพลันเกิดการบิดเบี้ยว และเริ่มเข้าบดขยี้สถานีในทันใด

เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วทั้งสถานี

หนีกันเถอะ” อานีสตะโกนบอกโทมะในขณะที่อุ้มอนาสตาเซียขึ้นมา ชายหนุ่มซึ่งตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นรีบตั้งสติ ทั้งสามวิ่งปะปนไปพร้อมกับคลื่นฝูงชนที่กำลังแตกตื่น ไปยังช่องประตูที่นำไปสู่ยานฉุกเฉิน

ประตูฉุกเฉินแออัดไปด้วยฝูงชนที่ถาโถมเข้าไป ไม่ช้า เสียงระเบิดก็เริ่มดังขึ้นจากภายในทั่วสถานี ส่งผลให้ผู้คนยิ่งตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ผลักและดึงรั้งอีกฝ่ายไว้เพื่อที่ตนเองจะได้ไปถึงยานฉุกเฉินได้ก่อน

ทางนี้” โทมะวิ่งนำสองแม่ลูกอ้อมไปอีกเส้นทาง ซึ่งแม้จะต้องเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ไม่ต้องเบียดเสียดไปกับฝูงชนมากนัก พวกเขาเร่งไปจนถึงป้ายชี้ไปยังประตูทางออกฉุกเฉินหมายเลข 6

ทั้งสามรีบตรงไปยังประตูที่จะนำไปสู่ทางเข้ายานฉุกเฉิน แต่ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังไล่ตามมาจากด้านบน ทันใดนั้น เพดานของทางเดินก็ถล่มลงมาขวางหน้าพวกเขาไว้

แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาปิดขวางเส้นทางหนี อานีสอาศัยประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนทั่วไปทำให้รับรู้ถึงอันตรายนี้ได้ทันท่วงที เธอถีบร่างของโทมะที่อยู่ด้านหน้าให้พุ่งตรงออกไปก่อนที่เพดานจะทันถล่มมาปิดทางจนหมด พร้อมกับผลักร่างของอนาสตาเซียไปให้ชายหนุ่ม จนกระทั่งทั้งสองหลุดรอดออกไปได้ทัน เว้นแต่เพียงตัวของอานีสเอง

คุณแม่!!!” เด็กหญิงมองตามหลังแล้วตะโกนสุดเสียง

มีชีวิตรอดไปให้ได้!!!” นั่นคือคำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนงดงาม ก่อนที่นั่นจะกลายเป็นภาพสุดท้ายของผู้เป็นแม่ที่ปรากฏแก่สายตาของอนาสตาเซีย ก่อนที่ซากกำแพงบนเพดานจะถล่มลงมาปิดเส้นทางระหว่างทางสองฟากเอาไว้

คุณอานีส!!!” โทมะตะโกนพลางพุ่งเข้าไปหมายจะหาทางทำลายสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า แต่แรงระเบิดก็ยังคงดังต่อเนื่อง และคราวนี้ทางเดินโดยรอบก็กำลังจะถล่มตามไปด้วย

โทมะกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซิบ เขาตัดสินใจอุ้มร่างของอนาสตาเซียขึ้นพาดไหล่แล้วพุ่งต่อไปยังทางเข้าประตูฉุกเฉินที่อยู่อีกไม่กี่เมตรข้างหน้า โดยไม่เหลียวกลับไปมองเบื้องหลังอีก

เด็กหญิงร้องตะโกน “จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ คุณแม่คุณแม่ยังติดอยู่ข้างใน กลับไปช่วยคุณแม่เดี๋ยวนี้นะ!!!”

ดวงตาสีแดงใสคู่นั้นระเบิดน้ำตาออกมาไม่หยุด เสียงของเธอเริ่มอุดอู้ ก่อนที่จะตะโกนลั่นจนสุดเสียง

คุณแม่!!!”

…………………………………………………….

เมื่ออยู่เพียงลำพังท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนและแรงระเบิดที่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจากทั่วสารทิศ อานีสก็ตัดสินใจวกกลับไปยังเส้นทางเดิม เธอยังคงพยายามดิ้นรมอย่างไม่ยอมแพ้ที่จะหาเส้นทางอื่นที่จะหนีรอดไปจากที่นี่ให้ได้

แต่เวลาไม่เพียงพอเสียแล้ว เสียงสัญญาณแจ้งเตือนภัยจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ดังต่อเนื่องมาตลอดได้หยุดลง แสดงว่าคอมพิวเตอร์หลักที่ควบคุมระบบทุกอย่างของสถานีแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว ดังนั้นต่อให้สถานีไม่ระเบิดไปจนหมด แต่ระบบยังชีพที่กำลังจะหยุดทำงาน ก็จะทำให้เธอขาดออกซิเจนจนตายอยู่ดี

ตายเพราะขาดอากาศ กับถูกแรงอัดของอวกาศด้านนอก หรือเพราะแรงระเบิด อันไหนทรมานกว่ากันนะ ไม่เคยคิดด้วยสิ” อานีสพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วเธอก็หัวเราะเสียงดัง “อย่างน้อยถ้าจะต้องตายแน่ๆแล้ว ฉันขอเลือกเองก็แล้วกัน”

ดวงตาของหญิงสาวฉายแววเป็นประกาย เธอพุ่งตรงไปยังเส้นทางที่ยังคงสามารถไปต่อได้เรื่อยๆ ระหว่างทางเธอพบเห็นผู้คนบางส่วนที่หนีไม่ทันและถูกแรงระเบิดหรือซากเพดานถล่มทับจนตายและกลายเป็นศพลอยเคว้งไปทั่ว เนื่องจากตอนนี้ระบบควบคุมแรงโน้มถ่วงหยุดทำงานไปแล้ว

อานีสเห็นศพหนึ่งถูกแท่นเหล็กซึ่งกระเด็นเพราะแรงระเบิดเสียบทะลุเข้าที่กลางอก ในขณะที่กำลังจะสวมชุดอวกาศ เธอจึงคว้าเอาชุดอวกาศนั้นมาแล้วรีบสวมแทน จากนั้นจึงมุ่งไปต่อ จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงลานพักผู้โดยสาร ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดไฟลุกท่วมจากแรงระเบิดจนแทบไม่เหลือสภาพแล้ว

หมดหนทางที่จะหนีรอดออกไป ต่อให้ออกไปได้ก็มีหวังถูกแรงอัดที่เกิดจากการบิดเบี้ยวของห้วงอวกาศเข้าบดขยี้จนไม่เหลือซาก เธอได้แต่หวังว่าโทมะจะสามารถพาอนาสตาเซียขึ้นยานฉุกเฉินแล้วหนีออกไปจากบริเวณนี้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด

จบแค่นี้หรือเนี่ยไม่สิ อย่างน้อยที่สุด…” หญิงสาวมองผ่านรอยโหว่ของกำแพงออกไปยังห้วงอวกาศ

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของเธอคือตัวการของความพินาศในครั้งนี้ วัตถุรูปทรงคริสตัลสีดำขนาดมหึมา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง แต่สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ด้วยด้วยวิทยาการของมนุษย์เลย ถ้าเช่นนั้นคำตอบมีเพียงอย่างเดียว

เผ่าพันธุ์อื่นจากนอกระบบสุริยะจักรวาลใช่ไหม” เธอพูดกับตัวเองราวกับต้องการคำตอบ แล้วผู้ที่ตอบเธอได้ล่ะ

วงแหวนที่อยู่ด้านหน้าของวัตถุขนาดมหึมานั้นเริ่มหมุนวนอีกครั้ง คราวนี้พลันปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาจากวงแหวนนั้น

อานีสพยายามเพ่งตามอง อย่างน้อยเธอก็ขอเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนี้จนถึงวินาทีสุดท้าย กระทั่งสายตาของเธอไม่อาจต้านรับแสงสว่างอันเจิดจ้านี้ได้อีก เธอจึงหลับตาลง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น เธอรู้สึกว่าได้เห็นเงาร่างของใครบางคนยืนอยู่ภายในแสงสว่างอันเจิดจ้านั้น

ใครน่ะ…”

ไม่มีคำตอบใด แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไป ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นในมโนจิตคือใบหน้าอันยิ้มแย้มของผู้เป็นแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียว

อนาสตาเซีย

บทนำ (1)

เจ้าหญิงแห่งอวกาศ

อนาสตาเซีย

 

 

ปี E.A. ที่ 0006 (Ender Age)

สถานที่ : สถานีขนส่งอวกาศเมอร์คิวรี่ 4

 

ดูสิคะ คุณแม่”

เด็กหญิงวิ่งไปยังกระจกใสที่กั้นระหว่างด้านในของสถานีกับอวกาศด้านนอก ดวงตาของเธอกลมโตเป็นประกาย ในขณะที่กำลังมองไปยังภาพที่อยู่อีกฟากของกระจก

ที่ใจกลางของความมืด กลุ่มดาวกระจุกรวมตัวกันจนเกิดเป็นกลุ่มก้อน ก่อให้เกิดแสงสว่างสว่างเป็นประกายระยิบระยับไปทั่วห้วงอวกาศอันมืดมิด

ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้เท่าไหร่นะ” ผู้เป็นแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น

ขนาดคุณแม่เดินทางไปมาทั่วอวกาศแล้วยังไม่เคยเห็นเลยหรือคะ” เด็กหญิงถาม

ที่เคยเห็น กลุ่มดาวมันไม่กระจุกตัวเป็นก้อนจนเกิดแสงสว่างถึงขนาดนี้น่ะจ๊ะ”

ว้าว งั้นหนูก็โชคดีมากเลยสิคะที่ได้เห็น”

จริงด้วยนะ”

เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางมองดูภาพของหมู่ดาวเหล่านั้นอย่างร่าเริง ในขณะที่ผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนยิ้ม พลางมองดูภาพหมู่ดาวนั้นอยู่ข้างๆ

ลานพักผู้โดยสารแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินคราคร่ำ บ้างก็นั่งฆ่าเวลาเพื่อรอเที่ยวบินที่กำลังจะมาถึงยังรอบต่อไป แม้ท่าอากาศยานแห่งนี้จะค่อนข้างห่างไกลจากใจกลางความเจริญ แต่ก็นับว่าเป็นจุดพักการเดินทางที่สำคัญในเขตแดนของจักรภพรอบนอก

ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังเพลิดเพลินกับภาพของหมู่ดาวอันแสนตระการตานั้น เสียงเข้มสูงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งสอง “ขอโทษครับ คุณอานีส แอ็คเซลสินะครับ”

แม่ของเด็กหญิงหันไปตามเสียงเรียก อีกฝ่ายคือชายหนุ่มอายุราว 18-19 ปี ใบหน้าคมเข้ม ผมและดวงตาสีดำสนิท แต่งกายด้วยเครื่องแบบของนายทหารแห่งสหพันธ์มนุษย์ (Union of Human) เต็มยศ

จำผมได้ไหม” ชายหนุ่มพูด

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะร้องเสียงดัง “โทมะ!!! จริงๆเหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีเลยนะ”

เช่นกันครับ”

ไม่น่าเชื่อ เธอโตขึ้นเยอะจนฉันแทบจำไม่ได้เลย”

โทมะยิ้มรับ “คุณเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ยังดูสวยเหมือนสมัยก่อนไม่ผิด”

แหม ปากหวานจริงนะพ่อหนุ่มน้อย” อานีสพูดพลางตบไหล่เขาเบาๆ “ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันก็หลายปีแล้วนะ ตอนนั้นเธอยังเป็นแค่นักเรียนเตรียมทหารอยู่เลย แล้วนี่ถูกบรรจุเข้ากองทัพตั้งแต่เมื่อไหร่”

เมื่อต้นปีนี้เองครับ” โทมะพูดพลางแตะเครื่องหมายปีกสีเงินที่อกเสื้อ อันแสดงถึงยศร้อยตรี “แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ผู้ช่วยนักบินเท่านั้น”

อายุแค่นี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้วเท่ากับว่าความฝันของเธอเป็นจริงส่วนหนึ่งแล้วสินะ ยินดีด้วยจ๊ะ”

ขอบคุณครับ…” ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนเกาะที่ขาของหญิงสาว “เด็กคนนี้คือ…”

อ้อ โทษทีนะ ยังไม่ได้แนะนำเลย” อานีสก้มตัวลงลูบที่ศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อยเบาๆ “ลูกสาวฉันชื่ออนาสตาเซีย เพิ่งจะอายุครบ 6 ปีเต็มพอดี”

ชายหนุ่มเหม่อมองดูเด็กหญิงตัวน้อย เธอมีดวงตากลมโตและผมสีแดงเช่นเดียวกับอานีสผู้เป็นแม่

พี่ชื่อโทมะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มก้มตัวลงพลางยื่นมือออกมา แต่เด็กน้อยกลับปัดทิ้งอย่างไม่ใยดี จนชายหนุ่มถึงกับตกใจ

ลูกทำอะไรน่ะ” อานีสเอ็ดใส่

แม่เคยบอกว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วพี่ชายคนนี้ก็ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจนี่นา”

อานีสหัวเราะลั่น “ได้ยินไหม โทมะ ลูกสาวฉันบอกว่าเธอไม่น่าไว้ใจน่ะ ดูเหมือนจะได้รับพรสวรรค์ในการอ่านใจคนจากฉันไปเต็มที่เลยนะ ”

โธ่ อย่าแกล้งกันสิครับ” โทมะพูดเสียงอ่อย

ก็แหม เธอในสมัยก่อนมันเป็นแบบนั้นจริงๆนี่นา ฉันยังจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้นะ”

ชายหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย เมื่อไม่อาจโต้แย้งได้จึงทำคอตก อานีสเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะต่อพลางขยี้ที่ศีรษะของเขาเบาๆ “แหม ที่จริงแล้วก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

อนาสตาเซียเห็นท่าทางของชายหนุ่มแบบนั้น จึงเดินเข้าไปใกล้แล้วเป็นฝ่ายยื่นมือให้จับ

ไหนว่าฉันไม่น่าไว้ใจไง” โทมะขมวดคิ้ว

ก็ตอนนี้ดูน่าไว้ใจขึ้นแล้วน่ะ”

โทมะยิ้มรับแล้วจับมือตอบเบาๆ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ หนูอนาสตาเซีย”

อื้อ โทมะ”

เรียกว่าพี่นำหน้าด้วยสิ” อานีสแทรก

ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือหรอก”

งั้นก็ตามใจนะ จริงสิ…” อานีสกวาดสายตาไปรอบๆท่าอากาศยาน ซึ่งมีผู้คนนับร้อยกำลังรอยานโดยสารอยู่เช่นเดียวกับเธอ “นายทหารที่เพิ่งได้รับบรรจุอย่างเธอมาทำอะไรที่อาณานิคมห่างไกลแบบนี้ล่ะ”

ทันใดนั้น บรรยากาศสบายๆรอบตัวของโทมะพลันสลายสิ้น เขาตอบกลับด้วยใบหน้านิ่ง “เป็นภารกิจทางทหารน่ะครับ ต้องขออภัยด้วยที่ไม่อาจบอกได้”

อานีสขมวดคิ้ว แต่หลังจากกวาดสายตาดูรอบบริเวณแล้วเธอสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงถอนใจเบาๆ “เข้าใจละ”

รู้สึกตัวด้วยหรือครับ”

ก็นะ รอบบริเวณนี้มีผู้ชายหลายคนที่แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดา แต่ท่าทางของแต่ละคนดูมีพิรุธตลอดเวลาราวกับพวกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบซะนี่”

คุณยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะครับ น่าเสียดายที่…”

ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่คนในสังกัดของสหพันธ์มนุษย์อีกแล้วนะ”

งั้นหรือครับ…” โทมะนิ่งไปเล็กน้อย “จริงสิ แล้วนี่คุณจะเดินทางไปไหนหรือครับ”

ก็ว่าจะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดสักหน่อยน่ะ”

อาณานิคมไซราคหรือครับ”

ยังจำได้อีกหรือ ใช่แล้ว” ว่าแล้วเธอก็ลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ “ที่สำคัญ ฉันยังไม่เคยพาเด็กคนนี้ไปพบคุณตาทวดของแกเลย”

โทมะถึงกับตาลุก “คุณหมายถึงวีรบุรุษ เดลาส แอ็คเซลคนนั้นหรือครับ”

อานีสหัวเราะเบาๆ “แม้ท่านจะเคยได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ท่านก็อายุเฉียดร้อยปีและเป็นแค่คนชราที่มีความสุขกับชีวิตในอาณานิคมบ้านนอกเท่านั้นเอง”

จริงสิ แล้วพ่อของเด็กคนนี้ล่ะครับ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ”

ทันใดนั้น โทมะรู้สึกว่าได้ถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป เพราะใบหน้าของอานีสพลันเคร่งเครียดขึ้นทันที กระทั่งเด็กน้อยอย่างอนาสตาเซียเองก็เช่นกัน

ขอโทษครับ” โทมะรีบพูด

ไม่เป็นไร” อานีสพูดพลางลูบศีรษะของอนาสตาเซียเบาๆ ใบหน้าของอนาสตาเซียผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

ทันใดนั้น ความสนใจของทั้งสาม รวมไปถึงทุกชีวิตภายในลานพักผู้โดยสารก็หันเหไปยังอวกาศด้านนอก เมื่อจู่ๆก็ปรากฏแสงสว่างหลากสีประดุจปรากฏการณ์ออโรร่าส่องแสงเจิดจ้าไปทั่ว โดยแสงนั้นมีจุดเริ่มมาจากกลุ่มก้อนของดวงดาวก่อนหน้านี้

ผู้คนตางส่งเสียงฮือฮา แล้วทันใดนั้นเสียงประกาศจากระบบคอมพิวเตอร์ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็แจ้งไปทั่วลานพักผู้โดยสาร “ขณะนี้เป็นเหตุฉุกเฉิน ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านที่อยู่ในสถานีทำการอพยพ…”

ไม่ทันที่เสียงจะประกาศจบ ทั้งสถานีก็เกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกับภาพของปรากฏการณ์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มดาวที่รวมตัวกันเมื่อครู่กลับแยกออก ในขณะที่แสงออโรร่าซึ่งสาดส่องทั่วห้วงอวกาศนั้นกลับกลับดึงดูดกลับเข้ามารวมตัวกัน ราวกับมีบางสิ่งดูดแสงสว่างนั้นเอาไว้ เมื่อมันถูกดูดเข้ามาจนกระทั่งถึงจุดศูนย์กลาง ห้วงอวกาศ ณ ตรงนั้นก็พลันปรากฏรอยแยก

อวกาศกำลังแตก!!!” เสียงของผู้คนตะโกนดังสนั่น ท่ามกลางความชุลมุนภายในสถานีขนส่ง แล้วไม่กี่อึดใจ วัตถุขนาดยักษ์สีดำทะมึนก็ค่อยๆปรากฏออกมาจากช่องว่างของรอยแยกนั้น

อนาสตาเซียได้แต่ยืนตาค้างกับภาพที่เห็น วัตถุนั้นราวกับยานอวกาศขนาดยักษ์ มันมีรูปทรงเป็นดั่งแท่นผลึกคริสตัล ที่ปลายแหลมซึ่งนำหน้าสุดนั้นมีวงแหวนหมุนวนซึ่งก่อให้เกิดกระแสไฟขึ้น

ทันใดนั้น พลันปรากฏแสงสว่างลุกวาบขึ้นจากวงแหวนนั้น พริบตานั้น อวกาศโดยรอบสถานีพลันเกิดการบิดเบี้ยว และเริ่มเข้าบดขยี้สถานีในทันใด

เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วทั้งสถานี

หนีกันเถอะ” อานีสตะโกนบอกโทมะในขณะที่อุ้มอนาสตาเซียขึ้นมา ชายหนุ่มซึ่งตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นรีบตั้งสติ ทั้งสามวิ่งปะปนไปพร้อมกับคลื่นฝูงชนที่กำลังแตกตื่น ไปยังช่องประตูที่นำไปสู่ยานฉุกเฉิน

ประตูฉุกเฉินแออัดไปด้วยฝูงชนที่ถาโถมเข้าไป ไม่ช้า เสียงระเบิดก็เริ่มดังขึ้นจากภายในทั่วสถานี ส่งผลให้ผู้คนยิ่งตื่นตระหนกขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ผลักและดึงรั้งอีกฝ่ายไว้เพื่อที่ตนเองจะได้ไปถึงยานฉุกเฉินได้ก่อน

ทางนี้” โทมะวิ่งนำสองแม่ลูกอ้อมไปอีกเส้นทาง ซึ่งแม้จะต้องเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ไม่ต้องเบียดเสียดไปกับฝูงชนมากนัก พวกเขาเร่งไปจนถึงป้ายชี้ไปยังประตูทางออกฉุกเฉินหมายเลข 6

ทั้งสามรีบตรงไปยังประตูที่จะนำไปสู่ทางเข้ายานฉุกเฉิน แต่ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังไล่ตามมาจากด้านบน ทันใดนั้น เพดานของทางเดินก็ถล่มลงมาขวางหน้าพวกเขาไว้

แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาปิดขวางเส้นทางหนี อานีสอาศัยประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคนทั่วไปทำให้รับรู้ถึงอันตรายนี้ได้ทันท่วงที เธอถีบร่างของโทมะที่อยู่ด้านหน้าให้พุ่งตรงออกไปก่อนที่เพดานจะทันถล่มมาปิดทางจนหมด พร้อมกับผลักร่างของอนาสตาเซียไปให้ชายหนุ่ม จนกระทั่งทั้งสองหลุดรอดออกไปได้ทัน เว้นแต่เพียงตัวของอานีสเอง

คุณแม่!!!” เด็กหญิงมองตามหลังแล้วตะโกนสุดเสียง

มีชีวิตรอดไปให้ได้!!!” นั่นคือคำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนงดงาม ก่อนที่นั่นจะกลายเป็นภาพสุดท้ายของผู้เป็นแม่ที่ปรากฏแก่สายตาของอนาสตาเซีย ก่อนที่ซากกำแพงบนเพดานจะถล่มลงมาปิดเส้นทางระหว่างทางสองฟากเอาไว้

คุณอานีส!!!” โทมะตะโกนพลางพุ่งเข้าไปหมายจะหาทางทำลายสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า แต่แรงระเบิดก็ยังคงดังต่อเนื่อง และคราวนี้ทางเดินโดยรอบก็กำลังจะถล่มตามไปด้วย

โทมะกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซิบ เขาตัดสินใจอุ้มร่างของอนาสตาเซียขึ้นพาดไหล่แล้วพุ่งต่อไปยังทางเข้าประตูฉุกเฉินที่อยู่อีกไม่กี่เมตรข้างหน้า โดยไม่เหลียวกลับไปมองเบื้องหลังอีก

เด็กหญิงร้องตะโกน “จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ คุณแม่คุณแม่ยังติดอยู่ข้างใน กลับไปช่วยคุณแม่เดี๋ยวนี้นะ!!!”

ดวงตาสีแดงใสคู่นั้นระเบิดน้ำตาออกมาไม่หยุด เสียงของเธอเริ่มอุดอู้ ก่อนที่จะตะโกนลั่นจนสุดเสียง

คุณแม่!!!”

 

…………………………………………………….

 

เมื่ออยู่เพียงลำพังท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนและแรงระเบิดที่ค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจากทั่วสารทิศ อานีสก็ตัดสินใจวกกลับไปยังเส้นทางเดิม เธอยังคงพยายามดิ้นรมอย่างไม่ยอมแพ้ที่จะหาเส้นทางอื่นที่จะหนีรอดไปจากที่นี่ให้ได้

แต่เวลาไม่เพียงพอเสียแล้ว เสียงสัญญาณแจ้งเตือนภัยจากระบบคอมพิวเตอร์ที่ดังต่อเนื่องมาตลอดได้หยุดลง แสดงว่าคอมพิวเตอร์หลักที่ควบคุมระบบทุกอย่างของสถานีแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงแล้ว ดังนั้นต่อให้สถานีไม่ระเบิดไปจนหมด แต่ระบบยังชีพที่กำลังจะหยุดทำงาน ก็จะทำให้เธอขาดออกซิเจนจนตายอยู่ดี

ตายเพราะขาดอากาศ กับถูกแรงอัดของอวกาศด้านนอก หรือเพราะแรงระเบิด อันไหนทรมานกว่ากันนะ ไม่เคยคิดด้วยสิ” อานีสพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วเธอก็หัวเราะเสียงดัง “อย่างน้อยถ้าจะต้องตายแน่ๆแล้ว ฉันขอเลือกเองก็แล้วกัน”

ดวงตาของหญิงสาวฉายแววเป็นประกาย เธอพุ่งตรงไปยังเส้นทางที่ยังคงสามารถไปต่อได้เรื่อยๆ ระหว่างทางเธอพบเห็นผู้คนบางส่วนที่หนีไม่ทันและถูกแรงระเบิดหรือซากเพดานถล่มทับจนตายและกลายเป็นศพลอยเคว้งไปทั่ว เนื่องจากตอนนี้ระบบควบคุมแรงโน้มถ่วงหยุดทำงานไปแล้ว

อานีสเห็นศพหนึ่งถูกแท่นเหล็กซึ่งกระเด็นเพราะแรงระเบิดเสียบทะลุเข้าที่กลางอก ในขณะที่กำลังจะสวมชุดอวกาศ เธอจึงคว้าเอาชุดอวกาศนั้นมาแล้วรีบสวมแทน จากนั้นจึงมุ่งไปต่อ จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงลานพักผู้โดยสาร ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดไฟลุกท่วมจากแรงระเบิดจนแทบไม่เหลือสภาพแล้ว

หมดหนทางที่จะหนีรอดออกไป ต่อให้ออกไปได้ก็มีหวังถูกแรงอัดที่เกิดจากการบิดเบี้ยวของห้วงอวกาศเข้าบดขยี้จนไม่เหลือซาก เธอได้แต่หวังว่าโทมะจะสามารถพาอนาสตาเซียขึ้นยานฉุกเฉินแล้วหนีออกไปจากบริเวณนี้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด

จบแค่นี้หรือเนี่ยไม่สิ อย่างน้อยที่สุด…” หญิงสาวมองผ่านรอยโหว่ของกำแพงออกไปยังห้วงอวกาศ

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าของเธอคือตัวการของความพินาศในครั้งนี้ วัตถุรูปทรงคริสตัลสีดำขนาดมหึมา ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นยานอวกาศชนิดหนึ่ง แต่สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ด้วยด้วยวิทยาการของมนุษย์เลย ถ้าเช่นนั้นคำตอบมีเพียงอย่างเดียว

เผ่าพันธุ์อื่นจากนอกระบบสุริยะจักรวาลใช่ไหม” เธอพูดกับตัวเองราวกับต้องการคำตอบ แล้วผู้ที่ตอบเธอได้ล่ะ

วงแหวนที่อยู่ด้านหน้าของวัตถุขนาดมหึมานั้นเริ่มหมุนวนอีกครั้ง คราวนี้พลันปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาจากวงแหวนนั้น

อานีสพยายามเพ่งตามอง อย่างน้อยเธอก็ขอเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนี้จนถึงวินาทีสุดท้าย กระทั่งสายตาของเธอไม่อาจต้านรับแสงสว่างอันเจิดจ้านี้ได้อีก เธอจึงหลับตาลง แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น เธอรู้สึกว่าได้เห็นเงาร่างของใครบางคนยืนอยู่ภายในแสงสว่างอันเจิดจ้านั้น

ใครน่ะ…”

ไม่มีคำตอบใด แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไป ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นในมโนจิตคือใบหน้าอันยิ้มแย้มของผู้เป็นแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียว

อนาสตาเซีย

 

 

 

 

องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๙ : ปริวรรตมวลสาร ]

วิทยา รู้สึกตัวอย่างช้าๆ และพบตัวเอง นั่งอยู่ในห้องที่มืดมิด คับแคบ และอบอวลไปด้วยกลิ่นโลหะไหม้
ขณะที่สายตาค่อยๆปรับตัวเข้ากับความมืดอย่างเชื่องช้า เขาก็จดจำได้ว่า เขากำลังนั่งอยู่ในห้องนำส่งของเครื่องปริวรรตมวลสาร นั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม “องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๙ : ปริวรรตมวลสาร ]”

จุดประกายปัญญาปี 4 : Young Writer Camp

งานประกวด เพื่อไปเข้า ค่ายอบรมนักเขียนอีกที ของ มติชน และ SCG
เยาวชน อายุ 15-22 ปี
ในหัวข้อชื่อ “ความฝันและตัวตนของข้าพเจ้า”
ดูจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ เลย แต่เห็นว่าน่าสนใจดี

หมดเขตส่ง 31 กรกฎาคม 2551
รายละเอียด http://www.matichon.co.th/youngcamp/ywc.html

องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๘ : คดีเพิ่มเติม ]


วิทยา ยืน งงๆ อยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วย นัก อาชญวิทยา จำนวนมาก ซึ่งกำลังตรวจเก็บหลักฐานไปทั่วทั้งพื้นที่
ทั้งเก็บข้อมูลการติดต่อผ่านระบบสื่อสาร, ทั้งตรวจสอบ “หัวใจ” ในที่เกิดเหตุ
ขณะเดียวกัน ในจอภาพที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ซึ่งปัจจุบัน ถูกเปิดขึ้น ร่วมๆ ห้าสิบจอภาพ ไปทั่วทั้งบริเวณ แสดงถึงการทำงานเก็บหลักฐานในลักษณะเดียวกัน ในที่เกิดเหตุอีกที่หนึ่ง
ที่ดาวศุกร์
การสอบถามพูดคุยกันไปมาส่งเสียงดังเซ่งแซ่
อ่านเพิ่มเติม “องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๘ : คดีเพิ่มเติม ]”

องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๗ : คดีต่อเนื่อง ]

นางสาวมายา พรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดแสง ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างคล่องแคร่วรวดเร็ว พลางถามถึงข้อมูลที่ วิทยา ต้องการ
“ผมขอดูข้อมูลจากจุดที่เดินทางออก ครับ พร้อมข้อมูล ประวัติการเดินทางของ คุณมานพ ผู้เสียชีวิต ด้วยครับ”
ข้อมูลถูกลำเลียงส่งตรงเข้าสู่หน่วยความจำของ วิทยา โดยทันที

ขณะที่ อากาศ เบื้องหน้าของทั้งสอง ปรากฏแสงสว่าง ขึ้นเป็นกรอบรูป
และภาพของ นายภานุ นายสถานีเครื่องปริวรรตมวลสาร ประจำประตู สิบสอง แห่งดาวศุกร์ ที่เป็นต้นทางที่ มานพ ใช้เดินทางมาก็ปรากฏขึ้น
อ่านเพิ่มเติม “องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๗ : คดีต่อเนื่อง ]”

องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๖ : ดร.วิชาเยนร์ ]

วิทยายังคงพูดคุยสอบถาม ดร.วิชาเยนร์ ภายในห้อง ประชุมย่อย ของอาคาร ที่ว่าการ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาพักใหญ่แล้ว โดยมี นางสาวมายา นั่งฟังอย่างสงบเงียบอยู่ข้างๆ
ส่วน เมธา และ ผู้ว่าการ นั้นขอตัวกลับไปก่อนหน้านั้นนับหลายชั่วโมงแล้ว เนื่องด้วยความเกรงกลัวต่อ สภาพการจราจร ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ในชั้นนี้ ยังคงเป็นเพียงการสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ในแง่ของการทำงาน ของเครื่องปริวรรตมวลสารเท่านั้น ยังไม่ใช่ การสอบสวนเพื่อเอาผิดแต่ประการใด
อ่านเพิ่มเติม “องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๖ : ดร.วิชาเยนร์ ]”

องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๕ : เมธา ]

วิทยา พาร่างอันสะบักสะบอบ มาถึงที่ว่าการจนได้

หลังจากกระโดดระหว่าง ยานพาหนะ ที่ความสูงเกือบ หกสิบเมตรเหนือพื้นดิน(ประมาณตึก สิบ ชั้น) หลาย สิบ ครั้ง
ปะทะเข้ากับผนังโลหะของอาคาร ห้า-หก ครั้ง
กระโดดเกาะ และวิ่งอยู่บนยานพาหนะลอยฟ้า เจ็ด-แปด คัน (ย่อมต้องโดน ก่นด่า เป็น ธรรมดา)
เกือบตกลงมาคอหัก ร่วม ร้อย ครั้ง
โดนกลุ่มคนขว้างปาสิ่งของเข้าใส่อีก นับครั้งไม่ถ้วน
วิทยา เข้าใจเลยว่า มนุษย์ รักผืนดินที่เหยียบอยู่มากน้อยเพียงไร
อ่านเพิ่มเติม “องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๕ : เมธา ]”

องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๔ : วิกฤติ ]


เสียงเรียกผ่านระบบตอบรับ ดังขึ้นขณะที่ วิทยา ก้าวขึ้นสู่ พาหนะส่วนบุคคล เพื่อไปพบกับ ดร. วิชาเยนร์ ตามที่นัดหมายเอาไว้
“ท่าน ผู้กำกับ ต้องการติดต่อโดยด่วน คะ” เสียงรายงาน เบาๆ
วิทยา สูดลมหายใจลึกก่อน ให้สัญญาณ การรับสาย ผ่านคลื่นความคิด
“แกหายหัวไปไหนมา … รู้มั้ยว่าตอนนี้ มันกำลังเกิดเรื่องใหญ่ ขึ้นแล้ว”
วิทยา เป่าลมออกจากปากเต็มแรง พลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
ถึงแม้เขาจะกำหนด ระดับเสียงไว้ในระดับที่เบาที่สุดแล้ว แต่ก็อดรู้สึกปวดประสาทหูไม่ได้

วิทยา ย่อมรู้อยู่แล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น มันหนักหนาสาหัส เพียงไร
แน่นอน … การที่ การเดินทาง ทั่วทั้งกาแลคซี่ ต้องมากลายเป็น อัมพาต ในช่วงเวลาแค่ข้ามคืน …
ใครบ้างจะไม่รู้ว่า มัน เป็นเรื่องใหญ่ ขนาดไหน

เขาขยับลูกตาเล็กน้อย ภาพ แสดงเวลา ปรากฏขึ้นด้านใน กระบอกตา
เวลาผ่านไป ๒๐ นาที นับตั้งแต่เขาเริ่มทำคดี นี้
นี่มันบ้า ชัดๆ
อ่านเพิ่มเติม “องก์ที่ ๑ แผนเปลี่ยนโลก [ ตอนที่ ๔ : วิกฤติ ]”